แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - guupost

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 56
199


สารเสพติดไม่ว่าจะเป็นยาบ้า เฮโรอีน ยาอี ยาไอซ์ นับเป็นสารให้โทษต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งยังเป็นสารต้องห้ามทางกฎหมายอีกด้วย วิธีตรวจสารเสพติดในร่างกายตามมาตรฐานสากลมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีการตรวจยังไง แม่นยำเพียงใด เราจะอธิบายให้ทราบกัน

รูปแบบการตรวจสารเสพติด
1.การตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะเป็นวิธีพื้นฐานที่ดีที่สุดและเป็นที่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมในระดับสากล สาเหตุที่ใช้วิธีการตรวจปัสสาวะเนื่องจากว่าเมื่อสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะด้วยการกิน ฉีด สูบ หรือสูดดมควัน สารเสพติดเหล่านั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและอยู่ในเลือดประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นจะถูกขับออกทางปัสสาวะและจะตกค้างอยู่ในปัสสาวะชั่วขณะหนึ่ง ระยะเวลาขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ ความถี่ ชนิดของสารเสพติด รวมทั้งสภาวะร่างกายของแต่ละคน

- หากเสพไม่ประจำ สามารถตรวจพบได้หลังการเสพ 1-3 วัน
- ผู้เสพประจำ จะมีโอกาสตรวจพบได้หลังเสพยาเสพติด 2-6 วัน
- ผู้เสพเรื้อรังอาจตรวจพบได้หลังจากการเสพถึง 2-3 สัปดาห์

ขั้นตอนการตรวจสารเสพติดทางปัสสาวะมีดังนี้
- การตรวจคัดกรองขั้นต้น (Screening  Test) เป็นการตรวจหาว่า มีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสารชนิดใด วิธีการตรวจคัดกรองขั้นต้นมีอยู่ 2 หลักการคือ
   *หลักการคัลเลอร์เทสต์ (Color test) หรือที่คุ้นเคยกับคำว่า “ฉี่สีม่วง” หรือ “ปัสสาวะสีม่วง” ปัจจุบันไม่นิยมนำมาใช้ตรวจแล้ว
   *หลักการทางอิมมูโนแอสเสย์ (Immunoassay) แบ่งเป็นที่ต้องใช้เครื่องอัตโนมัติในการตรวจและใช้ชุดตรวจสำเร็จรูป (Test kits) ซึ่งจะแสดงผลเป็นบวก (positive) และลบ(Negative)

- การตรวจยืนยัน (Confirmation Test) โดยใช้หลักการทางโครมาโตรกราฟฟี (Chromatography) ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจขั้นสูง สามารถตรวจพบสารเสพติดที่มีปริมาณน้อยได้และสามารถแยกแยะชนิด ระบุประเภทของสารเสพติดได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ เป็นมาตรฐานในระดับสากล นิยมนำมาใช้ตรวจคัดกรองในผู้ต้องสงสัยและตรวจประเมินในผู้ที่ต้องการรับการบำบัดสารเสพติดได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ในรายที่ตรวจคัดกรองขั้นต้นแล้วพบว่า ผลเป็นบวก หรือมีข้อสงสัยว่า มีสารเสพติดในร่างกายจะต้องทำการตรวจยืนยันในขั้นต่อไป

2.การตรวจสารเสพติดทางเส้นผม หรือขน
เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีความแม่นยำอย่างมากและเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับสากล จุดเด่นของการตรวจด้วยเส้นผม หรือเส้นขนคือ สามารถตรวจย้อนหลังได้ยาวนาน แยกประเภทของยาเสพติดที่ใช้ได้ และหาช่วงเวลาการใช้สารเสพติดได้ด้วย

สาเหตุที่เส้นผม หรือเส้นขนสามารถนำมาตรวจสารเสพติดได้นั้น เนื่องมาจากเมื่อสารเสพติดเข้าสู่กระแสเลือด เลือดจะไหลเวียนไปทั่วร่างกายรวมทั้งเส้นผมและเส้นขนด้วย สารเสพติดเหล่านั้นจะเกาะอยู่ตามโคนเส้นผม หรือเส้นขนนั่นเอง โดยความยาวของเส้นผมที่ต่างกันสามารถตรวจสอบประวัติการเสพที่ต่างกันด้วย

- เส้นผมยาว 1 เซนติเมตร สามารถตรวจสอบการใช้ยาเสพติดย้อนหลังได้ราว 1 เดือน
- เส้นผมยาว 3 ซม. สามารถตรวจสอบการใช้ยาเสพติดย้อนหลังได้ราวๆ 3 เดือน

นอกจากนี้วิธีตรวจสารเสพติดด้วยเส้นผมและขนยังรวดเร็วมากโดยใช้เวลาแค่ 30 นาทีก็สามารถทราบผลโดยละเอียดได้ทันที ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทดลองและทำวิจัยจากกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนรวมถึงจากกลุ่มพนักงานประมาณ 400 คน จากโรงงานแห่งหนึ่ง ผลจากการตรวจปัสสาวะพบผู้ที่มีการใช้สารเสพติดเพียง 1 รายเท่านั้น แต่เมื่อตรวจสารเสพติดจากเส้นผมกลับพบว่า มีผู้ใช้สารเสพติดถึง 40 คน นับได้ว่า การตรวจจากเส้นผมนี้สามารถตรวจพบสารเสพติดได้ 100 เปอร์เซ็นต์

ติดตามอ่านเนื้อหาสาระดี ๆ กันต่อได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/narcotic-test

200


สิ่งสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่อยากตรวจสุขภาพประจำปีคือคิดว่า ยังอายุไม่มาก ร่างกายแข็งแรง ไม่มีความผิดปกติใดๆ หรือมีข้อบ่งชี้ของโรคภัยใดๆ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพก็ได้ ส่วนบางท่านก็กลัวว่า ตรวจไปแล้วจะเจอโรคภัยจะสร้างความกังวลใจให้ตนเองและคนรอบข้างเปล่าๆ

แต่รู้ไหมว่า การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประโยชน์อย่างมากเนื่องด้วยจะทำให้รู้ว่า คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคใดบ้าง จะได้วางแผนการดำเนินชีวิตได้เหมาะสม หรือหากตรวจพบสัญญาณของโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกก็จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการรักษา ช่วยลดระดับความรุนแรงของโรคภัย หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ลงได้ ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้จนโรคภัยลุกลาม รักษาไม่ทัน ถึงเวลานั้นนอกจากจะต้องเปลืองเวลาเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เสียค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว ยังอาจต้องเสียความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ในครอบครัวไปด้วยก็ได้

ตรวจสุขภาพประจำปีคืออะไร?
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการตรวจคัดกรองโรคภัยไข้เจ็บเบื้องต้นในผู้ที่ยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ หรืออาจมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย เพื่อประเมินว่า คุณ ๆมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน หรือค้นหาโรคซึ่งอาจแฝงอยู่ในร่างกายแต่ยังไม่ปรากฏอาการผิดปกติ อย่างเช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

ทั้งนี้การตรวจสุขภาพที่ดีนั้นต้องเป็นการตรวจที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาด้านสุขภาพที่แท้จริงของผู้รับการตรวจ ไม่ใช่มุ่งแต่ตรวจหาโรคภัย การตรวจที่ดีจะต้องมีการชี้แนะให้มีการส่งเสริมสุขภาพ ต้องไม่สร้างความทุกข์ทางใจ และต้องไม่ทำให้ผู้รับการตรวจเกิดความประมาท หรือชะล่าใจเมื่อตรวจไม่พบโรค
การตรวจสุขภาพตามหลักสากลจะประกอบด้วยหลัก 4 ประการคือ
- การคัดกรองเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคภัย
- การให้คำแนะนำ
- การให้วัคซีนป้องกันโรค
- การให้สาร หรือยาเพื่อป้องกันโรค

อายุเท่าไรต้องเริ่มตรวจสุขภาพประจำปี และควรต้องตรวจอะไรบ้าง?
หลายท่านอาจคิดว่า การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องของคนแก่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปก็สามารถเริ่มเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ มีภาวะน้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน บุคคลในครอบครัวมีโรคประจำตัว (เบาหวาน มะเร็ง) หรือมีอาการผิดปกติใดๆ ในร่างกาย ก็อาจไม่จำเป็นต้องรีบตรวจสุขภาพประจำปีตั้งแต่อายุ 15 ปี หรือหากจะเริ่มตรวจอายุ 15 ปี แล้วเว้นระยะไปสัก 2-5 ปี จึงค่อยตรวจซ้ำก็ได้

การคัดกรองมะเร็งต่างควรทำทุกปีในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี และควรทำทุก 3 ปีในผู้ที่อายุมากกว่า 20ปี

ติดตามอ่านเนื้อหาดี ๆ กันต่อได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/annual-health-checkup

201


อาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา เป็นผื่นแดง คัน ฯลฯ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า คุณกำลังแพ้อะไรสักอย่าง แน่นอนว่า วิธีรักษาและป้องกันโรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือ “การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้

