แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Ailie662

หน้า: 1 ... 255 256 [257] 258 259 260
4609



หลังจากปล่อยเพลงสายดาร์กล่าสุดอย่าง “NDA” ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในที่สุดอัลบั้มที่ผู้คนทั่วโลกรอคอยอย่าง “Happier Than Ever” ก็ได้ถูกปล่อยออกมา โดย “Billie Eilish” ยังอัดคลิปส่งมาเชิญชวน/]แฟนเพลงชาวไทยร่วมฟังอัลบั้มใหม่พร้อมกันในวันนี้ ที่มีทั้งหมด 16 เพลง

ซึ่งอัลบั้มนี้ “Billie Eilish” ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินที่เธอชื่นชอบตั้งแต่สมัยเด็กอย่าง Julie London, Frank Sinatra และ Peggy Lee ซึ่งเธอได้ผสมผสานระหว่างดนตรีคลาสสิกเก่า ๆ เข้ากับซาวด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ เรียกได้ว่า “Happier Than Ever” เป็นอีก 1 อัลบั้มที่ “Billie Eilish” และ “Finneas” พี่ชายสุดที่รักของเธอได้โชว์ศักยภาพในการนำแรงบันดาลใจมาทวิซให้ออกมาโมเดิร์น และมีความออริจินัลในแบบฉบับของตัวเธอเอง และนี่คืออีกครั้งที่ทั้ง 2 ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกันว่าพวกเขามาเพื่อเปลี่ยนวิถีวงการเพลงป็อปแล้วจริง ๆ



สำหรับ “Billie Eilish” ได้กล่าวในบทสัมภาษณ์ของ Pitchfork ถึงอัลบั้มนี้ว่า “สิ่งสำคัญที่ฉันหวังคือให้คนได้ยินเพลงของฉันแล้วพูดว่า โอ้ ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันไม่รู้ว่าฉันรู้สึกแบบนั้น แต่นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริง ๆ และฉันหวังให้ว่าเพลงของฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาให้มีความสุขมากขึ้นได้” รับรองได้ว่าแฟนคลับของสาว “Billie Eilish” ไม่ผิดหวังกับผลงานระดับมาสเตอร์พีชชิ้นนี้อย่างแน่นอน


นอกจาก “Billie Eilish” จะปล่อยอัลบั้มเต็มให้ทุกคนได้ฟังกันวันนี้แล้ว เธอจะปล่อย MV เพลง “Happier Than Ever” ออกมาเร็วๆ นี้ สามารถติดตามชมได้ที่ Billie Eilish YouTube: https:// www.youtube.com/c/BillieEilish/featured

4610



“ชัยวุฒิ” มอบหมาย บ.ไปรษณีย์ไทย ใช้จุดแข็งในศักยภาพด้านการขนส่ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจรายย่อยและสินค้าเกษตร/]ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ควบคู่สนับสนุนระบบสาธารณสุข รับอาสาขนส่งฟรีอุปกรณ์การแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ และให้ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ใช้ศักยภาพด้านการขนส่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในช่วงการระบาดโควิด-19 ช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกร พร้อมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนระบบสาธารณสุข ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นอีกครั้ง

โดยในส่วนของการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะครอบคลุมทั้ง การออกโปรโมชันเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ประกอบการ เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลผลิตให้กับเกษตรกรผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เว็บไซต์ Thailandpostmart.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมขายสินค้ากว่า 6,500 ราย มีสินค้ามากกว่า 17,000 รายการจากทั่วทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ ปณท ได้ปรับลดอัตราค่าบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ในพิกัดน้ำหนักตั้งแต่เกิน 2,000 กรัมขึ้นไป และให้การสนับสนุนการส่งผลผลิตของเกษตรกรในราคากล่องเหมาจ่าย ด้วยบริการ EMS พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการขายให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกร เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อได้ในภาวะวิกฤติ

นอกจากนี้ ยังมีบริการ Pick up Service รับฝากพัสดุถึงบ้าน อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ผู้ใช้บริการไม่ต้องออกจากบ้าน ลดความเสี่ยงการสัมผัสเชื้อโควิด-19 โดยสามารถใช้บริการดังกล่าวได้ทางไลน์ออฟฟิเชียล @ThailandPost



“ผมยังได้มอบหมายให้ ปณท สนองนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาลด้วยการสนับสนุนระบบสาธารณสุขในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ได้แก่ การช่วยขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่ง การส่งยาและเวชภัณฑ์จากโรงพยาบาล ไปให้ผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโควิด -19 สีเขียวในโครงการ Home Isolation-Community Isolation ให้ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว เพื่อรอการนำส่งต่อไปรักษาที่สถานพยาบาลต่อไป” นายชัยวุฒิ กล่าว



ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทย เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด -19 โดยมีโครงการ “ส่งความห่วงใย ส่งให้ สู้ภัย COVID-19” ซึ่งได้รวบรวมอุปกรณ์การแพทย์จากคนไทย จัดส่งฟรีให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศแล้วกว่า 2.2 แสนกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าการจัดส่งกว่า 8 ล้านบาท ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรขนส่งเตียงกระดาษไปให้โรงพยาบาลสนามต่างๆ ทั่วประเทศฟรีกว่า 2,300 เตียง จัดทำโครงการ “ไปรษณีย์ reBOX” โดยร่วมกับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) นำกล่อง/ซองกระดาษที่รวบรวมจากคนไทยน้ำหนักกว่า 23,500 กิโลกรัม มาแปรรูปเป็นเตียงกระดาษ อีกทั้งร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เตรียมพร้อมเปลี่ยนกล่อง/ซองเป็นหน้ากากอนามัย บรรจุใน กล่องBOXบุญ ที่จะส่งมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น

4611


วันที่ 30 ก.ค.64 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยส่วนหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุมใช้ระบบ conference โดยมีนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เข้าร่วมด้วย ภายหลังจากการประชุม นายจุรินทร์ เผยว่า มีประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น คือ

1. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้/]จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จำนวน 100 บาทและมีรายได้ 30,000 ถึงไม่เกิน 100,000 บาท เป็นจำนวน 50 บาท สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยที่ผ่านมาได้มีการค้างการจ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นเวลา 4 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2563 วันนี้ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินย้อนหลังให้กับผู้สูงอายุที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 4,700,000 รายทั่วประเทศและมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี 2564 โดยให้จ่ายเป็นเวลา 1 ปี รวม 6 งวด โดยจ่ายเดือนเว้นเดือน ซึ่งมีอยู่จำนวน 4,700,000 ราย

2. การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนซึ่งเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ สำหรับผู้สูงอายุที่รับเงินไปแล้วจะทำอย่างไร ได้มีการถามไปยังกฤษฎีกาได้ตอบกลับมาแล้วว่าให้สามารถดำเนินการได้ ถ้าผู้สูงอายุท่านใดจ่ายเงินกลับคืนมาให้จ่ายกลับไปยังผู้สูงอายุโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องจ่ายเงินคืนไปให้ผู้สูงอายุ สำหรับการดำเนินการกรณีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในอนาคตได้มีการตั้งอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายใน 1 เดือนตามที่กฤษฎีกาแนะนำมาเบื้องต้น จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่รับเบี้ยยังชีพซ้ำซ้อนมีอยู่ 15,000 ราย

3. ก่อนหน้านี้มีการจัดโครงการชำระหนี้ให้กับผู้สูงอายุที่เป็นหนี้กองทุนผู้สูงอายุและจะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ประชุมมีมติให้ต่ออายุพักชำระหนี้ผู้สูงอายุไปอีกหกเดือนจนถึงเดือนมีนาคมปี 2565

4. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุระยะยาวตั้งแต่ปี 2566-2580 ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

และ ประเด็นที่5 ที่ประชุมขอให้ตนเรียนให้ผู้สูงอายุทั่วทั้งประเทศได้รับทราบว่าคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นห่วงเป็นใยผู้สูงอายุทุกคนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้สูงอายุทุกท่านขอความกรุณาให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิดกรุณาอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุที่เข้าไปขอรับบริการเป็นกรณีพิเศษด้วย

4612



ถือเป็นการสร้างสีสันครั้งสำคัญให้กับวงการวิดีโอสตรีมมิงแอปพลิเคชันเลยก็ว่าได้ กับการเปิดตัว “โกลบอล แบรนด์ แอมบาสเดอร์” ของ ‘WeTV’ ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของการเปิดให้บริการวิดีโอสตรีมมิงแอปพลิเคชันในประเทศต่างๆ อาทิ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงฝั่งตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาใต้อีกด้วย

โดย WeTV ได้คว้าตัว 4 เมกะสตาร์จีนที่มีฐานแฟนคลับมากมายทั่วโลกมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นซุปตาร์หน้าหมวยอินเตอร์อย่าง ตี๋ลี่เร่อปา (Dilraba) เจ้ากระต่ายน้อยแสนอบอุ่น เซียวจ้าน (Xiao Zhan) รวมถึงขุ่นแม่ หยางมี่ (Yang Mi) และลูกแกะน้อยรอยยิ้มละลายอย่าง หยางหยาง (Yang Yang) บอกได้เลยว่าการรวมตัวกันของ 4 คนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะได้เห็นกันบ่อยๆ เพราะนี่คือ 4 เมกะสตาร์จีนที่นอกจากจะมีผลงานบันเทิงที่มัดใจแฟนด้อมทั่วเอเชียมากมายยังเป็นเซเลบริตี้ที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับอินเตอร์เนชันแนลต่างๆ มากมายรวมมูลค่าแบรนด์แล้วทะลุหลายพันล้านบาท วันนี้ WeTV มัดรวมความปังของทั้ง 4 คนมาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนรอติดตามผลงานในฐานะ “โกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ WeTV” แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงที่สุดความบันเทิงคุณภาพแห่งเอเชีย



ตี๋ลี่เร่อปา ซุปตาร์หน้าหมวยอินเตอร์ที่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก!



