แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Shopd2

หน้า: 1 ... 253 254 [255] 256 257 ... 265
4573
คนตั้งครรภ์ทานข้าวกล้องออแกนิคอร่อยโภชนาการสูงสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร ข้าวสุรินทร์ 100%
 ข้าวอินทรีย์  จากนาข้าวเคมีสู่นาข้าวอินทรีย์  ส่งเสริม ผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ …..ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค (ข้าวอินทรีย์สุรินทร์)
        การรับประทาน “#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ ” ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  “#ข้าวกล้องออร์แกนิค”  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  กลุ่มข้าวมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   กลุ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5. ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคสำหรับทารก, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ข้าวผกาอำปึล, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ “ข้าวกล้องออร์แกนิค”  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ “ข้าวกล้องออร์แกนิก”  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ขายข้าวหอมมะลิอินทรีย์
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวอินทรีย์หอมมะลิ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิก
3.  ข้าวหอมปะกาอำปึลอินทรีย์  ข้าวสุขภาพผกาอำปึล(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมี จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์ 6.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล
7. ข้าวไรซ์เบอรี่ปลอดสารพิษ  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ปลอดสารพิษ

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 

4574


ธอส.เผยความต้องการสินเชื่อโครงการ'บ้านล้านหลัง'เฟส 2 พุ่ง แค่ 3 วัน มีลูกค้าทั่วประเทศลงทะเบียนเข้าร่วมแล้ว 34,926 ราย วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 41,911 ล้านบาท จากกรอบวงเงินที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท พร้อมเร่งตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนผ่านแอป GHB ALL และทำนิติกรรมกู้เพื่อมีบ้านเป็นของตนเอง จับตา ธอส. จ่อขยายกรอบวงเงินเพิ่ม

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธอส. เปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 อัตราดอกเบี้ยต่ำ 1.99% ต่อปี นาน 4 ปีแรก เงินงวดคงที่ 84 งวดแรก ( 7 ปี ) ให้กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ บ้านมือสอง และทรัพย์ NPA หรือเพื่อปลูกสร้าง ในระดับราคาซื้อ-ขายไม่เกิน 1,200,000 บาท โดยลงทะเบียนผ่าน Mobile Application : GHB ALL เพื่อรับรหัสสำหรับเข้าร่วมโครงการทาง GHB Buddy บน Application Line ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564 เป็นต้นมา 

ล่าสุดในวันนี้(จันทร์ที่ 13 กันยายน 2564) เวลา 9.00 น. มีลูกค้าลงทะเบียนเพื่อรับรหัสเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 34,926 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 41,911 ล้านบาท โดยมีลูกค้าที่เตรียมเอกสารพร้อมยื่นกู้ที่สาขาทั่วประเทศคิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมแล้วมากกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ที่ ธอส. สำนักงานใหญ่ รวมถึงที่ทำการสาขาทุกแห่งทั่วประเทศมีลูกค้ากลุ่มแรกที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อเดินทางเข้ามาทำนิติกรรมสัญญาเงินกู้อย่างต่อเนื่อง

"โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 เป็นโอกาสดีในการมีบ้านที่รัฐบาลมอบให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย คนวัยทำงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในตลาดที่ 1.99% ต่อปี กรณีกู้ 1.2 ล้านบาท (ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี) เงินงวด 5,000 บาทคงที่ 7 ปีแรก ซึ่งธนาคารจะคิดเงินงวดผ่อนชำระรายเดือนที่ 1 ใน 2 ของรายได้สุทธิต่อเดือน จากปกติ 1 ใน 3 ของรายได้สุทธิต่อเดือน ดังนั้น กรณีผู้กู้มีรายได้สุทธิต่อเดือน 10,000 บาท ก็จะมีโอกาสได้รับวงเงินกู้สูงสุด 1.2 ล้านบาทแล้ว”นายฉัตรชัย กล่าว



ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันจะมีจำนวนลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 41,911 ล้านบาท (กรอบวงเงินโครงการซึ่งกำหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาท) แต่ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ยังสามารถลงทะเบียนผ่าน Mobile Application : GHB ALL เข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง เพราะโครงการจะสิ้นสุดยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 หรือ เมื่อมีลูกค้าได้รับอนุมัติสินเชื่อและทำนิติกรรมเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ธอส.ได้มีการดำเนินโครงการ 'บ้านล้านหลัง' เฟสที่ 1 วงเงิน 50,000 ล้านบาท มีประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแล้ว 53,000 ราย และคาดว่าจะมีจำนวนรายเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ดี โครงการบ้านล้านหลัง ในเฟสที่ 2 กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทางธอส.จะเตรียมความพร้อมในการขยายกรอบวงเงินเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนในการมีที่อยู่อาศัย และซื้อทรัพย์สินรอการขายจากธอส.

4575


ในช่วงของมหกรรมการแข่งชันกีฬา พาราลิมปิก โตเกียวเกมส์  2020 ที่ผ่านมา เชื่อว่าหากใครได้ติดตามชมการแข่งขัน คงได้รับพลังใจดี ๆ จากเหล่านักกีฬาคนพิการที่ร่วมเข้าแข่งขัน หรืออย่างน้อยก็เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น

เนื่องจากพวกเขาเหล่านี้ล้วนได้แสดงให้คนทั้งโลกเห็น ไม่ว่าใครจะมีร่างกายอย่างไรก็สามารถออกกำลำลังกายและเล่นกีฬาได้  ยิ่งหากมีความตั้งใจด้วยล่ะก็ สามารถทำทุกอย่างและประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

เอ๋-อรวรรณ บุตรโพธิ์ นักกีฬายกน้ำหนักคนพิการทีมชาติไทย หนึ่งในนักกีฬาคนพิการจากทั่วโลกที่ ‘ซิตี้แบงก์’ ให้การสนับสนุน บอกว่าต้องพยายามทำให้ตัวเองมีวินัยกับในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการออกกำลังกายและการซ้อมกีฬา โดยแนะนำ 3 พื้นฐานเบื้องต้นที่ต้องทำ ก่อนออกกำลังกายและฝึกซ้อม ไม่ว่าผู้นั้นจะมีร่างกายปกติและพิการหรือไม่ก็ตาม

1 : การรู้จักร่างกายของตัวเองก่อนออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้จักร่างกายของตัวเองดีไปมากกว่าตัวเราเอง ดังนั้นก่อนออกกำลังกายในแต่ละครั้ง อันดับแรกคือ ควรเช็คและตรวจสอบสมรรถภาพร่างกายของตัวเองให้ดีว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ร่างกายมีอาการหรือเป็นโรคอะไรที่ต้องควรระมัดระวังอยู่หรือไม่ รวมถึงการตรวจอวัยวะว่ามีส่วนไหนกำลังเป็นปัญหาด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะที่เป็นพวกข้อต่อ เช่น แขน ขา ข้อ คอ หรือเข่า ฯลฯ เพราะการเช็คร่างกายก่อนที่จะออกกำลังกายทุกครั้งจะทำให้เราสามารถเลือกเล่นกีฬา หรือเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายต่อตนเองได้นั่นเอง

2 : อย่าละเลย “วอร์มอัพ” และ “คูลดาวน์” ด้วยทุกครั้ง

เพราะร่างกายเราประกอบไปด้วยทั้ง เซลส์ เส้นประสาท กระดูก และข้อต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีการเชื่อมต่อกัน ดังนั้นการออกกำลังกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บได้ ถึงแม้จะเจ็บแค่เพียงส่วนเดียว แต่ก็อาจทำให้ส่วนอื่น ๆ ในร่างกายที่มีการเชื่อมต่อกันเกิดปัญหาตามมาได้ 

ดังนั้นก่อนออกกำลังกายทุกครั้งจึงควรมีการอบอุ่นร่างกาย หรือการ วอร์มอัพ (Warm-up) ที่ทุกคนรู้จักกันดี เพื่อให้ร่างกายได้การเรียนรู้และเตรียมพร้อมเสียก่อน รวมถึงหากออกกำลังกายเสร็จแล้วก็ควรให้ร่างกายได้ คูลดาวน์ (Cool-down) หรือ การยืดเหยียดร่างกาย เพื่อให้ร่างกายได้ค่อย ๆ ปรับตัวเพื่อกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
 

3 : แข็งแรงแค่ร่างกายไม่พอ จิตใจก็ต้องแข็งแกร่งด้วยเหมือนกัน

แม้ อรวรรณ บุตรโพธิ์ เป็นนักกีฬา, การออกกำลังกายและซ้อมกีฬาเป็นกิจวัตรปกติที่ต้องทำ แต่เธอก็ยอมรับว่า ก็มีความขี้เกียจและรู้สึกท้อเหมือนทุก ๆ คนเช่นกัน 

ดังนั้นเธอจึงพยายามทำให้ตัวเอง มีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่าง ๆ และตั้งเป้าหมายในชีวิตอยู่เสมอ เพราะถ้าแค่ร่างกายแข็งแรงแต่จิตใจไม่เข้มแข็งพอก็อาจไม่สามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ 

