แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Shopd2

หน้า: 1 ... 256 257 [258] 259 260 ... 265
4627


นางปนัดดา ขจรศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจของทีมวิจัยและพัฒนาของ แอล.พี.เอ็น.พบว่า ทำเลถนนนราธิวาส-รัชดา เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน เนื่องจากทำเลดังกล่าวมีโครองการคอนโดเหลือขายประมาณ 350 ยูนิต ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง โดยอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 8.5 ยูนิตต่อเดือน ซึ่งโครงการคอนโดที่ได้รับความนิยมอยู่ที่ระดับราคา 100,000-150,000 บาทต่อตร.ม. ความต้องการตลาดส่วนใหญ่เป็นห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย 25-30 ตร.ม.ต่อยูนิต

ในส่วนบริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการ “ลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา” ซึ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัยขนาด 30 ชั้น ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “ชีวิตที่ลงตัว : Work – life Balance” เป็นอาคารในรูปแบบผสมผสาน (Mixed-use)ที่มีทั้งส่วนของห้องชุดพักอาศัย ประมาณ 253 ยูนิต และพื้นที่ในส่วนของอาคารสำนักงานประมาณ 116 ยูนิต โดยมีพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 45,106 ตร.ม.เพื่อตอบโจทย์กับการสร้างความสมดุลในการใช้ชีวิต ให้พื้นที่อยู่อาศัยและทำงานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และเพิ่มเวลาแห่งการพักผ่อนเพื่อให้ชีวิตมีความสมดุล

ทั้งนี้โครงการ “ลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา” เป็นโครงการที่ถูกเลื่อนเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากที่ตั้งของโครงการอยู่ในพื้นที่ชุมชนเก่า ทำให้ต้องมีขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อทำความเข้าใจกับผู้อยู่อาศัยข้างเคียงภายในชุมชนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างโครงการ และมีการปรับแบบการก่อสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เลื่อนการเปิดตัวโครงการ LPN ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบโครงการ รวมทั้งนำเอาความคิดเห็นของผู้ที่อยู่ในชุมชนมาปรับแบบโครงการเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น รวมถึงออกแบบโครงสร้างของอาคารให้มีบริบทที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนข้างเคียง โดยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายใต้แนวคิดของ “Green Architecture” เพื่อให้โครงการเป็นพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชนโดยรอบ รวมถึงการออกแบบตัวอาคารให้มีรูปแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมโดยรอบภายใต้แนวคิด “Modern Contemporary Design” ที่มาพร้อมกับเส้นสาย เพื่อให้มีความกลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโดยรอบโครงการ

นางปนัดดา ระบุว่า หลังได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental Impact Assessment : EIA) จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือนมิ.ย. 2564 ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนของการขออนุมัติการก่อสร้างและจะเริ่มเปิดตัวโครงการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 โครงการอาคารชุดพักอาศัยที่บริษัทมีแผนเปิดตัวโดยโครงการ “ลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา” เป็นโครงการที่ผสมผสานระหว่างอาคารพักอาศัย และอาคารสำนักงานในรูปแบบของมิกซ์-ยูสเพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานของคนรุ่นใหม่

4628


เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ประกาศว่าหลังจากที่สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ควบคุมได้แล้ว เป้าหมายต่อไปของสหรัฐอเมริกาคือจะทำทุกวิถีทางที่จะอวสานโรคมะเร็งให้ได้

เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่บ้าง เพราะลูกชายของเขา บิว ไบเดน (Beau Biden) ก็เสียชีวิตลงไปด้วยโรคมะเร็งร้ายตั้งแต่อายุเพียงแค่ 46 ปี

ไบเดนตั้ง ดร. อีริค แลนเดอร์ (Eric Lander) ศาสตราจารย์ทางด้านพันธุศาสตร์และคณิตศาสตร์ จากเอ็มไอที หนึ่งในผู้บุกเบิกโครงการจีโนมมนุษย์ ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาหลักทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเพื่อผลักดันนโยบายวิจัยให้ตอบโจทย์นี้ให้ได้

แม้ว่าสหรัฐจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบนิเวศน์ที่สนับสนุนการผลักดันงานวิจัยออกไปสู่ธุรกิจนวัตกรรมออกมาได้อย่างน่าประทับใจจนหลายคนมองว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนแห่งโอกาส ​แต่ทว่าในมุมมองของนักบริหาร การผลักดันงานวิจัยจากห้องทดลองสู่การใช้งานจริงนั้นยังเกิดขึ้นน้อยกว่าที่คาดหวังไปมาก ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการให้ทุนแบบระมัดระวังเกินไป จนนวัตกรรมแบบไอเดียพลิกโลกนั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นมา

ไบเดนให้ความสนใจเป็นพิเศษกับแนวคิดในเรื่องการให้ทุนของสำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม (Defense Advance Research Projects Agency, DARPA) หรือที่หลายๆ คนเรียกกันติดปากว่าดาร์พา

ดาร์พาตั้งขึ้นเมื่อปี 1958 หลังจากที่สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 (sputnik1) ขึ้นไปสู่วงโคจรของโลกได้เป็นผลสำเร็จ โดยมีจุดมุ่งหมายคือเพื่อให้มั่นใจได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยังคงฐานะเป็นผู้นำโลกทางด้านเทคโนโลยีอยู่


เพราะระบบการให้ทุนที่ไม่เหมือนใครของดาร์พาที่เน้นโครงการเสี่ยงสูง กำไงาม​ (high risk high rewards) จึงทำให้โครงการประหลาดๆ ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมแบบสุดโต่งที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีไปอย่ามหาศาล ตั้งแต่อินเตอร์เน็ต จีพีเอส โดรน ไปจนถึงวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ

โดยปกติแล้วกลไกการให้ทุนของแหล่งทุนทั่วๆ ไปคือจะจัดตั้งทีมผู้ทรงคุณวุฒิมานั่งอ่านแบบเสนอโครงการ ถามคำถาม ให้ความเห็นว่าจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนแล้วจบ อย่างมากก็อาจจะมีกลับมาอ่านอีกรอบเพื่อประเมินความก้าวหน้ารายปีแค่นั้น แต่ดาร์พาจะมีกลไกที่ต่างออกไป โดยทางดาร์พาเองจะไปยืมเอาตัวผู้เชี่ยวชาญศักยภาพสูงนับร้อยคนมาจากมหาวิทยาลัยหรือภาคอุตสาหกรรมมาเป็นผู้จัดการโครงการส่วนใหญ่ก็ระยะเวลาสามถึงห้าปี ผู้จัดการโครงการแต่ละคนจะต้องเกาะติดเรียกว่าเเทบจะเป็นหนึ่งในทีมวิจัยเลยก็ว่าได้ ทั้งต้องช่วยประสานงาน ขจัดอุปสรรคที่อาจจะมาขัดขวางการทำงาน ​กำหนดเดดไลน์และเข้าไปติดตามความก้าวหน้าของงานอยู่ตลอดเพื่อประเมินความก้าวหน้าและความเสี่ยงว่ามีโอกาสสำเร็จมากเพียงไร และควรจะให้การสนับสนุนต่อไปหรือไม่ โดยมีไกด์ไลน์ในการประเมินที่ชัดเจนที่เขียนขึ้นมาโดยอดีตผู้อำนวยการดาร์พา จอร์จ เฮลเมเออร์ เรียกว่า “ชุดคำถามของเฮลเมเออร์​ (Heilmeier Catechism)”

เนื่องจากทุนของดาร์พาส่วนใหญ่เป็นแบบเสี่ยงสูง ประเด็นสำคัญคือผู้จัดการโครงการจะต้องมีช่องให้ล้มเหลว เพราะเมื่อไรที่ทุกคนกลัวว่าโครงการจะไปไม่รอด โครงการแบบเสี่ยงสูงแต่ให้ผลพลิกโลกจะไม่มีโอกาสได้เกิด โครงการที่บางทีดูล้ำจนหลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นไปได้ยาก จนแหล่งทุนทั่วไปไม่กล้าให้เงิน ก็ยังอาจจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากดาร์พาได้

จินตนาการ คือ มีผู้บริหารโครงการที่รู้จริงและเข้าใจมาช่วยตรวจสอบและผลักดันโครงการให้เป็นไปตามที่จะเป็น โอกาสที่จะดึงเอางานวิจัยขึ้นหิ้งให้ลงมาสู่ห้างก็อาจจะเป็นไปได้ และถ้ามีผู้จัดการโครงการที่เก่งและมีวิสัยทัศน์สูงๆ รู้ว่าเทคโนโลยีนี้จะตอบโจทย์เอกชนยังไงและใครจะเป็นพาร์ทเนอร์ในเชิงธุรกิจ งานวิจัยจะไม่จบแค่องค์ความรู้พื้นฐาน แต่จะถูกผลักดันให้กลายมาเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน หรือแม้แต่ออกมาสู้กับวิกฤตต่างๆ ได้

ไบเดนมีแผนจะตั้งอาร์พา-เอช (ARPA-H) เพื่องานวิจัยด้านสุขภาพ ภายใต้ร่มของสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institute of Health, NIH) เพราะมีพันธกิจตรงกันคือ “เพื่อค้นหาองค์ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติและพฤติกรรมของระบบชีวิตและการประยุกต์ใช้องค์ความรู้นั้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพ เพิ่มอายุขัย และลดการเจ็บป่วยและพิการ” โดยในปี 2022 นี้จะมีแผนการจะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 6.5 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ เกือบๆ สองแสนสองหมื่นล้านบาทเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์แบบล้ำยุค อย่างวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอต้านมะเร็ง อุปกรณ์สวมใส่(wearable) เพื่อติดตามอาการโรคเบาหวานและอัลไซเมอร์แบบเรียลไทม์ ระบบพัฒนาวัคซีนภายใน 100 วัน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็คงต้องลุ้นต่อไปว่าจะแนวคิดการบริหารจัดการโครงการวิจัยแบบนี้จะไปได้ไกลถึงฝั่งฝันอย่างทีดาร์พาเคยทำไว้ได้หรือเปล่า

“การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในช่วงสิบปีข้างหน้าจะเห็นได้ชัดเจนกว่าที่เคยพบเจอมาในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมารวมกันเสียอีก เห็นได้จากความไวในการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และอีกหลายๆ เทคโนโลยี” ไบเดน กล่าว “ผมไม่เห็นการลงทุนอะไรที่จะคุ้มค่ามากไปกว่านี้ และผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีอะไรที่ทุกฝ่ายจะเห็นชอบร่วมกันได้แบบนี้อีก และมันอยู่ในขอบข่ายที่เราจะทำได้”

นอกจากอาร์พา-เอช เพื่อสุขภาพแล้ว สหรัฐยังมีโครงการอาร์พา-อี (ARPA-E) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน และอาร์พา-ซี (ARPA-C) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งที่ผ่านมาก็เริ่มต้นได้อย่างสวยงามและดูมีอนาคตไกล แต่จะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วจะมีอุปสรรคอะไร อย่างไรบ้าง คงต้องติดตามดูต่อไป

ในเวลานี้ หลายประเทศได้ริเริ่มองค์กรให้ทุนเพื่อสร้างระบบนิเวศน์งานวิจัยใหม่แนวๆ เสี่ยงสูง กำไรงามแบบเดียวกับดาร์พากันบ้างเเล้ว เช่นสำนักงานวิจัยและประดิษฐ์ขั้นสูง (Advanced Research and Invention Agency) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าเอเรีย (ARIA) ในสหราชอาณาจักร โครงการมูนช๊อต (moonshot) ของญี่ปุ่น และโครงการ SPRIN-D ของเยอรมนี

นี่อาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจในการผลักดันเทคโนโลยีดีปเทคให้ไปได้ไกลกว่าที่เคยทำมา การสร้างระบบนิเวศน์วิจัยและวิชาการที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีใหม่อุตสาหกรรม

4629


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มบีทีเอส และกลุ่มเจมาร์ท วันนี้ (27 ส.ค.) บวกขึ้นเกือบยกแผง ภายหลังบริษัทในเครือบีทีเอส ได้แก่ บมจ.วีจีไอ (VGI) และ บมจ.ยู ซิตี้ (U) ประกาศเข้าลงทุนใน บมจ.เจ มาร์ท (JMART) และบริษัทในเครือ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.75 หมื่นล้านบาท