“ตี๋ลี่เร่อปา (Dilraba)” หรือ “ดิลราบา ดิลมูรัต” นักแสดงสาวชาวจีนเชื้อสายอุยกูร์ วัย 29 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ในวงการ เธอกวาดไปแล้วกว่า 30 รางวัลเลยนะ! สำหรับผลงานที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตก คงจะหนีไม่พ้น “สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่” (Eternal Love) ที่ออกอากาศเมื่อปี 2560 ถือเป็นซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ ทำลายสถิติยอดวิวทั้งทางช่องโทรทัศน์และออนไลน์ด้วยการเป็นซีรีส์ที่ยอดวิวทะลุ 1 หมื่นล้าน และ 2 หมื่นล้านเร็วที่สุดในจีน แต่ความปังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะซีรีส์ภาคต่ออย่าง “สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย” (Eternal Love of Dream) ก็ได้กลายเป็นซีรีส์ที่มียอดวิวสูงสุดประจำปี 2563 บนแอปพลิเคชัน WeTV



เซียวจ้าน จากหนุ่มดีไซน์ สู่ไอดอล และเมกะสตาร์จีนที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการบันเทิงเอเชีย

“เซียวจ้าน (Xiao Zhan)” มีชื่อเล่นว่า จ้านจ้าน (Zhan Zhan) อายุ 30 ปี หนึ่งในเมกะสตาร์จีนที่มีฉายาว่า ‘กระต่ายน้อย’ หรือเหล่าแฟนคลับมักจะเรียกว่า “จ้านเกอ หรือ พี่จ้าน” ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร ก็ขึ้นติดเทรนด์ในโลกโซเชียลเสมอ





สำหรับปีทองของเซียวจ้านนั้นก็คือปี 2562 กับผลงานที่ทำให้เขาโด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งในเมกะสตาร์ของจีนในเวลาอันรวดเร็ว จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก คือกระแสซีรีส์ “ปรมาจารย์ลัทธิมาร” (The Untamed) ที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทุกครั้งที่ออกอากาศ และที่สำคัญคือ แฟนคลับชาวไทยนั้นมีความปังเกินต้าน ส่งแฮชแท็กภาษาไทย #ปรมาจารย์ลัทธิมารep50 ติดอันดับหนึ่งทั้งเทรนด์ประเทศไทย รวมถึงเทรนด์โลก แถมมียอดการรีทวีตมากกว่า 1 ล้านครั้ง



ทุกคอนเทนต์ของเซียวจ้านบน WeTV นั้นมักจะได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ ทุกครั้ง สำหรับปรากฏการณ์ความปังล่าสุดของเซียวจ้านเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือซีรีส์แนวแฟนตาซีสร้างจากอนิเมะชื่อดังของจีน "ตำนานจอมยุทธ์ภูตถังซาน" (Douluo Continent) ติดอันดับ 5 ซีรีส์พากย์ไทยที่มียอดชมสูงในครึ่งปีแรก (Q1-Q2) บน WeTV อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งเท่านั้น สำหรับแฟนๆ ที่อยากติดตามชมผลงานที่กำลังรอออนแอร์ของเขาเรื่อง "The Oath of Love" ในบทคุณหมอกู้เว่ย แพทย์หนุ่มแสนสุขุม และ “The Longest Promise” รวมถึงผลงานยอดฮิตก่อนๆ เช่น "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" (The Untamed) หรือ "กระบี่เทพสังหาร" (Jade Dynasty)



เมกะสตาร์ระดับตำนานอย่างขุ่นแม่หยางมี่ ตัวแม่แห่งวงการบันเทิง และวงการธุรกิจอย่างแท้จริง

หยางมี่ (Yang Mi) นักแสดงระดับตำนานแห่งวงการบันเทิงจีน ที่ถือว่าเป็นตัวแม่ทั้งในโลกแห่งการแสดง รวมถึงโลกแห่งธุรกิจ สำหรับใครที่อยากชมผลงานของเธอ สามารถรับชมได้ทางแอปฯ WeTV เช่นเรื่อง “มหัศจรรย์กระบี่เจ้าพิภพ" (Swords of Legends) และผลงานที่รอออนแอร์ 2 เรื่องสองสไตล์อย่างซีรีส์แนวเทพเซียนที่สร้างจากนิยายชื่อดังไข่มุกเคียงบัลลังก์ อย่างเรื่อง Novoland: Pearl Eclipse และผลงานแนวโรแมนติกอย่าง She & Her Perfect Husband ที่ประกบคู่กับสวีข่าย นักแสดงหนุ่มขวัญใจสาวไทยที่กำลังมาแรงในขณะนี้



หยาง หยาง ที่สุดแห่งใบหน้าชวนฝัน เจ้าของฉายาลูกแกะน้อยหน้ามนยิ้มละลายใจแฟนๆ ทั่วโลก

“หยาง หยาง” (Yang Yang) พระเอกใบหน้าหล่อดุจเทพบุตร ผู้ที่ได้รับฉายาลูกแกะน้อย หรือหนุ่มหน้าฟ้าประทานยิ้มละลายใจเขาคือนักแสดงที่มาเพื่อละลายใจแฟนๆ ทั่วโลกอย่างแท้จริง ทางด้านแฟนคลับชาวไทยเองก็ต้านความหล่อทะลุพิกัดของเขาไม่ไหวเช่นกัน เพราะเมื่อปี 2562 ตอนเปิดตัวแอปพลิเคชัน WeTV ที่ประเทศไทยนั้น WeTV ยังได้ถือโอกาสจัดแฟนมีตติ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิก WeTV VIP เพื่อโปรโมตซีรีส์ เรื่อง "เทพยุทธ์เซียนกลอรี่" (The King's Avatar) และซีรีส์ที่กำลังสร้างปรากฏการณ์อยู่ตอนนี้ คือซีรีส์ที่กำลังออนแอร์เรื่อง “ดุจดวงดาวเกียรติยศ” (You are My Glory) การโคจรมาพบกันของคู่เคมีฟ้าประธานระหว่างหยาง หยางและตี๋รี่เร่อปา เริ่มออกอากาศไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา สร้างปรากฎการณ์ทำยอดวิวสูงถึง 100 ล้านวิวภายใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออกอากาศที่ประเทศจีน



การรวมตัวของโกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ ของ WeTV นี่ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ และเพื่อเป็นการเอาใจแฟนคลับแบบสุดติ่ง WeTV ก็ได้เตรียมฟีเจอร์พิเศษกับการเก็บสะสม “VIP Digital Gift Card” ของแบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้ง 4 คนโดย VIP Digital Gift Card นี้แฟนๆ สามารถซื้อเพื่อสะสม และสนับสนุนแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่คุณชื่นชอบ และยังมาพร้อมกับแพ็คเกจราคาพิเศษ VIP 1 เดือน ราคา 59 บาท (จากราคาปกติ 89 บาท) VIP 3 เดือน ราคา 179 บาท (จากราคาปกติ 249 บาท) และ VIP 12 เดือนราคา 599 บาท (จากราคาปกติ 899 บาท) และยังสามารถซื้อเพื่อส่ง VIP Digital Gift Card เป็นของขวัญให้กับเพื่อนๆ เพื่อแบ่งปันความบันเทิงของคอนเทนต์คุณภาพจาก WeTV ได้อีกด้วย นอกจากการซื้อ VIP Digital Gift Card เพื่อรับชมคอนเทนต์ VIP ยังเป็นการสะสมคะแนนจากการซื้อ VIP Digital Gift Card และสะสมคะแนนจากภารกิจพิเศษที่ทาง WeTV ได้เตรียมไว้เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจากแบรนด์แอมบาสเดอร์แต่ละคน อาทิ รูปพร้อมลายเซ็น กล่องของขวัญสุดพิเศษ รวมถึงบัตรเข้าชมแฟนมีตติ้งของแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่คุณชื่นชอบ เป็นต้น สำหรับแฟนคลับที่อยากสนับสนุนโกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้ง 4 คน สามารถเข้าไปซื้อ VIP Digital Gift Card ได้ที่ https://bit.ly/likesWeTV ผ่านทางแอปพลิเคชัน WeTV