แต่ปัญหาสำคัญคือ หลาย ๆ ท่านไม่รู้ว่า อาการแพ้ที่ตัวเองเป็นบ่อยๆ นั้นเกิดจากอะไรกันแน่ หากต้องการรู้สาเหตุการแพ้ที่แน่ชัดก็ควรเข้ารับ การตรวจภูมิแพ้ หรือ การทดสอบภูมิแพ้ เพื่อที่จะป้องกันอาการแพ้ได้อย่างตรงจุด

สาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย เกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือแพ้การสัมผัสสารต่างๆ โดยอาการแพ้ไรฝุ่นเป็นสาเหตุหลักของการแพ้มากถึง 70-80% ของคนทั่วไป

แต่ไม่ว่าจะแพ้อะไรก็ตามก็ล้วนเกิดจากกลไกเดียวกันทั้งสิ้นคือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจว่า สารก่อภูมิแพ้นั้นๆ เป็นอันตรายจึงปล่อยสารฮีสตามีนออกมาเพื่อต่อต้าน และทำให้เกิดอาการแพ้ตามมานั่นเอง

ชนิดของสารก่อภูมิแพ้
สารก่อภูมิแพ้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้
1. สารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดม
ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ อาทิ เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น รังแคสัตว์
เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เข้าไป มักจะทำให้มีอาการคัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย คันตา และมีเสมหะไหลลงคอ ส่วนมากมักจะมีอาการแบบเป็นๆ หายๆ

2. สารก่อภูมิแพ้จากอาหารที่รับประทาน
ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ในอาหารที่พบมาก ได้แก่ อาหารทะเล ถั่ว นมวัว นมถั่วเหลือง หรือไข่

อาการแพ้อาหารจะสังเกตได้จากอาการชา หรือคันที่ปาก หู คอ หรือดวงตา มีผื่นคล้ายลมพิษ บวมตามใบหน้า ปาก ลิ้น คอ กลืนอาหารลำบาก หายใจติดขัด เวียนศีรษะ อาเจียน หากมีการแพ้รุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

แต่บางท่านก็มี อาการภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารบางอย่างได้ตามปกติทำให้มักเกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียตามมา ซึ่งอาจสับสนกับการแพ้สารก่อภูมิแพ้จากอาหาร (Food allergy) จริงๆ ได้

3. สารก่อภูมิแพ้ที่สัมผัสผิวหนัง
ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ อย่างเช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว ยางจากผักผลไม้ หรือต้นไม้

ผู้ป่วยจะมีอาการคัน เกิดตุ่มนูนลมพิษ หรือมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้

ความสำคัญของการตรวจภูมิแพ้
แม้ว่า คนไข้โรคภูมิแพ้หลายคนจะสามารถปรับตัว และเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับอาการแพ้ที่เกิดขึ้นได้ หรือบางคนต้องกินยาแก้แพ้เป็นประจำ แต่การตรวจภูมิแพ้ ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ

การตรวจภูมิแพ้จะทำให้รู้ว่า สารก่อภูมิแพ้สำหรับตัวคุณคืออะไรกันแน่ อีกทั้งยังสามารถวัดระดับความรุนแรงของการแพ้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้อย่างรุนแรง หรือการแพ้แฝง เพื่อที่จะได้สามารถหลีกเลี่ยงสารนั้น หรือระมัดระวังสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ ได้

นอกจากนี้ผู้ชำนาญพิเศษด้านภูมิแพ้ยังสามารถให้คำแนะนำแก่ท่านได้ ซึ่งอาจช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้ปกติเกือบเทียบเท่าคนที่ไม่เป็นโรคภูมิแพ้เลยทีเดียว

เข้าอ่านเนื้อหาดี ๆ กันต่อได้ที่่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/check-allergy

202


การถอนฟันอาจสร้างความวิตกกังวลใจแก่ใครหลายๆ คน โดยเฉพาะหากฟันซี่นั้นเป็นฟันแท้ หากถอนออกไปเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นฟันหลอทันที อย่างไรก็ตาม การรักษาทางทันตกรรมบางอย่าง อาทิเช่น การจัดฟัน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถอนฟันไปไม่ได้

เนื้อหานี้จะช่วยให้คุณทราบทุกขั้นตอนของการถอนฟัน ไม่ว่าจะถอนฟันเนื่องมาจากฟันผุ หรือถอนฟันเพื่อจัดฟัน เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ วิธีปฏิบัติตัวหลังถอนฟันเพื่อให้แผลหายดี ไม่มีอาการแทรกซ้อน รวมไปถึงแนะนำการใช้สิทธิ์ประกันสังคมให้ทราบ

การถอนฟันเนื่องมาจากฟันผุกับจัดฟัน เหมือนกันหรือเปล่า
การถอนฟันเพราะว่าฟันผุกับถอนฟันเพื่อจัดฟัน มีสาเหตุและแนวทางการรักษาต่างกัน ดังนี้
ถอนฟันเพราะฟันผุ
ปกติแนวทางการรักษาสำหรับฟันผุที่ยังไม่ทะลุโพรงประสาทฟันคือ การอุดฟัน แต่การรักษาสำหรับฟันผุที่ทะลุโพรงประสาทฟันแล้วมี 2 ทางเลือก
ทางเลือกที่หนึ่งคือ การรักษารากฟันร่วมกับการใส่เดือยฟัน หรือครอบฟัน ส่วนอีกทางเลือกคือ การถอนฟันซี่ดังกล่าวออกไป

ถอนฟันเพราะจัดฟัน
หมอฟันจะพิจารณาจากหลายปัจจัย อาทิเช่น ลักษณะการซ้อนเกของฟัน ลักษณะการสบฟัน การเลือกฟันให้เป็นหลักยึดสำหรับการเคลื่อนฟันซี่อื่นๆ ความสมมาตรของฟันและกระดูกขากรรไกรซ้าย-ขวา ความอูมนูน-ความยุบของใบหน้าเมื่อมองจากด้านข้าง

นอกจากนี้ยังพิจารณาลักษณะโครงสร้างใบหน้าของผู้จัดฟันประกอบ เช่น จมูก คาง โหนกแก้ม หน้าผาก ระนาบความเอียงของระดับสายตา

เพราะฉะนั้นการเลือกซี่ฟันและจำนวนที่จะถอนจึงแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย แม้แต่ในผู้ป่วยรายเดียวกัน การถอนฟันอาจไม่ใช่ตำแหน่งที่สมมาตรกันระหว่างซ้ายขวา หรือบนล่าง

นอกจากในผู้ป่วยรายที่ต้องการจัดฟัน ซึ่งมีทั้งซี่ฟันผุและฟันซี่ที่ทันตแพทย์พิจารณาแล้วว่า ต้องถอนเพื่อการจัดฟัน ฟันทั้ง 2 ซี่นั้นอาจเป็นคนละซี่กัน การรักษาของแต่ละซี่ก็จะไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แต่หากบังเอิญเป็นซี่เดียวกันก็สามารถถอนซี่ดังกล่าวโดยไม่ต้องพิจารณาอุด หรือรักษารากฟัน

สำหรับผู้มีโรคประจำตัว อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องมีใบส่งตัวจากหมอเจ้าของไข้มาด้วย หมอฟันถึงจะสามารถถอนฟันให้ได้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยนั่นเอง

ตำแหน่งที่จะถอนฟันทำให้มีวิธีถอนต่างกัน หรือไม่
การถอนฟันแต่ละซี่มีหลักการเหมือนกัน ดังนี้
- ทันตแพทย์จะซักประวัติด้านสุขภาพและการแพ้ยาก่อน
- ถ่ายภาพรังสี (x-ray) ประกอบการวินิจฉัยสรุปสาเหตุที่ต้องถอนฟันและให้เห็นถึงความยาว รูปร่าง และตำแหน่งของฟันและกระดูกบริเวณรอบๆ ฟัน
- หมอฟันจะเตรียมบริเวณที่ถอนฟัน ได้แก่ ฉีดยาชา ทำความสะอาดเหงือกและฟันข้างเคียง
- เมื่อบริเวณที่จะถอนฟันเกิดอาการชาแล้ว หมอฟันจะใช้เครื่องมือที่ทำให้ฟันหลวมจากเหงือก จากนั้นจะถอนฟันออกมาด้วยคีมถอนฟัน ในบางรายทันตแพทย์อาจต้องปรับสภาพกระดูกที่อยู่ด้านล่างให้มีความเรียบเนียนขึ้น
- เมื่อถอนฟันเสร็จสิ้นแล้ว หมอฟันจะปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ บางกรณีถ้าแผลกว้าง หรือแผลลึกมาก ดังเช่น การถอนฟันคุด ทันตแพทย์อาจต้องเย็บแผลเพื่อให้เลือดหยุดไหลและแผลปิดสนิท สมานตัวกันเร็วยิ่งขึ้น
- ทันตแพทย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและการดูแลแผลที่เกิดจากการถอนฟันรวมทั้งการดูแลทำความสะอาด

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งฟันที่จะถอนแต่ละตำแหน่งที่แตกต่างกันจะทำให้มีรายละเอียดของขั้นตอนการถอนต่างกัน อาทิเช่น การถอนฟันหน้า ฟันเขี้ยว หรือฟันกรามน้อยที่มีรากเดียวจะใช้การโยกและหมุนซี่ฟัน

