แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - parple1199

หน้า: 1 [2]
19

รูปแบบขนาดวิธีการใช้ของเจียวกู่หลาน
  รูปแบบการใช้เจียวกู่หลานนั้น สามารถใช้ได้ตามตำรับยาต่างๆ ได้ และในปัจจุบันมีการสกัดสารและทำในรูปแบบยาแผนปัจจุบันและชาชงกันอย่างแพร่หลาย และมีขนาดการใช้แตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท ขนาดที่ใช้เป็นยาอายุวัฒนะชะลอความแก่ และให้ใช้ยาเจียวกู่หลานแห้งบดเป็นผงใส่ในแคปซูล  ให้กินครั้งละไม่เกิน 3 กรัม  ตามตำรับยาไทยโบราณ  ใช้เข้ากับตำรายาตามต้องการ
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเจียวกู่หลาน   
.        Dr Osama Tanaka แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮิโรชิมา  ได้ทำการหาจนพบว่า เจียวกู่หลานมีสาร Saponins ที่มีโครงสร้างโมเลกุลเหมือนกับโสม ต่อมา Dr Tsunematsu Takemoto ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่หาประโยชน์ของเจียวกู่หลานมากกว่า 10 ปี ได้พบว่าเจียวกู่หลานมีสาร Saponins อยู่มากถึง 82 ชนิด  หรือที่เรียกว่า Gypenosides และเจียวกู่หลานยังเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยาได้เหมือนกับโสมแต่ดีกว่าโสม  เนื่องจากโสมมีสาร Saponins ที่เรียกว่า Gypenosides อยู่เพียง 28 ชนิด ในขณะที่เจียวกู่หลานนั้นมี Gypenosides อยู่ถึง 82 ชนิด และสาร Gypenosides ที่พบในเจียวกู่หลานจะมีอยู่ 4 ชนิดที่เหมือนกับโสม และมีอีก 17 ชนิด ที่มีชนิดคล้ายกับโสม นอกจากนี้ยังมีปริมาณของGypenosides ที่มีอยู่ในเจียวกู่หลานก็ยังมีมากกว่าและมีคุณชนิดทางยาที่ดีกว่า Gypenosides
ที่พบได้ในโสม  อีกทั้งเจียวกู่หลานยังไม่มีพิษและไม่มีอาการแพ้ที่เกิดขึ้นจากการบริโภคอีกด้วย
.        LIM และคณะ ได้ทำการทดลองนำเจียวกู่หลานแห้งไปสกัดด้วยน้ำ จากนั้นนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูขาวทดลอง พบว่าสามารถต้านการอักเสบลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูได้
.        การให้สารสกัดด้วยน้ำจากส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นเจียวกู่หลาน ในขนาด 1 กรัม ต่อกิโลกรัม (คิดตามน้ำหนักของเจียวกู่หลานที่นำมาสกัด) แก่หนูขาวทดลองโดยการฉีดเข้าทางช่องท้อง พบว่าอาจป้องกันตับจากการเกิดสารพิษจาก CCI และยังมีรายงานว่า Gypenosides มีฤทธิ์ในการรักษาภาวะ การเกิดพิษเรื้อรังที่ตับ ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วย CCI4 และลดการเกิด Fibrosis ด้วย โดยพบว่า Gypenosides จะลดการเพิ่มของ SGOT, SGPT activities ในหนูขาว ซึ่งตับถูกทำลายด้วย CCI4 เป็นเวลานานถึง 8 สัปดาห์ และยังทำให้{ปริมาณ|จำนวน|คุณภาพ|ของคอลลาเจนลดลง 33%
การศึกษาทางพิษวิทยาของเจียวกู่หลาน    ความเป็นพิษได้ทำการทดสอบความเป็นพิษกับหนูขาว โดยให้กินสารสกัดปัญจขันธ์ในขนาด 6, 30 , 150 และ 750 มก./กก./วัน  นาน 6 เดือน ไม่พบอาการผิดปกติใดๆ ค่าชีวเคมีในเลือดปกติ อวัยวะภายในเป็นปกติ ไม่พบพิษหรือผลข้างเคียงใดๆ และมีการทดลองความเป็นพิษกับคน โดยรับประทานสารสกัดเจียวกู่หลาน(ปัญจขันธ์)แคปซูลประกอบด้วยสาร Gypenoside 40 มก./แคปซูล ครั้งละ 2 เม็ดหลังอาหารเช้า - เย็น ติดต่อกันนาน 2 เดือน พบว่า ไม่พบอาการไม่ปกติใดๆ ในอาสาสมัคร อย่างรัย การค้นหาความเป็นพิษของปัญจขันธ์ อาจสรุปได้ว่าค่อนช้างปลอดภัย เพราะไม่พบสารพิษและอาการข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตามควรมีหาทางคลินิกเพิ่มเติม
ข้อควรแนะนำ  ข้อควรระวังของเจียวกู่หลาน
            จากจดหมายข่าวผลิตใบของกรมวิชาการเกษตร ได้เขียนถึงการดื่มชาเจียวกู่หลานไว้ว่า ห้ามดื่มติดต่อกันเกิน 7 วัน เมื่อดื่มครบ 7 วันแล้ว ก็ให้หยุดกินประมาณ 1 - 2 วัน แล้วค่อยเริ่มต้นกินใหม่  และถ้าหากมีอาการไม่ปกติ เช่น ปวดศีรษะ  มึนงง  ตาพร่าลาย ก็ให้หยุดกินช่นกัน  ส่วนขนาดที่รับประทานนั้นให้ดูที่ฉลาก และสามารถชงซ้ำได้ 1 - 2 รอบ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใส่ลงไปหรือจนกว่าน้ำชาและเจือจางลง  เมื่อใช้เสร็จแล้วก็อย่าลืมปิดซองให้สนิท หรือจะใส่ในภาชนะอื่นที่เป็นภาชนะสุญญากาศก็ได้  (ห้ามเก็บในตู้เย็น  เพราะในชาอาจขึ้นราได้) สตรีมีครรภ์ควรงดทาน 1 เดือน ก่อนคลอด และ ให้นมบุตร  ผู้ที่ฟอกไต คนผอมแห้งไม่ควรดื่มชาเจียวกู่หลาน
 