4613



ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีการ/]แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบันทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกและการลงทุนยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2564 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างเดลตาก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการลงทุนยังคงมีความผันผวน ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ดีในทุกๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การที่นักลงทุนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีการศึกษาข้อมูลและการวางแผนที่ดีควบคู่ไปพร้อมกัน

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ระบบเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน แต่โลกความเป็นจริงทุกสิ่งก็ต้องยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับโลก จึงได้เผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการลงทุนครึ่งหลังของปี 2564 ที่จะมาช่วยให้นักลงทุนสามารถเตรียมความพร้อม และเป็นแนวทางก่อนตัดสินใจที่จะลงทุน ประกอบไปด้วย

1.ภาครัฐทั่วโลกยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง – ในขณะนี้ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายระดับต่ำต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบของการระบาด อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยจะไม่ต่ำแบบนี้ตลอดไป จะมีสัญญาณการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน หากภาคธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงปกติ และเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

2.ประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็วจากโควิด-19 ได้เปรียบ – ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มากขึ้น แรงหนุนจากภาคธุรกิจบางส่วนที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของภาคบริการในวงกว้างมากขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยชีวิตผู้คน สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในภาคต่างๆกลับมาขับเคลื่อน จะเห็นได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงมูลค่าหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน



3.ให้น้ำหนักการลงทุนยั่งยืน (ESG) – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มหันมาให้ความสำคัญในการมุ่งสู่โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการคว้าโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ในอนาคต ตลอดจนนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าและประสิทธิภาพของพลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากในไม่กี่ปีข้างหน้า



4.มองบวกลงทุนหุ้นหลากกลุ่มหลายภูมิภาค– แม้ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงต่อเนื่อง แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นแนะกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักร ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ตลอดจนกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา

5.จับตาสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างใกล้ชิด – แม้นักวิเคราะห์ซิตี้พบว่ามีโอกาสในการลงทุนระยะสั้นในอุตสาหกรรมหลายประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการสิ้นสุดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกทั้งการลงทุนระยะยาวในอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดได้เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนที่อาจเลวร้ายลง เนื่องจากการแข่งขันทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศที่อาจมีนัยยะและส่งผลกระทบ ตลอดจนการโจมตีทางไซเบอร์บนโครงสร้างพื้นฐานของโลกยังคงเป็นความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว

4614



วันที่ 29 ก.ค. ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกทม. กล่าวในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวสรุปการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ผ่านระบบ Cisco Webex Meetings ถึงกรณี กทม.และกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) มีปัญหากันหรือไม่นั้น โดยยืนยันว่า กทม.และ กระทรวงสธ.ทำงานร่วมกันมาตลอด ส่วนที่มีกระแสข่าวทะเลาะกับ สธ.นั้น ทาง กทม.ได้ชี้แจงไปแล้วว่า กทม.ได้รับวัคซีนจำนวนเท่าไร โดย กทม.ได้รับการจัดสรรวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในระบบหมอพร้อม 1,220,000 โดสเป็นกระบวนการที่ทำร่วมกับ สธ.ดังนั้น จะมียอดลงทะเบียนของทั้งสองหน่วยงานในจำนวนนี้กว่า 30,000โดส ใช้ในการฉีดผู้ป่วยติดเตียง ติดบ้าน และได้รับวัคซีนจากโครงการไทยร่วมใจเพียง 680,000 โดส และใน 1-2 วันนี้จะมีการตัดวัคซีนไปฉีดผู้ป่วยในชุมชนอีกประมาณ 30,000 โดส ตรงนี้เป็นตัวเลขทั้งหมดที่ได้รับ

"ส่วนจำนวน 700,000 โดส คืออะไร ก็ต้องบอกว่าถ้าเอาตัวเลขเป๊ะๆ ที่ได้รับจากโครงการไทยร่วมใจอยู่ที่ 680,000 โดส ซึ่งทุกครั้งที่จะนำวัคซีนจากโครงการไทยร่วมใจไปใช้จะต้องมีการขอมติจาก ศบค.ด้วยว่าจะให้ฉีดเท่าไรอย่างไร"ร.ต.อ.พงศกร ระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ กทม.จะจัดซื้อวัคซีนเอง ร.ต.อ.พงศกร กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกวัคซีนที่รัฐจัดหา และกลุ่มสองวัคซีนทางเลือก ซึ่งกทม.มีความพร้อมและได้จัดซื้อวัคซีนทางเลือกแล้วบางส่วน อาทิ ซิโนฟาร์ม ใช้ในการฉีดในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และอยู่ระหว่างการพูดคุยในเรื่องการจัดซื้อโมเดอร์นาในลำดับถัดไป ส่วนการกระจายวัคซีนคงไม่มีการปรับแผน โดย กทม.ทำตามนโยบายมาตลอด เพื่อเร่งฉีดกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรคและผู้ที่มีความเสี่ยง โดยมีเป้าหมายฉีดให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ซึ่งศักยภาพของศูนย์ฉีดได้ 7-8 หมื่นต่อวัน หากได้วัคซีนเพิ่มเราก็มีศักยภาพที่จะฉีดเพิ่มได้

โฆษก กทม. กล่าวด้วยว่า ส่วนกลุ่มที่ไปรอฉีดสถานีกลางบางซื่อจำนวนมากจนเกิดภาพความแออัด กทม.เป็นแค่หนึ่งคณะกรรมการกระจายวัคซีน ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจว่าใครจะได้รับวัคซีนเท่าไร แต่ กทม.พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการฉีดวัคซีนในสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งมีภาพความแออัด และอาจจะมีความเสี่ยงต่อการระบาด แต่อยู่กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดในการควบคุมการระบาด เพราะรู้ว่าการกระจายวัคซีนและการบริหารจัดการควรเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาด กทม.คงไปสั่งแทนไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ แต่ กทม.พร้อมเข้าไปช่วย


ด้านพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กทม.ยังคงให้บริการวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นการฉีดโดยหลายหน่วยงานอาทิ จุดฉีดสถานีกลางบางซื่อโดยกระทรวงสาธารณสุข จุดฉีดศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงโดยกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งได้ร่วมกันจัดหน่วยฉีดให้บริการประชาชนในกรุงเทพฯ รวมจำนวนสะสม 5,668,720 โดส แบ่งผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม แล้วจำนวน 1,025,493 ราย หรือ 2,050,986 โดส ส่วนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 จำนวน 3,617,734  ราย

พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวอีกว่า ในส่วนของ กทม.ได้รับการจัดสรรวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 680,000 โดส โดยได้ฉีดให้แก่ประชาชนผ่านโครงการไทยร่วมใจ ที่จุดฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล โดยความร่วมมือระหว่าง กทม.และหอการค้าไทยทั้ง 25 แห่ง โดยในเดือน มิ.ย.มีจำนวน 200,000 โดส และในเดือน ก.ค. ได้ฉีดให้แก่ผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งผู้ที่ลงทะเบียนผ่านโครงการไทยร่วมใจและได้รับแจ้งให้เลื่อนคิว รวมจำนวน 480,000 โดส ซึ่งคาดว่าจะให้บริการวัคซีนได้ครบภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้

สำหรับการให้บริการวัคซีน ที่จุดบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล “หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร - หอการค้าไทย”  ขณะนี้ได้ให้บริการวัคซีนแก่ประชาชน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนผ่านโครงการ “ไทยร่วมใจ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือเว็บไซต์ www.ไทยร่วมใจ.com หรือร้านค้าสะดวกซื้อ ได้แก่ เซเว่น อีเลฟเว่น แฟมิลี่มาร์ท ท็อปส์ เดลี่ และมินิบิ๊กซี ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้ว และผู้ที่ลงทะเบียนใหม่