ดังนั้นในด้านของจิตใจ ทุก ๆ วันเธอจะเริ่มต้นที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก และค่อยรับกำลังใจจากคนรอบ ๆ ตัวเอามาเป็นแรงผลักดันให้กับตนเองเพิ่มเติม เพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจมีความแข็งแกร่งในการทำสิ่งต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน

สุดท้ายนี้ เอ๋-อรวรรณ  บอกว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในสอง ‘ซิตี้แอมบาสซาเดอร์นักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย’ คู่กับ เรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์เรสซิ่ง พร้อมขอขอบคุณ 'ซิตี้แบงก์' ที่ได้มองเห็นถึงความพยายามในการเป็นนักกีฬาของตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะการสนับสนุนจากซิตี้ทำให้ตนเองได้รับโอกาสดี ๆ ทั้งด้านทุนทรัพย์ ทำให้สามารถดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวได้เป็นอย่างดี

รวมถึงการได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทั้งคนพิการหลาย ๆ คน ตลอดจนคนปกติทั่วไปได้เห็นถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของตนเอง พร้อมเอาแรงบันดาลใจหรือแรงผลักดันที่ได้รับจากตนเองที่ถึงแม้จะเป็นคนพิการก็สามารถดำเนินชีวิตและใช้กีฬาเป็นเครื่องมือในการพิชิตความฝันและก้าวสู่เป้าหมายให้สำเร็จได้ไม่แพ้คนปกติทั่วไป

ทั้งนี้ ‘ซิตี้’ ในฐานะองค์กรที่ตระหนักและให้ความสำคัญเรื่องความเท่าเทียม ไม่แบ่งแยก และการเคารพในความหลากหลาย ได้ร่วมมือกับ คณะกรรมการพาราลิมปิกสากล ( IPC) ในการเป็นพันธมิตรระดับนานาชาติ พร้อมให้การสนับสนุน คณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งชาติ (NPC) ใน 23 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ผ่านการดำเนินงานด้านแคมเปญการสื่อสารระหว่างประเทศ การโปรโมทกิจกรรม ตลอดจนการสนับสนุนทุนทรัพย์สำหรับนักกีฬาพาราลิมปิก เพื่อสร้างความรับรู้ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของการมีส่วนร่วมในสังคมของผู้พิการให้กับสังคมโลกผ่านความสามารถ ความมุ่งมั่น และแรงบันดาลใจที่สะท้อนผ่านนักกีฬาพาราลิมปิก 

การแข่งขันพาราลิมปิก โตเกียวเกมส์ 2020 มีนักกีฬาพาราลิมปิกจากทั่วโลกที่ซิตี้ให้การสนับสนุนเข้าร่วมการแข่งขันจำนวนทั้งหมด 41 คนจาก 27 ประเทศ 

4576


ไรมอน แลนด์ ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ของประเทศไทย จับมือ แอสคอทท์ พันธมิตรระดับโลก นำร่องบริหาร 2 โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา “Somerset Riverside Bangkok” (ซัมเมอร์เซ็ท ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ) และ โรงแรม “Lyf Riverside Bangkok” (ไลฟ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ) เสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ด้วยการบริหารโครงการระดับสากล รองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคต

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทร่วมลงนามสัญญากับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด (แอสคอทท์) THE ASCOTT LIMITED THAILAND บริษัทผู้นำตลาดด้าน การบริหารธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเด้นท์ รายใหญ่ที่สุดในโลก ในการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ (Somerset Riverside Bangkok) และ โครงการ ไลฟ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ (Lyf Riverside Bangkok) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เพิ่มศักยภาพโครงการด้วยการบริหารงานระดับสากล ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าไทยและชาวต่างชาติที่มองหาที่พัก ในทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดินทางสะดวก แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ ล้ง 1919 (Lhong 1919), เดอะ แจม แฟคตอรี่ (The Jam Factory), เอเชียทีค (Asiatique), ไอคอนสยาม (IconSiam) นอกจากนี้สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปท่าเรือตากสิน รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าสายสีทอง และระบบขนส่งอื่นๆ สู่ใจกลางกรุงเทพฯ รวมไปถึงย่านธุรกิจ ความบันเทิง และแหล่งศิลปะ

สำหรับโครงการ ซัมเมอร์เซ็ท ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ (Somerset Riverside Bangkok) เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ เซอร์วิสเรสซิเด้นท์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 52 ยูนิต ตั้งอยู่ระหว่างชั้น 23-27 บนพื้นที่คอนโด ระดับลักชัวรี่ เดอะ ริเวอร์ (The River) ถ.เจริญนคร

โรงแรมไลฟ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ (Lyf Riverside Bangkok) ที่พักสุดฮิปตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ในยุคมิลเลนเนียลเน้นให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในการแบ่งปันประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม ด้วยพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ เช่น โซน “co-working” และเลานจ์ “Connect” พื้นที่ทำงานและเลาจน์ โซน “Bond” พื้นที่ทำอาหารร่วมกับผู้พักอาศัยอื่น ซึ่งภายในห้องพักแห่งนี้เป็นห้องพักที่ออกแบบมาเพื่ออาศัยร่วมกัน พร้อมกิจกรรมในชุมชนมากมาย เรียนรู้ประสบการณ์ท้องถิ่นที่แท้จริง รวมไปถึงสิทธิพิเศษ และโอกาสในการสร้างเครือข่าย ด้วยห้องพักกว่า 71 ห้อง ติดโครงการ เดอะ ริเวอร์ (The River) บนพื้นที่กว่า 1 ไร่

“แม้ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจะหยุดชะงัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 แต่จากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกำหนดเป้าหมายที่จะเปิดประเทศ ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจเกิดการขับเคลื่อน บริษัทเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะค่อยๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงได้มีการวางแผนการดำเนินงานระยะยาวสำหรับรองรับการฟื้นตัวในอนาคต โดยมั่นใจในศักยภาพทำเลที่ตั้งโครงการ ริมโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากลูกค้าชาวต่างชาติที่ต้องการพักผ่อนในระยะสั้น-ระยะยาว ด้วยพื้นที่ใกล้แหล่งธุรกิจ อยู่ท่ามกลางห้างสรรพสินค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งการร่วมมือกับแอสคอทท์ในครั้งนี้จะเป็นการขยายศักยภาพของบริษัทด้วยการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดผ่านประสบการณ์ของพันธมิตรระดับโลก จึงถือว่าเป็นจุดแข็งของทั้ง 2 โครงการนี้ที่โดดเด่นในคุณภาพระดับลักชัวรี่บนทำเลศักยภาพ และ การบริหารงานระดับสากล” นายกรณ์ กล่าวเพิ่มเติม

# # #

เกี่ยวกับ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)

ไรมอน แลนด์ คือผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ส์ และซุปเปอร์ลักชัวรี่ส์ นับด้วยจำนวนโครงการที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากมาย

เราเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เจ้าแรกของประเทศไทยที่มอบความพิเศษเฉพาะตัวให้กับลูกค้าในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ภายใต้ปรัญชาการดำเนินงานที่สรุปไว้ในวิสัยทัศน์ของเรา “ลักชัวรี่ส์ รีอิมเมจิ้น” (“Luxury Reimagined”)

เรามีความภาคภูมิใจในฐานะเป็นผู้บุกเบิกในการนำแนวคิด และการออกแบบที่เป็นนวัตกรรมใหม่มาสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย โดยทุกความภาคภูมิใจถูกรวบรวมไว้ในโครงการของเราที่ตั้งอยู่บนหลายทำเลทองของกรุงเทพฯ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไรมอน แลนด์ พัฒนาโครงการมาแล้วหลายแห่งทั่วประเทศ โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยมากกว่า 20 โครงการ อีกทั้งยังมีโครงการเชิงพาณิชย์อีกหลายแห่ง

หนึ่งบทพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จอันโดดเด่นของ ไรมอน แลนด์ คือรางวัลที่ได้รับ 'Thailand Property Development Company of the Year' จาก Frost & Sullivan Awards 2019 ติดตามผลงานอื่นๆ ของเราได้ที่ www.raimonland.com

4577


กว่าจะเป็นหนึ่งในนักแสดงผู้สวมบทบาท “เจมส์ บอนด์” ที่ได้รับเสียงชมมากที่สุด “แดเนียล เคร็ก” กลับเคยคิดถอนตัวจากบทนี้ เพราะกระแสวิจารณ์ในแง่ลบ ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสภาพจิตใจ และบานปลายไปถึงสภาพร่างกายของเขาด้วย

ในตอนที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า แดเนียล เคร็ก คือผู้ที่จะมารับบท เจมส์ บอนด์ แทน เพียร์ซ บรอสแนน ได้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเขาไม่คู่ควรกับบทนี้ จนทำให้เขาแทบจะรับกับกระแสวิจารณ์ไม่ได้ และเคยคิดว่าจะถอนตัวมาแล้ว