20
ถิ่นกำเนิดเจียวกูหลาน[/url] [/b]
   มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย  ในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาที่มีความสูงระดับ 3 เป็นป่าเขาที่มีความสูงระดับ 300 - 3200 เมตร  จากระดับน้ำทะเล    ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน  และมีการเพาะพันธ์กระจายไปยังประเทศเกาหลี   ญี่ปุ่น    และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้    ในประเทศไทย พบตามธรรมชาติที่ดอยอินทนนท์ และมีการนำมาปลูกทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ปัจจุบันมีเกษตรกรเพาะปลูกเป็นที่จังหวัดเชียงใหม่  เชียงราย  ชัยภูมิ  จันทบุรีและนครราชสีมา

ลักษณะทั่วไปของเจียวกูหลาน
    แบ่งได้เป็น 2 สายพันธุ์  คือ

  • เจียวกู่หลานป่าเป็นพืชที่ขึ้นตามธรรมชาติ รสชาติที่ได้จะมีรสขม
  • เจียวกู่หลานบ้าน คือ  เพาะตามแหล่งปลูกทั่วไป  รสชาติจะมีรสขมปนหวาน

    ต้นเจียวกู่หลาน จัดอยู่พรรณไม้ล้มลุกตระกูลหญ้าแบบเถาเลื้อย  ยาว ประมาณ 1 - 150 เซนติเมตร  มีรากอยู่ใต้ดินเป็นรากเลื้อย เส้นเล็ก  ยาวประมาณ 50 - 100 ซม. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรากประมาณ  1  ซม.  ลำต้นเป็นข้อๆ มีมือเกาะตามข้อ  มีขนบางๆ เล็กน้อย เลื้อยไปตามพื้นดินหรือเลื้อยพันกับพืชชนิดอื่นๆ
    ใบเจียวกู่หลาน ใบออกเรียงสลับ มักเรียบแบบขนนก  กิ่งหนึ่งมีใบประมาณ 3 - 7 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปกลมรีหรือรูปไข่  ปลายใบแหลม  โคนใบกลม  ส่วนขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยเล็กน้อย  ตรงกลางของใบเจียวกู่หลานจะยาวได้ประมาณ 4 - 8ซม.  และกว้างประมาณ   2 - 3 เซนติเมตร  เส้นใบล่างมีขนสั้นปกคลุม ใบ 2 ข้าง มักเรียงคู่กันเล็กกว่าใบตรงกลาง
    ดอกเจียวกู่หลาน ออกดอกเป็นกระจุกมีสีเหลืองเขียว  โดยจะออกตามซอกใบ  ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกัน กลีบดอกเป็นเส้น  ปลายแหลมยาว ได้ประมาณ 1มล. ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน มีเกสรเพศเมีย 3 อัน
    ผลเจียวกู่หลาน  ประเภทของผลเป็นรูปทรงกลม  ผลอ่อนเป็นสีเขียว  ส่วนผลแก่เป็นสีเขียวออกดำ  ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 - 8 มิลลิเมตร ในลูกมีเมล็ด ลักษณะเป็นรูปกลมรี  ยาวได้ประมาณ  4  มิลลิเมตร เมล็ดจะเป็นเส้นย่น
     