2.กลุ่มผู้ที่ตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถ Walk-in เข้ารับวัคซีนได้ที่ศูนย์ฉีดโดยแสดงหลักฐานใบฝากครรภ์หรือใบรับรองการตั้งครรภ์จากแพทย์พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง และ 3.กลุ่มผู้ที่มีอายุ 18 – 59 ปี ที่มีคิวฉีดวัคซีนเดิมซึ่งได้ลงทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 26 – 30 มิ.ย. โดยคิวเดิมวันที่ 30 มิ.ย. สามารถมารับบริการได้ในวันที่ 30 ก.ค. ในส่วนของผู้ที่มีคิวนัดกับโครงการไทยร่วมใจตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป จะแจ้งคิวฉีดวัคซีนใหม่ให้ทราบทันที เมื่อ กทม.ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม


ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวอีกว่า ขณะที้สถานการณ์การการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกรุงเทพฯ จากข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) สำนักการแพทย์ กทม. จากยอดวันที่ 28 ก.ค.64 เวลา 23.59 น. มีจำนวนผู้ป่วยซึ่งยังคงรักษาตัวโรงพยาบาลทุกสังกัด ทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 26,969 ราย โดยเป็นผู้ป่วยโควิดซึ่งยังคงพักรักษาตัวโรงพยาบาลสังกัด กทม. รวมทั้งโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในความดูแลของสำนักการแพทย์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 3,587 ราย โดย 146 ราย มีอาการรุนแรง

สำหรับจำนวนเตียงโรงพยาบาลสังกัด กทม. รวมทั้งโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในความดูแลของสำนักการแพทย์ จำนวนทั้งสิ้น3,632 เตียง ใช้ไปแล้ว 3,597 เตียง คิดเป็นร้อยละ 98.76 ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เปิดให้บริการแล้ว จำนวน 26 ศูนย์ จำนวนเตียงที่สามารถรองรับผู้ป่วย ได้ 3,499 เตียง ขณะนี้ใช้ไปแล้ว 2,439 เตียง ทั้งนี้ ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ ฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตอยู่ระหว่างการนำส่งผู้ป่วยเพื่อเข้าสู่สถานพยาบาลและศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อทุกแห่งให้ครบเต็มจำนวน

อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการผู้ป่วยในศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ สำนักการแพทย์ กทม. ได้ดำเนินการคัดแยกกลุ่มผู้ป่วยที่มีผลเป็นบวกจากชุดตรวจ ATK แยกกักตัวกับกลุ่มผู้ป่วยที่ทำการตรวจด้วย RT-PCR โดยจะทำการตรวจ RT-PCR ซ้ำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงหากผลบวกจากชุดตรวจ ATK เป็นผลบวกที่คลาดเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยสูงสุด

นอกจากนี้ สำนักอนามัย กทม.ได้สรุปจำนวนผู้ที่อยู่ระหว่างการแยกกักตัวที่บ้าน Home Isolation จากข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ค.64 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,364 ราย โดยเขตที่มีผู้ได้รับการแยกกักตัวที่บ้าน สูงสุด ตามลำดับ คือ เขตธนบุรี (208 ราย) บางซื่อและบางกอกใหญ่(เขตละ 130 ราย) ทุ่งครุ (120 ราย) และสายไหม (99 ราย)

4615



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมด ที่ได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น “ลินเดน โคเจน” ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ปยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ปมีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่

“เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง” นายเทพรัตน์กล่าว

4616



เมื่อยุคสมัยของการเรียนรู้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ได้เข้ามาทำให้การเรียนการสอนของเยาวชนในปัจจุบันผ่านช่องทางออนไลน์เกิดเร็วขึ้น แม้จากเดิมจะเป็นแค่หนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีที่หลายภาคส่วนให้ความสนใจ

​ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการศึกษาจะกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดบริบทใหม่ให้แก่สังคม โดยเฉพาะครู-อาจารย์ผู้สอนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญที่สุดในการเป็นบุคลากรต้นน้ำของภาคการศึกษา ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาการสอนให้รับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

​สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวถึงความภาคภูมิใจ และยินดีที่จะเข้ามาเชื่อมต่อ ช่วยเหลือคุณครูไทยในการเสริมทักษะเพื่อสร้างความรู้ในการพัฒนาสื่อสารการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ที่มีความจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบัน

​โดยในมุมของ AIS นอกจากการนำเครือข่าย AIS 5G การให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ AIS Fibre และการให้บริการ AIS WiFi ต่างๆ ที่ได้ลงทุนไปให้กลายเป็นดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์พื้นฐาน สำหรับนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติ รวมถึงการฟื้นฟูประเทศไทยในหลากหลายประเภท

​‘การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้ามาเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อให้คนไทยใช้งาน ทั้งในชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น AIS ยังอยากที่จะนำดิจิทัลแพลตฟอร์มนี้มาช่วยโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19’

​ที่ผ่านมา AIS นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าไปช่วยเหลือทั้งภาคอุตสาหกรรม อย่างการนำ AIS 5G เข้าไปช่วยให้โรงงานสามารถปรับตัวสู่การเป็น Smart Man.cturing โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศในเวลานี้

​พร้อมกับเตรียมขยายไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในการนำโซลูชันจากพันธมิตรมาให้บริการทั้งด้านโรงงานอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม (Mobile Robots) และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์ และหุ่นยนต์ (Collaborative Robot) ภายใต้การนำศักยภาพ 5G ฟื้นฟูประเทศ

​ในขณะที่ภาคสาธารณสุขซึ่งเป็นงานด่านหน้าในปัจจุบันนี้ ได้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปทำในเรื่องของ ‘อสม.’ ในการดูแลประชาชนในแต่ละชุมชน การนำเทคโนโลยีไปช่วยในโรงพยาบาลสนาม จนถึงสถานที่ฉีดวัคซีนต่างๆ

​‘ระยะสั้น AIS อาจจะสามารถช่วยสาธารณสุขในการปกป้อง ป้องกัน แต่ในระยะยาวของการพัฒนา และฟื้นฟูประเทศได้จริงๆ คือเรื่องของการศึกษา เรื่องของเยาวชน จึงเป็นเหตุผลที่ได้เข้ามาทำโครงการ The Educators Thailand ให้แก่ครูไทย’

​วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ การพัฒนาความพร้อมของคุณครูที่จะมีเยาวชนที่ต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าทักษะนี้จะมีความจำเป็นต่อไปในอนาคตแม้จะผ่านช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ไปแล้วก็ตาม

​‘ครูยังเป็นหัวใจสำคัญมากๆ ในการที่จะขับเคลื่อนให้ลูกศิษย์ และเยาวชน สิ่งสำคัญมากๆ คือครูต้องปรับตัวเองเพิ่มเติม และมีความมั่นใจว่าโครงการนี้อาจารย์ที่เข้าร่วมจะสามารถต่อยอด จุดประกายความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในการสอนเด็ก และเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีพลังบวก เมื่อคุณครูสามารถชี้นำได้ และกลายเป็นความสุขในการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในเวลานี้’

***ต่อยอด AIS Academy พัฒนาภาคการศึกษา



ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา AIS ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาทักษะของพนักงานภายในองค์กรให้มีการอัปสกิล และรีสกิล ให้รับกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เกิดขึ้น จึงเป็นการเสริมทักษะให้บุคลากรเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ​ก่อนเกิดการต่อยอดโครงการสู่ AIS Academy for Thais ภายใต้มุมมองใหม่ว่าการพัฒนาคนภายในองค์กรอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงหลักสูตรต่างๆ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน

​‘AIS เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้สังคมไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องออกไปช่วยเหลือสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ภายใต้ AIS Academy คิดเผื่อ เพื่อคนไทยในกิจกรรมต่างๆ มาจนถึงภาคการศึกษาซึ่งถือเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะช่วยปูทางเยาวชนสู่การทำงานในอนาคต’

​สำหรับโครงการ The Educators Thailand จะเริ่มจากเปิดโอกาสให้คุณครูได้สามารถเข้ามาเรียนรู้หลักสูตรต่างๆ และข้อมูลที่มีประโยชน์ผ่านแพลตฟอร์ม LearnDi ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทักษะใหม่ๆ ใน 5 หลักสูตร ตั้งแต่ 1.การเรียนรู้ภูมิทัศน์ของการเรียนในอนาคต องค์ประกอบของการเรียนการสอนออนไลน์ ระบบ Learn from Home จนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน 2.การวิเคราะห์เนื้อหา และวิธีการเรียนออนไลน์ 3.กลยุทธ์ในการสอนออลไน์ ทั้งการสอนแบบผู้เรียนอิสระ การสอนโดยใช้กิจกรรมกลุ่ม การออกแบบการสอนที่มีการแนะนำความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพิ่มเติมเข้าไป

​4.การผลิตวิดีโอออนไลน์สำหรับการศึกษา และ 5.การวัดประเมินผลออนไลน์ ทั้งความรู้ ทักษะ และทัศนคติต่างๆ โดยเมื่อผ่านหลักสูตรจะได้ใบประกาศนียบัตร และ Digital Credential Badge จาก AIS Academy ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองคุณวุฒิระดับสากล

***นวัตกรรมการสอนของครูไทยในอนาคต



​นอกเหนือจากการเพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว ภายใต้โครงการ The Educators Thailand ยังมีการเปิดเวทีการแข่งขันเพื่อให้บุคลากรทางด้านการศึกษากว่า 1,000 คน จากทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น นักการศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรด้านการศึกษาทุกสังกัด และนักศึกษาฝึกสอน มาเข้าร่วม Un Learn และ Re Learn ทักษะการสอน จนท้ายที่สุดจะได้มาซึ่งผลงานจากผู้เข้าร่วมโครงการในลักษณะต้นแบบของสื่อการสอนที่จะสามารถนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต

​โดยหลังจากนี้ ในช่วง 2 เดือน ผู้สมัครเข้าร่วมจะเข้าหลักสูตรพัฒนา ออกแบบทฤษฎีการเรียนการสอน การออกแบบสื่อใหม่ๆ ยกระดับครูด้วยกัน จนถึงขั้นตอนการสอบวัดผล เมื่อผ่านจะได้รับใบประกาศนียบัตร

​เป้าหมายที่สำคัญของโครงการนี้คือ การเข้าไปยกระดับขีดความสามารถคุณครูไทย โดยเฉพาะการปรับกรอบความคิด (Mindset) ให้ฝักใฝ่ในการเรียนรู้ ด้วยการนำศักยภาพของเทคโนโลยีมาใช้ พร้อมกับการนำเครื่องมือดิจิทัลมาช่วยเชื่อมต่อผ่านแพลตฟอร์ม



กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช กล่าวเสริมว่า บริบทของภาคการศึกษามีการปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก การจะพัฒนาระบบต้องเริ่มจากการพัฒนาศักยภาพของคน

​ความตั้งใจของ AIS คือการนำเอาทักษะ องค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านดิจิทัล เทคโนโลยี เข้ามาช่วยผลักดันตามแนวทางที่ AIS Academy เดินหน้าเรื่อง EdTech มาตลอด

​‘จากประสบการณ์ที่ AIS มีการส่งเสริมการเรียนรู้ภายในองค์กรมาก่อน ทำให้เข้าใจถึงปัญหาในการที่จะปรับคนที่เคยชินกับรูปแบบการเรียนการสอนในรูปแบบเดิม มาใช้ระบบดิจิทัล หากภาคเอกชน และภาครัฐร่วมมือกัน และส่งเสริมกัน อย่างการนำประสบการณ์มาช่วยย่นระยะเวลา ทำให้ภาครัฐไม่ต้องไปทดสอบ หรือเดินผ่านเส้นทางปัญหาต่างๆ ก็จะทำให้ศักยภาพของการพัฒนารวดเร็วขึ้น’

​ปัจจุบันความเร็วในการปรับตัว และพัฒนาถือเป็นเรื่องสำคัญ จากที่ในอดีตที่มองว่าความสมบูรณ์เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ความเร็วสำคัญกว่าสมบูรณ์ จากสถานการณ์ที่เจออยู่ในปัจจุบันซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วัน รูปแบบในการรับมือสถานการณ์ก็ต้องเปลี่ยนทุกวัน

​ดังนั้น LearnDi จึงเข้ามาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อช่วยพัฒนาให้เหล่าบุคลากรทางการศึกษา ครูอาจารย์ผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการได้ร่วมสร้างความแข็งแกร่งและนำศักยภาพการศึกษาโดยการพัฒนาวิธีการสอน และเสริมทักษะการสร้างสรรค์ผลงานสื่อการสอน ภายใต้แนวคิด ‘มากกว่าความเป็น...ครูผู้สอน นวัตกรรมการสอนของครูไทยในอนาคต’

​นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ และสร้างสรรค์ผลงานเข้าประกวดยังมีโอกาสได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

​สุดท้ายเชื่อว่า The Educators Thailand จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะปลุกพลังของภาคการศึกษา บุคลากร และครูไทย ให้เกิดการปรับเปลี่ยนสู่การศึกษาในรูปแบบใหม่ ตามยุคสมัยดิจิทัล ซึ่ง AIS พร้อมที่จะใช้ความแข็งแกร่งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานมาเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อครูไทย ไปพร้อมกับคนไทย

4618


เรื่องของโควิด-19 ภายในประเทศยังเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดการลงทุนในสัปดาห์นี้ สถานการณ์ล่าสุดในวันอาทิตย์ผู้ติดเชื้อต่อวันยังคงเห็นการพุ่งขึ้น และทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หากอิงข้อมูลการติดเชื้อต่อวันจาก World Meter พบว่า การติดเชื้อของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ของจำนวนประเทศที่ World Meters เก็บรวบรวมทั้งหมด 222 ประเทศ

ขณะที่ปัจจุบันจำนวนการติดเชื้อของประเทศไทยเริ่มเห็นการกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น หากมาดูข้อมูลล่าสุดจาก ศบค. พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 100% มาจากต่างจังหวัดที่ไม่รวมปริมณฑลถึง 59% ซึ่งเร่งตัวขึ้นมาจากช่วงก่อนหน้าราวกลาง ก.ค. ที่ 46% บ่งชี้ว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดไปเริ่มกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เรากังวลและตลาดยังไม่ตอบรับคือการยกระดับมาตรควบคุมมากขึ้นในต่างจังหวัดเพื่อสกัดกั้นการระบาด แต่การยกระดับจะเป็นลบกับเศรษฐกิจรวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่ม Downside Risk ต่อประมาณการ จึงแนะนักลงทุนติดตามใกล้ชิดเกี่ยวกับการระบาดของต่างจังหวัด ดังนั้น จากการระบาดที่ยังมีความเสี่ยงทำให้ประเมิน SET ยังเสี่ยงอ่อนตัวกรอบ 1,520-1,560

สำหรับการส่งออกในเดือน มิ.ย. ขยายตัว 44%YoY นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี หลักๆ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและฐานปี 20 ที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ +78%YoY เครื่องใช้ไฟฟ้า +42%YoY แผงวงจรไฟฟ้า +33%YoY เคมีภัณฑ์ +47%YoY สินค้าเกษตร +60%YoY มองเป็นบวกต่อ (AH DELTA HANA KCE NER PTTGC SAT) อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังต้องติดตามการระบาดโควิด-19 ที่หลายประเทศเผชิญการระบาดอีกครั้ง และบางประเทศที่เกิดการระบาดเป็นคู่ค้าหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ (15%) ASEAN (13.4%) ญี่ปุ่น (9.8%)

ปัจจัยสัปดาห์นี้ (1) ประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุสัปดาห์นี้จะมี SCC PTTEP GLOBAL รายงานผลประกอบการ (2) ประชุม FED ในวันพฤหัสบดี แต่เชื่อว่าไม่มีนัยอะไรมากเนื่องจาก Policy ยังน่าจะคล้ายประชุมครั้งก่อน

กลยุทธ์การลงทุน การลงทุนระยะสั้นควรเลือกหุ้นที่ผลกระทบจากโควิด-19 จำกัด เช่น ส่งออก (ASIAN DELTA HANA KCE NER TU) สื่อสารและโรงไฟฟ้า (ADVANC BGRIM BCPG GPSC GULF) รวมถึงได้ประโยชน์จากโควิด-19 เช่น โรงพยาบาล (BCH CHG) พร้อมแนะยังคงเน้นการถือครองเงินสดมากขึ้น

KCE (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาดผลการดำเนินงาน 2Q21E ที่ 531 ล้านบาท (+644%YoY และ 6%QoQ) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2020 และเพิ่มขึ้น 7%QoQ ตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคาขาย
URL
 13
 

4619




นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV เปิดเผยว่า บริษัทถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมครบวงจร ทั้งการออกแบบ ก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา ตลอดจนลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยนำเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนกว่า 15 ปี ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ ความชำนาญงานด้านวิศวกรรมการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาและลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ/หรือพลังงานสะอาด รวมถึงวางแผนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่คุณค่าในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและกลยุทธ์ด้านการสร้างความมั่นคงทางธุรกิจและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้ CV ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ และสังคมโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนในอนาคต 

4620



ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2564 นอกจากจะเป็นพื้นที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแล้วมีการเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาไม่ต้องกักตัวในสถานที่กักตัวของรัฐหรือสถานที่กักตัวทางเลือก

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ได้รับนักท่องเที่ยงต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต โดยนอกเหนือจากนักท่องเที่ยวแล้วทำให้จังหวัดภูเก็ต ได้กลายเป็นช่องทางเข้าประเทศใหม่ของไทยที่ทำให้มีนักธุรกิจหลายชาติที่ต้องการเข้ามาเจรจาธุรกิจ ซึ่งได้ใช้ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เป็นสถานที่นัดพบเพื่อเจรจาด้านธุรกิจสร้างพันธมิตรทางการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ การเซ็นสัญญาโครงการลงทุน

