แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - guupost

หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 56
217


บาดทะยัก คือโรคที่หลายท่านคุ้นเคย เนื่องจากหากเกิดบาดแผลขึ้นบนร่างกาย มักได้ยินคำแนะนำว่า “รีบไปหาแพทย์ ระวังเป็นบาดทะยัก” แม้ว่าจะดูเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงเท่าโรคร้ายอื่นๆ แต่รู้หรือไม่ว่า โรคนี้อันตรายถึงชีวิต

จากข้อมูลของสภากาชาดระบุว่า เมื่อคนไข้มีอาการของโรคบาดทะยัก จะมีโอกาสเสียชีวิตตั้งแต่ 10%–90% ซึ่งนับว่ามีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง และการรักษายังเป็นเพียงการประคับประคองเป็นหลัก เพราะฉะนั้นการฉีดวัคซีนบาดทะยักจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรคได้

บาดทะยักคืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร?
บาดทะยัก (Tetanus) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium Tetani พบได้ตามพื้นดิน ฝุ่น หรือมูลสัตว์ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางบาดแผล อาทิเช่น แผลถลอก ไฟไหม้ โดนของมีคมบาด ตะปูตำ ถูกสัตว์กัด หรือใช้เข็มฉีดยาที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ เป็นต้น เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะสร้างสารพิษชื่อว่า เททานัสท็อกซิน (Tetanus toxin) ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง ในรายที่ติดเชื้อรุนแรงอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทั้งนี้บาดแผลที่มีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการติดเชื้อบาดทะยัก ได้แก่
- บาดแผลที่ต้องเย็บหรือผ่าตัด ซึ่งผู้ป่วยไปพบแพทย์ช้ากว่า 6 ชั่วโมง
- บาดแผลที่มีเนื้อตายจำนวนมาก อย่างเช่น แผลไฟไหม้ แผลกดทับ เป็นต้น หรือแผลที่เป็นรอยเจาะ เช่น ถูกตะปูตำ แผลจากการสัก เจาะตามร่างกาย เป็นต้น โดยเฉพาะบาดแผลที่ปนเปื้อนดินหรือเศษวัสดุแปลกปลอม
- บาดแผลที่พบร่วมกับกระดูกหัก
ดังนั้น หากใครมีบาดแผลที่มีความเสี่ยง แนะนำให้รีบทำความสะอาดบาดแผล โดยล้างด้วยน้ำสะอาดและฟอกสบู่นานอย่างน้อย 10-15 นาที (กรณีเป็นบาดแผลที่ไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์) จากนั้นไปพบหมอทันที เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

อาการของโรคบาดทะยักเป็นอย่างไร?
เมื่อเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย อาการเริ่มแรกคือ ผู้ป่วยจะมีอาการขากรรไกรแข็ง กล้ามเนื้อเกร็ง อ้าปากไม่ค่อยได้ จากนั้นมือ แขน และขาเริ่มเกร็ง หลังแข็งและแอ่น ใบหน้าจะมีลักษณะคล้ายยิ้มแสยะ โดยอาการดังกล่าวนี้จะเป็นมากขึ้นเมื่อมีเสียงดังหรือเมื่อสัมผัสตัวผู้ป่วย ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ผู้ป่วยจะมีอาการชักกระตุก หน้าเขียว ซึ่งจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ขาดออกซิเจน เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อาการแทรกซ้อนของโรคบาดทะยักคืออะไร?
นอกจากอาการหลักของโรคบาดทะยักที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้แล้ว ยังอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ด้วย ดังนี้

1. กระดูกหัก เกิดจากการเกร็งและบิดอย่างรุนแรงจนส่งผลถึงกระดูก
2. ไตวายเฉียบพลัน เกิดจากการที่กล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างรุนแรงจนทำให้กล้ามเนื้อสลายกลายเป็นโปรตีน ซึ่งไตมีหน้าที่กำจัดโปรตีนในร่างกาย หากมีโปรตีนสลายออกมาเป็นจำนวนมาก ไตก็อาจทำงานหนักจนทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้
3. ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ภาวะบิดเกร็งของกล้ามเนื้ออาจส่งผลให้คนไข้เกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลว  หยุดหายใจ จนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและเสียชีวิต

การรักษาโรคบาดทะยักทำอย่างไร?
เมื่อคุณหมอประเมินแล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคบาดทะยัก แพทย์อาจวางแผนการรักษาดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย ป้องกันเสียงรบกวน เนื่องมาจากจะทำให้มีอาการชักเกร็งรุนแรงขึ้น
2. คุณหมอจะให้ยาทำลายสารพิษที่เชื้อแบคทีเรียสร้างขึ้น รวมทั้งให้ยาปฏิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
3. แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการควบคู่กันไป ได้แก่ ยาระงับอาการชัก ยาลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ งดให้น้ำและอาหารทางปาก เหตุเพราะอาจทำให้ผู้ป่วยสำลักได้ จึงจำเป็นต้องให้อาหารทางหลอดเลือดแทน
4. เฝ้าระวังเรื่องการหายใจ เพราะว่าอาจมีอาการหายใจขัด หายใจไม่ออกจนทำให้เสียชีวิตได้

ติดตามอ่านบทความเรื่อง วัคซีนบาดทะยัก ต่อได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/tetanus-vaccine

218


โรคคอตีบ จัดเป็นหนึ่งในโรคติดต่อร้ายแรงที่กรมควบคุมโรคกำลังเฝ้าระวัง เนื่องจากหากเกิดการติดเชื้อแล้ว อาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้ ด้วยความรุนแรงนี้ จึงได้มีการกำหนดให้วัคซีนคอตีบเป็นวัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนต้องได้รับ ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม แต่จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรคกลับพบว่า สถานการณ์โรคคอตีบในประเทศไทยก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะพบผู้ป่วยมากขึ้นด้วย โดยในปี พ.ศ. 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 15 ราย เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งอัตราการป่วยนี้สูงขึ้นประมาณ 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี พ.ศ. 2561 ทั้งนี้การป้องกันโรคคอตีบที่มีประสิทธิภาพ คือการฉีดวัคซีนคอตีบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาและป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคคอตีบได้

โรคคอตีบคืออะไร?
โรคคอตีบ (Diphtheria) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Corynebacterium diphtheriae) ซึ่งเป็นการติดเชื้อรุนแรงและเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ สามารถติดต่อกันโดยง่ายจากการไอ จาม พูดคุยในระยะประชิด การสัมผัส หรือการใช้ภาชนะร่วมกัน อย่างเช่น จาน ชาม ช้อน เป็นต้น โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปากหรือทางการหายใจ โดยมากจะพบการติดเชื้อในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงถึงอายุ 19 ปี โดยมักพบการติดเชื้อในสถานที่ที่มีคนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก อย่างเช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนประจำ ชุมชนแออัด หรือพื้นที่ห่างไกลที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีนคอตีบ

อาการของโรคคอตีบ
อาการของโรคจะแสดงหลังจากการติดเชื้อประมาณ 2-5 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เจ็บคอ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย คออักเสบ กลืนอาหารลำบาก หอบ หายใจลำบาก หากไม่สังเกตอาจคิดว่าเป็นอาการป่วยทั่วไป แต่อาการสำคัญที่ชี้ชัดว่าป่วยด้วยโรคคอตีบคือ จะพบแผ่นฝ้าสีขาวปนเทา (White-grayish membrane) เกาะติดแน่นบริเวณลำคอ ต่อมทอนซิล หรือลิ้นไก่ ซึ่งแผ่นเยื่อนี้เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่สร้างสารพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบให้ตายลงและซ้อนทับกันจนเป็นแผ่นฝ้า หากมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง อาจทำให้ผู้ป่วยหายใจไม่ออกและเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตได้

อาการแทรกซ้อนของโรคคอตีบ
อาการแทรกซ้อนสำคัญของโรคคอตีบได้แก่
- ปอดติดเชื้อ
- ระบบหายใจล้มเหลว
- เส้นประสาทอักเสบหรือเกิดความเสียหายขั้นรุนแรงของระบบประสาททำให้เป็นอัมพาต
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย

การรักษาโรคคอตีบ
หากพบว่าคนไข้มีอาการโรคคอตีบ คุณหมอจะต้องรีบรักษาทันที เหตุเพราะอาการอาจรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต การรักษาโรคคอตีบในปัจจุบันมี 2 วิธีคือ การฉีดยาต้านพิษ เพื่อหยุดพิษที่แบคทีเรียสร้างขึ้น และการใช้ยาปฏิชีวนะ อาทิเช่น เพนิซิลิน เพื่อกำจัดเชื้อในร่างกาย โดยคนไข้โรคคอตีบจะต้องถูกแยกจากผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจาย และหลังการรักษาหมอจะต้องตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่า ผู้เจ็บป่วยไม่มีเชื้อแบคทีเรียคอตีบแล้ว จึงจะสามารถให้ผู้ป่วยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

อ่านบทความหัวข้อ ฉีดวัคซีนคอตีบ ต่อได้ที่
Website : https://www.honestdocs.co/diphtheria-vaccine

219

 ทราบหรือไม่ว่า ชาวไทยเจ็บป่วยเป็นโรคหัวใจสูงถึงเกือบ 433,000 คนต่อปี และมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากถึง 20,855 คน ต่อปี หรือ ชั่วโมงละ 2 คน จากสถิตินี้ทำให้เห็นว่า โรคหัวใจไม่ใช่เรื่องไกลตัว และทุกคนยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ด้วย เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ความเครียด สภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการตรวจเช็คความเสี่ยงโรคหัวใจอย่างเสมอจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยหนึ่งในวิธีการตรวจที่มีประสิทธิภาพคือ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo

 การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo คืออะไร?
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram: Echo) หรือเรียกง่ายๆ ว่า การตรวจหัวใจแบบ Echo คือ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่ปลอดภัยต่อร่างกายเข้าไปยังบริเวณทรวงอก เมื่อคลื่นเสียงผ่านอวัยวะต่างๆ จะเกิดสัญญาณสะท้อนกลับ ระบบจะนำข้อมูลที่สะท้อนกลับนั้นไปประมวลผลเป็นภาพ ซึ่งจะแสดงรูปร่าง ขนาด การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจได้ค่อนข้างชัดเจน

การตรวจหัวใจแบบ Echo นี้ นับได้ว่ามีประโยชน์ในการประเมินการทำงานของหัวใจ สามารถบอกได้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจหนาแค่ไหน หัวใจโตหรือไม่ กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวดีหรือเปล่า จึงช่วยให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยโรค ตรวจหาความรุนแรง และติดตามผลการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo เหมาะกับท่านใด?
การตรวจหัวใจแบบ Echo เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการดังนี้
- ผู้ที่มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก
 - ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น
 - ผู้ที่มีอาการบวมตามร่างกาย ซึ่งสงสัยว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของหัวใจ โดยโรคหัวใจที่ทำให้เกิดอาการบวมตามร่างกาย ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ และโรคที่เยื่อหุ้มหัวใจ การตรวจหัวใจแบบ Echo จะช่วยบอกว่าอาการบวมนี้เกิดจากโรคหัวใจหรือเปล่า

เนื่องจากการตรวจหัวใจแบบ Echo เป็นการตรวจเฉพาะทาง ใช้วินิจฉัยโรคเชิงลึก ดังนั้นแม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการที่สงสัยว่าอาจป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจ คุณหมอส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ตรวจหัวใจแบบ Echo ในทันที แต่จะพิจารณาประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เอกซเรย์ทรวงอกก่อน

หากพบว่ามีแนวโน้มเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจจริง จึงค่อยพิจารณาให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจหัวใจแบบ Echo เพื่อวินิจฉัยโรคต่อไป

ทั้งนี้ผลการตรวจที่ได้จะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจ อย่างเช่น การบีบตัวของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ การไหลเวียนของเลือดในหัวใจ การเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ขนาดหัวใจผิดปกติ เป็นต้น

อ่านบทความหัวข้อ ตรวจ echo กันต่อได้ที่ Website : https://www.honestdocs.co/heart-check-up-echo

220

เพียงแค่เอ่ยคำว่า "ไขมัน" ขึ้นมา บางคนก็รู้สึกรังเกียจ รู้สึกว่าอ้วน รู้สึกว่าเป็นผู้ร้าย ฯลฯ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น ไขมันจัดว่าเป็นสารอาหารจำเป็น เมื่อร่างกายย่อยสลายให้เป็นโมเลเกุลเล็กที่สุดจะเรียกว่า “Fatty acid” หรือ กรดไขมัน

ร่างกายจะต้องได้รับกรดไขมันจากการกินเข้าไปเท่านั้นและร่างกายจำเป็นต้องมีกรดไขมันเพื่อใช้ประโยชน์มากมายนับตั้งแเต่เป็นวัตถุดิบสร้างผนังเซลล์ของทุกๆ เซลล์ทั่วร่างกาย กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) คือ กรดไขมันที่ร่างกายขาดไม่ได้

อาหารไขมันนอกจากจะเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายแล้วยังช่วยให้อาหารอร่อย กลืนลงคอง่าย มนุษย์ยุคใหม่จึงกินไขมันกันมากเกินความจำเป็น จนในที่สุดไขมันก็สร้างพิษภัยต่อร่างกายแทนที่จะให้ประโยชน์ หากอยากรู้ว่า เรามีไขมันในร่างกายมากหรือน้อยอย่างไร ชนิดไหนเกิน ชนิดไหนขาด ควรเจาะเลือดเพื่อตรวจสอบไขมันในเลือด ทั้งนี้เพราะบางท่านกว่าจะรู้ตัวว่าไขมันในเลือดสูงก็เข้าข่ายเป็นโรคเสียแล้ว

การตรวจไขมันในเลือด (Lipid Profile)
คำแนะนำ: ต้องงดอาหารก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
วัตถุประสงค์
- เพื่อต้องการทราบค่าขององค์ประกอบที่สำคัญของไขมันทุกตัวในกระแสเลือด
- การได้ทราบค่าระดับไขมันทุกชนิดในเลือดที่ผิดปกติแต่เนิ่นๆ ย่อมช่วยให้มีโอกาสที่จะแก้ไข เยียวยา หรือรักษา ให้ไขมันลดลงมาสู่ระดับปกติได้ ทั้งนี้ย่อมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease: CAD) โรคลมปัจจุบัน หรือโรคอุบัติเหตุขาดเลือดในสมอง (cerebrovascular accident: CVA) ได้

คำอธิบายอย่างสรุป
1. ตามตำราโดยทั่วไปคำว่า Lipid Profile จะประกอบด้วยการวัดค่าไขมัน 5 ตัว ดังนี้
คอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol: TC)
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides: TG)
เอชดีแอล (HDL-c)
แอลดีแอล (LDL-c)
วี แอล ดี แอล (VLDL)

2. ตามแบบฟอร์มใบตรวจเลือดของโรงพยาบาลทั่วไป ท่านต้องการทราบผลของไขมันในเลือดเฉพาะที่สำคัญเพียง 4 ตัว
คอเลสเตอรอล (Cholesterol)
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
เอชดีแอล  (HDL-c)
แอลดีแอล (LDL-c)

คอเลสเตอรอล (Cholesterol)
Cholesterol เป็นคำนามเฉพาะที่เกิดจากการประสมคำโดยนักวิจัยชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1769 ซึ่งพบว่า นิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) นั้นประกอบด้วยสารเคมีอันมีชื่อตรงกับคำในภาษากรีก กล่าวคือ
Chole   =  bile (น้ำดีจากตับ)
Stereos  =  solid (ของแข็ง)
Ol  =   (suffix) แสดงว่าแอลกอฮอลล์

การวิจัยต่อมาทำให้ทราบว่าคอเลสเตอรอลเป็นสารตั้งต้นของน้ำดี หรือกรดน้ำดี หากน้ำดีอยู่ในถุงน้ำดีจนมีความเข้มข้นมากขึ้นๆ ก็จะตกผลึกจับตัวกันแข็งกลายเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งก็คือ เปลี่ยนสภาวะมาเป็นของแข็งได้ ตามรากศัพท์ของชื่อที่ตั้งขึ้นมา