“ชีวิตของผมได้รับผลกระทบจากชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งตัว ผมแทบจะขังตัวเอง ไม่เจอผู้คน เหมือนอยู่ในความฝัน” เคร็ก บอกในการให้สัมภาษณ์ในสารคดี Being James Bond ที่ออกฉายทาง Apple TV+ “เรื่องนี้กระทบกับผมทั้งทางจิตใจ และร่างกาย ผมไม่ค่อยชอบการมีชื่อเสียงขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ อยู่อ่านคอมเมนต์จนดึง อ่านทุกอย่าง เพราะอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และมันก็หนักจริง ๆ หนักมา ๆ มีแต่ความเกลียดชัง”

แต่สุดท้าย แดเนียล เคร็ก ก็ก้าวผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ เพราะความเชื่อมั่นที่ได้อ่านบท และรู้สึกทันทีว่าหนังมันจะต้องออกมาดีแน่ ๆ “จนผมตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน และรู้ทันทีว่าหนังจะต้องออกมาดีแน่ เรากำลังทำอะไรที่พิเศษกันอยู่”

โดย No Time to Die หนัง เจมส์ บอนด์ เรื่องสุดท้ายที่ แดเนียล เคร็ก แสดงน้ำจะมีกำหนดเข้าฉาย พร้อมกันหลายประเทศในปลายเดือน ก.ย. ที่จะถึงนี้ โดยหนังใช้ทุนสร้างสูงถึงเกือบ 300 ล้านเหรียญฯ และถูกเลื่อนฉายหลายรอบเพราะ COVID-19 มาตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งถ้าหนังเข้าฉายไปเรียบร้อยแล้ว ก็อาจจะมีการประกวดผู้ที่จะได้มารับบทเป็น 007 คนต่อไปตามมาในเร็ว ๆ นี้

4578


วันนี้ (13 ก.ย.) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความชื่นชมและภูมิใจนักออกแบบไทยสามารถนำวิจิตรศิลป์ของไทยในแขนงต่าง ๆ มาสร้างสรรค์ร่วมกับอุตสาหกรรมบันเทิงสมัยใหม่ ตรงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งคือการผลักดัน 'Soft Power' ไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รัฐบาลเร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขา คือ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม 2) ดนตรี 3) ศิลปะการแสดง 4) ทัศนศิลป์ 5) ภาพยนตร์ 6) การแพร่ภาพและกระจายเสียง 7) การพิมพ์ 8) ซอฟต์แวร์ 9) การโฆษณา 10) การออกแบบ 11) การให้บริการด้านสถาปัตยกรรม 12) แฟชั่น 13) อาหารไทย 14) การแพทย์แผนไทย 15) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ได้แก่ 1. อาหาร (Food) 2.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3.ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) 4.มวยไทย (Fighting) และ 5.การอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณีสู่ระดับโลก (Festival) เชื่อว่ายังจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมส่งออกสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังยุคโควิด -19 ที่สำคัญของไทยด้วย

นายธนกร กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้กำหนดโมเดล BCG ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย 'ปัญญา” 'สร้างสรรค์' มีความมั่นใจว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งศิลปหัตถกรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนที่มี 'อัตลักษณ์' ของตนเอง นำมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของคนไทย ก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ล่าสุด จากกระแสความชื่นชม MV ของศิลปินลิซ่า ที่มีการสอดแทรกงานหัตถศิลป์ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย มียอดผู้ชมกว่า 100 ล้านวิวแล้ว เชี่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงและออกแบบแฟชั่นไทย ในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอด เป็นสินค้า/บริการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ ไทยมีตลาดประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาครองรับอยู่แล้ว

'ท่านนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของศิลปินไทย ทุกสาขาศิลปะ ดนตรี ภาพยนต์ ออกแบบดีไซน์ รวมถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก จนประสบความสำเร็จ เชื่อว่าจะช่วยจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยและผู้อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ในการนำศิลปวัฒนธรรมไทยมาสร้างสรรค์เป็น soft power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในระดับโลก' นายธนกรฯ กล่าว

4579


น.ส.เสาวนีย์ คงกำเนิด เจ้าของร้านออนไลน์ “เหนียวห่อกล้วยยายศรี” บนแพลตฟอร์ม SHOPEE กล่าวว่า ได้เข้าร่วมโครงการ “OTOP Midyear Fest 2021” กับกรมการพัฒนาชุมชนมาตั้งแต่ช่วงแรก พยายามศึกษาและเรียนรู้เครื่องมือการขายออนไลน์ของแพลตฟอร์ม และถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 แต่ยอดขายก็เพิ่มขึ้นมากจนร้านได้เป็นร้านแนะนำในช้อปปี้ ตอนนี้ทางร้านยังได้ต่อยอดและเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ในการจำหน่ายสินค้า เช่น การทำ Live สดของร้านเป็นประจำ

“ขอบคุณโครงการดีๆ ของกรมการพัฒนาชุมชน ที่มาช่วยกระตุ้นเพิ่มยอดขาย ช่วยจัดหาช่องทางจำหน่ายให้โอทอปในสถานการณ์แบบนี้” นางสาวเสาวนีย์ กล่าว

ด้าน นางวรรณี บุญสวัสดิ เจ้าของร้านออนไลน์ “ป้าแกลบทุเรียนทอด” กล่าวว่า ปกติมีร้านอยู่แล้ว แต่เมื่อเริ่มเข้าโครงการก็ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้เคยขายแบบออฟไลน์แล้วปรับมาขายออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ระบาด ถือว่าเป็นช่องทางขายที่ดีมาก เพราะยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน ขอบคุณ พช. ที่สนับสนุนโครงการดีๆ มาตลอด และยังมีคำแนะนำเรื่องวิธีการขายสินค้า มีการโปรโมตประชาสัมพันธ์สินค้าในเว็บไซต์เพิ่มเติมให้ตลอด

“อยากให้มีโครงการดีๆ แบบนี้เรื่อยๆ ค่ะ เพราะว่าขายเองในเพจแล้วไม่ค่อยมีลูกค้า ขายไม่ค่อยดีเท่าในร้านออนไลน์ พอมีโครงการนี้ช่วยนำไปโปรโมตให้ก็ยิ่งเพิ่มยอดขาย ตอนนี้รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากช้อปปี้ และมายช้อปเป็นหลัก” นางวรรณีกล่าว

ขณะที่ผู้แทน ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ผู้นำแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในฐานะแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซอย่างเป็นทางการรายแรกที่ได้ร่วมมือกับกรมการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องในการเปิดตัวแคมเปญพิเศษ “OTOP Midyear Fest 2021” โดยความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับพันธสัญญาในการเดินหน้าส่งเสริมการฟื้นตัวของร้านค้าและผู้ขาย เพื่อช่วยให้ร้านค้าและผู้ขายสามารถเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ด้วยศักยภาพของแพลตฟอร์มช้อปปี้ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานในทั่วประเทศ จึงมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันและเสริมศักยภาพให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตรูปแบบใหม่และสร้างธุรกิจให้แข็งแรงและเติบโตได้ในระยะยาว

4580


“Kerry Express” ตลาดหุ้นฮ่องกงเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่มีผลต่อ KEX ในตลาดหุ้นไทย ภาพรวมนับตั้งแต่เข้าเทรด ราคายังอยู่ในทิศทางขาลง เหตุตลาดขนส่งพัสดุยังเปิดกว้างคู่แข่งขันมากราย โดยรวมครึ่งหลังปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 จากกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าใหม่ ทั้งการขยายจุดจัดส่ง รวมถึงบริการใหม่ๆมากขึ้น โบรกฯ มองครึ่งปีหลังสดใส ปรับราคา KEX แตะ 45 บาท

แม้จะมีข่าวใหญ่ การเปลี่ยนของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแม่ Kerry Lottovip Express แต่ทิศทางของราคาหุ้น บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ช่วงนี้ต้องยอมรับว่ายังอยู่ในช่วงชาลง นับตั้งแต่สร้างจุดสูงสุด 73.00 บาท/หุ้น ในการเข้าเทรดวันแรก (24ธ.ค.63) และปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 51.25 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 23.15 บาท หรือเหนือจอง 83.04% จากราคา IPO ที่ 28 บาท/หุ้น และในเดือนสิงหาคมราคาหุ้นปิดแต่ละวันด้วยตัวแดง ล่าสุดวันศุกร์ที่ผ่านมา KEX ปิดที่ 39.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า นั่นเพราะพอเข้าสู่ปี 2564 แม้เราคาหุ้น KEX พยายามทะยานขึ้นต่อจนสามารถขึ้นมาถึง 61.00 บาท/หุ้น เมื่อวันที่ 8 ก.พ. แต่จากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ระดับ 39.25 บาท/หุ้น เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น KEX จากจุดสูงสุดในช่วงก.พ.มาจนถึงปัจจุบัน 35.65% ขณะที่ในมุมมองของนักลงทุนทางเทคนิคบางส่วนยังเชื่อว่ามีโอกาสลดลงได้อีก

ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า หุ้นของบริษัทแม่ Kerry Logistics ในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้ถูกเปลี่ยนมือไปสู่ “S.F. Holdings” บริษัทโลจิสติกส์จากจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยสัดส่วนการเข้าถือครอง 52.14% โดยการถือหุ้นผ่าน “ฟลอริช ฮาร์โมนี โฮลดิ้งส์ คอมพานี ลิมิเต็ด” ด้วยมูลค่า 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท

โดย S.F. Holdings ถือหนึ่งในบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยที่เน้นการส่งพัสดุด่วน ภายใต้ชื่อแบรนด์ SF Express โดยจะเน้นขนส่งสินค้าที่ผู้คนซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Alibaba และ JD.com และก่อนหน้าดีลนี้ ยังได้เข้าซื้อกิจการ DHL ในจีน เมื่อปี 2562 ด้วยมูลค่ากว่า 2.78 หมื่นล้านบาท ทำให้ S.F. Holding มีมูลค่าประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท และจากข้อตกลงการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าถือเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่าย เพราะจะทำให้ Kerry Express มีแนวโน้มที่จะเข้าถึงเครือข่ายในจีนผ่าน S.F. Holding

ขณะที่ตัว ผู้ถือหุ้นใหญ่เอง ก็จะได้รับประโยชน์จากเครือข่ายระดับภูมิภาคและในต่างประเทศของ Kerry Express โดยเฉพาะเครือข่ายการจัดส่งด่วนในพื้นที่ไต้หวันและประเทศในอาเซียน เช่น ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย

อย่างไรก็ตามผลจากการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแม่ในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังไม่มีเอฟเฟกต์ต่อหุ้น KEX ในตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะบริษัท เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ KLN ฮ่องกง ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยสัดส่วน 52.14% ตามมาด้วยอันดับ2.ซึ่งเป็นบริษัทจากกลุ่มบีทีเอส ได้แก่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) (VGI) สัดส่วน 18.06% ถัดมาคือ บริษัท กัลฟ์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัดส่วน 2.80% อันดับ4. Kin Hang Ng สัดส่วน 1.21% และ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว สัดส่วน 1.10%

ส่วนเป้าหมายทางธุรกิจของ Kerry Express พบว่า Kerry Logistics ยังวางแผนที่จะขายสินทรัพย์อันได้แก่คลังสินค้าบางส่วนในราคา 1.35 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง และธุรกิจในไต้หวันในราคา 4.5 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน ให้กับบริษัทแม่ แม้จะถูกเทกโอเวอร์ไปแล้วก็ตาม โดย Kerry Logistics ยืนยันจะยังคงอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงต่อไป เดิมที Kerry Logistics Network (KLN) เป็นบริษัทลูก ภายใต้ The Kuok Group บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติมาเลเซีย ที่มีกิจการหลากหลายประเภทในเครือ เช่น ธุรกิจด้านการเกษตร, อสังหาริมทรัพย์, โรงแรม และธุรกิจโลจิสติกส์โดย Kerry เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจขนส่งสัญชาติฮ่องกง ซึ่งบริษัทมีทั้งการขนส่งภายในประเทศ, ธุรกิจขนส่งข้ามประเทศ, ขนส่งสินค้าทางอากาศ รวมไปถึงบริการให้เช่าคลังสินค้า และวางรูปแบบ Supply Chain ครบวงจรให้กับองค์กร โดยมีมูลค่า 1.95 แสนล้านบาท ขณะที่ KEX บริษัทลูกในไทยปัจจุบันมีมูลค่า 6.82 หมื่นล้านบาท และกำลังรอรับผลการ Synergy ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่กับบริษัทแม่

เมื่อเร็วๆนี้ “วราวุธ นาถประดิษฐ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ KEX แสดงความเห็นถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 คาดจะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 8.86 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 638.42 ล้านบาท เนื่องจากจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลของธุรกิจ (High Season) ผู้บริโภคจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น บวกกับแรงกระตุ้นจับจ่ายใช้สอยจากผู้ประกอบการต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ที่จะมาถึงเร็ว ๆ นี้

แต่ในปี 2564 ยังเป็นอีกหนึ่งปีที่เศรษฐกิจต่าง ๆ ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และปัจจุบันภาครัฐและเอกชนยังคงมาตรการทำงานที่บ้าน (WFH) ส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคทาง e-commerce หรือ social commerce มากขึ้น ทำให้ปริมาณการขนส่งขยายตัวตาม ทำให้บริษัทในฐานะผู้นำตลาดอันดับ 1 ของประเทศ จึงเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ทั้งด้านบุคลากร ศูนย์กระจายสินค้า และจุดบริการรับ-ส่งพัสดุอย่างต่อเนื่อง

ผู้บริหาร KEX รายงานว่านับตั้งแต่ไตรมาส 3/64 การใช้จ่ายของผู้บริโภคคึกคักต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (ก.ค.-ส.ค.) ปริมาณการขนส่งของ KEX ขยายตัวสูงมาก โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภคกับผู้บริโภค (C2C) ที่มีการเร่งเติบโตรวดเร็วของส่วนแบ่งเกิน 50% สอดคล้องกับการใช้จ่ายออนไลน์ของผู้บริโภค และเชื่อว่าในเดือน ก.ย.จะยังคงขยายตัวดี

โดยใน ช่วงไตรมาส 4/64 บริษัทยังเตรียมเปิดตัวให้บริการ Kerry Cool การขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ หรือแช่แข็ง ที่ร่วมมือกับพันธมิตร โดยเจาะตลาดพืชผลทางการเกษตร เนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งเพาะปลูก และแปรรูปขนาดใหญ่ บวกกับมีมูลค่าตลาดสูง รวมถึงมีผู้เล่นหลากหลาย ไม่ถูกกินขาดจากผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสขยายการเติบโต อีกทั้งยังเตรียมเปิดตัวให้บริการ kerry LTL งานขนส่งพัสดุไซส์พิเศษหรือมีน้ำหนักมากกว่า 30 กิโลกรัม เพื่อเจาะกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์

เนื่องจากมีมูลค่าตลาดที่สูงมากทำให้ภาพรวม KEX ยังคงอัตรากำไรขั้นต้นในระดับเหมาะสม 27.3% และมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงดันปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งจะเน้นควบคุมและบริหารต้นทุนต่อหน่วยให้ลดลง รวมไปถึงการอัดเกรดแพลตฟอร์มและระบบเครือข่ายโดยรวมหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปัจจุบันเครือบริษัทมีสภาพคล่องมากถึง 1 หมื่นล้านบาท อีกทั้งไม่มีหนี้ ทำให้มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.59 เท่า

สำหรับไตรมาส 2/64 KEX มีรายได้ 4.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 412 ล้านบาท หรือ 9.8% และกำไรสุทธิ 336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท หรือ 10.8% โดยบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1.3 พันล้านบาท อีกทั้งยังชำระหนี้ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 0.6 เท่า โดยครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีปริมาณการจัดส่งพัสดุสูงกว่า 167 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเป็นสถิติสูงสุดใหม่

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกอย่างจะสดใสไปหมดสำหรับ KEX เพราะอย่างที่รู้กันว่าราคาหุ้นที่เปิดตัวพุ่งสูงในตลาดหุ้นไทยเมื่อช่วงปลายปี2563 และต้นปีนี้ แต่จากนั้นราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดย ผลประกอบการช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งรายได้ในช่วงปี 2560 – 2562 มีอัตราการเติบโตเกือบ 200% กลับไม่สามารถช่วยการันตีได้ นั่นเพราะด้วยการเติบโตเร็ว และตลาดขนส่งนั้นก็มีโอกาสอีกมาก ทำให้ปัจจุบันมีคู่แข่งมากมายเข้ามาท้าทาย ความสามารถของ KEX ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามราคา การขยายสาขา เพิ่มขีดความสามารถในการขนส่ง