โดยพบว่าราคากลุ่มบีทีเอส ได้แก่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บวก 0.54% หรือ 0.05 บาท มาอยู่ที่ 9.30 บาทต่อหุ้น ส่วนบริษัทลูก VGI บวก 0.80% หรือ 0.05 บาท มาอยู่ที่ 6.30 บาทต่อหุ้น และ U บวก 4.72% หรือ 0.05 บาท มาอยู่ที่ 1.11 บาทต่อหุ้น

ส่วนกลุ่มเจมาร์ท ได้แก่ JMART บวก 4.29% หรือ 1.50 บาท มาอยู่ที่ 36.50 บาทต่อหุ้น บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) บวก 1.18% หรือ 0.50 บาท มาอยู่ที่ 43.00 บาทต่อหุ้น และ SINGER ลบ 1.24% หรือ 0.50 บาท มาอยู่ที่ 39.75 บาทต่อหุ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนของกลุ่มบีทีเอสในกลุ่มเจมาร์ท มองเป็นปัจจัยบวกต่อทั้ง 2 บริษัท โดยเฉพาะ VGI กับ JMART ที่คาดว่าจะเห็นการผนึกกำลังร่วมมือกัน (Synergy) อีกมาก โดยคาดว่า JMART จะได้ประโยชน์จากธุรกิจสื่อโฆษณาผ่านการใช้สื่อร่วมกันกับ VGI

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ส่วน VGI ที่ก่อนหน้านี้ประกาศลงทุนใน บริษัท แฟนส์ลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (Fanslink) ผู้นำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (แก็ดเจ็ต) ของจีน คาดว่าจะได้ประโยชน์จากร้านค้าปลีกโทรศัพท์มือถือและสินค้าที่เกี่ยวข้องของ JMART ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ อีกทั้งปัจจุบัน VGI มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ (D/E) ที่ 0.1-0.2 เท่า จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน


สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจากทั้ง 2 กลุ่ม เลือก VGI และ JMT เป็นหุ้นเด่น โดย VGI ราคาเหมาะสม 6.50 บาทต่อหุ้น แต่มีโอกาสปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจากการเข้าลงทุนในกลุ่มเจมาร์ท

ส่วน JMT ราคาเหมาะสม 51.00 บาทต่อหุ้น ได้ปัจจัยหนุนการเพิ่มทุนของบริษัทที่ราคาไม่แตกต่างจากราคากระดานมาก โดยบริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน 70% ไปซื้อหนี้เสียมาบริหาร รองรับการเติบโตในอนาคต และอีก 30% จะนำไปใช้คืนหนี้ อีกทั้งบริษัทมีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิเพื่อจูงใจให้ผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มทุนอีกด้วย


นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า VGI และ U เข้าถือหุ้นใน JMART และ SINGER ทางกลุ่มบีทีเอสเข้าลงทุนในกลุ่มเจมาร์ทผ่านทางดีลสำคัญ 3 ดีล ได้แก่ 1. VGI เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART 15% มูลค่า 6,257 ล้านบาท 2. U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART 9.9% มูลค่า 4,171 ล้านบาท และ 3. U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน SINGER 24.9% มูลค่า 7,155 ล้านบาท ประเมิน Synergy ที่เกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเพิ่มทุนแบบวงจำกัด (PP) ของ JMART และ SINGER ที่ 30.337 และ 36.3005 บาท ต่ำกว่าราคาปิดในกระดานที่ 13% และ 9% ตามลำดับ อาจกดดันต่อราคาหุ้นในระยะสั้นบ้าง สำหรับเงินทุนเราคาดส่วนใหญ่จะใช้การกู้ยืม เนื่องจาก VGI และ U มีหนี้สินต่อทุนต่ำที่เพียง 0.23 และ 0.49 เท่า ขณะที่มีส่วนผู้ถือหุ้นสูงถึง 15,904 และ 39,302 ล้านบาท

4630
 ข้าวกล้องออแกนิค  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ส่งทั่วไทย   ข้าวแฟร์เทรด  โครงการข้าวปลอดสาร    ส่งออกข้าวปลอดสาร  เครือข่ายข้าวปลอดสารสุรินทร์  ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน “ข้าวกล้อง” เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 
การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( การผลิตข้าวอินทรีย์(ออแกนิค)  )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( ข้าวออร์แกนิคไทยมีราคาแพง
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม  ทำไมต้องเป็นข้าวออร์แกนิค
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์  นาข้าวออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ทำไมต้องเป็นข้าวอินทรีย์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique คนทำนาข้าวอินทรีย์

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิสุขภาพ 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์

 

 

 

 

 

 

 
 

4631


นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. มีมติเห็นชอบปรับเลื่อนกรอบระยะเวลาในการพิจารณาข้อเสนอโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) พ.ศ. 2564 ใหม่ ส่งผลให้ต้องเลื่อนวันประกาศผลการพิจารณาผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการเป็นวันที่ 23 กันยายน 2564 จากกำหนดเดิมในวันที่ 2 กันยายน 2564 ล่าช้า 21 วัน จากกำหนดการเดิม

“สาเหตุที่ต้องเลื่อนกรอบระยะเวลาการพิจารณาผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าชุมชนฯ ออกไป เพราะต้องการขยายเวลา และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่อุทธรณ์ผลการพิจารณาทางเทคนิคจำนวน 33 ราย ได้รับการพิจารณาจาก กฟภ. อีกครั้ง ภายใต้หลักการและแนววินิจฉัยเดียวกับการพิจารณาอุทรณ์ของ กกพ” นายคมกฤช กล่าว

นายคมกฤช ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ผู้ไม่ผ่านผลการตัดสินทางเทคนิค ซึ่งแต่งตั้งโดย กกพ. พบว่า เงื่อนไข และหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิคในบางประเด็น อาจจะทำให้ผู้ยื่นฯ มีเข้าใจคลาดเคลื่อน

ส่งผลให้ข้อเสนอทางเทคนิคหลายรายผิดพลาดในประเด็นเดียวกัน จึงเสนอให้เลื่อนกรอบเวลา และมอบหมายให้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้พิจารณาทบทวนข้อเสนอทางเทคนิคเฉพาะของผู้ที่ไม่ผ่านการพิจารณาทางเทคนิคและไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 33 รายอีกครั้งเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและให้ได้สิทธิ์โดยเท่าเทียมกันจากแนวทางการพิจารณาวินิจฉัย


สำหรับความคืบหน้า และผลการพิจารณาคำอุทธรณ์ของ กกพ. ในวันที่ 25 ส.ค. นี้พบว่า มีจำนวนผู้ยื่นขออุทธรณ์ผลการพิจารณาในขั้นตอนของข้อเสนอทางเทคนิค ทั้งสองประเภทเชื้อเพลิงคือ โรงไฟฟ้าชีวภาพ และชีวมวลรวมกันจำนวน 118 รายผ่านการพิจารณาทางเทคนิคในขั้นตอนอุทธรณ์จำนวน 74 ราย และไม่ผ่านการพิจารณาทางเทคนิคในขั้นอุทธรณ์จำนวน 44 ราย โดย กกพ. มีมติให้ กฟภ. พิจารณาผู้ที่ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาจำนวน 33 รายอีกครั้งเพื่อความเป็นธรรมและให้ประกาศผลผู้ที่ผ่านการพิจารณาเทคนิคเพิ่มเติมทั้งหมดภายในวันที่ 15 ก.ย. 64

ทั้งนี้ มติ กกพ. ที่พิจารณาเห็นชอบกรอบระยะเวลาในการดำเนินการโครงการใหม่ ประกอบด้วย

นอกจากนี้ จากการเปลี่ยนแปลงกรอบระยะเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ต้องปรับกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ โดยปรับกำหนดวัน SCOD เป็นภายใน 36 เดือนนับจากวันลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (ภายใน 21 ม.ค.68) และเห็นควรให้ใช้ Grid Capacity ปี 2567 ของ การไฟฟ้าในการประเมินข้อเสนอด้านราคา

4632


“สหรัฐอเมริกา” ถือเป็นประเทศต้นๆ ที่เริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาจนสามารถควบคุมโรคได้ ส่งผลให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฟื้นตัวค่อนข้างดี

โดยปัจจุบันมีประชากรสหรัฐได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว 170.8 ล้านคน คิดเป็น 51.5% ของประชากรทั้งหมด 333 ล้านคน ส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกมี 201.4 ล้านคน คิดเป็น 60.7% ของประชากรทั้งหมด ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศในยุคโควิด-19 เนื่องจากมีสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วค่อนข้างสูง!

อย่างไรก็ตาม จากการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ “สายพันธุ์เดลต้า” ในสหรัฐทำให้มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วง 7 วันล่าสุด เฉลี่ยสูงถึง 1.5 แสนรายต่อวัน ถือเป็นเรื่องที่ยังไว้ใจไม่ได้ และน่าเป็นห่วงสำหรับการตีกลับของไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าว ทำให้ภายในสหรัฐเริ่มมีการพูดถึงเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่ม

สันติ แสวงเจริญ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนิวยอร์ก เล่าว่า ในช่วงหลังๆ อัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้รับวัคซีนในสหรัฐช้ามาก เพราะปัจจุบันควรจะมีสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีน 70% ของประชากรทั้งหมดแล้ว จนรัฐบาลกลางภายใต้การนำของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นต่างๆ ต้องออกมาตรการผลักดันทั้งส่งเสริมและบังคับให้ชาวสหรัฐรับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เช่น ให้เงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อฉีดเข็มแรก ขณะที่ข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องฉีดวัคซีน หรือถ้าไม่ฉีด ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ทุกสัปดาห์

ส่วนกรณีที่หน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ หรือ ซีดีซี (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) ประกาศเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ยกระดับคำเตือนให้ชาวสหรัฐหลีกเลี่ยงการเดินทางมายังประเทศไทย เนื่องจากไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด (Level 4) ต่อการระบาดของโรคโควิด-19

“ทั้งนี้ ททท.ขอย้ำว่าเป็นการยกระดับคำเตือนให้หลีกเลี่ยง ยังไม่ถึงขั้นห้ามเดินทางเข้าประเทศไทย ส่วนการตัดสินใจออกท่องเที่ยวนอกประเทศหรือไม่ ยังเป็นความต้องการส่วนบุคคลของชาวสหรัฐ เพราะไม่ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะตกต่ำ แต่ถ้าชาวสหรัฐตั้งใจ ก็ยังออกไปเที่ยวเหมือนเดิม”

โดยก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 นักท่องเที่ยวสหรัฐนิยมไปเที่ยวเม็กซิโก แคนาดา และประเทศในยุโรป แต่หลังโควิด-19 ระบาดมาสักระยะ ปัจจุบันเทรนด์ของนักท่องเที่ยวสหรัฐนิยมไปจุดหมายที่ต้องไม่มีการกักตัวเลย โดยเฉพาะ “หาดทราย ชายทะเล และแสงแดด” (Sea Sand Sun) ระยะใกล้ในแถบทะเล “แคริบเบียน” เช่น เม็กซิโก จาไมก้า โดมินิกัน และบาฮามาส ขณะที่จุดหมายระยะไกลคือมัลดีฟส์


สำหรับโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เปิดพื้นที่นำร่องให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวภายใน จ.ภูเก็ต แบบไม่ต้องกักตัว พบว่าตลอดเดือน ก.ค.ที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดโครงการฯวันที่ 1 ก.ค. มี “นักท่องเที่ยวสหรัฐ” เดินทางเข้าร่วมโครงการฯมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร อิสราเอล เยอรมนี และฝรั่งเศส

“และหลังจากสอบถามความคิดเห็นของทัวร์โอเปอเรเตอร์เกี่ยวกับการเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และโครงการสมุย พลัส โมเดล พบว่าแม้จะรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นกับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย เนื่องจากยังเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยม แต่เรื่องมาตรการและเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศยังซับซ้อนมากเกินไป รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง”

นอกจากนี้ทัวร์โอเปอเรเตอร์ส่วนใหญ่ยังโฟกัสการขายแพ็คเกจทัวร์แบบ “Fully Opened” เหมือนจุดหมายในแถบทะเลแคริบเบียน คือต้องไม่มีเงื่อนไขเข้ารับการกักตัวเลย! ขณะเดียวกันทัวร์โอเปอเรเตอร์หลายรายยังถือว่าภาพใหญ่ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมประเทศไทย ยังถือว่ามีการปิดประเทศอยู่ ยังไม่ได้แยกแยะหรือลงลึกว่าประเทศไทยมีการเปิดพื้นที่นำร่องภูเก็ตแล้ว ซึ่ง ททท.พยายามโปรโมทว่าขณะนี้กำลังเปิดเมืองภูเก็ต (Reopening Phuket) เพื่อให้ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการทัวร์รับรู้เรื่องนี้มาตลอด