แม้ว่าคอเลสเตอรอลจะจัดอยู่ใน Lipid Profile (กลุ่มสารไขมันในเลือด) แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอเลสเตอรอลเป็นสารคล้ายไขมันแต่มิใช่ไขมันแท้จริงเพราะไม่มีค่าพลังงาน (ไขมัน หรือ fat ทั่วไป จะมีค่าพลังงานประมาณ = 9 แคลอรีต่อกรัม)

ติดตามอ่านบทความเรื่อง ตรวจไขมัน ต่อได้ที เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/understanding-your-cholesterol-report

221
  เส้นผม นับว่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความงามและความมั่นอกมั่นใจให้ใครหลายๆ คน ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายที่ช่วยทำให้เส้มผมนุ่มสลวย เงางาม แลดูมีน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นแชมพูสูตรเสริมวิตามินบำรุงเส้นผม ครีมนวดผม ทรีตเมนต์ ซึ่งสามารถบำรุงเส้นผมเองได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ยังมีคอร์สสปาผม ที่ต้องเดินทางไปทำที่ร้านทำผมหรือสถาบันเสริมความงาม แต่หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่า สปาผม คืออะไร จำเป็นต้องทำเป็นประจำหรือเปล่า ช่วยฟื้นฟูและบำรุงเส้นผมได้จริงหรือ HonestDocs มีคำตอบ

สปาผมคืออะไร
สปาผม คือกระบวนการเสริมความงามที่ช่วยฟื้นฟูเส้นผมและบำรุงหนังศีรษะอย่างเข้มข้น เพื่อให้เส้นผมนุ่มสลวย เงางาม แลดูสุขภาพดี โดยคอร์สสปาผมในปัจจุบันก็มีหลากหลายรูปแบบ เป็นต้นว่า การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรซ์เซอร์ น้ำมันสกัดเย็น หรือวิตามินต่างๆ ชโลมไปที่เส้นผมและหนังศีรษะแล้วทิ้งไว้เพื่อให้สารสำคัญซึมซาบสู่เส้นผมและรากผม การใช้เทคโนโลยีจำพวกการอบไอน้ำเข้ามาช่วยบำรุงเส้นผม หรือบางคอร์สอาจมีการนวดศีรษะเพื่อการผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับเทคนิคของร้านทำผมหรือสปาแต่ละแห่ง

จำเป็นต้องทำสปาผมหรือเปล่า?
ก่อนจะทราบว่าเราจำเป็นต้องทำสปาผมหรือเปล่า ลองมาทำความเข้าใจลักษณะเส้นผมโดยธรรมชาติกันก่อน โดยมีองค์ประกอบดังนี้
- โปรตีน 80%
- น้ำ 10-15%
- เม็ดสีผม แร่ธาตุและไขมันประมาณ 5-10%

หากนำเส้นผมมาตัดขวางจะพบว่าเส้นผมของเราแยกส่วนประกอบได้ 3 ชั้น ซึ่งได้แก่
- ผิวนอก (Cuticle) มีลักษณะเป็นเกล็ดใสๆ โปร่งแสงไม่มีสี เรียงซ้อนกันแบบเกล็ดปลาอยู่ชั้นนอกสุดของเส้นผม โดยองค์ประกอบหลักของเส้นผมชั้นนี้คือเคราติน ทำหน้าที่ห่อหุ้มเส้นผม ป้องกันสิ่งสกปรกต่าง ๆที่จะซึมผ่านเข้าไปทำลายเส้นผม ปกป้องเนื้อผมไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น ปกป้องเส้นผมจากแสงแดดและรังสียูวี นอกจากเคราตินแล้วผิวชั้นนอกยังมีน้ำมันตามธรรมชาติเคลือบอยู่ด้วย ช่วยทำให้ผมเรียบรื่น เป็นเงางาม

- เนื้อผม (Cortex) เป็นชั้นที่มีความหนาที่สุดและเป็นโครงสร้างหลักของเส้นผม ชั้นเนื้อผมเป็นแหล่งรวมของเม็ดสี (pigment) เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวกำหนดสีผม มีช่องอากาศ โปรตีน เคราติน และเส้นใยโปรตีนที่เกาะเกี่ยวกัน ช่วยให้ผมมีความนุ่มและยืดหยุ่น

- แกนผม (Medulla) ประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน แกนผมนับว่าไม่มีบทบาทในการทำงาน ส่วนมากจะพบในผมที่มีสุขภาพแข็งแรง โดยผมเส้นเล็กมักไม่มีแกนผม

ปกติแล้วเส้นผมของเราจะมีความแข็งแรง นุ่มสลวยเป็นทุนเดิม แต่หากมีสิ่งเร้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด สารเคมี สภาพอากาศ ฝุ่นควันหรือมลพิษต่างๆ อาจส่งผลให้ผิวนอกถูกทำลาย ทำให้ผมมีอาการชี้ฟู แห้งแตก กลายเป็นปัญหาที่ทำให้ขาดความมั่นใจได้ หลายท่านจึงเลือกเข้ารับบริการสปาผม เพื่อฟื้นบำรุงสภาพผมให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

สำหรับท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม หนังศีรษะ หรือผู้ที่เส้นผมได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าบ่อยๆ เช่น ใช้ครีมเปลี่ยนสีผม หรือสเปรย์จัดแต่งทรงผมเป็นประจำ คอร์สปาผมก็นับว่ามีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาผมชี้ฟู ขสดหลุดร่วงลงได้ ซึ่งอาจเข้ารับบริการเดือนละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผมของแต่ละคน

ติดตามอ่านข้อดีของการทำสปาผมได้ที่ https://www.honestdocs.co/hair-spa

222


การนวดไทย หรือที่เรียกกันแบบติดปากว่านวดแผนโบราณ เป็นการรักษาที่เรียกว่าหัตถเวชกรรมไทย โดยใช้การบีบ การนวด คลึง ดัด ดึง กด ทุบ เคาะ สับ ประคบร้อน อบ เพื่อให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้อย่างสมดุล

นวดไทยมีกี่ประเภท
การนวดไทย นอกจากจะแบ่งตามลักษณะการนวดที่มีมาแต่โบราณออกได้เป็น 2 ประเภทคือ การนวดแบบเชลยศักดิ์และการนวดแบบราชสำนักแล้ว ยังสามารถแบ่งตามสรรพคุณได้ 4 ประเภท ได้แก่ นวดเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อการบำบัดรักษา นวดป้องกันโรค และนวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ
1. การนวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดเพื่อความผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี เส้นเอ็นที่ตึงจะหย่อนลง ทำให้ข้อต่อต่างๆ ของร่างกายไม่ติดขัด
2. นวดเพื่อบำบัดรักษา คือการนวดที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะในการักษาโรคหรือรักษาผู้ป่วย เน้นนวดเพื่อให้อาการของกล้ามเนื้อและข้อต่อดีขึ้น ช่วยให้ขยับข้อต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น การนวดในแบบนี้ ได้แก่โรคเกี่ยวกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง อาทิเช่น ปวดหลัง ปวดคอ โรคเกี่ยวกับข้อต่อ ดังเช่น ไหล่ติด เข่าตึง ส่วนที่นิยมนำมาใช้เป็นการรักษาเสริม เช่น ปวดหัว โรคเครียด โรคนอนไม่หลับการนวดรูปแบบนี้ผู้นวดต้องมีความรู้เรื่องโรคต่าง ๆ ที่ให้การรักษาอย่างมาก
3. นวดเพื่อป้องกันโรค การนวดแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อยและไม่ได้เคลื่อนไหว เช่น ผู้ป่วยนอนติดเตียง ช่วยลดการเกิดแผลจากกดทับที่ผิวหนังหุ้มกระดูก การตบบริเวณหน้าอกช่วยขับเสมหะออกจากปอดป้องกันเสมหะอุดตันที่หลอดลม
4. นวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นการนวดเพื่อให้ร่างกายกับสู่สภาวะปกติ เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเรื้อรัง เป็นต้นว่า ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน ซึ่งจะช่วยลดอาการเกร็ง ทำให้การฟื้นตัวในการทำงานของร่างกายดีขึ้น ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติมากที่สุด และช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนวดในนักกีฬาทั้งก่อนและหลังการเล่นกีฬา รวมถึงการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา

องค์ประกอบการนวด
การนวดแต่ละครั้งอาจมีกรรมวิธีหลายอย่างประกอบกันดังนี้
- นวดด้วยมือ เป็นการใช้มือทั้ง 2 ข้างนวดคลึงด้วยวิธีต่างๆ อาทิเช่น กด บีบ บิด ดึง ดัด ทุบ เคาะ สับ เพื่อสร้างความผ่อนคลายจุดต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่นวดตัว (Body massage) เพื่อการปรับสมดุลของสรีระ นวดฝ่าเท้า (Foot massage) ช่วยผ่อนคลายเส้นเอ็น น่อง ขา และเข่า อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือผสมผสานกันก็ได้
- นวดน้ำมัน (Aroma therapy) การนวดน้ำมันจะใช้น้ำมันอโรม่า ที่สกัดจากพืชธรรมชาติมีกลิ่นหอมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นวิธีบำบัดด้วยกลิ่นและการซึมเข้าผิวหนัง เช่น น้ำมันกุหลาบลดความเครียดได้ น้ำมันเซจลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย ลดปฏิกิริยาการตึงตัวของกล้ามเนื้อ
- นวดประคบ (Herbal ball massage) การประคบสมุนไพรมักเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากนวดเสร็จแล้ว ใช้เวลาประคบราว 15-20 นาที โดยใช้ความร้อนช่วยให้สมุนไพรซึ่มซาบเข้าสู่ผิวหนัง สามารถช่วยให้ลดความปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดการติดขัดของข้อต่อ เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น สมุนไพรที่นิยมใช้ประคบได้แก่ ตะไคร้ มะกูด ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย ไพล ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบพลับพลึง

ติดตามอ่านบทความหัวข้อ นวดไทย ต่อกันได้ที่ เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/thai-massage

223

ดื่มสุรามากๆ ระวังจะตับแข็ง เชื่อเหลือเกินว่า เกือบทุกคนคงเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้าง แต่ทราบไหมว่าจริงๆ แล้วพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตับ ไม่ใช่แค่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่การทานอาหารที่มีไขมันสูง การกินยา วิตามิน หรือ[^_^]ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครรู้ตัวว่า กำลังอยู่ในกลุ่มเสี่ยง การตรวจตับก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คุณรู้ว่า ตอนนี้ตับของคุณ ๆยังแข็งแรงอยู่หรือเปล่า

ทำไมเราจึงต้องตรวจตับ?
ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญ เนื่องจากตับมีหน้าที่หลากหลาย ทั้งเป็นแหล่งผลิตสารสำคัญต่างๆ ในร่างกาย เป็นแหล่งสะสมอาหาร เป็นแหล่งสร้างน้ำดี ขับของเสียออกจากร่างกาย ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เป็นแหล่งรีไซเคิลโปรตีนในร่างกายของเราให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้งโดยไม่มีอวัยวะใดมาทำหน้าที่เหล่านี้แทนได้เลย สมัยปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถคิดค้น หรือผลิตอุปกรณ์ใดๆ มาทำหน้าที่แทนตับได้เช่นกัน

ตับนับว่าเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์อย่างมากเนื่องด้วยแม้จะถูกทำลายจนเหลือใช้งานได้เพียง 30% แต่ก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แถมยังมีกลไกในการซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองอีกด้วย (ต่างจากอวัยวะอื่นๆ ที่หากถูกทำลายไปแล้วก็จะไม่สามารถใช้งานได้เลย)

ด้วยความมหัศจรรย์นี้เอง ทำให้เราไม่เคยรับรู้ถึงสัญญาณเตือนใดๆ ว่า ตับของเรากำลังมีปัญหาอยู่หรือไม่ จึงทำพฤติกรรมที่ทำลายตับไปเรื่อยๆ (แม้ว่าตับของเรานั้นจะซ่อมแซมตัวเองได้ แต่หากถูกทำลายซ้ำๆโดยไม่ได้หยุดพัก ก็สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้เช่นกัน)

ผู้ที่เป็นโรคตับส่วนมากจึงมาพบแพทย์เมื่ออาการของโรคลุกลามไปไกลจนเกินเยียวยาและอาจส่งผลให้เป็นอันตรายถึงชีวิต

การตรวจตับอย่างสม่ำเสมอในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างมาก ทั้งนี้เพราะหากทราบถึงปัญหาและหยุดยั้งสาเหตุที่ทำลายตับได้ทันก็มีโอกาสหายจากโรคนั้นๆ ได้ และตับกลับมาทำงานได้ตามปกติได้อีกครั้ง

ท่านไหนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงควรตรวจตับบ้าง? ติดตามต่อได้ที่
Website : https://www.honestdocs.co/liver-check

224


จะทนปวดข้อ ปวดเข่า อยู่ทำไม ให้ Zenlary ช่วยสิคะ!

ข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อ ปวดเข่า อักเสบ ชา เสียว บวม กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย ทนทรมานจนอาการหนัก ทำอะไรก็ไม่ถนัด
จบปัญหานี้ได้ค่ะ หากคุณ ๆได้รู้จัก Zenlary เซ็นลารี่ ผลิตภัณฑ์[^_^]ที่สกัดจากผักเซเลอรี่ และสมุนไพรของไทยอย่าง ขมื้นชัน งาดำ มังคุด บัวบก พร้อมด้วยวิตามินบี 1-6-12 ที่ช่วยลดเรื่องอาการเหน็บชาและปลายประสาทอักเสบ พร้อมด้วยคอลลาเจนจากปลาทะเล  คุณสมบัติรวมของเซ็นลารี่ ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกอ่อน เพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงข้อกระดูก ลดปวดอักเสบ เห็นผลชัดเจน

มารฐานการผลิตได้รับการรับรองมาตราฐานจาก 3 หน่วยงาน อย., GMP, HACCP สะอาด ปลอดภัย 100%

เพียงลองรับประทาน Zenlary 1 กล่อง ปัญหาเรื่องปวดตามข้อปวดเข่าจะหมดไปทันที
“แล้วจะลืมไปเลยว่าเคยปวด”

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์  :  www.zenlary.com
ไลน์  :  @zenlary (มี@ข้างหน้า)
โทร  :  064-592-4246





225
Hihome All Everything
HIHOME ที่เดียวครบจบทั้งบ้าน
ศูนย์รวมสินค้าที่คัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย และเรายังเลือกสรรแต่สินค้าที่ดีมีคุณภาพมาเพื่อคุณ

สั่งไม่ยาก ชำระเงินปลายทางได้ แค่คลิกเข้าเว็บ

https://www.lazada.co.th/shop/hi
แคปรูปสินค้าที่ต้องการแล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลย
ID Line : @hihome
https://hihomeofficial.com
https://www.lazada.co.th/shop/hi
https://www.facebook.com/hihome8

#Hihome #Electronics #ของเล่น #ไฮเทค #ของใช้ในบ้าน #อุปกรณ์ออกกำลังกาย #ฟิตเนส #อุปกรณ์สำนักงาน #เครื่องครัว #โซล่าเซลล์ #เครื่องใช้ไฟฟ้า #อุปกรณ์ไฮเทค #scooter #Ebike