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าการขนส่งนั้นไม่ได้มีความ Loyalty (ความภักดีต่อตราสินค้า)มากนัก ผู้บริโภคพร้อมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาถ้ามีราคาที่ถูกกว่า และเข้าถึงได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จีนทุนหนาอย่าง Flash Express และ Best Express ที่พึ่งระดมทุนได้ไม่นานมานี้ก็ใช้เรื่องของราคาเข้าสู่ รวมถึงแบรนด์ของไทยอย่าง SCG Express และ Nim Express ก็มีจุดเด่นพร้อมจะแย่งส่วนแบ่งอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าตลาด E-Commerce จะเติบโตเร็ว อีกทั้ง KEX ก็ได้เงินระดมทุนจากตลาดหุ้นไทยไปมีการขยายสาขาอย่างมาก เข้าถึงเครือข่าย Platform ออนไลน์ดังๆอยู่หลายเจ้า แต่ทาง Flash Express และ Best Express ก็ใช้กลยุทธ์เปิดสาขา "โมเดลแฟรนไชส์" ทำเป็นจุด Drop Off ทำให้ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ และนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ผลประกอบการของหุ้น KEX นั้นอาจจะสะดุด ลงได้บ้าง นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ถือเป็นอีกปัจจัยที่กดดันบริษัทในด้านของต้นทุน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า แนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง KEX คาดว่าจะฟื้นตัวมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยในช่วงไตรมาส 3-4 ของทุกปีจะเป็นช่วงHigh Seasonของการจัดส่งพัสดุอยู่แล้ว ประกอบกับยังคงได้รับผลประโยชน์จากการ Work From Home ที่ทำให้ผู้บริโภคสั่งซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าปริมาณการจัดส่งพัสดุช่วงครึ่งปีหลังจะโตขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว และในช่วงครึ่งปีแรกสามารถจัดส่งพัสดุไปได้มากถึง 166 ล้านชิ้น

ปัจจัยหนุนอีกด้านคือการที่ KEX มีพาร์ทเนอร์เป็นบริษัทในประเทศจีน อาจจะมีการทรานเฟอร์ลูกค้าชาวจีนที่ต้องการส่งพัสดุจากจีนมาไทยให้มาใช้บริการของ KEX ร่วมด้วย โดยคาดว่าอาจจะได้เห็นรายได้ส่วนนี้เข้ามาในไตรมาส 4/64 จึงยังคงถูกประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่ 1.57 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าใหม่ ทั้งการขยายจุดจัดส่งพัสดุมากขึ้นตามสาขาของ BTS และการดำเนินกลยุทธ์ด้านราคา เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าราคาประหยัดมากขึ้น

ด้าน บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อ Outlook ของ KEX ปัจจัยมาจากในช่วงไตรมาส 4/64 - ไตรมาส 1/65 จะมีการอัพเกรด Delivery Platform ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งได้ดีขึ้น และช่วยลดค่าใช้จ่ายในอนาคต ประกอบกับเตรียมเปิดให้บริการใหม่ Kerry Cool สำหรับสินค้าที่ต้องการรักษาความเย็นระหว่างขนส่ง และ Kerry LTL สำหรับ Large Shipment (>30KG) อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทยังมีแผนในช่วงไตรมาส 4/64 จะเปิดให้บริการ Kerry Wallet โดยจะใช้ SABUY Technology ซึ่ง Kerry Wallet จะเปรียบเหมือน Container หรือ Lifestyle Wallet ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อบัญชี, บัตรเครดิต, Sabuy Money, บริการต่างๆของ Rabbit และ E-wallet อื่นที่เป็นพาร์ทเนอร์ เพื่อเวลาจ่ายเงินจะได้จ่ายผ่าน Kerry Wallet แอพเดียว และยังสามารถโอนเงินที่เหลือใน Wallet กลับเข้าบัญชีได้ด้วย รวมถึงพาร์ทเนอร์ยังสามารถ Offer บริการเช่น Payment, Finance , Insurance ใน Kerry Wallet ได้อีกด้วย

ทำให้ ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน และจากครึ่งปีแรก 2564 จาก Parcel Volume ที่ขยายตัวได้ดี จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น และกลยุทธ์ Proactive Pricing Strategy โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิของ KEX ปีนื้ที่ 1.47 พันล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ขณะที่ในปี 2565 ประเมินกำไรสุทธิที่ 1.67 พันล้านบาท เติบโต 14% มีปัจจัยมาจากรายได้รวมที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากรายได้ Parcel Delivery ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภคช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น และรายได้จากการขายสินค้าขยายตัว 20% นอกจากนี้ GPM จะปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 16.6% จาก Economies of Scale

บล.ทิสโก้ ปรับประเมิน 2021-23F และให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ KEX ที่ 45 บาทด้วยสมมติฐาน WACC 9.5%, CoE 9.2%, Rf 1. 1%, market-risk premium 8. 4% และterminal growth rate 3% แนะนำ “ซื้อ”จากยอดพัสดุที่เพิ่มขึ้นช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากคู่แข่งหลักไม่สามารถจัดการพัสดุได้ รวมถึงผลจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 3 ซึ่งจะดีต่อไปยังไตรมาส 4 แม้จะชะลอลง คาด KEX จะลดความสนใจในตลาด economy และเน้นการเพิ่มมาร์จิ้นมากกว่าตั้้งแต่ช่วง ก.ย. ส่วนธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามากระจายความเสี่ยงอย่าง Kerry Can-Sell, Kerry Cool, Kerry LTL และ Kerry Wallet จะหนุนโมเมนตัม 2022F จึงปรับประมาณการรายได้นปี 2021-23F ขึ้น 8%/8% และ 15% เนื่องจากปริมาณพัสดุในครึ่งปี หลังที่แข็งแกร่ง พร้อมปรับ GPM เป็น 15.5% vs. 15.3% ในปี 2021-22F จากปริมาณพัสดุและกลยุทธ์การกำหนดราคา และลด SG&A to sales เหลือ 7.1% vs. 7.5% ก่อนหน้านี้เนื่องจากต้นทุน SG&A ที่ลดลง และแนวโน้มรายได้ที่ดีขึ้น ทำให้กำไรสุทธิปี 2021-23F เพิ่มขึ้น 14%/ 14% และ 20% ตามลำดับ

4581
ทาน  ข้าวหอมมะลิแดง และประโยชน์ของ ข้าวหอมมะลิแดง  

ข้าวมะลิแดง ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวกล้องมะลิแดง ข้าวกล้องหอมมะลิแดง ข้าวมะลิแดงสุรินทร์ ข้าวหอมมะลิแดงสุรินทร์ ข้าวกล้องมะลิแดงสุรินทร์
"ข้าวหอมมะลิแดง” /  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิคคือ  อาหารผิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
“ข้าวหอมมะลิแดง / ข้าวมะลิแดง ” (Red Jasmine Rice) คือ ข้าวเจ้าพันธุ์หนึ่งของไทย ปลูกได้ปีละ 1 ครั้ง   ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ เมล็ดข้าวมีรูปร่างเรียวยาว มีสีน้ำตาลแดง มีความนุ่ม หอม อร่อย ไม่ต่างจาก “ข้าวหอมมะลิ หรือมองง่ายๆก้คือ ข้าวหอมมะลิ ที่มีสีแดงเลยเรียกกันว่า “ข้าวหอมมะลิแดง / ข้าวมะลิแดง  /  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค




คุณสมบัติเด่น   ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิค ใช้เป็นอาหารหลักในการฟื้นฟูกำลัง และเยียวยาผู้ป่วยมะเร็ง เบาหวาน
ประโยชน์ของ “ข้าวหอมมะลิแดง / ข้าวมะลิแดง  /ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์”-  ข้าวหอมมะลิแดงเพื่อสุขภาพ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง
-  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์ ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิว
-  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง  เป็น Growth Factor ตามธรรมชาติสามารถช่วยการเจริญของเซลล์ผิว
-   ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิค ช่วยชะลอการเกิดและต้านริ้วรอย คงความอ่อนเยาว์
-  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง คืนความมีชีวิตชีวาให้กับผิว
-   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงสุขภาพ อุดมไปด้วยวิตามินบีเช่นเดียวกับข้าวงอก ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง และช่วยลดอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย
-    ข้าวหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์   มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง ช่วยในการดูดซึมไขมัน ทำให้อิ่มนาน และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
-   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ  อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและทองแดงที่ช่วยบำรุงเลือด เป็นอาหารหลักที่ควรกินสำหรับผู้ป่วยโรคโลหิตจางหรือผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน
-  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์สุรินทร์ มีสารไนอะซินทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเกิดโรคผิวหนังและปัญหาผิวพรรณหยาบกร้าน
-   ข้าวอินทรีย์หอมมะลิแดง มีแคโรทินที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงดวงตาให้แข็งแรง
รวมถึงอุดมด้วยใยอาหาร ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ มีเบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็กสูง เป็นข้าวกล้องที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ  ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน คนป่วยเบาหวานและคนที่กำลังคุมน้ำหนักสามารถกินได้อย่างสบายใจ 
ข้าว Hor.Boutique   ขายข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์  ข้าวหอมมะลิแดงเพื่อสุขภาพ ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   การทำนาข้าวอินทรีย์  
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000 โทร. 092-8245655
website : การทำนาข้าวอินทรีย์  
Facebook : www.facebook.com/Organic.Red.Jasmine.Rice/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ / ข้าวปลอดสาร   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพื่อสุขภาพ 7 ประเภท
1.ข้าวมะลินิลอินทรีย์
2. ข้าวกล้องหอมมะลิเพื่อสุขภาพ 3.  ข้าวผกาอำปึลปลอดสารพิษ4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์5.  ข้าวหอมมะลิแดงorganic 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์ 7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่เกษตรอินทรีย์