ด้านรายงานข่าวจาก ททท. ระบุเพิ่มเติมว่า จากสถิติโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ณ วันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศสะสม 55 วันแรก ตั้งแต่ 1 ก.ค.-24 ส.ค.2564 จำนวน 24,190 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 24,120 คัดกรองพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 70 คน และเมื่อดูยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันมีจำนวน 158 คน แบ่งเป็นในประเทศ 156 คน และต่างประเทศ 2 คน

ส่วนยอดจองที่พักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ตลอดไตรมาส 3 นี้มี 427,972 คืน แบ่งเป็นเดือน ก.ค. 190,843 คืน เดือน ส.ค. 175,685 คืน และเดือน ก.ย. 61,444 คืน และเมื่อรวมยอดจองห้องพักในช่วงไฮซีซั่นตั้งแต่เดือน ต.ค.2564-ก.พ.2565 อีกจำนวน 17,895 คืน ทำให้ในช่วงเดือน ก.ค.2564-ก.พ.2565 มียอดจองห้องพักในภูเก็ตรวม 445,867 คืน

4633


'เดลี เมล' หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ รายงานตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา (25 ส.ค.) เคน จะปักหลักถิ่น ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดียม ฤดูกาลนี้ ก่อนนักเตะออกมายืนยันด้วยตัวเองทาง โซเชียล มีเดีย

ขณะที่ 'เดอะ ไทม์ส' ตีข่าว กัปตันทีมชาติอังกฤษ ยอมรับความจริงว่า ซิตี ไม่สามารถทุ่มเงินถึง 150 ล้านปอนด์ (ราว 6,750 ล้านบาท) ตามที่ แดเนียล เลวี ประธานสโมสร ตั้งไว้ แต่ต้องการค่าแรงซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญต่อ 'ไก่เดือยทอง' ซึ่งน่าจะกลายเป็นสถิติสูงสุดของ พรีเมียร์ ลีก

ปัจจุบัน เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพ แมนฯ ซิตี เป็นเจ้าของสถิติ 385,000 ปอนด์ (ประมาณ 17.3 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ รองลงมาคือ ดาบิด เด เคอา นายทวาร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 375,000 ปอนด์ (16.9 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

เข้าใจว่า เคน ได้รับการปรับค่าแรงขึ้น หลัง ท็อตแนมฯ ปฏิเสธขายออกจากทีม ช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว โดยสัญญาฉบับปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 300,000 ปอนด์ (13.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

รายงานข่าวระบุ ทีมจากย่านลอนดอนเหนือ จะขึ้นค่าจ้าง จอมถล่มประตูวัย 28 ปี หากสอดคล้องกับเงื่อนไขจ่ายโบนัสต่างๆ รวมยิงประตู

'เดลี เมล' ตีข่าวสัปดาห์ที่แล้ว อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิด ขุนพล 'สิงโตคำราม' ชุดรองแชมป์ ยูโร 2020 ยังคงทุ่มเทเต็มร้อย ถึงแม้รู้สึกว่าสโมสรไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองได้

ฝ่าย ดาวซัลโวสูงสุด พรีเมียร์ ลีก 2020-21 ยืนยันมีการทำข้อตกลงไว้ว่า เคน จะได้รับอนุญาตให้ย้ายสังกัด หาก สเปอร์ส จบซีซันแบบมือเปล่า และไม่ผ่านควอลิฟาย ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก

4634


ในยุคปัจจุบัน “DeFi” และ “CeFi” เริ่มมีกระแสพูดถึงกันเยอะมากขึ้นอย่างต่อเนื่องขนานไปกับกระแสการเทรดคริปโต ที่มีความร้อนแรงอย่างมาก ซึ่งจากความเป็นแกนนโยบายการเงินกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Finance ( DeFi ) ที่จะเข้ามาพลิกโฉมโลกแห่งอนาคต และถูกจัดให้เป็นคู่แข่งสำคัญของตัวกลางทางการเงิน เพราะถูกพัฒนาให้เป็นทางเลือกในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ตัวกลางออกไป แต่ถึงแม้ว่า DeFi จะเกิดขึ้นไม่นาน

หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว กระแสเงินสดที่หมุนเวียนอยู่ในแพลตฟอร์มระบบการเงิน DeFi มีอยู่เพียงแค่ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันตัวเลขกระแสเงินสดที่หมุนเวียนอยู่ในโลกแพลตฟอร์ม DeFi พุ่งสูงขึ้นไปถึง1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว  และถึงจะยังอยู่ในการทดลองและพัฒนา หลายคนตั้งคำถามว่า กลไกกำหนดค่าสกุลเงิน อัตราดอกเบี้ย และการไหลเข้าออกของเงินลงทุนใน DeFi และความปลอดภัยในการลงทุนของDeFi ในประเทศไทยอนาคตจะเป็นอย่างไร คุ้มค่าที่จะเสี่ยงหรือไม่

กานต์นิธิ ทองธนากุล เจ้าของเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand ได้เปิดเผยมุมมองการลงทุนในรูปแบบแพลทฟอร์ม DeFi ซึ่งเป็นหนึ่งการลงทุนโลกคริปโต ฯ ผ่านทางรายการ คริปโต 101 ของสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ว่า

DeFi – ICO คืออะไร

DeFiจริงๆแล้วมันคือนิยามของระบบการเงินของโลกสมัยใหม่ คอนเซ็ปต์ของ DeFi ย่อมาจากคำว่า Decentralized Finance หรือระบบการเงินที่ไม่มีตัวกลางหรือว่าสถาบันใด ๆ เข้ามาควบคุมโดย ประโยชน์หลัก ๆ ของ DeFi คือ ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่เป็นตัวขับเคลื่อน จึงช่วยให้โอเปอเรชั่นต่าง ๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และก็ยากต่อการทุจริต อีกทั้งโปร่งใสตรวจสอบได้ DeFi จึงเป็นระบบการเงินอีกแบบนึง ที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจในยุคนี้ ขณะที่ส่วน ICO คืออะไร ที่จริงแล้วICO ย่อมาจาก initial coin offering ซึ่งเป็นรูปแบบการออกโทเคนดิจิตอลเพื่อเสนอขายไอเดียของเหล่าบรรดาโปรเจคโปรเจคสตาร์ทอัพต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโลกคริปโตหรือว่า DeFi ซึ่งจริง ๆ แล้วจุดที่เหมือนกันของ DeFi กับ ICO ก็น่าจะเป็นเรื่องของการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเหมือนกันก็คือในฝั่งของ DeFi ก็ขับเคลื่อนด้วย smart contract ที่รันอยู่บน blockchain อยู่แล้ว แต่ในฝั่งของ ICO นั้น จะเหมือนกับการใช้ smart contract มาช่วยในเรื่องของการระดมทุน ให้ง่ายและรวดเร็วตรวจสอบได้ ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นข้อดีและเป็นจุดที่เหมือนกัน ซึ่งจุดที่แตกต่างกันคือ DeFi ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นโปรดักส์หรือเป็นแพลตฟอร์มทางการเงินที่รันอยู่บนบล็อกเชน ซึ่งเราสามารถจับต้องตัว Core Business ได้ว่าทำงานอย่างไรมีประโยชน์อะไรบ้างและสามารถสร้างรายได้อย่างไรกับนักลงทุน แต่ในส่วนของ ICO ส่วนใหญ่ที่กำเนิดขึ้นมาเนี่ยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเสนอขายไอเดียมากกว่าโดยแลกเป็นเหรียญโทเคนที่ทาง startup ได้สร้างขึ้นมาแล้วก็แจกจ่ายให้กับนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนจะต้องไปเก็งกำไรในอนาคตว่าเหรียญนี้จะมีมูลค่าสูงกว่าราคาที่เข้าซื้อ ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นลักษณะของการเก็งกำไรทางฝั่งของนักลงทุนมากกว่า ในขณะที่ DeFi แล้วจริง ๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีเหรียญก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วในหลาย ๆ แพลตฟอร์ม DeFi มักจะมีโทเคนของตัวเองที่เขาว่าจะเรียกว่า governance token ซึ่งคอนเซปต์คร่าวๆของ DeFi - ICO ก็จะประมาณนี้

อยากหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดิจิทัล ควรเลือกแบบไหนดี

สำหรับในฝั่งของนักลงทุน อยากให้แบ่งระดับความเสี่ยงให้ชัดเจนก่อนว่าเรารับระดับความเสี่ยงการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าได้ผลตอบแทนของแต่ละระดับความเสี่ยงก็แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะแบ่งง่าย ๆ เป็น 3 ระดับคือ ระดับสูง ระดับกลาง ระดับต่ำ

ระดับสูงมาก ในฝั่งของนักลงทุน อาจจะต้องพิจารณาเลือกเหรียญที่มีสภาพคล่องสูงแต่ว่ามาร์เก็ตแคปหรือมูลค่าตลาดของตัวเหรียญยังไม่ได้สูงมากมี up size ที่เติบโตได้ ถ้าเกิดเหรียญไหนมีศักยภาพแล้วมองว่ามีอนาคต ก็สามารถเข้าไปเลือกลงทุนได้และก็สามารถที่จะเอาเหรียญนั้น ๆ ไปลงทุนต่อในแพลตฟอร์ม DeFi ต่างๆ ซึ่งอาจจะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็แลกมาด้วยกับความเสี่ยงที่สูงเช่นเดียวกัน เพราะว่าเหรียญที่มูลค่าในมาร์เก็ตแคปที่ต่ำ ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีความผันผวนของราคาค่อนข้างรุนแรง และตรงนี้ก็เป็นจุดที่นักลงทุนมือให่พึงต้องระวังไว้

ส่วนความเสี่ยงระดับปานกลาง อาจจะเป็นเหรียญที่มูลค่าในมาร์เก็ตแคปหรือมูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูง ก็คืออาจจะอยู่ในช่วง TOP 10 ของ CoinMarketCap เช่นบิทคอยน์ อีเทอเรียม เหรียญเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็นเหรียญที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง แต่ว่าก็ยังมีความผันผวนระดับนึงอยู่ ซึ่งเหรียญเหล่านี้นักลงทุนก็สามารถที่จะพิจารณาเลือกที่จะถือครองได้ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงตรงจุดนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากราคาอาจปรับตัวลดลงได้

ส่วนระดับต่ำสุด จะให้น้ำหนักไปที่เหรียญจำพวก stablecoin หรือว่าเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ เทียบกับอาจจะตรึงกับดอลลาร์สหรัฐต่าง ๆ ในกระดานแลกเปลี่ยนไทย อย่างเช่น USDT ,USDC ,DAI ซึ่งเหรียญคริปโตเหล่านี้ที่มูลค่าไม่มีความผันผวน ซึ่งเหรียญเหล่านี้เราสามารถจะเอามาถือครองได้ หากถามว่าถือครองแล้วได้อะไร จริงๆแล้วข้อดีของโลกคริปโตในยุคนี้ คือเรามีแพลตฟอร์ม DeFi จำนวนมากที่นักลงทุนอาจจะเอาเหรียญพวก stablecoin ต่าง ๆ เข้าไปลงทุนในแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือ แล้วก็มีความปลอดภัย อาจจะได้ผลตอบแทนในระดับหนึ่ง ที่อาจจะเรียกว่าสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งตรงนี้ก็จะลดความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าเงินต้นไปได้ ก็ใช้เป็นตัวพิจารณาประกอบการตัดสินใจได้

แต่ในฝั่งของผู้ประกอบการที่คิดจะเข้ามาในโลกของคริปโต ก็อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของข้อกฎหมายว่าหน่วยงานกำกับดูแล เช่นถ้ามีการออกเหรียญโทเคน การเสนอขายเหรียญ หรืออะไรต่างๆ อาจจะต้องเข้ามาปรึกษากับ ก.ล.ต. อาจจะผ่าน ICO Potal เพื่อที่จะออกโทเคนดิจิตอลให้ถูกหลัก ซึ่งตรงนี้ก็จะป้องกันความเสี่ยงในอนาคตในมุมมองของนักลงทุนเอง ก็จะเห็นว่าโปรเจ็กต์นี้มีความน่าเชื่อถือด้วยแต่ถ้าไปทำเองนอกตลาด นอกกรอบที่มีการกำกับดูแล ในเรื่องของความน่าเชื่อถือก็ต้องแลกมากับความเสี่ยง ส่วนคนที่จะมาลงทุนด้วยก็จะมีความเสี่ยงตรงเรื่องที่ว่า ถ้าเกิดว่ามันมีความสูญเสียเกิดขึ้น หรือว่าสินทรัพย์ที่เราลงทุนไปนั้นสูญหายไปทางนักลงทุนก็ต้องรับผิดชอบเอาเอง