สำหรับรูปแบบการใช้ภูเก็ตเป็นเวทีการเจรจาธุรกิจมี 3 ระดับ คือ 

1.บริษัทแม่ในต่างประเทศมาติดตามงานบริษัทลูกในประเทศไทย 

2.บริษัทไทยและบริษัทต่างชาติเจรจาธุรกิจกัน 

3.บริษัทไทยและบริษัทต่างชาติมาลงนามสัญญาธุรกิจ

ทั้งนี้ มีบริษัทที่ใช้ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เป็นพื้นที่ลงนามธุรกิจแล้ว คือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ลงนามซื้อหุ้นของบริษัท Allnex Holding Germany II GmbH วงเงิน148,417 ล้านบาท เมื่อวันที่วันที่ 10 ก.ค.2564 โดยมีผู้บริษัทระดับสูงของทั้ง 2 บริษัท เดินทางมาที่ภูเก็ตเพื่อลงนามด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นเป็นการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดโดยบริษัทไทยในรอบเกือบทศวรรษ

“การลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายนำร่องเปิดประเทศของรัฐบาล และเพิ่มรายได้ให้กับคนในพื้นที่ โดยจีซีได้ศึกษาแผนการลงทุนครั้งนี้มาร่วมปี และทั้ง 2 ฝ่าย ตื่นเต้นที่จะมีร่วมมือกัน” นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าว

ส่วนประเด็นที่สหภาพยุโรป (EU) ประกาศประเทศไทยออกจากประเทศที่ปลอดภัยจากโควิด-19 ห้ามเดินทางไปยังประเทศดังกล่าว นายสนั่น กล่าวว่า มีผลต่อการเปิดประเทศของไทยอย่างแน่นอนทั้งเรื่องของภูเก็ตแซนด์บ็อก หรือโครงการเปิดพื้นที่ที่จะตามมา ซึ่งสิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนและแรงงาน 

โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนน้อยมาก แต่ละโรงงานได้ติดต่อมาที่หอการค้าไทยเพื่อขอวัคซีน แต่ได้ชี้แจงว่าไม่มีวัคซีนจะจัดให้ โดยเฉพาะโรงงานใน จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการภาคการผลิตและการส่งออกของไทยโดยโรงงานเหล่านี้ควรฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ขึ้นไป รวมทั้งการตรวจแบบแร็บบิทเทสต์ในโรงงานเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อออก


สำหรับโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่ได้เปิดประเทศไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ตรงกับวันที่ครบรอบภารกิจ 99 วันแรกในการทำงานของคณะกรรมการหอการค้าไทยชุดนี้ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนภารกิจต่าง ๆ และนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล ซึ่งบทเรียนของการเปิดภูเก็ต นั้น หอการค้าไทยเห็นด้วยที่จะมีการนำไปขยายผลการทดลองเปิดนี้ไปยังพื้นที่อื่นของประเทศให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องการจัด COE (Certificate of Entry) และขอเสนอให้นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น Digital Vaccine Passport ที่ได้มาตรฐานและนานาชาติยอมรับเพราะไม่สามารถปลอมแปลง และตรวจสอบความถูกต้องได้

ในขณะที่ สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ได้รายงานว่ามีกลุ่มนักธุรกิจเข้ามาใช้ภูเก็ตเป็นฐานในการประชุมเจรจาธุรกิจมากขึ้นภายหลังจากเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้เพียงสัปดาห์แรก โดยมีกลุ่มนักธุรกิจจากยุโรปและสหรัฐรวมถึงนักธุรกิจไทย เดินทางมาเจรจาธุรกิจในจังหวัดภูเก็ตในภูเก็ตและจะมีตามมาอีกหลายรายรวมไปถึงผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เท่าที่มีข้อมูลในขณะนี้ก็มีเพียงปตท.ที่ลงนามเซ็นสัญญา ซึ่งก็อาศัยโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพราะเข้ามาแล้วไม่ต้องกักตัว 14 วัน เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับได้ทันที ซึ่งเป็นทางออกของการดำเนินธุรกิจ เพราะการเซ็นสัญญาหรือการลงนาม ก็ต้องมีการตรวจเอกสารต่างๆเพื่อให้เกิดชัดเจนและสมบูรณ์ ส่วนจะมีธุรกิจอื่นอีกหรือไม่ทางหอการค้าจังหวัดยังไม่มีข้อมูลแต่จะประสานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้จัดทำแบบสอบถามสำหรับผู้ที่เข้ามาในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกว่า มาเพื่ออะไร เช่น ท่องเที่ยว พักผ่อนพร้อมครอบครัว เจรจาธุรกิจ เซ็นสัญญาทางธุรกิจ เป็นต้น

ขณะนี้ต่างชาติที่เข้ามาภูเก็ต อันดับ 1 เป็นสหรัฐ รองลงมาเป็นอังกฤษ อิสราเอล เยอรมันและฝรั่งเศส โดยส่วนใหญ่ก็จะมาพักผ่อน พบครอบครัว ดูแลธุรกิจของตนเองที่ลงทุนไว้ก่อนหน้านี้ โดย 9,000 คน เป็นคนไทย 2,000 คน ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ ส่วนท่องเที่ยวยังน้อยประมาณ 30% เพราะไม่ได้เป็นช่วงไฮซีซั่น

“โมเดลเจรจาธุรกิจผ่านภูเก็ตแซนด์บ็อก เป็นเรื่องที่หอการค้าจังหวัดภูเก็ตพร้อมที่จะสนับสนุน คาดว่าน่าจะมีมาเรื่อยๆ ซึ่งหอการค้าจังหวัดภูเก็ตจะประสานข้อมูลจาก ททท.เพิ่มเติม”

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2564 มีการติดตามความคืบหน้าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ โดยมีนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1–21 ก.ค.2564 รวม 9,358 คน และมียอดการจองห้องพักตามมาตรฐาน SHA+ สะสมในเดือน ก.ค.-ก.ย.2564 อยู่ที่ 244,703 คืน และมีอัตราเข้าพัก 10.12% สร้างรายได้ 534.31 ล้านบาท

4621



“ปรีชา กุลไพศาลธรรม” นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์นนทบุรี กล่าวว่า ผลกระทบจาก 2 มาตรการ ปิดแคมป์ก่อสร้าง และ ล็อกดาวน์ ท่ามกลางการแพร่ระบาดโควิด-19 รุนแรงในระลอก 4 นี้ น่ากังวลมากกว่าการระบาดทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อลดลงมาก โอกาสเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น

“คนซื้อไม่มีกำลังซื้อ ทำให้เกิดการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นจึงต้องระวัง!! และหากธนาคารปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นกว่านี้ ธุรกิจจะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว”

ปัจจุบัน ต้นทุนการลงทุนทำโครงการอสังหาฯ ในแง่ความ “คุ้มค่า” เริ่มไม่ดี ทำให้ภาพรวมของธุรกิจหดตัว เพราะไม่คุ้มกับการลงทุน จากดีมานด์ที่ลดลง การเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด หากยังดันทุรังพัฒนาโครงการต่อ ถึงแม้ว่าโครงการดีแค่ไหน ลูกค้าก็ซื้อไม่ได้อยู่ดีส่วนหนึ่งไม่มีกำลังซื้อและอีกส่วนไร้อารมณ์ซื้อ

“ตลาดคอนโดมิเนียมไม่เพิ่มขึ้นในปีนี้ เพราะเจอสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คงชะลอการเปิดตัวโครงการออกไปอีก ทุกคนต้องสำรองสภาพคล่องมากขึ้น ทำให้การเปิดตัวโครงการปีนี้ไม่น่าจะโตกว่าปีที่แล้ว และอาจติดลบ จากเดิมที่หลายคนมองว่าบ้านจะโต ปีนี้อาจไม่โต”

ปรีชา ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์ มีผลทาง “จิตวิทยา” ทำให้ลูกค้าเกิดความกังวลมากขึ้นจากสถานการณ์แพร่ระบาด รวมถึงการใช้จ่ายทำให้การขายยากขึ้น ขณะเดียวกันจากข้อจำกัดการเว้นระยะห่างทางสังคม สำนักงานขายไม่สามารถมีพนักงานให้บริการได้เต็มที่ คาดว่ากระทบยอดขายเดือนก.ค. ที่มีการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ “ลดลง” ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ หนีไม่พ้น การควบคุมต้นทุน พร้อมกับเจรจากับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องว่ามีโอกาสที่ขอผ่อนชำระค่าใช้จ่าย รวมถึงการขอวงเงินสินเชื่อพิเศษ อาทิ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan)สินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) ที่เข้ามาช่วยเป็น​​​เงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