#ข้าวมะลิแดง #ข้าวหอมมะลิแดง #ข้าวกล้องมะลิแดง #ข้าวกล้องหอมมะลิแดง #ข้าวมะลิแดงสุรินทร์  #ข้าวหอมมะลิแดงสุรินทร์  #ข้าวกล้องมะลิแดงสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิแดงสุรินทร์ #ข้าวมะลิแดงอินทรีย์  #ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ #ข้าวมะลิแดงปลอดสาร #ข้าวหอมมะลิแดงปลอดสาร  #ข้าวกล้องมะลิแดงปลอดสาร #ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสาร #ข้าวมะลิแดงเพื่อสุขภาพ #ข้าวหอมมะลิแดงเพื่อสุขภาพ #ข้าวกล้องมะลิแดงสุขภาพ   #ข้าวกล้องหอมมะลิแดงสุขภาพ
 
 

4582
ขายที่ดินติดลำธาร ลำน้ำมวบ น้ำมวบเมืองเหนือ ต.พงษ์ อ.สันติสุข จ.น่าน  เนื้อที่ 3 ไร่ 35 ตร.ว ราคาไม่แพง 1 ลบ.  เอกสารสิทธิ์ นส.3ก. ใกล้แหล้งชุมชนน้ำไฟเข้าถึง วิวงามธรรมชาติสมบูรณ์ ทิวเขาล้อมรอบ ลำธารผ่านข้างแปลงทั้งแถบ รูปที่ดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ชุ่มฉ่ำสดชื่นเย็นสบายตลอดปี ไอหมอกยามเช้าแสนบริสุทธิ์ ท่ามกลางธรรมชาติสดชื่นสวยงามตระการตา ยามแสงตะวันทอแสงขึ้นฟ้านกกาหากินตามธรรมชาติ จวบจนตะวันตกดินอากาศเย็นสบายจันทร์ฉายเคลื่อนสลับหมุนเวียนธรรมชาติสุดๆ สมแล้วหลายปากเลืองเล่าเมืองน่านนั่นอากาศดีสดชื่นบริสุทธิ์งดงามเพียงใด ที่ดินเข้าจากถนนคอนกรีต 100 เมตร จากนั่นข้ามผ่านสะพานไม้ที่น้ำมวบม้วนทอดยาวตลอดสาย จากสะพานไม้ลงมาเดินลัดผ่านทางภาระจำยอมสาธารณะอีก 30 เมตร ถึงที่ดินแปลงขาย ราคากันเองต่อรองได้หากชอบฟิลล์นี้จริงๆ

โทร 0837124115
Line id : 0837124115
e-mail : [email protected]

18°52'45.3"N 100°58'19.1"E
https://maps.google.com/?q=18.879262,100.971965



















 

4583
ขายกิจการหอพักย่าน ม.รังสิต 2.4 ลบ. เนื้อที่ 60 ตร.วา  ห้องเช่า 9 ห้องบนเนื้อที่ 60ตร.วา ย่านแหล่งชุมชนเจริญ ใกล้มหาวิทยาลัย ม.รังสิต ห้องว่าง ให้เช่าราคาถูก 1500-2000 บาท/เดือน วางประกัน1เดือน แจ้งเข้าอยู่ได้เลย หอพักชั้นเดียว 9ห้อง มี2ฝั่งห้อง 101-109 หลังคาเขีนวรั้วขาว อยู่ทางเข้า ม.รังสิต ใกล้แหล่งเจริญ ย่านชุมชน คมนาคมสะดวก สามารถตัดเข้าออกได้หลายทาง สาธารณูปโภคครบครัน  จับจุดวัดนาวง เมื่ออยู่หน้าวัดตรงมาประมาณ 500ม. เข้า ซ.นาวง4พัฒนา ซอย3 ปากซอยอยู่ตรงข้ามร้านกาแฟAmaxon Coffe จากนั้นเข้ามาประมาณ 200ม.หอพักอยู่ด้านซ้ายตรงข้ามร้านค้า

 โทร 083-7124115
line : 0837124115
e-mail : [email protected]
นิวส์ เคอร์เรนท์
02 536 4025
https://maps.app.goo.gl/Pd9t7RvJFN8idEFC6
















 

4584


ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ หั่นราคาสมาชิก 599 ต่อปี ร่วมโปรโมชั่น 9 เดือน 9 สะเทือนฐานแฟน เหตุชูราคาต่ำกว่าผู้สมัครก่อน โวยเสียค่าโง่ แบรนด์ไม่สนใจลูกค้ารุ่นแรก ส่องยกหนึ่ง สู้สมศักดิ์ศรียักษ์ใหญ่บนสังเวียนโอทีทีแค่ไหน

เกือบ 3 เดือนที่ “ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์” เปิดฉากสู้รบในสมรภูมิวิดีโอสตรีมมิ่งในประเทศไทย ท่ามกลาง “คู่แข่ง” มากหน้าหลายตาที่่ทำตลาดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น เน็ตฟลิกซ์(Netflix), วิว(Viu), วีทีวี(WeTV), อ้ายฉีอี้(IQIYI) และยังมีผู้ประกอบการในประเทศ(Local) จากค่ายสื่อและผู้ผลิตคอนเทนท์ต่างๆ แจมตลาดด้วย 

ระยะเวลาที่ผ่านมา “เสียงสะท้อน” จากผู้บริโภคถึงการใช้งาน “ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์” มีทั้งเชิงบวกและลบ เหมือนเหรียญ 2 ด้านทั่วไป แต่คำก่นด่า ติติง ที่มีเหตุมีเหตุ ค่ายสามารถนำไปพัฒนาปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น เพราะหากปัญหายังถูกหมักหมมไว้ อาจถูกผู้บริโภคเชิดใส่ หันไปซบวิดีโอสตรีมมิ่งค่ายอื่นแทน เพราะปัจจุบันผู้บริโภค 1 คน มีแพลตฟอร์ม “โอทีที” ให้เสพอย่างน้อย 2 ค่ายแน่นอน เพื่อเป็นทางเลือก 

สำหรับปัญหา(Pain Point)ที่ผู้บริโภคส่งเสียงถึงแบรนด์หรือ ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ มีหลากหลายทั้งเรื่อง ภาพ เสียง การพากย์ ปริมาณ ความหลากหลายของคอนเทนท์ สารพันการคอมเมนต์ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ 

ปมเก่ายังไม่ถูกแก้ไข ดราม่าใหม่ก็บังเกิด เมื่อเทศกาลลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ 9 เดือน 9 ดิสนีย์พลัส ออกโปรโมชั่นที่แฟนๆกลุ่มใหญ่ “ไม่ถูกใจสิ่งนี้” ด้วยการ “มอบส่วนลด 200 บาท” ให้กับผู้ที่สมัครสมาชิกใหม่ ด้วยการร่วมสนุกกดลิงค์ส่วนลดและคอมเมนต์คำถามง่ายๆ จะทำให้ได้ค่าสมาชิกรายปีที่ 599 บาท จากเดิม 799 บาทต่อปี 

ผู้บริโภคไม่ถูกใจสิ่งนี้ ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ ปล่อยโปร 599 บาทต่อปี

โปรโมชั่นเรียกแขกให้ไปรุมติแบรนด์ยกใหญ่ เพราะผู้บริโภค ตลอดจนแฟนๆ “ดิสนีย์” ที่สมัครไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจ่ายในราคา 799 บาท เจอแบบนี้ กลายเป็น สมัครก่อน ดูก่อน “จ่ายแพงกว่า!” ผู้บริโภคบางรายถึงกับมองว่าเป็นการ “เสียค่าโง่” ที่สมัครก่อน อดได้รับส่วนลด รวมถึงของรางวัลพิเศษ คือโมเดลซูเปอร์ฮีโร่จากภาพยนตร์ดังด้วย 

เมื่อ ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ ต้องการขยายฐานสมาชิก กลยุทธ์และโปรโมชั่นด้าน “ราคา” ถือเป็นหนึ่งในส่วนประสมทางการตลาด(4ps) ท่าเบสิกที่ถูกนำมาใช้อยู่แล้ว ค่าสมาชิกช่วงเปิดตัวที่ 799 ต่อปีว่าถูกแล้ว เพราะหารเฉลี่ยรายเดือนอยู่ที่ 66 บาทต่อเดือน ยิ่งสมาชิก “เอไอเอส” ซึ่งเป็นพันธมิตรกับดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ ยังได้โปรโมชั่นพิเศษอีก 1 เดือน ทำให้ราคาต่ำลง แต่พอเจอโปรโมชั่น 599 ต่อปี ถูกลงไปอีก หรือเฉลี่ย 49 บาทเศษต่อเดือน จึงทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มไม่พอใจ เกิดอารมณ์ขุ่นเคือง และครบรอบบิลเมื่อไหร่ จะเบนเข็มหนีซบค่ายอื่นทันที