226


ฮัลโหลซิสสายแฟชั่นตัวแม่สุดจี๊ดทั้งหลาย! เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีมาได้ซักพักใหญ่จนใกล้จะได้ฤกษ์นับวันรอเตรียมเค้าท์ดาวน์เข้าสู่ปี 2020 กันแล้ว จะบอกว่า มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรรอท่าก็คือ อัพเดทเทรนด์แฟชั่นที่มีแนวโน้มว่า ในปีหน้ามาแน่แม่ จะได้นำกระแสหรือเตรียมตัวเข้าเทรนด์ได้แบบไม่มีเอาท์ วันนี้เรานั้นเลยขอยก กระเป๋าสตางค์ใบยาวที่มีแววฮิตเปรี้ยงปร้างในช่วงปี 2020 นี้มาอัพเดทให้คุณ ๆ ได้ชมกันว่า ใบไหนเป็นของที่มันต้องมีบ้าง ถ้าอยากทราบแล้วก็ตามมากันเลยจ้าาาาาา


เทรนด์แรก : กระเป๋าคลัทช์ขนาดใหญ่
ใครที่ส่องติดตามเทรนด์แฟชั่นอยู่แล้วคงจะพอเคยเห็นกระเป๋าคลัทช์ขนาดใหญ่กันมาบ้าง โดยหน้าตาและรูปทรงของนางจะมีความต่างจากกระเป๋าสตางค์ใบยาวปกติไปอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะขนาดที่ค่อนข้างใหญ่สามารถใส่ได้หลายสรรพสิ่ง ทั้งกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก เครื่องสำอาง ของเล็กน้อย ฯลฯ และรูปทรงที่เปลี่ยนจากหน้าตาดูคล้ายคลึงกระเป๋าสตางค์สะพายข้างกลายเป็นเหมือนกระเป๋าทรงถุงจนมีคนเรียกอีกชื่อว่า Pouch ใช้งานด้วยการใส่ของแล้วหนีบไว้ตรงข้อพับแขน ตอบโจทย์ได้ทุกวัย ตั้งแต่วัยเรียน ไปจนถึงวัยทำงานและกลุ่มผู้สูงวัย แต่เท่าที่ส่องๆ มา เราว่า กลุ่มสาววัยทำงานนี่แหละมีไว้พกแล้วเป๊ะ หนีบข้างตัวแล้วปังสุดๆ ไปเลย


เทรนด์สอง :  กระเป๋าคลัทช์รูปทรงแปลกตามศิลปะสมัยใหม่
อยากจะอัพเดทเทรนด์ให้เก๋ล้ำนำใคร ต้องแปลกใหม่ และแตกต่างแบบฉีกแนวไปเลย หากนึกสไตล์ไม่ออกขอเสนอแนะให้ล่องส่องตามงานแฟชั่นวีค เช่น กระเป๋าคลัทช์ล่าสุดจาก YSL ที่ทำเป็นทรงสามเหลี่ยม เน้นว่า สามเหลี่ยมนะคะ ไม่ใช่ขนมจีบเด้อ, ส่วน off white ก็ไม่ยอมแพ้ตีความแซ่บในแบบเรียบๆ ตรงคอนเซ็ปต์น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชึ่น ได้เลย ทรงมนเรียบๆ สไตล์วินเทจร่วมสมัย โดยเพิ่มความสวยได้ตรงที่ทำออกมาสมกับที่เป็นกระเป๋าสตางค์ใบยาวได้สมชื่อ ยาวประมาณจากมือถึงข้อศอกเลยทีเดียว ฯลฯ


เทรนด์สาม :  กระเป๋าแบบเป็นเข็มขัดแนบตัว หรือกระเป๋าคาดเอว
หลายช่วงเวลาที่กระเป๋าแนวแบบเข็มขัดโดยมีกระเป๋าสตางค์ใบยาวแนบอยู่ด้วยจะถูกยกมาเป็นอินสปายเรชั่นเพื่อสร้างสรรค์กระเป๋าแนวใหม่ให้สวยล้ำนำเทรนด์ใคร โดยในปี 2020 นี้มีแนวโน้มที่กระเป๋ารูปทรงหน้าตาแบบนี้จะถูกนำกลับมาใช้และฮิตติดเป็นกระแสอีกครั้ง เพราะเทรนด์การแต่งกายแนววินเทจยังคงอยู่ต่อ เมื่อแต่งตัวแนวนั้นแล้วคาดกระเป๋าเข็มขัดแบบนี้มันช่างดูเข้ากันซะเหลือเกิน แต่ใบที่จะฮิตก็จะมีความแปลกใหม่และเก๋ไก๋เพิ่มขึ้นมาบ้าง อาทิเช่น มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ เรียงร้อยหลายใบไว้เป็นแถบ ฯลฯ


เทรนด์สี่ : กระเป๋าสตางค์ใบยาวที่มีหน้าตาเป็นเจ้าขนปุกปุย
เพื่อนขนยังคงมาเหมือนเดิม โดยเริ่มกลับมาตั้งแต่ที่ เจ้ากระเป๋า Valentino SS19 ถูกสร้างสรรค์ไปด้วยขนรอบใบ สร้างกระแสฮือฮาให้เริ่มมีการทำกระเป๋าสไตล์สวมวิญญาณเจ้าขนปุกปุย และแน่นอนว่า หนึ่งในกระเป๋าที่ถูกหยิบมาตกแต่งเพิ่มความเก๋ไก๋ให้พร้อมนำกระแสในปี 2020 นี้ ก็มี กระเป๋าคลัทช์ หรือกระเป๋าสตางค์ใบยาวรวมอยู่ด้วย จนติดอันดับหนึ่งใน The Best Bag Trends ของเว็บ ELLE

เทรนด์ห้า : เฉดสีกระเป๋าสตางค์ใบยาวที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไป
จากที่ช่วงก่อนหน้านี้ คุณ ๆ จะเลือกสีโทนมินิมอลหรือออกแนวพาสเทลโทนสีลูกกวาดไปเลย ในช่วงตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2019 ไปจนถึง 2020 นี้ เฉดสีที่ค่อนข้างโดดเด่น มีความสด แต่ก็ไม่แปร๋น ดูแล้วสบายตา เช่น สี Lazy Purple ,  Contrast Teal, Summer Dark Forest, Tangerine Blues, Silver Flamingo, Purple Bluebird, Red Sunflower Shadow, Glacier Pea Green ฯลฯ


เทรนด์หก : กระเป๋าสตางค์ใบยาวแนววินเทจยังคงฮิตตลอดกาล
ถ้าจะพูดว่า แฟชั่นเป็นศิลปะที่อมตะ ก็คงจะไม่ผิดซักเท่าไหร่ เพราะว่าช่วงเวลาหนึ่งแฟชั่นสไตล์นี้อาจจะหายไปแต่วันหนึ่งก็อาจจะถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นและกลับมาฮิตอีกครั้งก็ได้ใครจะรู้ และเทรนด์ที่ช่วยตอกย้ำคำพูดนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือ กระเป๋าสตางค์ใบยาวแนววินเทจก็ยังคงฮิตตลอดกาล มีหลายแบรนด์ที่ทำสไตล์นี้ อาทิเช่น Tory Burch, Versace ฯลฯ ถ้าหยิบชุดรุ่นคุณแม่ขึ้นมาแต่งก็จะได้ฟีลวินเทจย้อนยุค แต่หากหยิบชุดสไตล์ในปัจจุบันก็จะได้ความมินิมอลดูเรียบง่าย ร่วมสมัย แต่ไม่เชยไปอีกแบบ


แถมสักนิด : เคล็ดไม่ลับกับการเลือกกระเป๋าสตางค์ใบยาว
สาวๆ คนไหนที่อ่านมาจนเริ่มรู้สึกว่า เราจะต้องมีกระเป๋าสตางค์ใบยาวอีกซักใบ ไว้ครอบครองให้ทันเทรนด์ช่วงปีที่จะถึงนี้ เราขอเสนอแนะหลักการเลือกกระเป๋าสตางค์ใบยาวง่ายๆ แค่เพียงไม่กี่ข้อ ดังนี้ เริ่มจากการดูว่า เราต้องการใช้แบบไหน เพื่อใส่อะไรบ้าง บางคนอาจจะอยากได้ไว้เพื่อพกเพื่อใส่เงินและบัตรต่างๆ เท่านั้น เช่น แบบกระเป๋าคลัช Clutch Daisy- M.Wine  ยี่ห้อ St.James ฯลฯ หรือบางคนอาจจะต้องการใส่ของจุกจิกเล็กๆ เพิ่มเติม ถัดจากนั้นลองพิจารณาดูถึงรูปทรงการออกแบบโดนใจหรือไม่ และสุดท้ายก็ดูวัสดุว่า ทำมาจากอะไร หากลงทุนไปแล้วจะสามารถใช้ได้นาน/คุ้มค่าหรือไม่