ส่วนการถอนฟันกรามน้อยที่มีหลายราก ฟันกรามใหญ่ หรือฟันคุด จะใช้การโยก การดันฟันไปยังช่องว่างด้านหลังของขากรรไกร หรือการตัดฟันเป็นชิ้นๆ ก่อนถอนออกจากขากรรไกร

นอกจากนี้การฉีดยาชาและลักษณะการชายังแตกต่างกันระหว่างขากรรไกรบนและล่าง รวมถึงต่างกันในระหว่างเด็กและผู้ใหญ่อีกด้วย

ติดตามเนื้อหาดี ๆ กันต่อได้ที่
Website : https://www.honestdocs.co/should-know-before-going-to-withdraw-teeth

203


ฟันคุดคือ ฟันที่ไม่สามารถโผล่พ้นเหงือกออกมาเรียงตัวกับฟันซี่อื่นๆ ได้ตามปกติ หรือเป็นฟันที่โผล่ขึ้นมาได้เพียงบางส่วน สาเหตุเนื่องจากมีฟัน เนื้อเยื่อ หรือกระดูกปิดขวางอยู่ ฟันซี่ที่มักพบว่า เป็นฟันคุดบ่อยๆ คือ ฟันกรามแท้ซี่ที่สามล่าง (lower third molar)

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วฟันซี่นี้จะโผล่พ้นเหงือกออกมาในช่วงอายุ 17–21 ปี นอกเหนือจากฟันกรามซี่นี้แล้วก็อาจพบได้ในฟันกรามซี่สุดท้าย ฟันกรามน้อย และเขี้ยว

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า มีฟันคุด?
จะรู้ได้จากการตรวจช่องปากว่า ฟันกรามแท้ซี่นี้โผล่พ้นเหงือกออกมาหรือยัง แต่หากฟันกรามยังฝังตัวอยู่ใต้เหงือก ต้องมีการเอ็กซเรย์ช่องปากเพื่อดูว่า มีฟันกรามแท้ซี่นี้ฝังคุดอยู่หรือไม่ บางครั้งการงอกของฟันคุดมักทำให้รู้สึกถึงแรงกด หรือปวดบริเวณหลังของฟันกรามแท้ซี่ที่ 2

ซึ่งหากมีอาการปวดในบริเวณดังกล่าวควรไปพบทันตแพทย์  เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยช่องปากและเอ็กซเรย์ก่อน จากนั้นจึงสามารถประเมินมุมของการงอกและระยะการเติบโตของฟันคุดเพื่อทำการรักษาต่อไป

ต้องถอนฟันคุดออกหรือไม่?
หากมีฟันคุดแล้วไม่ถอนออก อาจเกิดอันตรายได้ ได้แก่ อาการปวดฟันคุดตอนที่ฟันคุดกำลังขึ้นนั้นเกิดจากการที่เราทำความสะอาดเหงือกบริเวณนั้นได้ไม่ดีพอ อาการปวดฟันคุดนั้นอาจหยุดได้เป็นพักๆ

แต่หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลให้เหงือกบริเวณดังกล่าวอักเสบ บวมแดง และหากปล่อยให้อักเสบอย่างเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดหนองตามมาได้ในที่สุด

ฟันคุดยังทำให้เกิด ฟันซ้อนเก คือ ฟันคุดไปดันฟันซี่ข้างเคียง หรือกดบนเส้นประสาทที่อยู่ในขากรรไกรล่าง ทำให้เกิดฟันซ้อนเกได้

ถุงน้ำรอบฟันคุด  หมายความว่า ถุงน้ำจะทำให้ฟันเคลื่อนผิดไปจากตำแหน่งเดิม และละลายกระดูกรอบฟันซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อฟันและเหงือกรอบๆ ได้   และสุดท้าย  ฟันข้างเคียงผุ

หากฟันคุดซี่สุดท้ายขึ้นชนฟันกรามที่ติดกันมักทำให้เศษอาหารเข้าไปติดได้ง่าย เมื่อทำความสะอาดไม่ดีพอมักทำให้เกิดกลิ่นปากได้  กรณีเหล่านี้มีวิธีแก้ไขทางเดียวนั่นก็คือการถอนฟันคุดออก หรือผ่าตัดฟันคุดออก

อย่างไรก็ตาม ฟันคุดบางซี่อาจไม่ต้องถูกถอนออก หากหมอฟันประเมินแล้วว่า ฟันคุดซี่นี้สามารถงอกออกจากเหงือกได้ตามปกติเพียงแต่อาจต้องใช้เวลา

สัญญาณและอาการของฟันคุดที่ติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
การอักเสบของเหงือกที่คลุมฟันเป็นสาเหตุหลักที่ต้องทำการถอนฟันคุดออกอย่างเร่งด่วน และมักจะเกิดขึ้นเพราะฟันกรามไม่มีที่ว่างพอจะงอกออกมาจากเหงือกเต็มที่

การติดเชื้อที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้มีอาการแดง เหงือกที่ฟันคุดบวม มีกลิ่นปาก เจ็บปวด และมักกัดโดนฟันบ่อยครั้ง อีกทั้งบางกรณีก็อาจมีหนองออกจากบริเวณนั้นด้วย

บางครั้งการติดเชื้อก็ทำให้เนื้อเยื่อ เหงือก แก้ม หรือบริเวณโดยรอบของกรามข้างที่มีอาการบวมออก ซึ่งการบวมนี้จะทำให้เกิดแรงดันที่อาจลามไปยังหูจนก่อให้เกิดอาการปวดหูรุนแรงอีกด้วย

นอกจากนี้ในบางครั้งการติดเชื้อที่หู หรือไซนัสก็สามารถก่อให้เกิดอาการปวดลงฟันได้เช่นกัน ทำให้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำการตรวจร่างกายเพื่อมองหาสัญญาณต้องสงสัยของการติดเชื้อ

จะทำอย่างไรถ้าคุณเจ็บฟันคุดและไม่สามารถถอนออกได้ทันที?
หากมีอาการบวม ติดเชื้อ กลืนอาหารลำบาก มีกลิ่นปาก มีไข้ หรือรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก อาจเกิดจากเหงือกอักเสบเฉียบพลัน

สิ่งที่ต้องทำคือ การกลั้วปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ หรือน้ำยาบ้วนปากต้านเชื้อโรค การกินยาแก้ปวด จัดว่าเป็นวิธีการรักษาเฉพาะหน้าได้

แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ การไปพบทันตแพทย์โดยเร็วเพื่อตรวจวินิจฉัย ประเมินอาการแล้วให้การรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

การถอนฟันคุดทำอย่างไร?
เมื่อทันตแพทย์ตรวจและวินิจฉัยแล้วว่า คนไข้ต้องถอนฟันคุดออก ทันตแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่ในการถอนฟันเพื่อไม่ให้คนไข้รู้สึกเจ็บปวดขณะถอน

แต่หากฟันคุดอยู่ลึกลงไปใต้เนื้อเยื่อของเหงือกก็จำเป็นต้องมีการผ่าตัดขนาดเล็กขึ้นเพื่อให้นำฟันออกมาจากเบ้าฟันได้ หลังการถอนฟันแพทย์จะเย็บแผลที่ผ่าตัดด้วยไหมเย็บเพื่อเร่งการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อ

หลังผ่าตัด 3 วันจะนัดให้คนไข้กลับมาพบเพื่อตรวจดูแผล  และหลังผ่าตัดครบ 7 วัน หมอฟันจะนัดตัดไหมออก

ติดตามอ่านเนื้อหาดี ๆ ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/what-is-a-teeth-third

204


คนจำนวนมากจะมีฟันกรามทั้งหมด 4 ซี่ แต่ละซี่จะอยู่เป็นฟันซี่สุดท้ายของแต่ละข้างเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่มีช่องว่างเพียงพอ ส่งผลให้บางครั้งฟันกรามซี่ในสุดสามารถโผล่พ้นออกมาได้เพียงแค่บางส่วน หรือไม่สามารถโผล่พ้นออกมาได้เลย กรณีเช่นนี้จะเรียกกันว่า "ฟันคุด" หนึ่งในสาเหตุการปวดฟันและเหงือกอย่างรุนแรง บางรายถึงขั้นนอนไม่ได้ก็มี

ควรไปพบทันตแพทย์เมื่อไร?
โดยปกติแล้วหมอฟันจะเสนอแนะให้พบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน แต่ถ้าหากมีอาการเจ็บปวดเหงือกและฟันอย่างรุนแรง ท่านควรไปพบทันตแพทย์โดยเร็ว ทันตแพทย์จะตรวจฟันและให้คำแนะนำว่า ควรจัดการกับฟันเจ้าปัญหาเหล่านี้ยังไง