ขณะเดียวกันต้องควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในองค์กร อาทิ สวัสดิการ เบี้ยขยัน โบนัสของพนักงานที่อาจจำเป็นต้องลดทอนลง เพราะได้รับผลกระทบมาหลายระลอก หากบริษัทไหนที่สภาวะกระท่อนกระแท่นอาจต้องลดเงินดือนพนักงานบางส่วนเพื่อควบคุมต้นทุนให้ดีขึ้น

“สถานการณ์ในเวลานี้ ต้องรัดเข็มขัด เพราะ ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อและไม่เชื่อมั่น ดังนั้นจึงเลือกเก็บงบไว้ใช้หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ดังนั้นตัดงบการตลาดลดลง เพราะใช้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์สู้รอจังหวะโอกาสที่เหมาะสมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ”

นอกจากนี้ อาจชะลอการพัฒนาโครงการในพื้นที่ใหม่ หากยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้เพราะจะกลายเป็นไปเพิ่มสต็อกสินค้า หรือต้นทุนในการลงทุน ขณะเดียวกันต้องพยายาม “เคลียร์สต็อก” ที่มีอยู่ ด้วยการจัดโปโมชั่นลดแลกแจกแถม แม้ว่าจะกำไรลดลง แต่จำเป็นต้องทำเพื่อรักษาสภาพคล่อง

แนวทางที่กล่าวว่ามา นี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบอสังหาฯพึ่งกระทำเพื่อประคองธุรกิจให้รอดจากวิกฤตินี้!!

ปรีชา ประเมินว่า มาตรการล็อกดาวน์ 14 วันไม่น่าจะจบ!! คงยืดเยื้อออกไปอีกแบบไม่รู้ชะตากรรม ปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญตอนนี้ต่างประเทศเคยเผชิญมาก่อน แต่สามารถควบคุมได้ เพราะการบริหารจัดการที่ดี หากบางประเทศที่บริการจัดการไม่ดีปัญหาจบยาก ในส่วนประเทศไทยคงจบ! แต่ไม่เร็วอย่างที่ควรจะเป็น เกิดจากความบกพร่องและไม่เป็นมืออาชีพในหลายเรื่อง

“ล็อกดาวน์ 14 วันไม่จบอาจยืดเยื้อแต่คาดเดาไม่ถูกว่าจะจบเมื่อไร คงต้องใช้ความอดทนต่อไป กว่าทุกอย่างจะฟื้นตัวน่าจะกลางหรือปลายปี 2565"

ความกังวลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิคสูงสุดขณะนี้ นั่นคือการ “กลายพันธุ์” เพราะในประเทศที่มีวัคซีนพอยังมีการติดเชื้อสูง จึงไม่แน่ใจว่าหากฉีดวัคซีนได้มากแล้วปัญหาการแพร่ระบาดจะยุติ จึงเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

4622




นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน ดังนี้

1. มาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) กรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 ดังนี้


-สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาท/นักเรียน 1 คน


-จัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาเพื่อช่วยจัดการเรียนรู้


-ลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายในโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับปีการศึกษา 63



2. มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตกรรม (อว) กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท


กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิต/นักศึกษาชาวไทย ระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
แนวทางการดำเนินการ


-สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลดร้อยละ 50 / 50,001 - 100,000 บาท ลดร้อยละ 30 และเกิน 100,000 บาท ลดร้อยละ 10 โดยส่วนลดสูงสุดรวมกันไม่เกินร้อยละ 50


-สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา รัฐสนับสนุนในอัตรา 5,000 บาท/คน


นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังขอให้พิจารณาเพิ่มเติม ทั้งขยายเวลาผ่อนชำระ จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมสำหรับยืมเรียนออนไลน์ รวมทั้งลดค่าหอพักด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ศธ. และ อว. จะได้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งเงิน ตามขั้นตอนของ พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รวมทั้ง จะมีการกำหนดกลไกการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือและการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคาร พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงหลักการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนต่อไป

4623



"จงอางผยอง" ขอนแก่น ยูไนเต็ด เปิดตัว อิบสัน เปเรยร่า เดอ เมโล่ ดาวยิงชาวบราซิเลี่ยน วัย 31 ปี ร่วมทัพอย่างเป็นกทางการหลังพ้นการกักตัวตามมาตรการเดินทางมาจากต่างประเทศ และลงร่วมซ้อมกับทีมในวันแรกทันที

“บิ๊กต้อม” วัฒนา ช่างเหลา ประธานสโมสร ขอนแก่น ยูไนเต็ด กล่าวว่า "อิบสัน ถือว่าเป็นนักเตะที่หลายทีมต้องการตัวไปอยู่ด้วย ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น เขามีความสามารถ มีผลงานที่ดีเยี่ยมในไทยลีก 1 เขาทำประตูได้ 15 ประตูในปีแรกและทำ 10 ประตูในปีที่ผ่านมา จากการทำประตูหลัก 10 ประตูต่อฤดูกาลในไทยลีก 1 ก็ถือว่าฝีมือไม่ธรรมดา ซึ่งโค้ชคาร์ลอส ร่วมกันปรึกษาและแนะนำว่าจะสามารถเข้ามาช่วยทีมเราได้เป็นอย่างดี"

สำหรับ อิบสัน เมโล เจ้าของความสูง 179 ซม. เริ่มเส้นทางฟุตบอลอาชีพครั้งเเรกเมื่อปี 2010 กับ คราโต้ สโมสรในประเทศบราซิล ต่อมาเดินทางในเส้นทางค้าเเข้งกับอีกหลายทีมในประเทศของตัวเองอย่าง โบอา, อิตาปิเรนเซ่ เเละ โปติกัวร์ ก่อนข้ามน้ำข้ามทะเลไป "เสี่ยงโชค" บนแผ่นดินยุโรปกับทีมในลีกประเทศกรีซ มาถึง 3 สโมสร ในช่วงระหว่างปี 2014 - 2017 พร้อมถล่มประตูได้อย่างมากมาย หลังจากนั้นในฤดูกาล 2018 ย้ายไปร่วมทีม มาริติโม่ ทีมดังในศึก พรีเมียร์ ลีกา ลีกสูงสุดของประเทศโปรตุเกส

ก่อนที่ในฤดูกาล 2019 อิบสัน ข้ามฟากมาโชว์เพลงเเข้งบนแผ่นดินสยามในไทลีก 1 กับ สมุทรปราการ ซิตี้ ลงสนาม 29 นัด ทำได้ 15 ประตู และฤดูกาลล่าสุดกับ สุโขทัย เอฟซี ด้วยผลงาน 10 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 27 นัด ก่อนย้ายมาเป็นนักเตะคนใหม่ของทัพ “จงอางผยอง” ขอนแก่น ยูไนเต็ด ในที่สุด

4624



"เราต้องการผลักดันให้คนในชุมชน เห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ป่า ผ่านการทำโครงการที่ทำให้มีรายได้ จากการสร้างอาชีพ การท่องเที่ยว  เพื่อเป็นตัวจุดประกายว่า ทำไมเราต้องอนุรักษ์ป่า ทำไปแล้วได้อะไร"

เสียงสะท้อนจากชาวบ้านต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร  "ชัชวาล ชาวสมุทร "อายุ 55 ปีหรือ น้าหนุ่ย  อาชีพต่อเรือประมงจำลองขาย และมีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น จนถึงปัจจุบันที่มีป่าชายเลน ทั้งต้นแสมขาว ต้นแสมทะเล เขียวเต็มแนวชายฝั่ง

น้าหนุ่ย  หนึ่งในคณะกรรมการอนุรักษ์ป่าชายเลน ในโครงการ "ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน" เป็นตัวแทนของชุมชนในพื้นที่ ที่ทำงานอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และภาครัฐ คือ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ซึ่งในระยะที่หนึ่งของโครงการ (ปี 2557 -2561) อนุรักษ์ป่าไปแล้ว 500 ไร่ และปลูกใหม่ 104 ไร่ และในระยะที่สอง(2562-2566) บริษัท ชุมชน และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะร่วมกันอนุรักษ์ป่า 14,000 ไร่ และปลูกป่าเพิ่มเติมอีก 266 ไร่

ซีพีเอฟสานต่อความยั่งยืนของโครงการฯ สนับสนุนตั้งกองทุนอนุรักษ์ป่าชายเลนที่บริหารโดยคณะกรรมการของชุมชนเอง  พัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชนต.บางหญ้าแพรก และส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และมีรายได้เติมกองทุนฯเพื่อดูแลป่า