    การขยายพันธุ์ของจียวกูหลาน
                พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า

  • พันธุ์อ่างขาง เป็นพันธุ์ที่ขยายพันธู์และเพาะโดยมูลนิธิโครงการหลวงอ่างขาง
  • พันธุ์จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยภาคเอกชนนำมาเพาะปลูกขยายพันธุ์และจำหน่าย
การเตรียมพันธุ์เจียวกูหลาน

  • การเพาะปลูกเมล็ด ใช้วัสดุปลูกเป็นทรายละเอียด โดยโรยเมล็ดในแปลงปลูก จากนั้น 8 - 14 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก  ทำการย้ายกล้าเมื่อมีใบจริง 2 - 3 ใบ ควรเพาะปลูกเมล็ดในช่วงอากาศเย็น แต่ไม่ควรเพาะปลูกเมล็ดในช่วงฝนตกชุก หรือหยอดเมล็ด 2 - 3 ใบ ลงในหลุมเพาะปลูกโดยตรง
  • การปักชำ ใช้เถาที่เจริญเติบโตเต็มที่ ไม่อ่อนหรือไม่แก่เกินไป  ตัดเป็นท่อนๆ ให้มี 3 - 4 ข้อ  ริดใบที่อยู่ 2 ข้อล่างออก  ปักลงพื้นดินให้ลึก 1 - 2 ข้อ โดยปักให้เอียงเล็กน้อย  ทำมุมประมาณ  45  องศา เอนส่วนปลายไปทางทิศตะวันตก  เมื่อรากงอกและยอดยางประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร  ให้ย้ายลงแปลงปลูก  โดยรากจะงอกประมาณ 7 วันหลังปักชำ
  • การขยายพันธุ์โดยใช้ลำต้นใต้พื้นดิน โดยขุดลำต้นใต้พื้นดินขึ้นมา ตัดเป็นท่อนๆ ขนาด 5 ซม. ในแต่ละท่อนมี 1 - 2 ข้อ ขุดหลุมเป็นแนว ใช้ 1 ท่อนพันธุ์ต่อหลุม
  • การเก็บเมล็ดพันธุ์ โดยเก็บเกี่ยวผลแก่จัดที่มีลักษณะสมบูรณ์  ประมาณปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน  นำไปทำให้แห้ง  เอาเปลือกออก  เก็บเมล็ดในที่เย็น แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี
สภาพพื้นที่ปลูก 

  • เจริญเติบโตได้ทั้งบนเขาและที่ราบ ในระดับความสูงจากน้ำทะเล 300 - 3200 เมตร
  • สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม อุณหภูมิ  16 - 28 องศาเซลเซียส  ความชื้นสัมพันธ์ที่เหมาะสมมากกว่าร้อยละ 80
  • ลักษณะพื้นดิน ควรเป็นดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนหรือด่างอ่อน มีการระบายน้ำได้ดี  ความชื้นในดินไม่สูงเกินไป แต่หน้าดินต้องสามารถอุ้มน้ำได้ดี
  • ความต้องการแสง ขอบที่ร่ม  อากาศชื้น  ไม่ทนความแห้งแล้ง  มีปริมาณแสงร้อยละ 40 - 60


 

หน้า: 1 [2]