เมื่อพิจารณาแล้วว่า ท่านมีปัญหาฟันคุดและควรถอนออกจึงจะมีการถ่ายภาพเอกซเรย์ช่องปากเพื่อให้หมอฟันเห็นภาพตำแหน่งของฟันดังกล่าวได้อย่างชัดเจนขึ้น
เพราะเหตุใดจึงควรถอน หรือผ่าฟันคุดออก?
กรณีฟันกรามซี่สุดท้ายเกิดอาการคุด หรือไม่โผล่พ้นจากเหงือกโดยสมบูรณ์ซึ่งทำให้เกิดปัญหาช่องปากตามมาได้ เพราะว่าเกิดการหมักหมมของเศษอาหารและเชื้อโรคที่อยู่บนตัวฟันส่วนที่โผล่ออกมาจนเกิดคราบจุลินทรีย์ขึ้นส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังนี้
1. ฟันผุ มีสาเหตุมาจากจุลินทรีย์ย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกรด ทำลายชั้นเคลือบฟัน และเข้าไปทำลายชั้นเนื้อฟันด้วย หากปล่อยไว้จนรอยผุลึกเข้าไปถึงโพรงประสาทจะทำให้เกิดอาการปวดฟันอย่างรุนแรงได้ ยิ่งไปกว่านั้นฟันผุยังสามารถแพร่กระจายไปยังฟันที่อยู่ใกล้เคียงได้ด้วย
2. โรคเหงือก(หรือโรคปริทันต์อักเสบ) โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อคราบจุลินทรีย์ปล่อยสารพิษที่ก่อความระคายเคืองต่อเหงือกออกมาจนทำให้เหงือกแดง บวม และสร้างความเจ็บปวด โรคเหงือกยังส่งผลต่อฟันและกระดูกรอบฟันกรามซี่สุดท้ายได้เช่นกัน
3. เหงือกคลุมฟันอักเสบ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อคราบจุลินทรีย์ทำให้เนื้อเยื่ออ่อนรอบฟันเกิดการติดเชื้อ
4. เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ ภาวะติดเชื้อที่กระพุ้งแก้ม ลิ้น หรือลำคอ
5. ฝีที่ฟัน การสะสมของหนองที่อยู่ภายในฟันกราม หรือเนื้อเยื่อโดยรอบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
6. ซีสท์และเนื้องอก ภาวะนี้พบได้ยาก จะพบในกรณีที่ปล่อยให้เหงือกอักเสบและบวมออกจนกลายเป็นก้อนซีสต์ (การบวมเกิดจากการสะสมของของเหลว) ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และน้ำยาบ้วนปากที่มียาฆ่าเชื้อโรค หากปัญหาเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทันตแพทย์จะแนะนำให้คุณถอนฟันกรามซี่นั้นออก

วิธีถอนฟันคุด
หมอฟันเป็นผู้ดำเนินการถอนฟัน หรือหากจำเป็นจริงๆ ในบางกรณีหมอฟันอาจส่งให้ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมเป็นผู้รักษาให้

ก่อนเริ่มกระบวนการ หมอฟันจะฉีดยาระงับประสาทเฉพาะที่เพื่อให้พื้นที่โดยรอบฟันชาเสียก่อน ระหว่างการถอนฟัน คุณจะรู้สึกเพียงแรงดันจากการที่ทันตแพทย์พยายามดันฟันไปมาเพื่อทำให้กระดูกรอบฟันคลายตัว

ในบางกรณีอาจมีการผ่าเหงือกและอาจมีการตัดฟันของคุณออกเป็นเศษเล็กๆ ก่อนการถอนออกเรียกขั้นตอนนี้ว่า การผ่าฟันคุด นั่นเอง ระยะเวลาของการถอนฟันนั้นไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของตำแหน่งที่ัฟันคุดฝังตัวรวมถึงความพร้อมของแต่ละบุคคล ในบางกรณีอาจใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ขณะที่บางรายอาจต้องใช้เวลามากกว่า 20 นาทีก็เป็นได้
หลังจากที่ทันตแพทย์ถอนฟันกรามออก คุณจะมีอาการบวมและรู้สึกไม่สบายทั้งภายในและภายนอกช่องปากในช่วง 1-3 วันแรก และบางรายอาจยาวนานเป็นอาทิตย์ก็ได้

ภาวะข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับกระบวนการผ่าตัดอื่นๆ การถอนฟันกรามซี่สุดท้ายมีความเสี่ยงมากมายรวมถึงการติดเชื้อ หรือการฟื้นตัวที่ล่าช้า ทั้งสองภาวะนี้มักจะเกิดขึ้นหากคุณสูบบุหรี่ระหว่างอยู่ในช่วงพักฟื้น

ภาวะแทรกซ้อนอีกประการที่เป็นไปได้คือ “กระดูกเบ้าฟันแห้ง” ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกปวดบริเวณเหงือก หรือกราม บางกรณีก็อาจมีกลิ่น หรือรสแปลกๆ ออกมาจากเบ้าฟันนั้น ภาวะกระดูกเบ้าฟันแห้งมักจะเกิดขึ้นหากท่านไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการถอนฟันที่ทันตแพทย์ชี้แจงไว้

อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะส่งผลให้เส้นประสาทเสียหาย ซึ่งก่อให้เกิดความเจ็บปวด คัน หรือชาที่ลิ้น ริมฝีปากล่าง คาง และฟันกับเหงือกชั่วขณะ แต่ในบางกรณีภาวะนี้ก็สามารถเกิดขึ้นถาวรได้

อ่านเนื้อหาดี ๆ เพิ่มเติม : ฟันคุดคืออะไร จะรู้อย่างไรว่ามีฟันคุด กันต่อได้ที่
Website : https://www.honestdocs.co/tooth-extraction

205


การจัดฟันเป็นหนึ่งในวิธีรักษาทางทันตกรรมซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก อย่างเช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันไม่สบกัน ได้แล้ว การจัดฟันยังช่วยปรับโครงหน้าของผู้จัดฟันให้เข้ารูปได้ด้วย ฉะนั้นการจัดฟันจึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้

การจัดฟันคืออะไร
การจัดฟันเป็นวิธีช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่มีการเรียงตัวผิดปกติ ไม่สมดุล ให้เรียงตัวกันอย่างเหมาะสม สบฟันได้ตามปกติ รวมทั้งตำแหน่งขากรรไกรมีความเหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้นการจัดฟันยังเป็นการป้องกันความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับช่องปากในอนาคตได้ด้วย

การจัดฟันเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของฟันด้วยการใช้เครื่องมือภายนอกและภายในช่องปาก เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการปรับแต่งโครงสร้างของฟันใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปกติแล้วการเคลื่อนตัวของฟันจะมีอัตรา 1 มม. ต่อ 1 เดือน

ทำไมต้องจัดฟัน
เพราะว่าฟันของแต่ละคนมีขนาด รูปร่าง และการเรียงตัวที่แตกต่างกัน โดยมีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด บางทีฟันอาจเรียงตัวไม่เหมาะสมจนเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก ได้แก่ ทำความสะอาดฟันยุ่งยาก มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยว เป็นต้น การจัดฟันจะช่วยทำให้สุขภาพช่องปากดีขึ้น ช่วยให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดฟันผุ หรือโรคเหงือกได้ด้วย

ยิ่งไปกว่านี้การจัดฟันยังช่วยแก้ปัญหาช่องปากอื่นๆ ได้อีก ดังเช่น เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่ หรือช่วยในเรื่องภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยหมอฟันจะใส่เครื่องมือในช่องปากเพื่อให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นและไม่ถูกอุดกั้นขณะหลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้น หรือเนื้อเยื่อในลำคอหย่อนลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ

ใครควรจัดฟันบ้าง?
ผู้ที่มีปัญหาฟันเก ฟันซ้อน หรือฟันยื่นจนไม่สบกัน ปัญหาเหล่านี้จะทำให้ฟันสึกกร่อน เสียหาย หรืออาจทำร้ายกล้ามเนื้อกรามได้ ในบางกรณีความผิดปกติดังกล่าวอาจพัฒนาจนส่งผลกระทบต่อรูปร่างของใบหน้า แต่ทั้งนี้ต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย โดยประเมินจากประวัติการรักษาทางการแพทย์ หรือทันตกรรม การตรวจในคลินิก แบบฟันของบุคคลคนนั้น และฟิล์มเอ็กซเรย์

ปัญหาของฟันที่ทำให้ต้องมีการจัดฟัน
- ฟันหน้ายื่น เป็นสาเหตุที่พบเห็นได้มากที่สุด
- ฟันซ้อน มักเกิดกับผู้ที่มีโครงกรามแคบมักทำให้พื้นที่ในช่องปากไม่กว้างพอสำหรับฟัน ส่งผลให้ฟันภายในช่องปากซ้อนทับกัน
- ฟันไม่สมมาตรกัน บางคนมีจุดศูนย์กลางของฟันบนและฟันล่างไม่ตรงกันทำให้ฟันทั้งสองแถวไม่สามารถสบกันได้สมบูรณ์จนทำให้ดูเหมือนฟันเก และมีปัญหาด้านการบดเคี้ยวอาหาร
- ฟันสบลึก ฟันแถวบนเลยหน้าฟันกรามมากเกินไปจนบังฟันล่างมิด
- ฟันสบกลับ ฟันแถวบนสบอยู่ข้างหลังฟันล่าง
- ฟันสบเปิด คือ การที่ฟันบนและฟันล่างไม่สบกันแม้จะปิดปากแล้ว กรณีนี้มักเกิดมาจากการที่เด็กดูดหัวแม่มือตัวเองมาเป็นเวลานาน ๆ
- ฟันคุด เป็นฟันแท้ที่ไม่งอกออกมา หรืออยู่ในตำแหน่งผิดที่ผิดทาง หากงอกขึ้นมาอาจส่งผลกระทบต่อฟันซี่อื่นๆ ได้