ปัญหาราคาโปรโมชั่นออกมาทีหลัง แต่ถูกกว่าเดิม อาจทำกระทบธุรกิจ แต่โจทย์ใหญ่ของดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ คือเรื่อง “คอนเทนท์” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญหรือ Jetsadabet Content  is King ในการตรึงผู้บริโภคให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานสุดเท่าที่จะทำได้ แต่เสียงจากผู้บริโภคจำนวนมากที่ส่งถึงแบรนด์ คือ ความหลากหลายหรือวาไรตี้ ยังไม่มากพอ เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายสำคัญอย่าง “เน็ตฟลิกซ์” 

ขณะที่ค่ายตะวันตกกำลังขับเคี่ยวกัน แพลตฟอร์มจากเอเชีย ก็มาแรงไม่น้อย และแต่ละค่ายมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น พร้อมฟัดเหวี่ยงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ เช่น วิว ที่ขยับเป็นเจ้าแห่งคอนเทนท์เกาหลี ทั้งซีรีส์ รายการวาไรตี้ต่างๆ รวมถึงภาพยนตร์ เป็นต้น ส่วนค่ายอื่น อย่างวีทีวี อ้ายฉีอี้ เด่นซีรีส์ คอนเทนท์จีน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ ที่เป็นคอนเทนท์ระดับตำน่าน ภาพยตร์เจ้าหญิงต่างๆ ตลอดจนหนังบล็อกบัสเตอร์ ที่สร้างความประทับใจให้ผู้ชม แต่ในฐานะผู้บริโภค ยิ่งมีคอนเทนท์หลากหลายเท่าไหร่ ยิ่งดึงดูดผู้ชมได้มากเท่านั้น 

หากเทียบ 3 เดือนแรก เป็นยกที่ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ เพิ่งออกหมัดมวยการตลาด ปล่อยอาวุธใส่คู่แข่ง อาการฝั่งตรงข้ามเป็นอย่างไร ทราฟฟิก หรือจำนวนผู้ชมเป็นตัวตัดสิน ส่วนกลยุทธ์ที่ออกมาจะโดนใจผู้บริโภคไหม เชื่อว่าเสียงสะท้อนผ่านออนไลน์ทุกวัน น่าจะพอให้แบรนด์เห็นปฏิกิริยา “บวก-ลบ” เพื่อนำไปตีโจทย์และวางกลยุทธ์ใหม่ๆมาตอบสนองความต้องการให้แม่นยำยิ่งขึ้น

4585


“ไอคอนคราฟต์” พื้นที่แห่งงานฝีมือสุดสร้างสรรค์ของคนไทย จัดกิจกรรม “ผ้าย้อมสีธรรมชาติ 12 ชุมชน” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรรมผ้าไทยสู่สากล ภายใต้โครงการพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าไทยสู่สากล ประจำปี 2564 งานจัดขึ้นตลอดเดือนกันยายนศกนี้ ณ ไอคอนคราฟต์ ชั้น 4 ไอคอนสยาม หรือเลือกช้อปออนไลน์ได้ที่ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop เพียงแอดไลน์ พิมพ์ @ICONSIAM แชตและช้อปง่ายๆ พร้อมดีลสุดพิเศษทุกวัน

งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อร่วมสืบสานและต่อยอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาการย้อมผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นจาก12 ชุมชนทั่วประเทศไทย จนกลายมาเป็นความเชี่ยวชาญและเทคนิคเฉพาะตัวที่สืบต่อจากภูมิปัญญาบรรพบุรุษผ้าย้อมสีธรรมชาติ คือการสกัดสีจากวัตฤดิบธรรรมชาติที่มาจาก พืช สัตว์ และแร่ราตุต่างๆ โดยการนำมาย้อมเส้นใยและผืนผ้า เพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มและใช้สอยในชีวิตประจำวัน ซึ่งคนไทยผูกพันกับสีย้อมธรรรมชาติมาช้านาน ปัจจุบันสีย้อมธรรมชาติเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพของสีจากธรรมชาติที่มีความสดและแตกต่างจากสีสังเคราะห์ และผ้าย้อมสีจากธรรมชาติยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการตื่นตัวของกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและกระแสสืบทอดภูมิปัญญาองค์ความรู้ท้องถิ่นในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น จึงเกิดงานวิจัยการย้อมสีธรรรมชาติโครงการพัฒนามรตกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรรมผ้าไทยสู่สากล เพื่อมุ่งมั่นรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาการย้อมผ้าของไทยจากชุมชนต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคกว่า12 ชุมชน เพื่อเป็นข้อมูลที่จะนำไปสู่การพัฒนาใเกิดประโยชน์ต่อไป เช่น กลุ่มทอผ้าย้อมครามบ้านคำประมง จากจังหวัดสกลนคร ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการย้อมคราม กลุ่มย้อมสีธรรมชาติบ้านหนองบัวแดง จากจังหวัดชัยภูมิ ที่มีความเชี่ยวชาญในการย้อมสีจากผลมะเกลือ เป็นต้น


นอกจากนี้ ความพิเศษภายในกิจกรรมครั้งนี้ คือการนำผ้าย้อมสีธรรมชาติมาต่อยอดผ่านฝีมือของ2 ดีไซเนอร์แถวหน้าของเมืองไทยอย่าง คุณศิริชัย ทหรานนท์ ดีไซเนอร์จากห้องเสื้อแบรนด์THEATRE (เธียเตอร์) อันเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าในไทยและต่างประเทศ ที่เห็นความสวยงามและเสน่ห์ของผ้าไทย จนได้รับเลือกให้ดีไซน์เสื้อผ้าจากผ้าไทยในโปรเจ็ค “ดอนกอย โมเดล” โดยนำผ้าไทยมาดีไซน์ในแบบต่างๆ ตามเทรนด์แฟชั่นปัจจุบัน และคุณวิชระวิชญ์ อัครสันติสุข ดีไซน์เนอร์เจ้าของแบรนด์ WISHARAWISH (วิชระวิชญ์)  แบรนด์แฟชั่นที่มีความโดดเด่นและกำลังถูกจับตามองอีกแบรนด์ ที่มาให้ความสนใจกับผ้าไทยและใส่ไอเดียลงบนงานดีไซน์ให้ผ้าไทยมีความโมเดิร์นร่วมสมัย แต่ยังคงเสน่ห์ความงามของผ้าไทยเอาไว้ สวมใส่สบายและสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน

ร่วมอุดหนุนชุมชนภูมิปัญญาผ้าย้อมสีธรรมชาติของไทย จาก12ชุมชน ได้ตลอดทั้งเดือนกันยายนนี้ ที่ไอคอนคราฟต์ ชั้น4-5 ไอคอนสยาม หรือเลือกช้อปออนไลน์ได้ที่ ICONSIAMUltimate Chat & Shop เพียงแอดไลน์ พิมพ์@ICONSIAM แชทและช้อปง่ายๆ พร้อมดีลสุดพิเศษทุกวันสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338 หรือwww.iconsiam.com

4586


ฟรานเชสโก้ ลาปอร์ต้า นักกอล์ฟหนุ่มมือ 264 ของโลกจากอิตาลี ขยับขึ้นมาเป็นผู้นำศึก บีเอ็มดับเบิลยู พีจีเอ แชมเปียนชิพ วันที่สาม หลังเก็บสกอร์รวมเพิ่มเป็น 14 อันเดอร์พาร์ ด้านของ กิรเดช อภิบาลรัตน์ ผู้นำสองวันแรกจากไทย ฟอร์มหล่นเสียตำแหน่งจ่าฝูง

ศึกกอล์ฟ ยูโรเปียน ทัวร์ รายการ 'บีเอ็มดับเบิลยู พีจีเอ แชมเปียนชิพ' ชิงเงินรางวัลรวม 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 260ล้านบาท) ณ สนามเวนท์เวิร์ธ กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,254 หลา พาร์ 72 ที่เมืองเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ โดยวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการดวลสวิงรอบสาม

ปรากฏว่าผู้นำเปลี่ยนมือจาก กิรเดช อภิบาลรัตน์ ก้านเหล็กชาวไทย มาเป็น ฟรานเชสโก้ ลาปอร์ต้า สวิงชาวอิตาเลียน หลังลงสนามตี 3 เบอร์ดี 1 อีเกิล เสีย 2 โบกี จบวันได้มา 3 อันเดอร์ รวมสกอร์เป็น 14 อันเดอร์พาร์ ขึ้นมานำหน้า ลอรีย์ แคนเทอร์ อันดับ 2 เจ้าบ้าน 1 สโตรก

ด้านของ 'โปรอาร์ม' รอบนี้ตีผิดพลาดทำ 1 เบอร์ดี แต่เสีย 3 โบกี จบวันเกินไป 2 โอเวอร์ สกอร์รวมหดเหลือ 10 อันเดอร์พาร์ หล่นมาอยู่อันดับ 10 ร่วม ตามหลังผู้นำ 4 สโตรก แต่ยังมีโอกาสลุ้นแซงหากรีดฟอร์มดีได้วันสุดท้าย