ปัจจุบัน DeFi ถูกนำมาใช้ทำอะไรบ้างในโลกการเงิน

จริงๆแล้วกรณีการใช้งานของโลก DeFi นั้นมีหลากหลายการใช้งานมากๆ แต่จะขอยกตัวอย่างที่อยู่ในกระแสนิยมหลักๆ ของการใช้งาน 2 กรณี ได้แก่ peer to peer lending คือการกู้ยืมระหว่างบุคคลต่อบุคคล แบบไร้ตัวกลาง โดยยกตัวอย่างของคอนเซ็ปต์นี้เช่นระบบการเงินแบบเดิมก่อน คือระบบการเงินแบบธนาคาร เวลาที่เรามีการฝากเงินเข้าไปในธนาคาร แล้วธนาคารจะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอาจจะประมาณ 0.25% ต่อปีและธนาคารก็จะเอาเงินฝากที่เราฝากเข้าไป ไปทำการปล่อยกู้หรือว่าให้สินเชื่อต่อให้คนอื่นกู้ต่อ ซึ่งทางธนาคารจะเก็บดอกเบี้ย 7% - 9% ต่อปีก็ว่ากันไป กับฝั่งคนกู้ยืมซึ่งตรงนี้เนี่ยฟังดอกเบี้ยที่ธนาคารเก็บได้ก็จะเอาไปเป็นค่าบริหารจัดการ ค่าพนักงาน ค่าบริหารสาขา ฯลฯ ที่เป็นต้นทุนของทางธนาคาร แต่พอกลายเป็นโลก DeFi เนื่องจากว่าเขาไม่มีตัวกลางอย่างสถาบันการเงินเข้ามาควบคุม เค้าเปลี่ยนตรงนี้เป็นลักษณะการทำงานผ่านสมาร์ทคอนแทร็ค หรือว่าเปลี่ยนโปรแกรมคำสั่งที่รันอยู่บนบล็อกเชนแบบออโตเมติค เมื่อไม่มีมนุษย์เข้ามาจัดการพวกนี้ ฝั่งคนฝากจะยังเหมือนเดิมอยู่ ถ้าเรามีสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum ,USDT เข้าไปฝากเอาไว้เราสามารถปล่อยกู้ได้ ซึ่งตรงนี้เนี่ยถ้าเป็นแพลตฟอร์ม DeFi จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่า การฝากในสถาบันการเงินแบบที่เราคุ้นเคย ถามว่าเพราะอะไรถึงได้สูงขึ้น เพราะว่าในฝั่งของคนกู้ ที่มากู้เงินจากในแพลตฟอร์ม DeFi ที่เป็น peer to peer lending เขาก็จะมีการจ่ายดอกเบี้ยตามระยะเวลาปกติที่เขามีการกู้ยืมไป ซึ่งดอกเบี้ยตรงนี้โดยปกติแล้วถ้าเป็นธนาคาร ก็จะเป็นการเก็บไปเป็นค่าบริหารจัดการด้านต่างๆ แต่เมื่อเป็น DeFi แล้วทำให้ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆลง ไม่ต้องมีคนดูแล ไม่ต้องมีค่าขยายสาขา ไม่มีค่าเช่าพื้นที่ เขาก็เอาดอกเบี้ยที่เก็บได้จากฝั่งคนกู้ตรงนี้ สามารถเอามากระจายเพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้กับฝั่งคนปล่อยกู้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้มากกว่า ตรงนี้เนี่ยข้อดีของการที่ไม่มีตัวกลางก็เลยเหมือนกับกระจายรายได้ออกไปได้มากยิ่งขึ้น อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์คร่าวๆ ของระบบ peer to peer lending ที่ปัจจุบัน Operation อยู่ในโลก DeFi

ส่วนกรณีที่สอง ที่จะยกตัวอย่างก็คือเรื่องของระบบ Decentralized Exchange ก็คือเว็บเทรดที่เราคุ้นเคยกันดี แต่พอเราใช้คำว่า Decentralized Exchange แน่นอนคำว่าจะต้องมีตัวกลางตามคอนเซ็ปต์ DeFi พอไม่มีตัวกลางแล้วเนี่ยมันก็สามารถที่ต้องทำงานได้เอง โดยที่ไม่มีมนุษย์แล้วก็ใช้ smart contract เป็นตัวดำเนินธุรกิจ หรือดำเนินการแทน แต่ทีนี้เนี่ยเมื่อเป็น Decentralized Exchange การที่ จะเปิด Exchange ใดก็ตามขึ้นมา ไม่ว่าใครแล้วสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆคือคุณจะเป็นจะต้องมีสภาพคล่องหรือ Liquidity ให้คนที่อยากจะเข้ามาทำการซื้อขาย สามารถที่จะซื้อขายได้ แต่ว่าพอเป็นโลก DeFi อาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย คือสภาพคล่องตรงนี้จะไม่มาเลย ถ้าไม่มีอะไรบางอย่างจูงใจ ให้คนมาซื้อขายหรือมาเทรดกัน เพราะว่าในกรณีที่ถ้าเป็นโลกการเงิน ที่เราคุ้นเคยกัน เวลาที่มีการซื้อขายในทุก ๆ Transection ทางเว็บเทรดก็จะเก็บค่าธรรมเนียม เช่นอาจจะ 0.25% เข้าไปที่ตัวเว็บ เอาไปเป็นค่าบริหารจัดการต่าง ๆ เช่นค่าเช่า Server ค่าดูแลพนักงาน ฯลฯ ซึ่งเว็บเทรดก็จะเก็บไปแล้วเขาก็จะไปแบกภาระด้วยการหาสภาพคล่องต่างๆ มา Provide ให้กับทางเว็บเทรดของเขา ให้มี Order book นักลงทุนจะได้มาซื้อขายกันได้ ไม่ได้เป็นเว็ปร้าง แต่พอมันเป็น Decentralized Exchange

ในโลก DeFi การที่เขาจะดึงดูดให้คนมาเทรดกันได้ก็ต้องมีสภาพเช่นเดียวกัน แต่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีสิ่งนี้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เรียกว่าระบบ AMM หรือว่า Automated Market Maker ระบบนี้เป็นระบบที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากใน Decentralized Exchange ของโลก DeFi โดยการทำงานของระบบนี้ ในเมื่อแพลตฟอร์มสร้างขึ้นมาแล้ว แต่สภาพคล่องไม่เพียงพอ เลยจะเปิดโอกาสให้กับคนทั้งโลก ใครก็ตามที่มีสินทรัพย์ดิจิตอลต่าง ๆ อยู่สามารถที่จะฝากเข้ามาในระบบแพลตฟอร์มนี้ได้เปรียบเสมือนว่า ใครที่มีเงินดอลล่าร์หรือมีเงินบาทก็สามารถฝากเข้ามาในระบบนี้ได้นะ แล้วทุก ๆ การซื้อขายที่เกิดขึ้น หรือว่าทุกๆ การแลกเปลี่ยนระหว่างดอลล่าร์สหรัฐ กับเงินบาท ค่าธรรมเนียมที่เก็บได้เช่นอาจจะประมาณ 0.3% เขาจะเอามาแจกจ่ายให้กับผู้ลงทุนที่ฝากเหรียญเหล่านี้เข้ามา ในระบบแพลตฟอร์มของเขา ตามสัดส่วนที่ฝากเขา ฝากมากได้มาก ฝากน้อยได้น้อย ซึ่งตรงนี้มันเป็นการกระจายแรงจูงใจแทนที่ทางแพลตฟอร์มควรจะเก็บเข้าตัวเอง ก็ไม่เก็บ แล้วเอากระจายแจกจ่ายให้กับนักลงทุนเพื่อเป็นช่องทางอีกช่องทางหนึ่ง ในการหารายได้ของนักลงทุน ที่เหมือนมีสภาพคล่องนี้อยู่ ด้วยคอนเซ็ปต์แบบนี้ก็เลยเป็นการดึงดูดกันให้กับนักลงทุน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย คือทั้งโลกเลย ใครที่มีเงิน มีคริปโต ก็สามารถที่จะฝากเข้ามาในแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ เพื่อที่เขาคาดหวังว่าเขาจะได้รับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมของการซื้อขายที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ในระบบซึ่งข้อดีของ โลก DeFi คือทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะตรวจสอบบน blockchain ได้หมด โปร่งใสมาก เราก็จะเห็นเลยว่าปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันของเว็บ Decentralized Exchange เหล่านี้มันมีปริมาณการซื้อขายเท่าไรค่า fee ที่เข้าเก็บได้ต่อวันเท่าไหร่ แล้วก็ income ที่เราจะได้จากค่า Fee เหล่านั้น เราจะได้ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งตรงนี้มันอธิบายรายละเอียดให้เราเห็นแบบชัดเจนมาก ๆ ซึ่งก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำเนิดขึ้นบนโลก DeFi และเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจมาก และปัจจุบันด้วยคอนเซ็ปต์แบบนี้ ก็ได้มีการก๊อบปี้เป็นโมเดลเอาไปใช้ในแพลตฟอร์ม DeFi ตัวอื่น ๆ อีกมากมายหลายแพลตฟอร์ม อันนี้ก็จะเป็น 2 กรณีหลัก ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

DeFi มีความเสี่ยงไหม

จริง ๆ แล้ว แพลตฟอร์ม Defiก็มีหลากหลายประเภท หลากหลายโปรดักซ์ และคนที่เข้ามาเป็นนักพัฒนาแพลตฟอร์ม DeFi ก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป ในแพลตฟอร์มที่ดีและน่าเชื่อถือก็มีอยู่มาก ส่วนใหญ่จะสังเกตได้ง่ายจากจำนวนเงินที่ฝากอยู่ในระบบ ยิ่งแพลตฟอร์มไหนที่มีจำนวนเงินที่ฝากอยู่ในระบบมากก็จะเป็นแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เพราะอาจจะผ่านการ Audit มาแล้วผ่านการตรวจสอบของคอมมูนิตี้หรือว่าคุณนักลงทุนทั่วโลกมาแล้ว เขาถึงกล้าที่จะฝากเงินเป็นจำนวนมากขนาดนั้น นี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แต่สำหรับแพลตฟอร์ม DeFi ที่ตั้งใจพัฒนาขึ้นมานะเพื่อเป็น Scamหรือว่าหลอกลวงนักลงทุนเลยก็มีเหมือนกัน ซึ่งตรงจุดนี้เนี่ยมันจะเป็นจุดหนึ่งที่เรียกว่าเป็นช่องว่างทางความรู้ด้านเทคโนโลยี ที่นักลงทุนส่วนใหญ่กว่า 99% ที่เข้ามาลงทุนในแพลตฟอร์ม DeFi เชื่อว่าอาจจะไม่สามารถที่จะตรวจสอบ Code smart contract หรือว่าโปรแกรมคำสั่งต่างๆของ แพลตฟอร์มได้เองเนื่องจากว่าคนที่จะตรวจสอบได้แบบนี้ได้ อาจจะต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีในระดับนึง พอไม่มีความรู้ตรงนี้ ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาหลอกเราได้ เพราะว่าจริงๆแล้วบนโลก DeFi นั้นแฟร์มาก ๆ คือกติกาทุกอย่าง เงื่อนไข ที่ระบุไว้ในsmart contract เมื่อเขาประกาศแล้วฝังเข้าไปในบล็อกเชนแล้ว ด้วยคอนเซ็ปต์ของบล็อกเชน มันไม่สามารถทำการแก้ไขได้อยู่แล้ว ถ้าทางเจ้าของแพลตฟอร์ม ระบุไว้ว่าเขาไม่สามารถถอนเงินเราออกไปได้ มันก็จะเป็นแบบนั้นไปเสมอ เขาจะไม่สามารถถอนออกไม่ได้ ยกเว้นแค่เราซึ่งเป็นเจ้าของกระเป๋าเท่านั้นที่จะถอนได้ อันนี้คือข้อดีของมัน แต่ด้วยความที่ว่ามันเป็นข้อมูลทางเทคโนโลยี แล้วมันรันอยู่ข้างหลัง ซึ่งคนทั่วไปอาจจะไม่เข้าในตรงจุดนี้ แต่บางแพลตฟอร์มก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้อย่างรัดกุม ก็ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงไว้พอเราฝากเข้าไปปุ๊บเนี่ยก็อาจจะถูกหลอกแล้วขโมยเงินหรือสินทรัพย์ที่เราฝากเข้าไปได้เช่นเดียวกัน และก็เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งเนื่องจากว่า DeFi นะตอนปัจจุบันนี้ยังไม่เรียกว่ายังไม่มีการกำกับดูแลในฝั่งของกฏหมายที่ชัดเจน ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหายแล้วเนี่ยตามเงินกลับไม่ค่อยได้ อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนที่เข้ามาในโลก DeFi จะต้องระวัง นอกจากต้องระมัดระวังเรื่องของแพลตฟอร์มที่จะมาโกง เราก็ต้องดูในเรื่องความน่าเชื่อถือ อีกสิ่งที่สำคัญคือเรื่องของการจัดเก็บวอลเล็ทหรือว่ากระเป๋าที่เก็บคริปโตของเรา เพราะว่าในโลก DeFi เวลาที่เราจะลงทุนอะไรพวกนี้ เราจะต้องเป็นคนถือคีย์หรือว่าพาสเวิร์ดในการที่จะเข้าถึงสินทรัพย์ด้วยตัวเอง ซึ่งมันจะแตกต่างจากระบบการที่เราไปซื้อเหรียญในกระดานเทรดบน Exchange เหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลสินทรัพย์คริปโตแทนเรา คือเราซื้อ เราฝากไว้ที่เขา แต่พอเป็นDefiมันคือการที่เราโอนเหรียญจาก Exchange เหล่านั้นมาเก็บไว้กับตัวเองแล้วไปลงทุนในแพลตฟอร์มต่างๆดังนั้นความเสี่ยงอีกอย่างก็คือความเสี่ยงต่อการดูแลจัดเก็บกระเป๋าคริปโตตัวนี่แหละที่เราจะต้องระมัดระวังไม่ให้ private key คือหรือว่าพาสเวิร์ดของเรานั้น หลุดไปถึงโจรได้ อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม

DeFi Farming / ฟาร์มซิ่ง คืออะไร ? 

คำว่า DeFi Farming เป็นคำที่เราพบเห็นในโลก DeFi ค่อนข้างมากในสื่อโซเชียลหลายๆสื่อ ก็มักจะเอาไปใช้กัน หลายคนอาจจะยังสงสัยอยู่คำว่า DeFi Farming คืออะไร คำว่า DeFi ก็อย่างที่ได้อธิบายไปตอนต้น ส่วนคำว่าFarming จริงๆแล้วเนี่ยการทำฟาร์มต่างๆ เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยอยู่แล้ว ว่ามันคือการหว่านพืชหว่านเมล็ดเพื่อที่จะหวังผลอะไรบางอย่างนับเป็นผลตอบแทนกลับมา แต่ที่นี่ในโลกของ DeFi สิ่งที่เราหว่านลงไปเนี่ยมันก็คือการลงทุนด้วยเม็ดเงิน สิ่งที่เราอยากจะได้กลับมาคืออะไรก็คือ Yieldหรือว่าผลตอบแทน ดังนั้นตรงนี้การทำ DeFi Farming ก็เปรียบเสมือนการที่เราเนี่ยลงทุน ด้วยเม็ดเงินในแพลตฟอร์ม DeFi ต่าง ๆ แล้วเราคาดหวังว่าเราจะได้ผลตอบแทนกลับมาอาจจะอยู่ในลักษณะของดอกเบี้ย หรือว่าผลตอบแทนส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมในระบบ หรือของแพลตฟอร์มนั้น ๆ ที่กำหนดสร้างขึ้นมาเป็นรายได้เม็ดเงินให้กับเรา แต่อันนี้ก็คือคอนเซ็ปต์คร่าวๆหรือคำนิยามของ DeFi Farming ซึ่งในโลกของ DeFi ก็มีแพลตฟอร์มที่ทั้งดีแล้วก็ไม่ดี ส่วน ฟาร์มซิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะพูดกัน จึงจัดอยู่ในหมวดหมู่ของแพลตฟอร์มที่ไม่ดี เพราะว่าเนื่องจากว่าโลก DeFi มันเป็นโอเพนซอร์ส คือโค้ดทุกสิ่งทุกอย่าง เขามีการประกาศขึ้นไว้บนบล็อกเชน ที่ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านโค้ดได้ นะแค่คุณมีความรู้เกี่ยวกับด้านนักพัฒนา (Dedeloper) คุณก็สามารถก็อปปี้โค้ดนี้ แล้วเอามาสร้างเป็นแพลตฟอร์ม ในแบบของตัวเองได้ อาจจะใช้เวลาพัฒนาแค่ไม่ถึงวันด้วยซ้ำดังนั้นจึงมีการก๊อปปี้แพลตฟอร์มต่างๆแล้วก็สร้างขึ้นมาในจำนวนมาก ๆ ซึ่งฟอร์มซิ่งต่างๆส่วนใหญ่แล้วเนี่ยก็จะมาจากการก็อปปี้พวกโมเดลของแพลตฟอร์ม DeFi ที่มีชื่อเสียงแล้วเอามาทำใหม่ เอามาโมดิฟายด์ใหม่ อาจจะเปลี่ยน UX -  UI เปลี่ยนหน้าตาอะไรให้อยู่ในรูปแบบที่มีสีสันสดใสมากขึ้น แล้วก็ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าผลตอบแทนของพวก DeFi สายที่ไม่ซิ่ง แต่ถามว่าผลตอบแทนสูงตรงนี้ มันมาจากอะไร มันจะมาจากที่ย้อนกลับไปข้างต้นว่า แต่ละแพลตฟอร์ม DeFi เขาจะมีการออกเหรียญ governance token ของตนเอง ที่ใช้เป็น Voting Power หรือว่า ถือเพื่อที่เอาไปโหวตเพื่อปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ governance token เหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วแพลตฟอร์ม DeFi เขาจะไม่เอามาเสนอขายเป็น ICO แต่ว่าเขาจะใช้วิธีการแจกเป็น Reward ให้กับนักลงทุนที่ฝากเงินเข้ามาในระบบของเขา หรือว่าลงทุนกับระบบเขาจะคล้ายกับ Royalty Point ซึ่ง governance token เหล่านี้ก็มีมูลค่าที่สามารถเอาไปเทรดหรือว่าเอาไปซื้อขายแลกเปลี่ยนใน Decentralized Exchange ต่าง ๆ ได้ พอมันมีมูลค่าปุ๊บเนี่ยแล้วเขาแจกไปเป็น Reward เสริมเป็นโบนัสเสริม ก็เลยกลายเป็นคอนเซ็ปต์ของพวกฟาร์มซิ่งหลาย ๆ ตัว ที่แพลตฟอร์ม DeFi ของตนเองขึ้นมาแล้วก็สร้างเหรียญ governance token ใหม่ขึ้นมาเป็นของตัวเอง แล้วก็บอกว่าเขาจะมีการแจกเงินเป็น governance token ให้กับนักลงทุนที่ฝากเหรียญเข้ามาในระบบของเขา ซึ่งถ้าเกิดว่าราคาของเหรียญ governance token

"ตรงนี้มันมีการปั่นขึ้นไปในระดับสูง ผลตอบแทนที่นักลงทุนที่ฝากเงินเข้ามาในระบบ ก็จะได้จำนวนที่สูงมากขึ้น เพราะว่า governance token ราคามันจะพุ่งขึ้นไปสูง ซึ่งตรงนี้ ถือว่ามันไม่ใช่ Real Business คือไม่ใช่ income หรือ ไม่ใช่ fee ที่ทางระบบเก็บได้จริงๆแล้วเอามาแจกจ่ายนักลงทุน แต่มันคือการสร้างเหรียญในอากาศขึ้นมาแจกจ่ายให้กับนักลงทุนอีกชั้นหนึ่ง" 

ซึ่งตรงจุดนี้จะไม่ค่อยเชียร์เท่าไหร่ละกันสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เข้ามาในโลกคริปโต อยากจะให้พิจารณาไปที่ตัวCore Productหรือว่า Real Business ของตัวแพลตฟอร์ม DeFi เหล่านั้นมากกว่าว่ามันทำงานยังไง รายได้เอาจากไหนมาจ่ายให้เรา ถ้ามาจากการแบบดอกเบี้ยคนที่กู้ มาให้คนปล่อยกู้ หรือมาจากการเก็บค่า feeการเทรดมาจ่ายให้เราอะไรแบบนี้ ถือว่าเป็น Real Business แต่ถ้ามันมาจากการเสกเหรียญgovernance token และไปปั่นราคาแล้วมาแจกจ่ายให้เราตรงนี้เนี่ยไม่ใช่ Real Business ดังนั้นเนี่ยขอให้ระมัดระวังเพราะว่าการปั่นราคาตรงนี้เนี่ยถ้าเกิดเราไปซื้อเหรียญเหล่านั้นมาลงทุนทำฟาร์มอะไรต่างๆ เนี่ยเราก็อาจจะสูญเสียเงินต้นได้ถ้าเกิดเขามีการทุบราคาอย่างรุนแรงขึ้นมาก็อาจจะขาดทุนหรือติดดอยได้ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ก็อย่าไปซิ่งดีกว่า อยากให้พิจารณาในแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือแล้วก็ดูว่าตัวธุรกิจนั้นสร้างผลตอบแทนให้เรายังไงจะดี

ภาพรวม ICO ในต่างประเทศ

ในประเทศจีนก็ชัดเจนว่าไม่ได้แน่นอนเขาสั่งแบนเลย ห้ามทำ ICO แต่ก็ไม่ห้ามประชาชนถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ถือว่ายังมีช่องว่างอยู่ในเรื่องของการไปลงทุนต่างนะครับ แต่ในฝั่งของอเมริกา ที่เป็นประเทศมหาอำนาจก็จริงๆหน่วยงานกำกับดูแลก็เข้มงวดเหมือนกัน ก็ไม่อนุญาตให้ใครระดมทุนได้ง่ายๆแต่ก็จะมีแพลตฟอร์ม อย่างเช่น Coinlist ที่เป็นแพลตฟอร์มการระดมทุนในฝั่งของอเมริกา ให้นักลงทุนทั่วไปในสหรัฐอเมริกา รวมถึงต่างประเทศยังเข้าไปลงทุนได้อยู่ ซึ่งการระดมทุนต่อหนึ่ง ICO ก็จะมีผู้สนใจประมาณสามแสนคนได้ต่อรอบ ก็ถือว่ายังมีความนิยมค่อนข้างมากในฝั่งอเมริกา

ส่วนในฝั่งเอเชียนะเราก็จะเห็นในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ก็จะมีการออกแบบแพลตฟอร์ม ICO ระดมทุนผ่าน smart contract ในบล็อกเชน หลายแพลตฟอร์มมีการเสนอขายไอเดียต่าง ๆ ซึ่งตรงนี้ส่วนใหญ่ในช่วงที่ตลาดบิทคอยน์ ที่ขึ้นมาค่อนข้างเยอะ หลายๆโทเคน ICO ยังกำไรอยู่ในฝั่งของนักลงทุนก็เรียกว่ายังไม่อยู่ในจุดที่เป็นขาลงเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เลยค่อนข้างทรงตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตรงจุดนี้ ก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในอนาคต เพราะว่าหลายแพลตฟอร์ม ICO เสนอขายโทเคนของตัวเองยังไม่ค่อยมีโปรดักซ์ที่จับต้องได้ เกรงว่ามันอาจจะไปซ้ำรอยเดิม ยุค ICO ปี 2017 ที่หลายๆ แพลตฟอร์มก็ทำ ICO ออกมาขาย และยังไม่มีโปรดักซ์อันนั้นก็อยากให้เพิ่มความระมัดระวัง ในเรื่องการลงทุนเหล่านี้ แต่อยากจะให้มองย้อนกลับมาที่ตัว Real Business แพลตฟอร์มมากกว่า ว่าแพลตฟอร์มคริปโต หรือ แพลตฟอร์ม DeFiต่างๆ ทำงานยังไง มี income จากช่องทางไหน จับต้องได้หรือไม่ อะไรพวกนี้น่าสนใจมากกว่า ที่เราจะไปซื้อเหรียญแล้วเก็งกำไรกับราคาในอนาคตที่ยังไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือลงมากกว่า