ติดตามอ่านเนื้อหาเรื่อง จัดฟัน ต่อได้ที่ Website : https://www.honestdocs.co/orthodontics

206
รับผลิตยูนิฟอร์ม เสื้อโปโล เสื้อแจ็คเก็ต เสื้อคอกลม เสื้อเชิ๊ต เสื้อคอวี  เสื้อชอป ตามออเดอร์
รับผลิตยูนิฟอร์มมีเนื้อผ้าหลากหลายชนิดให้เลือก

กลุ่มผ้าสำหรับเสื้อโปโล # CVC , Cflex ,TC , Hybrid , Syntrel, Drytech ,Drytouch ,TK Micro ,Tcott etc.  มีสีให้เลือกมากมาย  เสื้อโปโล รับผลิตขั้นต่ำ 60 ตัว ต่อแบบ/ต่อสี

เสื้อแจ็คเก็ต  ผ้า Cotton , Micro Fiber , Micro peach , Taslon , polyester , ผ้าเกล็ดปลา , ผ้าขูดขน  etc.  มีสีให้เลือกมากมาย และ รับผลิตขั้นต่ำ 100 ตัว

เสื้อคอกลม/คอวี  ผ้า Cotton 32 , Syntrel , Poly ,etc. มีสีให้เลือกมากมายหลากหลายสี  รับผลิตขั้นต่ำ 100 ตัว

เสื้อShirt แบบมาตรฐาน ชาย- หญิง  มีแพทเทิร์น ทั้งแบบมาตรฐานและ Slimfitch  มีเนื้อผ้าให้เลือกหลายประเภท  รับผลิตขั้นต่ำ 200 ตัว

เสื้อ workshop ผลิตจากผ้าคอมม์ทวิว  ผ้าบิสคอบ หรือเนื้อผ้าชนิดอื่นๆ  มีเนื้อผ้าให้เลือกหลายประเภท และสีให้เลือกมากมาย  รับผลิตขั้นต่ำ 100 ตัว

Tel : 02-972-7018-9
Mobile : 080-6103665 / 086-3026262
email : [email protected]
เฟสบุ๊ค : Uchat Custombuilt
ไลน์ : auratchada


หมายเหตุ   รับทั้งงานปักไหมธรรมดา ไหมฟู ปักพร้อมพิมพ์ sub  งานสกรีนสีน้ำ สียาง สีพาทิซอล  งานsub  etc.














207
ทุกวันนี้จำนวน user ที่ใช้งานบนโลก social ในบ้านเรานั้นเริ่มนิ่งแล้ว และมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่มันเปลี่ยนคือ พฤติกรรมการใช้งานของคน

ตัวเลขจากสถิติศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ บอกเราว่าการขาย สินค้าบน social จากปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเกือบ 90% จาก 13 ไป 24 ซึ่งเป็นตัวเลขเยอะมาก มันทำให้เราเห็นว่าช่องทาง social ถูกนำมาใช้มากทำให้ จากตัวเลขที่โตขึ้นมีสิ่งหนึ่งที่แปรผันตรงตามมา คือ อาชญกรรมและการโกงที่เกิดขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขปีที่แล้วการร้องเรียนสูงขึ้น 34% แต่ที่มากที่สุด ที่ทำให้ทาง VerME เร่งเห็นคือมูลค่าการโกง มันโตขึ้นเกือบ 90%



ซึ่ง 90% นี่แหละที่ VerME เราปรารถนาจะลดลงให้ต่ำลง และตัวเลขนี้ควรเข้าไปในกระเป๋าที่ถูกต้องจริงๆ

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้
1. มีหลายคนโดนแอบอ้างเอาบัตรประชาชน จากการที่เขาเป็นผู้ขาย แล้วใช้วิธีส่ง บัตรประชาชนให้ผู้ซื้อ แต่ผู้ซื้อนำบัตรเขาไปใช้ฉ้อโกงคนอื่น
2. ผู้ขายไม่มี credit เลยไม่สามารถขายของได้ เพราะอะไรมันถึงเกิดเหตุการแบบนี้?

เนื่องจากวิธีแบบเดิมๆ ในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจมันแพงและต่อไปเราจะใช้วิธีแบบเก่าที่เราต้อง โพตส์รีวิว โพสต์บัตรประชาชน โพตส์ Tracking no.
หรือทุกอย่างที่บ่งบอกถึงตัวเรา ไม่เว้นแม้แต่ชื่อและเบอร์โทร ในการ post ลง facebook จะลงไม่ได้อีกต่อไปเพราะว่าคุณจะถูก facebook แบนทันที เป็น policy ใหม่ที่ facebook พึ่งประกาศมา แล้วการขายสินค้าของผู้ขาย หน้าใหม่จะยุ่งยากขึ้นมาก แล้ว VerME จะช่วยอะไรได้บ้าง?

สิ่งที่ VerME ทำขั้นแรก คือ
- ออก VerME card เพื่อให้แม่ค้าใช้แทนบัตรประชาชน
- ผู้ซื้อสามารถเข้าไปเช็คได้ว่าคนขายคนนี้ผ่านขั้นการยืนยันกับ VerME ไหม โดยเรามี policy 19 ข้อ ผู้ขายต้องผ่านทั้งหมดเราถึงจะออก VerME card ให้
- VerME มีระบบแจ้ง Report ผู้ขาย หากมีกรณีเกิดการโกงเกิดขึ้น



แล้ว VerME ของเราคืออะไร
VerME เราเป็นระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย หากระบบตรวจสอบแล้วว่าเป็นข้อมูลจริงและพิสูจน์ได้ เราจะออกบัตร VerME เพื่อเป็นการการันตีตัวตนให้กับคนขาย ที่ผู้ขายสามารถขายสินค้าที่ไหนก็ได้แต่ขณะที่ขายต้องแนบ VerME Card เข้าไปด้วย



VerME มีความเชื่อมั่นว่าทุคนสามารถเป็นผู้ขายได้

ช่องทางการติดต่อ
เว็บไซต์ : verme.me
เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/verme.me/
Facebook group :
กลุ่มสำหรับบุคคลที่ต้องการซื้อขายเครื่องสำอาง :
https://www.facebook.com/groups/cosmeticss.by.verme

กลุ่มสำหรับบุคคลที่ต้องการซื้อขายอาหาร(กึ่งสำเร็จรูป อบแห้ง อื่นๆ):<
https://www.facebook.com/groups/foods.by.verme/

กลุ่มสำหรับบุคคลที่ต้องการซื้อขายตั๋วคอนเสิร์ต :
https://www.facebook.com/groups/concertticket.by.verme/

twitter : https://twitter.com/verme_me
Instagram : https://www.instagram.com/verifyme.me/






208


วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563 หม่อมหลวงปนัดดา  ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา    เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติความยิ่งใหญ่ให้กับบุคคลต้นแบบ “เหมราช” ครั้งที่ 4 ประจำปี 2563 ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิดินดีน้ำใสแห่งประเทศไทย ณ หอประชุมพุทธวิชชาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร





สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดพิธีมอบรางวัลดังกล่าวเพื่อให้ผู้ประกอบคุณงามความดีบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม สร้างความสัมพันธ์อันดี สร้างความเป็นปึกแผ่น สร้างรากฐานที่มั่นคงในกลุ่มต่าง ๆ เช่น ครอบครัว ชุมชน องค์กร รวมไปถึงสื่อมวลชนทุก มอบรางวัลในสาขาต่างๆ จำนวน 10 สาขา ได้แก่ 1. สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ 2.สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา 3.สาขาผู้นำคุณประโยชน์จิตอาสา 4. สาขาผู้ทำคุณประโยชน์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม 5. สาขาผู้นำด้านบริหารและพัฒนาองค์กร 6. สาขาผู้นำด้านวิชาการและพัฒนางานด้านการศึกษา 7. สาขาผู้นำด้านอนุรักษ์ป่า รักษาสิ่งแวดล้อม 8.สาขาผู้นำด้านพัฒนาและบริหารธุรกิจ 9. สาขาข้าราชการ 10. สาขาสื่อมวลชน





มีผู้ที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่ไดรับการคัดเลือกให้รับรางวัล  อาทิ เช่น คุณสุประวัติ ปัทมสูตร  ศิลปินแห่งชาติ คุณดวงใจ หทัยกาญจน์  คุณคาร่า พลสิทธ์  ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน สมาชิกวุฒิสภา
“ พ่ออี๊ด ประวัติ ปัทมสูตร  ศิลปินแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่านี้ และจะสร้างสรรค์ผลงานด้วยความตั้งใจต่อไป ”



สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา อาทิ เช่น  คุณสุรินทร์ ศรีแตงทอง (อ.แป๊ะ บางกรวย)  คุณสรพงษ์ ชาตรี



ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ คุณสุรินทร์ ศรีแตงทอง (อ.แป๊ะ บางกรวย)  ถึง “รางวัลเหมราช”ที่ได้รับในสาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา นั้น “ ตนเองมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ด้วยตนเองนั้นเป็นพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีบวงสรวง ยังสามารถผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญบูรณะ ซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์ วัดต่างๆ ช่วยเหลือสังคม ชุมชน และที่สำคัญยึดมั่นถือมั่น ในการประกอบพิธีบวงสรวง ให้ถูกต้องตามหลักศาสนพราหมณ์พิธี มาโดยตลอด จนได้รับความเชื่อถือ ถือว่ารางวัลเชิดชูเกียรตินี้ เป็นกำลังใจสำคัญที่จะผลักดันการทำงานต่างๆ ต่อไป





สาขาสื่อมวลชน อาทิ เช่น คุณนพขวัญ นาคนวล  คุณจักรเพชร กุนทอง ผู้ประกาศข่าวช่อง GMM25  คุณ วีร์ พัชรยากร ผู้ดำเนินรายการทันข่าว ช่อง3  คุณสถาพร ริยะป่า คุณชัญญ่า ชัญญา ภากรพัฒน์ ผู้ประกาศข่าวช่อง 8

209


ขุดบิตคอยน์ ไม่จำกัด
ขุดบิตไม่จำกัด รวยทันทีรับทุกวัน
ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าไฟ ไม่ต้องแข่งกับใคร
หาบิตคอยน์ง่ายๆ คลิ๊กเลย https://epex-unity.com/account/%3Ca%20href=%22https://epex-unity.com/?ref=D5CMdDOFmlPbIvt%22%3E%3Cimg%20class=%22block%22%20src=%22https://epex-unity.com/img/promo/EU-250.gif%22%3E%3C/a%3E
รวยทันทีรับทุกวัน การันตี ถึง5%ทุกวัน ...

Please contact more information
เว็บไซต์: https://epex-unity.com/account/%3Ca%20href=%22https://epex-unity.com/?ref=D5CMdDOFmlPbIvt%22%3E%3Cimg%20class=%22block%22%20src=%22https://epex-unity.com/img/promo/EU-250.gif%22%3E%3C/a%3E
ยูทูป : https://youtu.be/YO8u3qW3UoA
email : [email protected]

210
ต้องลอง  ดีที่สุด ในราคาเบาๆ สินค้าสุด HOT อย่าช้ารีบมาช็อปกันค่ะ
Yeacomm YF-P25 4G Router รองรับSIM AIS/DATC/TRUE/MyCAT

ไม่ต้องวุ่ยวายในการตั้งค่าใดๆ แค่ใส่ซิมเปิดเครื่อง ก็สามารถเปิดใช้งานได้ทันที
สั่งซื้อได้เลย ตามลิ๊งที่อยู่ด้านล่างนี้


#Router ใส่ซิม  #4G Router
*-* ใช้งานพร้อมกันได้มากถึง 32 เครื่อง
*-* ความเร็ว 150Mbps
*-* สามารถใช้งานได้กับทั้งซิม 4G/3G
*-*  เป็น Access Point ไปในตัว
*-* 1 LAN / 1 Micro USB

สามารถเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้
*-* Advice : https://bit.ly/2KiGNcs
*-* ผ่าน Inbox Message
*-* Web : https://bit.ly/31wURo9
*-* Shopee : https://bit.ly/2KPDx7K
*-* LAZADA : https://bit.ly/2WPyJle
*-* โทร 02-2194307-9
*-* LINE : thaiskycomputer

Thaiskycomputer



211
เป็นคำถามหลักที่จินสงสัยมากๆ เลย เพราะเมื่อก่อนมันเป็นปัญหาของจิน จึงค้นคว้าและพบว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้ท้องผูก แต่สาเหตุหลักมาจากคราบไขมันและอาหารที่ตกค้างจากการขับถ่ายไม่หมด สะสมตามผนังลำไส้ใหญ่จนทำให้ลำไส้อุดตัน ลองนึกถึงท่อน้ำที่เต็มไปด้วยสนิม และคราบที่เกาะตามผนังท่อนะคะ ท่อน้ำยังอุดตันได้ ลำไส้ของคนเราก็เหมือนกันค่ะ ยิ่งขับถ่ายไม่หมด ยิ่งทำให้อาหารและสารพิษต่างๆ ที่ตกค้างในลำไส้ใหญ่เกิดการหมักหมมจากของเน่าเสีย เพราะลำไส้ของคนเรายาวถึง 9 เมตร และสามารถกักเก็บของเสียหรืออุจจาระได้มากถึง 10 กิโลกรัม

ซึ่งการเก็บพิษจากอาการท้องผูกเรื้อรัง ขับถ่ายไม่ออกมีอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คิดนะคะ เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันโดยตรง เช่น สิวขึ้น นอนไม่หลับ ริดสีดวง แผลปริทวารหนัก พุงป่อง น้ำหนักขึ้น และลำไส้อุดตันแล้ว ยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วยค่ะ ดังนั้น ระบบขับถ่ายในร่างกายที่เป็นปกติ จะช่วยขจัดของเสียและสารพิษ เพื่อให้คุณไกลจากโรคร้ายและช่วยชะลอวัยด้วยค่ะ

วิธีป้องกันลำไส้อุดตัน
แพทย์และนักวิจัยจึงคิดค้นหลากหลายวิธีที่จะช่วยล้างลำไส้ของเราให้สะอาดกลับมาทำงานได้ปกติ เหมือนท่อน้ำที่ปราศจากคราบและสนิมอุดตัน และหนึ่งในนั้นคือ การดีท็อกซ์ลำไส้แบบสวนทวาร ซึ่งวิธีนี้จัดว่าเป็นแพทย์ทางเลือก แต่วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ค่อนข้างอันตรายต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากจึงจะสามารถดีท็อกซ์ให้ลำไส้สะอาดได้

ต่อมาจึงพัฒนาวิธีดีท็อกซ์ที่สามารถทำเองได้ง่ายและปลอดภัย จึงค้นพบว่าสาร Prebiotics และ Phytonutrien เป็นสารสำคัญที่ช่วยในการขับถ่าย และล้างลำไส้ให้สะอาดได้ ที่สำคัญปลอดภัยและสามารถดีท็อกซ์ได้เองค่ะ



 RENATAR FIBER (ดีท็อกซ์ลำไส้) ช่วยคุณได้อย่างไร?
เรนาต้าไฟเบอร์ ช่วยปรับสมดุลร่างกายให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียต่างๆ กลับมาทำงานเป็นปกติ ทำให้ลำไส้คุณสะอาด ขับถ่ายได้คล่องอย่างยั่งยืน ซึ่งแตกต่างจากยาถ่ายหรือยาระบายอื่นๆ ที่เน้นแค่ผลระยะสั้น เพียงทำให้อุจจาระอ่อนตัวลงในช่วงที่ทานยา แต่ไม่ได้กระตุ้นให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ช่วยย่อยอุจจาระเจริญเติบโตและกลับมาทำงานได้

เรนาต้าไฟเบอร์ ช่วยฟื้นฟูจากอาการลำไส้แปรปรวน ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง
เรนาต้าไฟเบอร์ บรรเทาและป้องกันอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ปวดท้อง ท้องร่วงจากลำไส้อักเสบ
เรนาต้าไฟเบอร์ ช่วยให้ขับถ่ายอย่างมีสมดุล ขับถ่ายทุกวัน ไม่มากไม่น้อยครั้งจนเกินไป
เรนาต้าไฟเบอร์ ช่วยขับถ่ายอุจจาระตกค้างออกจากร่างกาย ลดผลเสียที่เกิดจากอุจจาระเป็นพิษเน่าเสีย เช่น สิวเรื้อรัง อาการอ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ ป่วยง่าย ติดเชื้อง่าย
เรนาต้าไฟเบอร์ เสริมภูมิต้านทาน ล้างสารพิษตกค้างในลำไส้ ช่วยชะลอวัยจากอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง เหมาะสำหรับทุกคน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนท้องผูก



เบอร์โทร: 094-496-8826
ไลน์ไอดี: @sbl6030w
เว็บไซต์: https://renatarofficial.com

212


คิ้ว หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความงามบนใบหน้า และคิ้วยังช่วยเพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้ใครหลายๆ คน แต่ปัญหาสำคัญคือ คิ้วของบางท่านอาจไม่เป็นทรงหรือคิ้วไม่ได้รูป ทำให้แต่งหน้าลำบาก จนต้องค้นหาสารพัดวิธีมาแก้ไข เช่นว่า กันคิ้วถอนคิ้วหรือสักคิ้วถาวร และอีกวิธีที่เป็นที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นคือการแว็กซ์คิ้ว รายละเอียดการแว็กซ์คิ้วเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง สนนราคาเท่าไร HonestDocs มีคำตอบ
แว็กซ์คิ้ว คืออะไร?
แว็กซ์คิ้ว เป็นหนึ่งในวิธีการกำจัดขนคิ้วชั่วคราว ในรูปแบบที่ถอดขนออกมาทั้งเส้นซึ่งจะมีรากขนติดออกมาด้วย (ต่างจากการกันคิ้วที่กำจัดแค่เส้นขนที่โผล่พ้นผิวหนังออกมาเท่านั้น) การแว็กซ์คิ้วที่นิยมทำในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