ส่วนมือดังคนอื่นๆ จัสติน โรส อดีตมือ 1 โลกขวัญใจชาวอังกฤษ รอบนี้ตีรวมได้ 9 อันเดอร์พาร์ อยู่อันดับ 14 ร่วม และ 'จีแม็ค' แกรม แม็คดาวน์ มือเก๋าจากไอร์แลนด์เหนือ อันดับ 58 ร่วม สกอร์ 3 อันเดอร์พาร์

4587


เป็นการปล่อยซิงเกิ้ลเดี่ยวเพลงแรกของนักร้องสาวโกอินเตอร์ขวัญใจชาวไทยอย่าง “ลิซ่า แบล็กพิงก์” หรือ “ลลิษา มโนบาล”กับเพลงที่ชื่อว่า LALISA และประสบความสำเร็จอย่างมาก ตอนนี้ยอดวิวพุ่งไป 35 ล้าน ภายใน 7 ชม. ขึ้นเป็นเพลงมาแรงอันดับหนึ่งของยูทิวบ์ ขณะที่ยอดผู้ติดตามขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง 65.4 ล้านคน แซงจัสติน บีเบอร์ไปแล้ว รวมทั้งมีการรีวิวอารมณ์หลังจากที่ได้ดูมิวสิกวิดีโอจากแฟนๆ แทบทุกมุมโลกออกมา และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าขนลุก น้ำตาท่วมสุดๆ

ที่สำคัญเหล่าแฟนคลับที่เป็นระดับซุป'ตาร์ของเมืองไทยก็ตื่นเต้นกับเพลงนี้กันไม่น้อย ทั้งตัดต่อหน้าตัวเองเข้ากับตัวของลิซ่าบ้าง หรือตัดเอาบางท่อนของมิวสิกวิดีโอโพสต์ลงโซเชียล อีกทั้งยังเตรียมแกะท่าเต้นเพื่อโคฟเวอร์ตามกันเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น มิน พีชญา, แต้ว ญฐพร, เอ ศุภชัย, เดียร์น่า ฟลีโป้, วู้ดดี้, ดาว พิมพ์ดาว, บุ๋ม ปนัดดา, หญิงแย้, เบส คำสิงห์, จันจิ ฯลฯ ต้องบอกว่าปังสุดนาทีนี้ต้องยกให้ลิซ่าจริงๆ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 กันไปเลย

4588


"Lazada" เว็บไซต์ขายของออนไลน์ ได้รวบรวมแฟชั่นในมิวสิควิดีโอซิงเกิลล่าสุด LALISA ของศิลปินสาวชาวไทย "ลิซ่า ลลิษา มโนบาล" ทั้ง ชุดไทยสีทอง พร้อมเครื่องประดับอย่างจัดเต็ม

จากกรณีที่ มิวสิควิดีโอซิงเกิลล่าสุด LALISA ของศิลปินสาวชาวไทย "ลิซ่า ลลิษา มโนบาล" เป็นสมาชิกคนที่ 3 ของวงเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติเกาหลี แบล็คพิงค์ (Blackpink) เผยแพร่ออกมาเมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 10 ก.ย. พบว่ามีผู้ชมอย่างล้นหลามจนติดอันดับ 1 ในยูทูป ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นคือชุดไทยที่ "ลิซ่า" สวมใส่ซึ่งเป็นการนำศิลปะไทยเข้าไปผสมผสานกับความเป็นสากลร่วมสมัยในเอ็มวี

ล่าสุด เฟซบุ๊ก "Lazada" เว็บไซต์ขายของออนไลน์ ได้รวบรวมแฟชั่นชุดไทย เครื่องประดับในเอ็มวี ไว้ให้ช้อปได้ในแอปพลิเคชันลาซาด้า โดยมีชุดไทยสีทอง ราคา 1,650 บาท , รัดเกล้ายอด 300 บาท , กำไลสีทอง 75 บาท , รองเท้า 173 บาท , ลิป 1,050 บาท โดยทางเพจระบุข้อความว่า "ลาซาด้าเลิฟมี ลาซาด้าเลิฟมี น้องลาซหยุดร้องไม่ได้ แฟชั่นสุดปังเเบบนี้ ช้อปได้ที่แอปลาซาด้าเลยย! น้องลาซรวมมาให้เเล้ว ไปจ้า ไปตำกันด่วนนนนนนน!
 

4589
  • KKY เพิ่มสมรรถภาพทางเพศของคุณให้แกร่งขึ้น กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
  • ️ กล่องเดี๋ยวจบ​ ️
  • สยบทุกเหตุการณ์​ เบิ้ลรอบ​ บำรุง​ ฟื้นฟู​ในกล่องเดียว​
  • วิธีทาน** เน้นบำรุง ทานวันละ1 แคปซูน ก่อนนอน
  • เน้นเฉพาะกิจ ทาน 2 แคปซูน ก่อนออกกิจ 30 นาที
  • ✅ไม่มีผลข้างเคียงครับ
  • ✅ไม่ปวดหัว
  • ✅หน้าไม่แดง
  • ✅ใจไม่สั่น
  • ____________________
  • ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ มั่นใจในคุณภาพ ด้วยมาตรฐานความปลอดภัย มี อย. รับรองครับ
  • เน้นบำรุง - ทาน 1 แคปซูนก่อนนอน
  • เน้นออกกิจ - ทาน 2แคปซูน ก่อนออกกิจ 30 นาที


4590


นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างการลงทุนในธุรกิจพลังงานเป็นรูปแบบ Passive Investment มีสัดส่วนการลงทุนน้อยกว่าร้อยละ 20 เพื่อกระจายความเสี่ยง และคงไว้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคงของรายได้ รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายที่มุ่งเน้นการลงทุนและเติบโตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก ภายใต้เป้าหมายระยะยาวที่ต้องการมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว จาก 1.1 หมื่นล้านบาท เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2568

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา มีมติให้นำเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 เวลา 14.00-16.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ (Electronic Meeting) ดังนี้

อนุมัติการจำหน่ายหุ้น 100% ที่ถืออยู่ในบริษัท โซล่า พาวเวอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (SPM) ให้แก่ บริษัท บีจี เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด (BGE) เพื่อแลกกับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BGE จำนวน 7.5 ล้านหุ้น หรือ 27.27% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BGE

อนุมัติการจำหน่ายหุ้นจำนวน 2.02 ล้านหุ้น หรือ 7.35% ที่ถืออยู่ใน BGE ให้แก่บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) (BG) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินจำนวนกว่า 600 ล้านบาท และคงเหลือสัดส่วนถือหุ้นในธุรกิจด้านพลังงานผ่าน BGE ที่ 19.93% อนุมัติให้ SPM ทำสัญญากู้ยืมเงินจาก BGE วงเงินไม่เกิน 270 ล้านบาท เพื่อให้ SPM มีเงินทุนในการชำระเงินกู้ยืมเดิมและดอกเบี้ยค้างชำระ

“หลังจากที่เราได้ปรับโมเดลธุรกิจยกระดับจากผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว สู่ Total Packaging Solutions ด้วยการนำเสนอบริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (One stop service) ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์แก้ว พร้อมฉลาก ฝา และกล่องกระดาษ บริษัทฯ จึงมุ่งขยายการลงทุนในธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก นำมาซึ่งการปรับโครงสร้างธุรกิจด้านพลังงานในครั้งนี้” นายศิลปรัตน์ กล่าว

นายศิลปรัตน์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้น BGE และได้รับคืนเงินกู้ยืมจาก SPM มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการหลัก และชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นบางส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ นับจากเดือนมกราคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และลงทุนเตาหลอมแก้วแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท ได้แก่ การเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม และเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1,650 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนการลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ในจังหวัดราชบุรี ใช้งบลงทุน 1,600 ล้านบาท และลงทุนขยายกำลังผลิตโรงงานจังหวัดปราจีนบุรี ใช้งบลงทุนรวม 910 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 ซึ่งทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 13% เป็น 3,935 ตันต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,495 ตันต่อวัน

นอกจากนี้ ได้ขยายกำลังการผลิตถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) เพื่อตอบสนองความต้องการถุงบรรจุภัณฑ์ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงและขยายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำ เพื่อผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน โดยใช้งบลงทุนกว่า 180 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการไตรมาส 1/2565 และผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในไตรมาส 1/2566

“จากการที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้รับประทานอาหารภายในร้านอาหารได้บางส่วน ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน
ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลดีจากการจำหน่ายขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและน้ำดื่มเพิ่มขึ้น และถ้าสถานการณ์ยังดีอย่างต่อเนื่อง เราคาดว่ารัฐบาลจะทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งจะทำให้เกิดการจัดกิจกรรมต่างๆ ในช่วงปลายปีและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในปีนี้ที่จะมีรายได้และกำไรเติบโตกว่าปีก่อน” นายศิลปรัตน์ กล่าว

หน้า: 1 ... 253 254 [255] 256 257 ... 265