การเงินในโลกอนาคต จะไปในทิศทางใด

ต้องยอมรับว่าตอนนี้เรายังอยู่ในแค่ช่วงเริ่มต้นแพลตฟอร์มระบบการเงิน DeFiถ้านับตามระยะเวลาจริงๆ เพิ่งจะบูมมาได้ไม่ถึง1ปีเท่านั้นเอง กระแสยังเพิ่งกำเนิด แต่ว่าจำนวนเม็ดเงินที่ไหลเข้าไปเติบโตแบบเติบโตก้าวกระโดดมาก ถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณกุมภาพันธ์ปีแล้วเนี่ยกระแสเงินสดที่หมุนเวียนอยู่ในแพลตฟอร์มระบบการเงิน DeFi ยังอยู่ที่ประมาณสัก 50ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขกระแสเงินสดที่หมุนเวียนอยู่ในโลกแพลตฟอร์ม DeFi พุ่งสูงขึ้นไปถึง1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมากๆเติบโตหลายร้อยเท่าถ้านับอัตราการก้าวกระโดดตรงนี้ ก็สะท้อนให้เห็นว่าจำนวนเม็ดเงินที่มันไหลมาในแพลตฟอร์ม DeFi ตรงนี้ มันมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนส่วนหนึ่ง ที่เข้ามาในตลาด เขามองเห็นโอกาสอะไรบางอย่าง ก็เลยมีการกระโดดเข้ามา แต่ว่าถ้าเกิดเอาไปเทียบกับมูลค่าตลาดของสถาบันการเงินในภาคของธนาคารอะไรต่าง ๆ จริง ๆ แล้วเม็ดเงินตรงนี้เนี่ยยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำของภาคการเงินธนาคาร ยังถือว่าร้อนมากๆ อย่างไรแล้วมองว่ายังมีช่องหรือว่ายังมีพื้นที่ให้เติบโตได้ในอนาคตอีกมาก เฟสตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นเฟสช่วงทดลองและที่ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อ10ปีก่อนนะตอนนั้นบิทคอยน์เพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นานผู้คนก็ไม่รู้จักก็มองว่ามันทำงานยังไงจะซื้อที่ไหนยังไม่รู้เลยว่าต้องซื้อที่ไหน แต่ทุกวันนี้ก็จะเห็นว่าบิทคอยน์ก็ยังอ่ะแหล่งซื้อขายมากขึ้นคนเข้าถึงได้มากขึ้น เชื่อแบบนั้นว่าในอนาคตแพลตฟอร์ม DeFi มันก็จะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น อาจจะเพราะด้วยตอนนี้ข้อจำกัดทางด้านการใช้งานอาจจะต้องพึ่งพาฝั่งทางเทคนิคค่อนข้างเยอะก็เลยเข้าถึงยากแต่ในอนาคตจะเกิดมีการปรับเปลี่ยนเรื่องของตัวแอปพลิเคชัน UX & UI ให้คนเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เชื่อว่าจะเติบโตได้เร็วกว่าที่เราคาดคิดเอาไว้อย่างแน่นอน

ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนมือใหม่

ยังไม่อยากให้ทุกคนลืมความรู้พื้นฐานทางด้านการเงินในเรื่อง money management การบริหารการจัดการเงินของเรา ยังไงก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ ดังนั้นการที่จะเข้าไปโลก DeFi ไม่อยากให้ทุก All in ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อย่าเห็นว่าผลตอบแทนที่สูงเนี่ย แล้วบางทีเราอาจจะติดกับอะไรบางอย่าง เราอาจจะมองอะไรบางอย่างพลาดไป ถ้าเราไปดูแค่ตรงนั้นอยากให้มองในเรื่องของตัวแปรวิเคราะห์ fundamental project ที่เราจะเข้าไปลงทุนด้วยว่ามันทำงานยังไง แล้วก็มันสร้างรายได้ให้เราทางไหนได้บ้างตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถที่จะลงทุนได้อย่างยั่งยืนดีกว่า ก็ต้องระมัดระวังหน่อย อย่าไปโฟกัสแค่เรื่องผลตอบแทนสูงๆอย่างเดียว แล้วก็อย่าใส่เงินทั้งหมดที่มี ในการจัดสรรพอร์ตแค่บางส่วน แนะนำว่าอาจจะประมาณ 5% -10% จะกำลังดี อย่าไปกู้ยืมเงินมาลงทุนเด็ดขาดอันนี้จะต้องเป็นเงินเย็นจริงๆ ที่จะต้องระมัดระวัง แล้วก็อีกสิ่งหนึ่งคือความรู้พื้นฐานในเรื่องของการใช้งานพวกwallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล คริปโตต่างๆ ในโลก DeFi เป็นสิ่งที่ยังจำเป็นอยู่มาก การ ดูแลให้ปลอดภัย ถ้าเกิดเราทำตรงนี้ไม่ได้ ต่อให้เรา ทำผลกำไรได้ จำนวนมากหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ถ้าเกิดกระเป๋าโดนแฮ็กขึ้นมา ก็จะหายหมดเลย ก็ไม่มีประโยชน์ที่ลงทุนมา ก็เหมือนกับสูญเปล่า ดังนั้นก็อาจจะพึ่งพาอุปกรณ์เช่น hardware wallet เราก็สามารถเยอะซื้อมาเพื่อปกป้องความเสี่ยงตรงนี้ให้ลดลงไปได้ อีกอย่างอยากให้ขยันติดตามข่าวสารหน่อย ในโลกของคริปโตมีการอัพเดทกันไวมาก เทคโนโลยีทางการเงินหรือแพลตฟอร์มต่างๆ หรือว่าเหรียญต่างๆ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วไม่อยากให้พลาดตรงนี้อาจจะติดตามข่าวสารทาง ก.ล.ต. ช่วยให้สามารถที่จะรู้ทันช่องทางการลงทุนต่างๆที่ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้

4635


ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญดิสรัปชันหลายระลอกใหญ่ ทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สภาวะการแข่งขันแบบไร้พรมแดน ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และตัวแปรสำคัญ วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส “โควิด 19” มหันตภัยคุกคามโลกที่สร้างผลกระทบร้ายแรงกับทุกคน และทุกภาคส่วน มาเป็นเวลานานกว่าปีครึ่ง! ทำให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก วิถีธุรกิจ การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง “ขีดความสามารถทางการแข่งขัน” ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางธุรกิจ เป็นภารกิจแห่งความท้าทายภายใต้วาระเร่งด่วนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในฐานะหนึ่งใน “บิ๊กคอร์ป” ที่มีความหลากหลายทางธุรกิจมากที่สุดในประเทศไทย ในการปรับยุทธศาสตร์เคลื่อนธุรกิจบนโลกการค้ายุคหลังโควิดที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด 19 ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่งผลกระทบเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือ เอสเอ็มอี (SME) ในประเทศไทย ขณะเดียวกัน สร้างผลกระทบอีกด้านหนึ่งด้วย กล่าวคือ ทำให้เกิด “บริษัทยักษ์ใหญ่” ในระดับนานาชาติจำนวนมาก ที่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า GDP ของหลายประเทศในโลก

“การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งสองด้าน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ จากการที่เอสเอ็มอีไทยอ่อนแอลง เราจึงต้องเร่งเครื่องเดินหน้าบนเวทีโลกและช่วยผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่ตลาดระดับโลกพร้อมกันกับเรา”


ศุภชัย กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนธุรกิจยุคหลังโควิด 19 “เครือซีพี” จะเร่งขยายกิจการในต่างประเทศ พร้อมผนึกพันธมิตรไทยและต่างชาติ ต่อยอด ความร่วมมือต่างๆ ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 

1.เร่งเครื่องการลงทุน

2.เร่งเครื่องการเดินหน้าบนเวทีโลก

3.ลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจของเครือเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ

4.สร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจเพื่อขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการต่างๆ ของไทย รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศ

“ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนแบบนี้ เราจะต้องไม่ชะลอการลงทุน! ในทางกลับกัน จะต้องเร่งแผนการลงทุนของธุรกิจต่างๆ ในเครือ เดินหน้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมถึงโครงการที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการสร้างงานและสร้างธุรกิจค้าขายดีลใหม่ๆ โดยเฉพาะกับเอสเอ็มอีและเกษตรกรเล็กๆ กว่า 1.2 ล้านราย ที่เรามีความร่วมมือทางธุรกิจกันอยู่แล้วทั้งทางตรงและทางอ้อม”

ทั้งนี้ เมื่อมีการลงทุนของธุรกิจในเครือซีพี จะสร้างเม็ดเงินสะพัดกระจายต่อไปสู่ธุรกิจที่หลากหลาย ชุมชนทุกระดับ โดยก่อนหน้านี้เครือซีพี ยังได้จัดสรรงบประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อการช่วยเหลือทางด้านต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด 19

ขณะที่การลงทุนต่างประเทศของเครือซีพีอยู่ในโหมดเร่งเครื่องยนต์! โดยการริเริ่มโปรเจกต์ขนาดใหญ่หลายๆ โครงการกำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มตัวตนและสถานภาพที่แข็งแกร่งของธุรกิจไทยในตลาดต่างประเทศได้!

เมื่อบริษัทในเครือซีพีมีความแข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศจะเป็นการเปิดช่องทางสร้างโอกาสสำหรับกลุ่ม เอสเอ็มอี ไทยนับสิบ นับร้อย หรือนับพันราย เกษตรกรและผู้ผลิตต่างๆ เข้าถึงตลาดต่างประเทศเหล่านั้นได้ทันที

อย่างไรก็ตาม อีกหัวใจสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ประกอบด้วย 14 กลุ่มธุรกิจ มีพนักงานมากกว่า 400,000 คน จะเร่งปรับลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจลงด้วยเช่นกัน

“บริษัทในเครือซีพีจะสามารถตัดสินใจต่างๆ ระหว่างบริษัทได้รวดเร็วมากขึ้น เป็นการทำงานในยุคของโลกที่ความเร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของธุรกิจ”

ในการเตรียมความพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤติ โควิด 19 ของธุรกิจในเครือซีพี มุ่งก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลกว่าการเป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าและการบริการเท่านั้น! ภายใต้ “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ในการส่งเสริมเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ พัฒนาศักยภาพ พร้อมเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ๆ เพื่อการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและระดับโลก

โมเดลธุรกิจที่เรียกว่า “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบ สร้างอีโคซิสเท็มเพื่อให้ผู้ประกอบการ พันธมิตรธุรกิจต่างๆ รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก สามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ ผ่านการทำงานร่วมกันกับบริษัทในเครือซีพี
เป็นการเชื่อมผู้ประกอบการไทยในวงกว้างให้เข้าถึงตลาดใหม่ “นอกบ้าน” มากขึ้น เป็นหนึ่งในแนวทางเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศไทย ในโลกยุคใหม่หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 จากการรวมพลังและระดมศักยภาพของเอสเอ็มอีหลายหมื่นรายและวิสาหกิจไทยอื่นๆ ออกไปต่อสู้บนเวทีระดับโลก

“ปกติเอสเอ็มอีจะมีข้อจำกัดหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงและความยากลำบากในการพยายามตั้งหลักในตลาดต่างประเทศได้ และบ่อยครั้งที่ธุรกิจเหล่านั้น ไม่สามารถรับมือกับความท้าทายจากเครือข่ายธุรกิจในประเทศต่างๆ ได้ ดังนั้นหากเครือซีพีจะเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้ จะยิ่งเพิ่มศักยภาพให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดที่ปกติแล้วจะมีแต่บริษัทใหญ่ที่สุดของไทยเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้”

นับเป็นการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจใหม่อย่างมหาศาล ช่วยนำความรุ่งเรืองมาสู่คนนับล้าน ตอกย้ำเส้นทางการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีในระดับสากล ผ่านแนวคิดแบบ “Win-Win”

ศุภชัย ย้ำว่า บริษัทไทยต้องร่วมมือกันให้ได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อสร้างพลังร่วมกัน ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลกต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศบ้านเกิด และบริษัทในประเทศของตัวเอง ไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าให้กับประเทศที่ธุรกิจต่างๆ เหล่านั้นเข้าไปดำเนินธุรกิจ และเราก็ควรทำเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนี้สอดคล้องหลัก “3 ประโยชน์” ของเครือซีพี ที่คำนึงถึงการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ สร้างประโยชน์ให้กับสังคม และสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท นั่นเอง