สุดท้ายนี้ เมื่อเริ่มต้นปีใหม่แล้ว ก็อย่าลืมเริ่มต้นสร้างกำลังใจในช่วงฤกษ์งามยามดีเตรียมพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาด้วยการมองหาของใหม่ๆ มาใช้เพื่อเป็นกำลังใจ(เผื่อจะ)ช่วยเสริมดวงให้ตัวเองได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างเช่น การมองหากระเป๋าสตางค์ใบยาวใบใหม่มาใช้ ฯลฯ ไม่เพียงแค่ตามเทรนด์ทัน แต่ช่วยเพิ่มกำลังใจและบอกกับตัวเองได้ว่า ปีนี้เงินจะไหลมาเทมาเป็นการต้อนรับกระเป๋าใบใหม่ให้เราแน่ๆ ยังไงตอนนี้เราขอตัวลาไปหาซื้อกระเป๋าสตางค์ใบยาวมาเพิ่มในกรุก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่น้า xoxo หรือสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.stjamesandtrend.com/product-category/long-wallets/

227
A dog lovers แก็งหมาสอนหมา และเพจ Blablaboo เริ่มต้นจากการที่เราฝันถึงการได้มีโอกาสเลี้ยงน้องหมาที่ใฝ่ฝันนั่นก็คือน้องหมาพันธุ์ Border Collie ซึ่งเป็นสุนัขต้อนแกะ และมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดที่สุด ส่วนมากจะเป็นหมาที่ต่างประเทศจะนำไปโชว์การแสดงเนื่องด้วยสติปัญญาที่เรียนรู้ได้ไว

ซึ่งหลังจากนั้น ด้วยเหตุการณ์ในชีวิตหลายๆอย่างเกิดขึ้นจนวันนึงได้มีโอกาสเลี้ยงและสัมผัสน้องหมาในสายพันธุ์ที่เราใฝ่ฝัน จึงทำให้เกิดความคิดในการเลี้ยงหมาสายพันธุ์อื่นๆตามมา ดังเช่น ซามอยด์ ไซบีเรียน ชิบะ  และได้ค้นพบความน่ารักแต่ละสายพันธุ์ และเราต้องการแชร์ความน่ารักของน้องๆเหล่านี้ให้โลกรู้

ซึ่งระยะเวลาไม่นานเพจ A dog lovers และเพจ Blablaboo ได้สร้างขึ้นมา เพื่ออัพเดทความเป็นอยู่ความน่ารัก และให้ความรู้บางส่วนในการเลี้ยงดูแลสุนัข ในการเลือกสุนัขที่เหมาะกับคนที่จะเลี้ยง เป็นการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ท้ายที่สุดเรากำลังจะทำ Dog Cafe’ ให้เป็นคาเฟ่สุนัขอันดับ 1 ของโลก เราเป็นเพจและคาเฟ่ ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนวงการ Cafe’ สุนัข และในการให้คำแนะนำกับคนที่จะเลี้ยงสุนัขอย่างมีความรับผิดชอบ และจะไปแสดง Performance ในเวทีโลกว่าคนไทยถ้าตั้งใจทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก !!
OUR GOAL IS NO 1 IN THE WORLD !!
สามารถติดตามเราได้ที่
เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/blablabooh





















228
บริษัท ชิปนี่ จำกัด บริการ Freight Forwarder และชิปปิ้ง (Shipping)สำหรับผู้ประกอบการที่มีความต้องการนำเข้าสินค้าต่าง ๆจากประเทศจีน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เรามีบริการทั้งการขนส่งทางเรือและเครื่องบิน (FCL, LCL, Air) พร้อมดำเนินพิธีการศุลการกร เคลียร์ภาษี ครบวงจร สามารถรับสินค้าของท่านได้ตั้งแต่หน้าโรงงานประเทศจีน และส่งมาถึงบริษัทท่านที่ประเทศไทย

สินค้าที่เราบริการนำเข้า อาทิ
- เสื้อผ้าแฟชั่น กระเป๋าแฟชั่น ตุ๊กตา
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
- อะไหล่รถยนต์

นอกจากนี้เรายังบริการส่งออกระหว่างประเทศดังต่อไปนี้ จีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, เวียดนาม

อ่านรายละเอียดวิธีนำเข้าสินค้าจากจีน อย่างถูกกฎหมายได้ที่
https://www.shipnee.com/how-to-import-from-china-legally

ชิปนี่พร้อมดูแลการขนส่งระหว่างประเทศของคุณ
ขอใบเสนอราคาค่าเฟรท ติดต่อเราได้เลยครับ
เว็บไซต์ : https://shipnee.com
โทรศัพท์ : 098-489-4894
แอดไลน์: @shipnee
อีเมล : [email protected]


นำเข้าสินค้าจากจีน
ชิ้ปปิ้งจีน






229


  Tarmarind mask cream ครีมพอกผิวที่อุดมด้วยคุณค่าจากธรรมชาติช่วยบำรุงผิวให้ขาวใส
 ลดความมัน ลดจุดด่างดำ ลดรอยสิว รอยคล้ำจากฝ้าและกระ ให้ผิวสวย ใส เนียนนุ่ม น่าสัมผัส
 จากสมุนไพรธรรมชาติ มะขาม น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ว่านหางจระเข้ นมสด น้ำผึ้ง ทานาคา ขมิ้นชัน ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและตัว
 ดีท็อกซ์ผิวให้สวยใส น่าสัมผัสสปาผิวของคุณให้สวยกระจ่างใสได้เองที่บ้าน

 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
 E-Mail : [email protected]
 เฟสบุ๊ค : ploythaispa

 สครับ มาส์ก


 

 

230
304 รถรีไฟแนนซ์
บริการจำนำเล่มรถยนต์ทุกชนิด ซื้อ ขาย และเปลี่ยน โอน ย้าย
ไม่เช็คเครดิต ทุกอาชีพอนุมัติ 100%
รีไฟแนนซ์รถ โซนภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ตราด สระแก้ว
โทร : 093-095-6555
ID Line : 093-095-6555
Facebook : https://www.facebook.com/304carrefinance/




231
กระเป๋าเป้สะพายหลังกลายมาเป็นหนึ่งในไอเท็มสำคัญของผู้หญิงยุคนี้และกลายมาเป็นหนึ่งในแฟชั่น ที่คุณ ๆ หลายๆ คนนิยมชมชอบกันเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุว่านอกจะให้ความเก๋อย่างมีสไตล์แล้ว ยังตอบโจทย์ต่อการใช้งานมากกว่ากระเป๋าสะพายหรือกระเป๋าถือแบบทั่วไป เนื่องมาจากมีพื้นที่ค่อนข้างมากกว่ากระเป๋าสะพายข้าง ทั้งยังสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ทำให้การเคลื่อนไหวมีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะฉะนั้นกระเป๋าเป้สะพายหลังจึงถือว่าเป็นหนึ่งในแฟชั่นที่สามารถมิกซ์สไตล์เข้ากับเครื่องแต่งกายได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะไปทำงาน, ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ไปเรียน ให้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งถ้าคุณกำลังสนใจกระเป๋าลักษณะนี้ลองมาดูกระเป๋าเป้สะพายหลัง สวยๆ ในแบบที่หลาย ๆ คน กำลังฮิตกันทางนี้เลยค่ะ