- แว็กซ์คิ้วร้อน คือการใช้ขี้ผึ้งมาอุ่นจนได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ จากนั้นนำมาทาบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ความอุ่นจะทำให้รูขุมขนเปิดออก จากนั้นวางผ้าขนาดเล็กทับลงบนขี้ผึ้ง ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที เมื่อขี้ผึ้งแห้งจึงดึงผ้าออกอย่างรวดเร็วในทิศทางย้อนเส้นขน ขนคิ้วก็จะหลุดติดออกมากับผ้า
การแว็กซ์คิ้วร้อนนับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการถอนขนสูง เหมาะกับผิวที่บอบบางและผิวที่แพ้ง่าย ไม่ค่อยเกิดการระคายเคืองมาก แต่มีข้อเสียคือขั้นตอนยุ่งยากกว่าการแว็กซ์คิ้วเย็น
- แว็กซ์คิ้วเย็น คือการใช้ขี้ผึ้งกำจัดขนคิ้วเช่นกัน มีกระบวนการคล้ายคลึงกับการแว็กซ์คิ้วร้อน เพียงแต่ไม่ได้นำขี้ผึ้งมาอุ่นก่อนทาลงบนผิว ส่วนใหญ่จะใช้ขี้ผึ้งเหลวหรือแผ่นแปะสำเร็จรูป
ข้อดีของการแว็กซ์คิ้วเย็นคือทำได้ไม่ยาก ประหยัดเวลา สามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่มีข้อเสียสำคัญคือไม่เหมาะกับผิวบริเวณที่บอบบาง เนื่องมาจากไม่มีการเปิดรูขุมขนก่อน เมื่อดึงขี้ผึ้งออกจะรู้สึกเจ็บแสบระคายเคืองมากกว่าการใช้แบบร้อน จึงไม่เป็นที่นิยมนัก

นอกจากจะใช้กำจัดขนคิ้วส่วนเกินได้แล้ว ยังสามารถใช้กำจัดขนบริเวณอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา รักแร้ ใบหน้า หนวด หรือจุดซ่อนเร้นได้อีกด้วย

ข้อดี-ข้อเสีย ของการแว็กซ์คิ้ว
การแว็กซ์คิ้วนับเป็นวิธีการกำจัดขนคิ้ว ปรับรูปทรงคิ้วให้เข้ารูปที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน แต่ก่อนจะตัดสินใจแว็กซ์คิ้วควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียของการแว็กซ์คิ้วดังนี้

จุดดี
- เป็นวิธีการกำจัดขนคิ้วที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดขนได้หมดจดในครั้งเดียว
- ขนใหม่ใช้เวลาขึ้นค่อนข้างนานประมาณ 1 เดือน
- ขนที่ขึ้นใหม่จะเป็นขนอ่อนๆ ไม่เป็นตอแข็งกวนใจ
- หากแว็กซ์อย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้ขนคิ้วบริเวณที่ถูกแว็กซ์ค่อยๆ บางลงจนไม่ขึ้นอีก
- สถาบันเสริมความงามส่วนใหญ่ที่รับแว็กซ์คิ้ว จะมีบริการออกแบบรูปทรงคิ้วร่วมด้วย ทำให้รูปทรงคิ้วรับกับใบหน้ามากขึ้น

ข้อเสีย
- สำหรับท่านที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย การแว็กซ์คิ้วอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวบวมแดงและแสบร้อนได้
- การแว็กซ์นับเป็นวิธีที่ค่อนข้างเจ็บ แต่ความรุนแรงนั้นขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคล - กระบวนการแว็กซ์คิ้วยุ่งยากกว่าการกำจัดขนคิ้ววิธีอื่นๆ และไม่แนะนำให้ทำด้วยตนเอง
- ค่าใช้จ่ายในการแวกซ์คิ้วสูงกว่าวิธีการกำจัดขนคิ้วรูปแบบอื่นๆ
อ่านเนื้อหาเรื่องการเตรียมตัวก่อนการแว็กซ์คิ้วได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/wax-eyebrow

213
Forward Care Natural ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ครบทุกปัญหาผิวด้วย เซ็ทหน้าใสไร้สิว ลดฝ้ากระจุดด่างดำ เซ็ทเดียวจบทุกอย่าง ท้าพิสูจน์ เห็นผลใน 7 วัน
⏩ กระชับรูขุมขน
⏩ ลดความหมองคล้ำ
⏩ ลดสิว
⏩ ฝ้า กระ จุดด่างดำ
#Forwardcarenatural #ครีมแก้สิว #ครีมแก้ฝ้า#skincare #รักษาสิว #กระชับรูขุมขน #ลดสิว #ฝ้ากระจุดด่าง #เห็นผล7วัน #ปลอดภัย #หน้าใส

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
https://lin.ee/3Ut9ofy
https://www.facebook.com/ForwardCareNatural.TH/







214


คิ้ว หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความงามบนใบหน้า และคิ้วยังช่วยเพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้ใครหลายๆ คน แต่ปัญหาสำคัญคือ คิ้วของบางท่านอาจไม่เป็นทรงหรือคิ้วไม่ได้รูป ทำให้แต่งหน้าลำบาก จนต้องค้นหาสารพัดวิธีมาแก้ไข เช่นว่า กันคิ้วถอนคิ้วหรือสักคิ้วถาวร และอีกวิธีที่เป็นที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นคือการแว็กซ์คิ้ว รายละเอียดการแว็กซ์คิ้วเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง สนนราคาเท่าไร HonestDocs มีคำตอบ
แว็กซ์คิ้ว คืออะไร?
แว็กซ์คิ้ว เป็นหนึ่งในวิธีการกำจัดขนคิ้วชั่วคราว ในรูปแบบที่ถอดขนออกมาทั้งเส้นซึ่งจะมีรากขนติดออกมาด้วย (ต่างจากการกันคิ้วที่กำจัดแค่เส้นขนที่โผล่พ้นผิวหนังออกมาเท่านั้น) การแว็กซ์คิ้วที่นิยมทำในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

- แว็กซ์คิ้วร้อน คือการใช้ขี้ผึ้งมาอุ่นจนได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ จากนั้นนำมาทาบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ความอุ่นจะทำให้รูขุมขนเปิดออก จากนั้นวางผ้าขนาดเล็กทับลงบนขี้ผึ้ง ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที เมื่อขี้ผึ้งแห้งจึงดึงผ้าออกอย่างรวดเร็วในทิศทางย้อนเส้นขน ขนคิ้วก็จะหลุดติดออกมากับผ้า
การแว็กซ์คิ้วร้อนนับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการถอนขนสูง เหมาะกับผิวที่บอบบางและผิวที่แพ้ง่าย ไม่ค่อยเกิดการระคายเคืองมาก แต่มีข้อเสียคือขั้นตอนยุ่งยากกว่าการแว็กซ์คิ้วเย็น
- แว็กซ์คิ้วเย็น คือการใช้ขี้ผึ้งกำจัดขนคิ้วเช่นกัน มีกระบวนการคล้ายคลึงกับการแว็กซ์คิ้วร้อน เพียงแต่ไม่ได้นำขี้ผึ้งมาอุ่นก่อนทาลงบนผิว ส่วนใหญ่จะใช้ขี้ผึ้งเหลวหรือแผ่นแปะสำเร็จรูป
ข้อดีของการแว็กซ์คิ้วเย็นคือทำได้ไม่ยาก ประหยัดเวลา สามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่มีข้อเสียสำคัญคือไม่เหมาะกับผิวบริเวณที่บอบบาง เนื่องมาจากไม่มีการเปิดรูขุมขนก่อน เมื่อดึงขี้ผึ้งออกจะรู้สึกเจ็บแสบระคายเคืองมากกว่าการใช้แบบร้อน จึงไม่เป็นที่นิยมนัก

นอกจากจะใช้กำจัดขนคิ้วส่วนเกินได้แล้ว ยังสามารถใช้กำจัดขนบริเวณอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา รักแร้ ใบหน้า หนวด หรือจุดซ่อนเร้นได้อีกด้วย

ข้อดี-ข้อเสีย ของการแว็กซ์คิ้ว
การแว็กซ์คิ้วนับเป็นวิธีการกำจัดขนคิ้ว ปรับรูปทรงคิ้วให้เข้ารูปที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน แต่ก่อนจะตัดสินใจแว็กซ์คิ้วควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียของการแว็กซ์คิ้วดังนี้