4636


นางสาวศศิธร ริ้วทอง ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงสถานการณ์การตลาดลำไย ปี 2564 ว่า จากสถานการณ์ลำไยทั่วประเทศในปีนี้ มีปริมาณเพิ่มขึ้นจำนวน 1.4 ล้านตัน หรือ 17 %จากปีก่อน โดยปีนี้ผลผลิตลำไยของจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 เป็นจำนวนกว่า 420,000 ตัน โดยเป็นผลผลิตในฤดู 260,900 ตัน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเนื้อที่ให้ผลรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นเอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติดผลมากกว่าปีกลาย ประกอบกับมีฝนตกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2563 ถึงกุมภาพันธ์ 2564 ทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงออกดอกและช่วงติดผลอ่อน ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตเพิ่มขึ้น

ด้านการส่งออกลำไย แบ่งเป็นการส่งออกทั้งสดและอบแห้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2564 พบว่า การส่งออกลำไยแบบสด มีการส่งออกไปยังประเทศจีน เวียดนาม ฮ่องกง อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แล้ว 198,079 ตัน และการส่งออกลำไยแบบอบแห้ง มีการส่งไปยังประเทศจีน เวียดนาม ฮ่องกง สิงค์โปร์ และเกาหลี ไปแล้ว 14,069 ตัน โดยขณะนี้ราคายังอยู่ในราคาที่ทรงตัว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาทางประเทศจีนได้ตรวจพบการปนเปื้อนเพลี้ยแป้งในลำไยส่งออก จึงขอระงับการส่งออกลำไยจากล้งที่ตรวจพบปัญหาด้านคุณภาพ โดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทำการเจรจากับประเทศจีน และอนุญาตให้ส่งออกได้แล้วทั่วประเทศ 50 ล้ง จังหวัดเชียงใหม่ 27 ล้ง อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 10 ล้ง ซึ่งจะต้องเพิ่มความเข้มงวด มาตรการคัดกรองคุณภาพของลำไยก่อนส่งออกไปจำหน่าย โดยจะมีการสุ่มตรวจทั้งในขั้นตอนการเก็บ การอบ และก่อนการส่งออก ไม่ให้มีเพลี้ยแป้งปะปน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของประเทศจีนกลับมาเช่นเดิม



สำหรับแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร สำนักงานพาณิชย์ได้มีมาตรการรองรับผลผลิตลำไยในฤดู ทั้งโครงการสนับสนุนจุดรวบรวมและคัดคุณภาพลำไยเพื่อกระจายออกนอกแหล่งผลิตจังหวัดเชียงใหม่ โดยรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งรัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการในการกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตไม่เกิน 3 บาท/กก. เริ่มดำเนินการรับซื้อตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2564 ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการผ่านการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการแล้ว 15 ราย, ด้านการเชื่อมโยงตลาด โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดกิจกรรม Online Business Matching สินค้าลำไยและลำไยแปรรูป และกิจกรรมเจรจาการค้าผ่านช่องทาง Online ระหว่างผู้นำเข้าอินโดนีเซียกับผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูน

นอกจากนี้ได้จัดประชาสัมพันธ์เชิญชวนบริโภคลำไย ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อรณรงค์การบริโภคลำไย และช่วยซื้อลำไยจากเกษตรกรโดยตรง ,การเชื่อมโยง กระจายผลผลิตลำไยไปยังจังหวัดปลายทาง โดยการสนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและลดภาระค่าใช้จ่ายบรรจุภัณฑ์, การป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ขึ้นทะเบียนแรงงานรับจ้างเก็บลำไย ณ สำนักงานเกษตรอำเภอ พร้อมทั้งเข้ารับการอบรมการเก็บลำไยให้ปลอดภัยจากโควิด และการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ชี้แจงสร้างการรับรู้ให้แก่เกษตรกรเพื่อสร้างความมั่นใจต่อผลผลิตลำไยของเชียงใหม่

4637


คาวาลลิโน มอเตอร์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครกู้ภัยที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 โดยร่วมบริจาคชุดป้องกันที่มีระบบฟอกอากาศในตัว (PAPR) รวมถึงชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE) จำนวน 2,000 ชุด และแอลกอฮอล์ทำความสะอาดจำนวน 2,000 ลิตร ให้แก่โรงพยาบาลศิริราช รวมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานของทีมบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่ออกภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต มูลค่ารวมร่วม 2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนปฏิบัติภารกิจสู้โควิด-19 ที่กำลังเป็นวิกฤตในขณะนี้

นันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่าย และซ่อมบำรุงรถยนต์เฟอร์รารี่แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า “ชื่มชมในความทุ่มเทและเสียสละของเหล่าฮีโร่ด่านหน้าทุกท่าน คาวาลลิโน มอเตอร์จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรด่านหน้าที่ให้การรักษาและช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ให้ได้รับความปลอดภัยจากการทำงานใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะอุปกรณ์ป้องกันที่มีความจำเป็นอย่างมากในการปกป้องผู้ปฏิบัติงานให้รอดพ้นจากเชื้อโรค

ก่อนหน้านี้ คาวาลลิโน มอเตอร์ ได้มอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุดให้แก่โรงพยาบาลศิริราช และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้นทำให้แต่ละวันมีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณ จึงตั้งใจร่วมบริจาคชุด PAPR ให้เพิ่มเติม ที่เปรียบเสมือนชุดพร้อมรบที่ครบถ้วนสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการสู้รบกับเชื้อโรคแก่แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลศิริราช เพื่อมอบความปลอดภัยขั้นสูงสุดในการทำหัตถการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ป่วยต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งมอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด และแอลกอฮอลล์ทำความสะอาดจำนวน 2,000 ลิตร เพื่อแทนความห่วงใยให้แก่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เสียสละกำลังกายในการช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งคาวาลลิโน มอเตอร์ ขอร่วมเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรด่านหน้าทุกท่าน และจะยังคงมอบความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ต่อไป”



ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะเเพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่รพ.ศิริราช ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมีผู้ป่วยอาการหนักเป็นจำนวนมาก ซึ่งแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ติดเชื้อในขณะปฏิบัติงาน สำหรับชุดป้องกันที่มีระบบฟอกอากาศในตัว (PAPR) ที่คาวาลลิโน มอเตอร์ นำมามอบให้ในครั้งนี้ ก็มีความสำคัญอย่างมากในช่วงเวลานี้ เพราะเปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับสู้รบกับโรคระบาด นวัตกรรมชุด PAPR เป็นชุดป้องกันเชื้อโรคที่มีพัดลมและระบบกรองอากาศประสิทธิภาพสูงโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เพื่อให้มีอากาศไหลเวียนในชุดนี้ตลอดเวลา ทำให้โอกาสที่เชื้อโรคจากข้างนอกจะไม่สามารถเข้ามาข้างในชุดได้

“ปัจจุบันชุด PAPR เป็นนวัตกรรมที่สามารถผลิตได้โดยคนไทย โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมคิดค้นและออกแบบร่วมกับภาคเอกชน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากาก N95 และชุด PAPR ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งชุด PAPR ที่คนไทยผลิตขึ้นนี้มีความแตกต่างจากชุด PAPR จากต่างประเทศ ตรงหน้ากากครอบใบหน้าและศีรษะที่สามารถใช้งานซ้ำได้ โดยได้รับใบรับรองว่ามีความปลอดภัย 100% รวมทั้งสามารถซักล้างทำความสะอาดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกด้วย”

ศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กล่าวว่า “มูลนิธิขอขอบคุณสำหรับกำลังใจ และการสนับสนุนภารกิจสู้โควิด-19 สำหรับชุด PPE และแอลกอฮอลล์ที่ได้รับมอบจากคาวาลลิโนมอเตอร์ในครั้งนี้ เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นอย่างมากในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและอาสาสมัครกู้ภัยทุกท่านที่ทำงานในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งวิกฤตขึ้นทุกขณะ โดยมีภารกิจหลักของทั้งด้านสังคมสงเคราะห์ ทั้งการส่งข้าวกล่องตามชุมชนต่าง ๆ การจัดหายาที่จำเป็นเพื่อนำส่งในชุมชนต่าง ๆ รวมไปถึงภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตซึ่งล้วนเป็นภาระที่หนักมาก และต้องทำงานแข่งกับเวลา”

“ทุกวันนี้มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ชุด PPE มีความจำเป็นสำหรับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมากในการป้องกันตัวเองจากการสัมผัสกลุ่มผู้ป่วยตลอดเวลา รวมทั้งแอลกอฮอลล์ทำความสะอาด ซึ่งต้องใช้เป็นจำนวนมากในแต่ละวันสำหรับเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครที่ช่วยเหลือภารกิจโควิด -19 ร่วมร้อยคน ซึ่งทุกคนได้ผ่านการอบรมการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่และถอดชุด PPE ที่ถูกต้อง การฆ่าเชื้อและทำความสะอาดรถที่ใช้ขนส่งผู้ป่วย เพื่อพ่นฆ่าเชื้อตลอดการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย”

4638


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ "สภาพัฒน์" แถลงภาวะสังคมไตรมาสที่ 2/2564 โดยพบว่าสถานการณ์แรงงานไตรมาสสอง ปี 2564 ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยไตรมาสสอง ปี 2564 การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการจ้างงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จากการเคลื่อนย้ายเข้าไปทำงานของแรงงานที่ว่างงานและถูกเลิกจ้าง และราคาสินค้าเกษตรที่จูงใจ

การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ สาขาก่อสร้าง สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า มีการขยายตัวร้อยละ 5.1 5.4 และ 7.1 ตามลำดับ ส่วนสาขาการผลิต และการขายส่ง/ขายปลีก การจ้างงานหดตัวร้อยละ 2.2 และ 1.4 ตามลำดับ ทั้งนี้ การจ้างงานที่หดตัวในสาขาการผลิตซึ่งใช้แรงงานเข้มข้นเป็นหลัก ขณะที่สาขาการผลิตเพื่อการส่งออกมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ สาขาเครื่องคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และยานยนต์ ชั่วโมงการทำงาน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติที่ 41.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับแรงงานที่ทำงานล่วงเวลามีจำนวน 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 


โดยการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงจากผลกระทบของ COVID-19 โดยอัตรา
การว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.89 คิดเป็นผู้ว่างงาน 7.3 แสนคน แบ่งเป็นผู้ไม่เคยทำงานมาก่อน (ผู้จบการศึกษาใหม่) 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.04 และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนมีจำนวน 4.4 แสนคน ลดลงร้อยละ 8.38 เมื่อพิจารณาระยะเวลาของการว่างงาน พบว่า

ผู้ว่างงานมีแนวโน้มว่างงานนานขึ้น โดยผู้ว่างงานนานกว่า 12 เดือน มีจำนวน 1.47 แสนคน เพิ่มขึ้น 1.2 เท่าจากช่วงเดียวกันของไตรมาสที่แล้ว นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.18 และ 3.44 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าการว่างงานในปัจจุบันอยู่ในกลุ่มแรงงานทักษะสูง


สำหรับการว่างงานในระบบ ผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีจำนวน 3.1 แสนคน คิดเป็นสัดส่วนต่อผู้ประกันตนร้อยละ 2.8 ลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยแต่ยังคงสูงกว่าสถานการณ์ปกติ ขณะที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยมีจำนวน 32,920 คน เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากไตรมาสก่อนที่มีจำนวนเพียง 7,964 คน


ทั้งนี้ผลกระทบจากการระบาดที่มีความรุนแรงมากขึ้น และมาตรการควบคุมการระบาดที่ส่งผลต่อความสามารถในการหารายได้ของแรงงาน จากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ในเดือนเมษายน 2564 ซึ่งต่อมารัฐบาลมีการประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงและมีแนวโน้มจะลดลงมากกว่าการระบาดในปี 2563 ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อการจ้างงาน/การมีงานทำ และรายได้ โดยเฉพาะแรงงานในกลุ่มที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ ทั้งนี้ ลูกจ้างภาคเอกชนที่สามารถทำงานที่บ้านได้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดมีเพียงร้อยละ 5.5 หรือมีจำนวน 0.56 ล้านคน จาก 10.2 ล้านคนเท่านั้น และมีกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวน 7.3 ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบ  