1.กระเป๋าเป้สะพายหลังแบบ LAPTOP BACKPACK
กระเป๋าเป้ในแบบ LAPTOP BACKPACK จัดว่าเป็นหนึ่งในกระเป๋าเป้สะพายหลังที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งนี้เพราะมีแบรนด์ดังจับกระเป๋าลักษณะนี้มาปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้มีความเก๋มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทรงโดมหรือทรงเหลี่ยม พร้อมไปด้วยการใส่สีสันอันสดใส โดยบางแบรนด์จะใช้สีทั้งโทนพาสเทลและโทนพื้นฐานผสมผสานกันได้อย่างสวยงาม ที่สำคัญคือยิ่งแบรนด์ดังมากเท่าไหร่สนนราคาก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น เนื่องจากจะมีอุปกรณ์ Safety คุณภาพภายในที่ติดมากับตัวกระเป๋า รวมไปถึงช่องต่างๆ ที่สามารถใส่โน๊ตบุ๊ค ใส่สมุด และใส่อุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ ได้ครบครันโดยที่กระเป๋าจะไม่ป่องออกมาจนดูไม่สวยงาม พร้อมทำให้คุณสะพายไปได้ทุกที่อย่างมั่นใจและรูปทรงของกระเป๋ายังดูเท่อีกด้วย


2.กระเป๋าเป้สะพายหลังแบบ TWO-WAY ZIP BACKPACK
กระเป๋าเป้สะพายหลังแบบนี้จะมาในรูปแบบกระเป๋าขนาดเล็ก ที่สามารถใช้เพื่อการไปทำงานหรือการเดินทางได้อย่างคล่องตัว โดยมีการออกแบบสุดเก๋ที่ไม่เหมือนกับกระเป๋าในรูปแบบอื่นๆ โดยจะเป็นซิป 2 อันที่รูดชนกันและยังมีกระเป๋าขนาดเล็กด้านข้างที่เป็นช่องซิปไว้ใส่ของเพิ่ม โดยที่่ตัวของกระเป๋าจะมีขนาดเล็กกะทัดรัด ไม่ใหญ่มาก และมีสายต่อกระเป๋าที่จะทำให้คุณปรับเปลี่ยนกลายเป็นกระเป๋าถือหรือกระเป๋าสะพายหลังได้อย่างสะดวกอีกด้วย ดังเช่นกระเป๋าเป้สะพายหลัง WRINKLED EFFECT TWO-WAY ZIP BACKPACK ของ Charles & Keith ที่ถูกออกแบบมาเป็น TWO-WAY ZIP BACKPACK ที่ใช้สะดวก ซิปมีความลื่นรูดง่าย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างโดดเด่นหรือจะติดตัวไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ก็เหมาะสม สวมใส่เข้าได้กับทุกลุคและทำให้คุณเก็บของใช้ส่วนตัวได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย


3.กระเป๋าเป้สะพายหลังแบบ DOME BACKPACK
กระเป๋าเป้แบบ DOME BACKPACK มาในรูปแบบของกระเป๋าขนาดกลางและขนาดเล็กกะทัดรัด ที่สายกระเป๋าจะมีขนาดที่ค่อนข้างยาว ตัวกระเป๋าจะห้อยอยู่ประมาณกลางหลังและมีรูปทรงของกระเป๋าเป็นทรงโดม ที่ด้านบนของกระเป๋าจะเป็นทรงรีและด้านล่างเป็นทรงเหลี่ยม สามารถใส่ของได้หลากหลายและให้ดีไซน์ที่ค่อนข้างเก๋มากเลยทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกระเป๋าเป้สะพายหลังใบใหญ่เทอะทะและต้องการกระเป๋าที่มีดีไซน์เหมาะสมกับความเป็นคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีการผสานสีสันสดใสหลากหลายสีให้คุณได้เลือก อาทิเช่นรุ่น LARGE DOME BACKPACK ของ Charles & Keith ที่เป็น กระเป๋าเป้สะพายหลังดีไซน์สุดเก๋รูปแบบใหม่ทรงโดม มีพื้นที่เก็บของจำเป็นที่จะเก็บได้เป็นจำนวนมาก พร้อมให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน มีรูปทรงที่ดูทันสมัย สามารถสวมใส่กับแฟชั่นได้ทุกแบบทุกสไตล์ โดยเฉพาะสไตล์เสื้อครอปกับกางเกงสปอร์ตถือว่าเหมาะสมมากเลยทีเดียว


4.กระเป๋าเป้สะพายหลังแบบ OUTDOOR BACKPACK
กระเป๋าเป้สไตล์ OUTDOOR BACKPACK จะมีรูปทรงที่ค่อนข้างใหญ่ก็เพราะว่าจะต้องสามารถใส่ของภายในได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าเทียบกับกระเป๋า LAPTOP BACKPACK แล้วกระเป๋าเป้สะพายหลังแบบ OUTDOOR BACKPACK จะมีขนาดใหญ่กว่าแต่อาจจะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะเหมาะกับบุคลิกของสาว ๆสายลุยหรือคนที่จำเป็นต้องพกพาสิ่งของติดตัวเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันกระเป๋าเป้สะพายหลัง สไตล์ OUTDOOR BACKPACK มีการออกแบบมาให้ดูทันสมัยและดูเท่มากขึ้น โดยที่ประโยชน์การใช้งานด้านเก็บของยังคงดีเท่าเดิม ดังนั้นไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถหาซื้อกระเป๋าเป้สะพายหลัง แบบ OUTDOOR BACKPACK มาใช้งานได้อย่างไม่ต้องกังวล


5.กระเป๋าเป้สะพายหลังเพื่อสุขภาพ
อีกหนึ่งรูปแบบกระเป๋าเป้สะพายหลังที่กำลังได้รับความนิยม คือ กระเป๋าเป้เพื่อสุขภาพที่มีแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งนำกระเป๋าสะพายแบบคลาสสิกทรงเหลี่ยมกลับมาใส่สีสันสดใส พร้อมชูจุดเด่นในเรื่องของลดปัญหาอาการปวดหลังและอาการปวดไหล่ที่เกิดจากการสะพายกระเป๋าเป้ได้ โดยจะเน้นใช้วัสดุเป็นแบบคุณภาพชั้นดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักเบา ทุกขั้นตอนการผลิตได้มาตรฐาน มีความทนทานและไม่เปียกน้ำง่ายเนื่องมาจากมีการเคลือบสารกันน้ำ มีช่องซิปที่รูดง่าย ขนาดไม่ใหญ่มากและสามารถมิกซ์กับสไตล์การแต่งตัวได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังให้ประโยชน์ในด้านเก็บของ, เก็บlaptop หรือเป็นกระเป๋าสะพายหลังดีไซน์เก๋ที่รวมเอาทุกความต้องการของคนยุคนี้ไว้ในหนึ่งเดียวได้อย่างดี

กระเป๋าเป้สะพายหลังยุคใหม่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ เพื่อให้ดูทันสมัยและสามารถเข้าได้กับทุกสไตล์การแต่งตัว พร้อมทำให้การเดินทางไปท่องเที่ยวหรือไปทำงานมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังพัฒนารูปแบบการผลิตกับวัสดุที่ใช้ในการทำกระเป๋าให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเก็บรักษาlaptopและของภายในกระเป๋าได้เป็นอย่างดี เพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำ, กันกระแทก และกันการฉีกขาดได้ง่ายอีกด้วย
ชมกระเป๋าเป้สะพายหลังสวย ๆได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.charleskeith.co.th/th/bags/bags-all/backpack

232


ถ้าอ้างอิงถึง forex หลายท่านก็คงจะรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะค่ะ ว่ามันก็คือ ตลาดการเงิน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีระบบการซื้อ-ขายเงินตราระหว่างสกุลเงิน โดยการซื้อสกุลเงินหนึ่ง และก็ขายไปอีกสกุลเงินหนึ่งนั่นเอง ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ บุคคลธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆนั้น ก็สามารถที่จะซื้อ-ขายเก็งกำไรสกุลเงินกับบริษัท และสถาบันการเงินต่างๆ ได้ โดยผ่านตัวแทน หรือโบรกเกอร์ ที่มีบริการให้เราได้เลือกในโลกออนไลน์ และหากเราสามารถวิเคราะห์เก็งกำไรได้ว่า เงินสกุลใดจะมีมูลค่าสูง เราก็จะทำการเทรดเงินสกุลนั้นได้กำไร ซึ่งกำไรที่ได้นั้นถือว่ามีมูลค่าสูงเลยทีเดียวล่ะค่ะ จึงทำให้การ เทรด forex นี้กลายเป็นที่นิยมของนักลงทุนมากมาย โดยเฉพาะมือใหม่หลายท่าน ก็คงอยากจะทราบกันใช่ไหมคะว่า ไอ้เจ้า forex นี้เราจะเล่นได้ยังไง เทรดอย่างไร ให้ได้กำไร บทความนี้ มีคำตอบมาให้ทุก ๆ คน ได้ คลายความสงสัยกันแล้วล่ะคะ กับ ฟอเร็กซ์เล่นยังไง ให้ได้กำไร ฉบับมือใหม่หัดเทรด ใครอยากทราบ ก็ตามมาเลยคร้า