น้าหนุ่ย บอกว่า เกลือสปาขัดผิว เกลือหอมอโรม่า มีทั้งกลิ่นดอกโมก กลิ่นมะลิ  สบู่เกลือบาธบอมบ์ ถ่านไบโอชาร์ดูดกลิ่น  เป็นสินค้าที่ชุมชนช่วยกันคิด ปรับปรุงคุณภาพและรูปแบบให้ดูน่าใช้  หรือแม้แต่เรือประมงจำลอง อาชีพที่ต้องใช้ประสบการณ์และฝีมือ เป็นส่วนเติมเต็ม อัตลักษณ์ของชุมชนบางหญ้าแพรก ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้อยู่แล้ว

ด้วยวิถีอาชีพดั้งเดิมของชาวบางหญ้าแพรก  คือ  ทำประมงพื้นบ้าน ทำนาเกลือ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ จึงมาจากแนวคิดใช้วัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น เกลือ มาผลิตเป็นสินค้าชนิดต่างๆ  เกลือสปาสมุนไพรผลิตจากดอกเกลือแท้ ผสมสมุนไพร 5 ชนิด คือ ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย ไพล ว่านนางคำ ทานาคา ใช้ขัดผิว   ถ่านไบโอชาร์ สินค้าขึ้นชื่อของท้องถิ่น ทำจากเปลือกผลไม้ กิ่งไม้ ลูกไม้ต่างๆ ผ่านกระบวนการเผาด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างจากถ่านหุงข้าว ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นได้ดี

แต่วันนี้ ... โควิด -19 ทำให้รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นศูนย์   ป้าปราณี หอมทอง อายุ 71 ปี มีอาชีพทำนาเกลือ แต่ตอนนี้เข้าฤดูฝน ป้าต้องหยุดทำนาเกลือตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ไปจนถึงตุลาคม

ป้าณี บอกว่า  ตอนที่ไม่มีโควิด-19  ซีพีเอฟช่วยจัดกรุ๊ปนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมฐานการเรียนรู้ต่างๆของชุมชนบางหญ้าแพรก ทั้งทำสปาเกลือ ต่อเรือประมง ทำถ่านไบโอชาร์ ชาวบ้านก็มีรายได้จากสาธิตวิธีการให้นักท่องเที่ยวชม  ป้าณีเป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมกิจกรรมฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่มาเกือบทุกกิจกรรม จนต่อยอดมาสู่การเป็นเส้นทางท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลบางหญ้าแพรก ป้าณีก็มีส่วนร่วมดูแลฐานสาธิตสปาผิวด้วยเกลือสปา แต่ตอนนี้มีโควิด นักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ได้เลย รายได้จากที่เคยได้หรือขายผลิตภัณฑ์เป็นศูููนย์ ตัวป้าเองเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วย  ยังพอมีรายได้จากการเป็นอสม. ส่งข้าวให้ผู้ที่ถูกกักตัวอยู่ที่บ้าน อยากให้สถานการณ์กลับมาปกติเร็วๆ จะได้มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ได้เหมือนเดิม

ขณะที่ลุงวิรัตน์ ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำถ่านไบโอชาร์  ลุงเคยมี[^_^]จากการขายถ่านให้ชุมชนนำไปผลิตเป็นถุงสวยงามเพื่อบรรจุถ่านดูดกลิ่น ใช้แขวนในตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า ตู้เย็น  วันนี้ลุงต้องหยุดเผาถ่านเช่นกัน เพราะไม่มีชาวบ้านมาซื้อถ่านไปทำผลิตภัณฑ์  ถึงจะไม่ได้กระทบรายได้ของลุง เพราะมีอาชีพเลี้ยงกุ้งเป็นหลัก แต่ลุงบอกว่าโควิด-19 ทำให้กิจกรรมต่างๆของชุมชนหยุดลง

ในสถานการณ์ที่โควิด-19 ทำให้กิจกรรมต่างๆต้องหยุดลง รวมทั้งชุมชนบางหญ้าแพรกแห่งนี้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ทั้งลุงหนุ่ย ป้าณี ลุงวิรัตน์  และชาวชุมชน ยืนยันว่า พร้อมเดินหน้าดูแลป่าชายเลนในพื้นที่ต่อไปเพราะนี่คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าที่ต้องรักษาไว้เพื่อส่งต่อให้กับรุ่นลูกหลาน เช่นเดียวกับ กองทุนอนุรักษ์ป่าชายเลน เป็นความตั้งใจของชาวบ้านที่จะนำเงินกองทุนฯส่วนหนึ่งใช้ดูแลรักษาป่า และอีกส่วนหนึ่งจะต่อยอดสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนอีกหลายๆคน ช่วยอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของชุมชน เพื่อเป็นกำลังใจและสร้างความเข้มแข็งให้ชาวชุมชนที่จะช่วยดูแลป่าชายเลนต่อไป ผู้สนใจสามารถติดต่อ ตัวแทนชาวชุมชนบางหญ้าแพรก คุณเมธา พุฒคง
095 -524 9245 

4625


ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ยักษ์ใหญ่แห่ง พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คว้า ไบรอัน กิล แนวรุกอนาคตไกล เซบีญา เรียบร้อยแล้ว ค่าตัว 22 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) แถม เอริก ลาเมลา ปีกอาร์เจนไตน์

สเปอร์ส ขอบคุณ เซร์คิโอ เรกีลอน แบ็กซ้ายเลือดกระทิงดุ ช่วยกล่อม กิล มาร่วมงานกัน ที่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม

“ไก่เดือยทอง” ตัดหน้าคู่แข่ง อาทิ อาร์เซนอล อริร่วมเมือง และ 2 มหาอำนาจลูกหนังแดนกระทิงดุ บาร์เซโลนา กับ รีล มาดริด โดยจับ กิล เซ็นสัญญาจนถึงปี 2026

ปีกวัย 20 ปี ฉายแววบนสังเวียน ลา ลีกา สเปน ฤดูกาลที่แล้ว ขณะถูก ไอบาร์ ยืมตัว ทะลวงตาข่าย 4 ประตู กับ 3 แอสซิสต์

ส่วน ลาเมลา หอบข้าวของสู่ถิ่น รามอน ซานเชซ ปิซฆวน ด้วยสัญญา 3 ปี หลังรับใช้ ท็อตแนมฯ 257 เกม ยิง 37 ประตู กับ 47 แอสซิสต์

กิล เป็นสมาชิกใหม่คนที่ 2 ของ สเปอร์ส ต่อจาก ปิแอร์ลุยจิ กอลลินี นายทวาร ซึ่งถูกยืมตัวจาก อตาลันตา แต่ยังไม่สามารถเข้าแคมป์พรีซีซัน เนื่องจากติดภารกิจเล่นให้ “กระทิงดุ” ในการแข่งขัน โอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น

4626



บริษัทเทสลา อิงค์ หรือ Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่มีมูลค่าแบรนด์เป็นอันดับ 1 ของโลก รายงานงบการเงินงวดไตรมาส 2/2564 เผยมีกำไรสุทธิเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นไตรมาสแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งขณะเดียวกันกลับขาดทุนจากการถือครองบิทคอยน์กว่า 23 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยประมาณ 758 ล้านบาท

จากการรายงานของ Cryptopotato ระบุถึงงบการเงินงวดบัญชี 2/2564 ของ Tesla, Inc ซึ่งถึงแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรจากผลประกอบการในส่วนของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ แต่ในทางกลับการด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Crypto กลับพบว่า มีการขาดทุนจาก Bitcoin ถึงกว่า 758 ล้านบาท หรือ 23 ล้านดอลลาร์ จากตลาดขาลงในช่วงไตรมาส 2/2564 โดยบริษัทจัดประเภทของคริปโทเคอร์เรนซีในทางบัญชีเป็น "สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ที่ไม่มีกำหนดอายุ"

ทังนี้ตามมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา นักบัญชีต้องบันทึกมูลค่าการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของตน ณ เวลาที่จัดหา หากคริปโทเคอร์เรนซีราคาปรับขึ้นจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่บริษัทยังคงถือไว้อยู่ ธุรกิจจะบันทึกรายการได้เฉพาะกรณีขายสินทรัพย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาปรับลดลงบริษัทต้องบันทึกการลดลงของเงินลงทุน เป็นการด้อยค่าของสินทรัพย์ด้วยเช่นกัน

ขณะที่ อีลอน มัสก์ CEO ของ TESLA ได้กลับลำออกมายอมรับว่าลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าและบริการของเทสลาด้วยเหรียญบิทคอยน์ได้อีกครั้ง หากเหรียญคริปโตนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากพอ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ปฏิเสธการรับชำระด้วยเหรียญบิทคอยน์โดยให้เหตุผลว่าบิทคอยน์นั้นใช้พลังงานจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์

หน้า: 1 ... 255 256 [257] 258 259 260