จุดดี
- เป็นวิธีการกำจัดขนคิ้วที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดขนได้หมดจดในครั้งเดียว
- ขนใหม่ใช้เวลาขึ้นค่อนข้างนานประมาณ 1 เดือน
- ขนที่ขึ้นใหม่จะเป็นขนอ่อนๆ ไม่เป็นตอแข็งกวนใจ
- หากแว็กซ์อย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้ขนคิ้วบริเวณที่ถูกแว็กซ์ค่อยๆ บางลงจนไม่ขึ้นอีก
- สถาบันเสริมความงามส่วนใหญ่ที่รับแว็กซ์คิ้ว จะมีบริการออกแบบรูปทรงคิ้วร่วมด้วย ทำให้รูปทรงคิ้วรับกับใบหน้ามากขึ้น

ข้อเสีย
- สำหรับท่านที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย การแว็กซ์คิ้วอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวบวมแดงและแสบร้อนได้
- การแว็กซ์นับเป็นวิธีที่ค่อนข้างเจ็บ แต่ความรุนแรงนั้นขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคล - กระบวนการแว็กซ์คิ้วยุ่งยากกว่าการกำจัดขนคิ้ววิธีอื่นๆ และไม่แนะนำให้ทำด้วยตนเอง
- ค่าใช้จ่ายในการแวกซ์คิ้วสูงกว่าวิธีการกำจัดขนคิ้วรูปแบบอื่นๆ
อ่านเนื้อหาเรื่องการเตรียมตัวก่อนการแว็กซ์คิ้วได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/wax-eyebrow

215


โรคหัวใจ จัดว่าเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก องค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก ซึ่งคิดเป็น 31% ของการเสียชีวิตของคนทั้งโลก ขณะที่ในไทยพบว่าอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 20,855 คนต่อปี ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST คือหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้

การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST คืออะไร?
การตรวจสมรรถภาพหัวใจในขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คือการทดสอบหัวใจขณะที่กำลังออกกำลังกายโดยการวิ่งบนสายพานหรือขณะปั่นจักรยาน เพื่อตรวจสอบว่าขณะที่ร่างกายกำลังออกแรงอย่างหนักอยู่นั้น กล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงเพียงพอหรือไม่ (ซึ่งหากอยู่ในภาวะปกติที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย)

ทั้งนี้ เมื่อผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันต้องออกกำลังกาย จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอจนเกิดอาการหายใจลำบาก เจ็บ จุกแน่นหน้าอก การเต้นของหัวใจผิดปกติ หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีการเปลี่ยนแปลง

อาการเหล่านี้จะช่วยให้หมอสามารถวินิจฉัยในเบื้องต้นได้ว่า ผู้ป่วยอาจมีหลอดเลือดหัวใจเส้นใดเส้นหนึ่งตีบตัน เพื่อวางแผนการตรวจและรักษาต่อไป

ใครควรตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST บ้าง?
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ ควรเข้ารับการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST เป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการป่วยจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่เคยมีอาการเจ็บหน้าอกโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดของอวัยวะอื่นอยู่แล้ว
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิเช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดสมองตีบ

การเตรียมตัวก่อนการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST
ผู้ที่ต้องการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST ควรเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด ดังนี้
- หยุดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ช.ม. ก่อนเริ่มทำการทดสอบ
- งดกินอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างน้อย 12 ช.ม. เนื่องจากคาเฟอีนอาจรบกวนการแปลผลการทดสอบ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาใดเป็นประจำควรแจ้งให้หมอทราบล่วงหน้า เนื่องมาจากยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการตรวจ โดยเฉพาะยากลุ่มโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืด ควรนำยาพ่นมาด้วยในวันตรวจ
- ควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ที่ใส่สบาย และรองเท้าที่เหมาะกับการออกกำลังกาย

ติดตามอ่านบทความหัวข้อ ตรวจ EST กันต่อกันได้ที่
เว็บ : https://www.honestdocs.co/heart-check-up-est

216

เมื่ออยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งเป็นเวลานานๆ อย่างเช่น ขับรถ นั่งก้มทำงาน หรืออยู่ในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจมีอาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ ตามร่างกายในส่วนนั้นๆ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เคลื่อนไหวลำบาก ภูมิปัญญาของไทยแต่โบราณจึงคิดค้น "การนวดไทย" และการ "ประคบสมุนไพร" ขึ้น เพื่อบำบัดอาการโดยไม่ต้องกินยา

การประคบสมุนไพร
การประคบสมุนไพรหมายถึง การรักษาอาการปวดเมื่อยด้วยสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้อาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ หลายชนิดร่วมกับความร้อนชื้นของไอน้ำจากการนึ่งลูกประคบและแรงของผู้นวดที่กดลงไป อาจนวดไทยก่อนแล้วค่อยประคบ ประคบก่อนนวด หรือจะนวดไปพร้อมๆ กับการประคบก็ได้

ความร้อนที่พอเหมาะในการประคบไม่ควรเกิน 45 องศาเซลเซียสซึ่งจะส่งผลให้เนื้อเยื่อพังผืดคลายตัวออก ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดการติดขัดของข้อต่อ ลดอาการเจ็บปวด ลดอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ส่วนสมุนไพรก็ให้ผลตามคุณสมบัติแต่ละชนิดที่เลือกสรรมา อาทิเช่น แก้อาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ ยิ่งหากเป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย ตัวยาจะออกมากับไอน้ำและความชื้นซึมเข้าผิวหนังได้ดี ส่วนกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

อุปกรณ์ในการทำลูกประคบ
1. ผ้าสำหรับห่อลูกประคบ เป็นผ้าฝ้าย หรือผ้าดิบ ที่มีเนื้อผ้าแน่นพอที่จะป้องกันไม่ให้สมุนไพรหลุดล่วงมาจากห่อได้
2. เชือก
3. ตัวยาสมุนไพรที่ใช้ทำลูกประคบ
4. เครื่องชั่ง สำหรับชั่งน้ำหนักสมุนไพรให้ได้ปริมาณที่ถูกต้อง
5. เตา
6. หม้อสำหรับนึ่งลูกประคบ
7. จานรองลูกประคบ

ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ
ไพล: มีคุณสมบัติในการแก้ปวดเมื่อย ลดอาการอักเสบ ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเกร็ง ฟกช้ำ บวม

ผิวมะกรูด หรือใบมะกรูด: มีน้ำมันหอมระเหยให้กลิ่นหอมปร่าช่วยให้รู้สึกสดชื่น หายใจโล่ง แก้อาการวิงเวียนหน้ามืด แก้ช้ำใน ช่วยขับลม

ตะไคร้บ้าน:  มีน้ำมันหอมระเหยให้กลิ่นหอมปร่าช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้ฟกช้ำ ปวดเมื่อย บรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

ใบมะขาม: ช่วยให้เส้นเอ็นหย่อน แก้ผื่นคัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง

ขมิ้นอ้อย: ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง แก้ฟกช้ำบวม แก้เคล็ดขัดยอก

ขมิ้นชัน: แก้อาการบวม ฟกช้ำ  เคล็ดขัดยอก แก้ผื่นคันตามผิวหนัง ช่วยบำรุงผิว

การบูร: แก้ปวดตามเส้น แก้ปวดข้อ แก้เคล็ดขัดยอก ลดบวม และกลิ่นยังช่วยให้หายใจโล่ง บรรเทาอาการคัดจมูก

พิมเสน: ช่วยแต่งกลิ่น แก้อาการพุพอง ลดผื่นคัน มีกลิ่นที่ช่วยให้หายใจโล่ง

ใบส้มป่อย: ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน ช่วยให้เส้นเอ็นอ่อน แก้ปวดเมื่อย

ใบพลับพลึง: แก้ช้ำใน ลดอาการปวด บวม ฟกช้ำ

เกลือสมุทร หรือเกลือทะเล: ช่วยดูดความร้อน ช่วยให้ตัวยาซึมสู่ผิวหนังได้ง่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้

วิธีการทำลูกประคบ
1. นำสมุนไพรต่าง ๆ ที่เตรียมไว้มาล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
2. หั่นสมุนไพรที่เตรียมไว้เป็นชิ้นๆ แล้วตำรวมกันพอหยาบ
3. นำผิวมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย ตำผสมกับข้อ 1 เสร็จแล้วให้ใส่เกลือ การบูร คลุกเคล้าและตำให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ควรให้ละเอียดมากจนแฉะเป็นน้ำ
4. แบ่งตัวยาที่ตำเรียบร้อยแล้วเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน สามารถทำลูกประคบได้ 2 ลูก โดยแต่ละลูกให้ใช้ผ้าขาวห่อเป็นลูกประคบ แล้วรัดด้วยเชือกให้แน่น
5. นำลูกประคบที่ได้ไปนึ่งในหม้อนึ่งครั้งละ 1  ลูก โดยใช้เวลานึ่งราว 15-20 นาที
6. นำลูกประคบที่ความร้อนได้ที่แล้วมาประคบผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ โดยสับเปลี่ยนลูกประคบระหว่าง 2 ลูกนี้
ติดตามอ่านเนื้อหาเรื่อง นวดประคบสมุนไพร กันต่อได้ที่

Website : https://www.honestdocs.co/thai-herbal-ball-compress

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 56