การที่เราจะเล่น forex ให้ได้กำไรนั้น เราจะต้องเทรดอย่างมีหลักการค่ะ ก็เพราะว่าเราเทรดโดยไม่มีความรู้ คิดจะอาศัยดวงเหมือนเล่นการพนันแล้วล่ะก็ การลงทุนก็ย่อมต้องเสี่ยง กับการขาดทุนอย่างแน่นอน โดยบทความนี้เราก็ได้รวบรวม แนวคิดเทรด ของนักเทรดมืออาชีพ ที่เคยประสบความสำเร็จ สามารถทำกำไรจากการเทรดได้อย่างมหาศาล มาให้มือใหม่หัดเทรด อย่างเพื่อนๆ ได้ลองศึกษากันดู ดังนี้ค่ะ

ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการซื้อ-ขาย forex เพราะว่าการเทรด forex เราจะต้องใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ซึ่งอุปกรณ์ที่เป็นที่นิยมก็คือ โทรศัพท์สมาร์ทโฟนนั่นเองค่ะ จะเป็นของระบบ iOS หรือ Android ก็ได้ค่ะ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่เรานั้นต้องพกพา และใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้เราได้ฝึกปรือพอร์ทจำลองของโบรก ได้ศึกษาการเทรดจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ มีความสะดวก รวดเร็ว ในการดูกราฟ สามารถควบคุมบัญชีการซื้อขายได้อย่างสมบูรณ์ และยังสามารถเทรด พร้อมติดตามผลการเทรดได้ทุกที่ และตลอดเวลาอีกด้วย

ฝึกปรือการใช้โปรแกรมเทรด เราจะต้องฝึกฝนเทรดให้คุ้น ก่อนลงสนามจริง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนนั่นเอง โดยโปรแกรมที่ใช้ เทรด forex นี้ก็คือ โปรแกรม MT4 หรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Meta Trader4 ซึ่งเป็นโปรแกรม ที่ใช้สำหรับเปิด-ปิด ออเดอร์ ที่เราสามารถโหลดได้ทั้งจากคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนก็ได้ค่ะ เมื่อลงโปรแกรมแล้ว ก็ฝึกฝนการเทรด ดูกราฟให้ชำนาญ ศึกษาเคล็ดลับ แนวรับ แนวต้านของแต่ละฝั่งของการซื้อ-ขาย ให้ดี เมือท่านเกิดความเชี่ยวชาญ จนพร้อมที่จะเป็นเทรดเดอร์แล้ว ก็เตรียมตัวลงสนามกันเลย

เลือกแนวทางการเทรด Forex โดยการเลือกแนวทางในการเทรดนี้ เราจะต้องรู้จักตัวเองให้ดีค่ะ ว่าเราเหมาะสมกับแนวทาง วิธีการ และเหมาะสมกับโบรกเกอร์แบบไหน เพราะว่าหากเราสามารถเลือกได้เหมาะสม กับนิสัย หรือตัวตนของเราแล้วล่ะก็ ผลกำไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และความสำเร็จก็ย่อมจะมาถึงเราได้เช่นกัน โดยแนวทางในการเทรดนี้เราเองอาจจะต้องอาศัยชั่วโมงบิน เรียนรู้การเทรด ที่อาจจะต้องยอมขาดทุน ยอมอดทนกับการเจอปัญหาต่างๆบ้าง โดยเราจะต้องเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล เลือกกรอบเวลา กำหนดจุดของการขาดทุน เลือกสไตล์การเทรดที่เหมาะสม และต้องหมั่นฝึกฝน เรียนรู้อยู่เสมอด้วยนะคะ

เลือกโบรกเกอร์ที่เป็นมืออาชีพ เชื่อถือได้ ในการเทรด forex นี้เราจะต้องเทรดผ่านตัวแทน หรือโบรกเกอร์ค่ะ ซึ่งหากเรามีโบรกเกอร์ที่ดี เป็นมืออาชีพ เชื่อถือได้ ก็จะทำให้เราเองนั้นสามารถสร้างกำไร จากการเทรดนั้นได้อย่างแน่นอน โดยการเลือกโบรกเกอร์ที่ดี ก็จะมีหลักการพิจารณาคือ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง มีสัญญาการจัดตั้งโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง สามารถฝาก-ถอนเงินได้สะดวก รวดเร็ว มีโปรโมชั่น ที่น่าสนใจ น่าดึงดูดให้เกิดการลงทุน เมื่อเราเลือกโบรกเกอร์ได้แล้ว ก็ทำการสมัคร และเปิดบัญชีเทรดกับโบรคเกอร์ได้เลย

เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับ ฟอเร็กซ์เล่นยังไง ให้ได้กำไร ฉบับมือใหม่หัดเทรด ที่เราได้รวบรวมข้อมูล มาให้ทุก ๆ ท่านได้ลองศึกษา และนำไปเป็นแนวทาง หรือนำไปปรับใช้ ในการหัดเทรด forex กันดู เทรดแล้วได้ผลยังไง ก็อย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์ เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.siammetatrader.com/เทรด-forex-ตลาดการเงิน-ที่ใหญ่ที่สุดในโลก-ฉบับมือใหม่

233
สถาบันเสริมทักษะสำหรับเด็กที่ให้มากกว่าความรู้ @bricks 4 kidz
หากคุณกำลังมีคำถามว่าให้เด็กๆ พัฒนาทักษะและภาษาที่ไหนดี bricks 4 kidz เป็นอีกหนึ่งคำตอบ เพราะเป็นสถาบันเสริมทักษะที่เปิดนานกว่า 11 ปี มาเปิดประสบการณ์ใหม่ให้เด็ก ๆ ได้ทั้งความสนุกสนาน ความรู้ ทักษะทางสังคม อารมณ์ และทักษะภาษา เรียนรู้ผ่านการต่อ LEGO ด้วยหลักสูตร STEM Education (Science  Technology  Engineering  Mathematics) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก และมีสาขากว่า 600 สาขา ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญให้มีระดับความยากง่ายที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมพัฒนาการทั้งสมองและกล้ามเนื้อมือ เน้นการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นหลักกับครูชาวต่างชาติ เหมาะกับเด็กๆ ตั้งแต่อายุ 1-13 ปี

“We Learn We Build We Play”

สอบถามรายละเอียดคลาสเรียนได้ทาง
Facebook : Bricks 4 Kidz Thailand
ID Line : @Bricks4Kidz หรือ Tel. 096-394-6353
หรือลงทะเบียนไว้ที่ http://bit.ly/B4KJIRE

#สถาบันพัฒนาทักษะผ่านLEGO
#brick4kidz
#สนามเด็กเล่นที่ให้มากกว่าความสนุก







234


นายอมร มีมะโน ผู้ก่อตั้ง บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA ผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์เอเจ และ ตัวแทนอาลีบาบากรุ๊ปได้นำคณะผู้นำธุรกิจจากสาธารณรัฐประชาชนจีน บริษัท Blue Source Capital Group (BSCG) เข้าพบนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการค้าการลงทุนและสร้างแพลตฟอร์มการรวมกลุ่มรายอุตสาหกรรม (VSCP) ร่วมกันระหว่างไทยกับจีน เพื่อประโยชน์ในด้านการค้าและการลงทุน

ติดตามอ่านข่าวนี้เพิ่มเติมได้ที่  https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1709695

หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 56