รวมทั้งการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากภาครัฐเพื่อประคับประคองให้แรงงาน และผู้ประกอบการยังคงรักษาการจ้างงาน และการประกอบกิจการ การระบาดของ COVID-19 ที่ยาวนานจะส่งผลให้แรงงานมีความเปราะบางมากขึ้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือที่เข้มข้นกว่าการช่วยเหลือจากการระบาดในระลอกที่ผ่านมา อาทิ การช่วยสนับสนุนค่าจ้างบางส่วนให้กับผู้ประกอบการเพื่อรักษาการจ้างงาน รวมทั้งให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมแก่แรงงานผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งไม่สามารถทำงานได้ตามปกติจากมาตรการควบคุมการระบาด หรือมีความจำเป็น ต้องกักตัว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนการปรับตัวของแรงงานที่ได้รับผลกระทบทั้งในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน และผู้จบการศึกษาใหม่ จากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายกลับสู่ภูมิลำเนาซึ่งมีทั้งแรงงานถูกเลิกจ้างและกำลังแรงงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงาน ส่งผลให้ผู้ว่างงานในแต่ละภูมิภาคมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันพบว่าผู้ที่ว่างงานหางานลดลง เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์และแรงงานที่กลับไปทำงานในภูมิลำเนามีแนวโน้มประกอบอาชีพอิสระเพิ่มขึ้น จึงควรมีแนวทางการส่งเสริมทักษะอาชีพอิสระที่แรงงานสามารถเข้าถึงได้สะดวก และฝึกฝนได้ด้วยตนเอง

4639


วีโร่ และ ยูกอฟ เผยผลการศึกษาปี 2564 พบความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อสินค้าและบริการเทคโนโลยีหลายมุมมอง รวมถึงผลกระทบทางสังคมยุคโควิด-19 ทำให้มีทั้งผู้ที่เชื่อว่าบริษัทเทคโนโลยีมีส่วนส่งเสริมสังคมในเชิงบวก และผู้ที่มีความคิดเห็นเป็นกลาง หรือเชิงลบเกี่ยวกับเทคโนโลยีในประเทศไทย เบื้องต้นพบว่าเนื้อหาที่คนไทยต้องการฟังจากแบรนด์เทคโนโลยีมากที่สุดคือเรื่องสุขภาพ เพราะในขณะที่คนสูงวัยเป็นมิตรกับเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น คนรุ่นใหม่กลับยังแคลงใจในผลกระทบ

นางสาวภัทร์นีธิ์ จีริผาบ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารของวีโร่ กล่าวว่าการระบาดครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนเกิดความต้องการด้านเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี ในขณะที่การสำรวจในปี 2563 พบว่าเนื้อหาที่คนไทยต้องการฟังจากแบรนด์เทคโนโลยีมากที่สุดคือเรื่องราวการใช้เทคโนโลยีในชีวิตจริง

“อีกเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากคือเรื่องราวที่สร้างความบันเทิงนั้นถูกจัดเป็นอันดับสุดท้ายของความต้องการจากเนื้อหาของแบรนด์เทคโนโลยี โดยข้อมูลบ่งชี้ถึงความปรารถนาที่จะเรียนรู้และการได้รับความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งอาจเป็นเพราะการที่เราเป็นผู้รอบรู้ด้านเทคโนโลยีนั้นถือเป็นประโยชน์อย่างมากในปัจจุบัน"

จากการสำรวจที่จัดทำโดยวีโร่ (Vero) เอเจนซีด้านการสื่อสารของอาเซียน และบริษัทวิจัยการตลาด และการวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลกยูกอฟ (YouGov) พบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยเชื่อว่าเทคโนโลยีสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมมากขึ้น ส่วนอีก 44% มีความรู้สึกเป็นกลางต่อเทคโนโลยี ส่วนอีก 6% เชื่อว่าเทคโนโลยีสร้างผลกระทบในทางลบมากกว่า



สำหรับผลกระทบของโควิด-19 ต่อเทคโนโลยี พบว่า 40% ของผู้ตอบแบบสำรวจยอมรับว่าใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 และ 28% กล่าวว่าถึงแม้ว่าวิกฤติจะจบลง ก็จะยังดำเนินพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเหมือนในช่วงการแพร่ระบาดต่อไป



นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยถึง 43% กล่าวว่าจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้มีการซื้อของจากแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ และ 24% กล่าวว่าการชำระเงินและการจัดส่งแบบไม่ต้องสัมผัสมีความสำคัญต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก

ในมุมของความกังวลที่มีต่อเทคโนโลยี พบว่าสิ่งที่ผู้ใช้กังวลมากที่สุดคือแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าลอกเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจถึง 48% ที่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว ในขณะที่ 45% กล่าวว่าหนึ่งในข้อกังวลหลักคือการบริการหลังการขาย และอีก 37% กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการละเมิดด้านข้อมูลและความปลอดภัย



ข้อมูลข่าวสารจากบริษัทเทคโนโลยีที่ผู้คนในประเทศไทยต้องการคือด้านสุขภาพ โดยผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ (57%) กล่าวว่าต้องการทราบถึงเรื่องราวของผลกระทบจากเทคโนโลยีที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัย ขณะที่อีก 51% ต้องการเนื้อหาที่สอนการใช้เทคโนโลยี ในขณะที่ 48% กล่าวว่าพวกเขาต้องการให้แบรนด์เทคโนโลยีบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่แบรนด์ช่วยพัฒนาสังคม

นอกจากนี้ 47% ต้องการทราบเรื่องราวการใช้เทคโนโลยีในชีวิตจริง 42% ต้องการเนื้อหาที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ และอีก 35% ต้องการเนื้อหาที่สร้างความบันเทิง



นายฟรานซิสโก โซซา อาเจตส์ รองผู้อำนวยการ YouGov เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้ได้เผยถึงความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อเทคโนโลยีและการรับรู้ที่ต่างกันของแต่ละกลุ่มคน จึงสามารถช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์การสื่อสารของตนให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้

การศึกษาในลักษณะเดียวกันนี้ ยังได้จัดทำขึ้นในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนามอีกด้วย โดยพบว่าแนวโน้มความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้งนี้พบว่าคนไทยมีทัศนคติในเชิงบวกต่อแบรนด์เทคโนโลยีมากกว่าชาวอินโดนีเซียแต่น้อยกว่าชาวเวียดนาม

สำหรับกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในไทย ประกอบด้วยประชาชนทั่วไปจาก 5 ภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั้งในด้าน รายได้ ระดับการศึกษา และกลุ่มอายุ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเจนเอ็กซ์ เจนวาย และเจนซี (Gen X, Y และ Z)

ผลลัพธ์ที่ได้นำมาวิเคราะห์ตามช่วงอายุและเพศ เพื่อให้เห็นถึงความคิดเห็นที่แตกต่างกันหรือสอดคล้องกัน อาทิ ในกลุ่มตัวอย่างผู้สูงวัย กลุ่มตัวอย่างเพศชาย และกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้สูง ล้วนเป็นกลุ่มมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีในสังคม

“การเข้าสู่ยุคดิจิทัลนั้นมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง และบริษัทด้านเทคโนโลยีต่างๆ มีบทบาทสำคัญต่อสังคม จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทเทคโนโลยีจะได้แสดงศักยภาพในฐานะผู้มีส่วนส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าในสังคมและช่วยให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นางสาวภัทร์นีธิ์ จีริผาบ กล่าวทิ้งท้าย.

4640
ชิเซนเดอร์ คอร์มิน มอยส์เจอไรซิ่ง เซรั่ม
เซรั่มบํารุงผิวหน้า คืนความชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน แล้วก็ต่อต้านริ้วรอย เพื่อสุขภาพผิวสำหรับคุณ





ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
เซรั่มบํารุงผิวหน้าจากนวัตกรรมเทคโนโลยีเอนแคปซูเลชันที่ได้รับการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาจากห้องปฏิบัติการ สามารถช่วยกระชับรูขุมขน เพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิวพรรณ คืนความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอวบอิ่ม อ่อนเยาว์ รวมทั้งยังช่วยฟื้นบำรุงผิวให้มีความยืดหยุ่นแข็งแรง ประสมประสานด้วยสารสกัดธรรมชาติจากขมิ้นและถั่งเช่าโมเลกุลขนาด 146-195 นาโนเมตรที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุของริ้วรอย รวมทั้งช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ นอกเหนือจากนี้ยังอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์จากสารสกัดดอกดาวเรืองแล้วก็ดอกคาโมมายด์ที่ช่วยต่อต้านการอักเสบและก็ลดการระคายเคืองของผิว
- นวัตกรรมจากห้องทดลองวิเคราะห์ทดลองและก็พัฒนานวัตกรรมด้วยเซลล์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
- ผ่านการคัดสรรและก็พัฒนาจากอุทยานวิทยาศาสตร์
- ผ่านโครงการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของเทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
- ผลิตด้วยโรงงานมาตรฐาน GMP และ ISO 9001:2015
- จดทะเบียนการค้า สามารถตรวจสอบใบอนุญาตได้
- ภายใต้บริษัทด้านสุขภาพครบวงจร (บริษัท ไซเอนซ์ อินโนเวทีฟ โปรดักส์ จำกัด)
สู่ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลจากสารสกัดธรรมชาติ เพื่อสุขภาพผิวที่ดีสำหรับคุณ

พวกเราอยากจะนำเสนอสิ่งดีๆสำหรับคุณ
"ด้วย 4 นวัตกรรมที่เราอยากให้คุณรู้จัก
ประสมประสาน 3 คุณประโยชน์สำหรับในการฟื้นฟูผิว
ควบคุมด้วย 2 คุณภาพมาตรฐานระดับสากล
เพื่อการดูแลรักษาและบำรุงผิวพรรณใน 1 ขั้นตอน"





+++ 4 นวัตกรรมที่พวกเราอยากให้คุณรู้จัก ประกอบด้วย

1. สารสกัดถังเช่านาโน อุดมไปด้วย สารคอร์ไดซิปิน โพลีแซคคาไรด์ กรดอะมิโน โปรตีน วิตามิน (E, K, B1, B2 และก็ B12) แล้วก็แร่ธาตุ ช่วยป้องกันจากแสง UVB ต่อต้านการอักเสบ รวมทั้งคุ้มครองปกป้องผิวจากแสงอาทิตย์
2. สารสกัดขมิ้นนาโน อุดมไปด้วย สารเคอร์คูมิน เคอร์คูมินอยด์ วิตามินอี ช่วยกำจัดสิว ลดการอักเสบ ฝ้า กระ ริ้วรอย สร้างเสริมผิวให้แข็งแรง และก็ลดอนุมูลอิสระ

>>หมายเหตุ: สารสกัดถังเช่านาโนและก็ขมิ้นนาโน เป็นนวัตกรรมใหม่จากงานค้นคว้าของบริษัทที่ได้พัฒนาขึ้นมา มีที่แรกที่เดียว เป็นสูตรของบริษัทโดยตรง

3. สารสกัดดอกดาวเรือง อุดมไปด้วย อุดมไปด้วย สารประกอบกลุ่ม ฟีนอล และก็ฟลาโวนอยด์ ธาตุเหล็ก สังกะสี และแมงกานีส ปกป้อง ผิวหนังเหี่ยวย่น ลดริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้น ลดผื่นแพ้ และก็ต้านอนุมูลอิสระ
4. สารสกัดดอกคาโมมายล์ อุดมไปด้วย คูมารินส์และเทอร์พีนอยด์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว สมานแผล ลดการอักเสบ ลดรอยแดงจากการระคายเคือง ลดสิว ผดผื่น แล้วก็คงความอ่อนเยาว์

+++ ประสมประสาน 3 คุณประโยชน์สำหรับในการฟื้นฟูผิว
1. ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน ช่วยเพิ่มความเรียบเนียน ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
2. สารสกัดเปปไทด์ ช่วยทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ผิวดูแจ่มใส ผิวฉ่ำน้ำ ไม่แห้งตึง ผิวนุ่มชุ่มชื้น
3. หัวเชื้อพิเทร่า ช่วยกระชับรูขุมขนให้ดูเล็กลง กระจ่างขาวสวยใส ลดเลือนริ้วรอย ลดจุดด่างดำ

+++ ควบคุมด้วย 2 คุณภาพมาตรฐานระดับสากล
มาตรฐานคุณภาพโรงงาน GMP แล้วก็ ISO 9001:2015

+++ เพื่อการดูแลรักษาผิวพรรณใน 1 ขั้นตอน
หลังชำระล้างผิวหน้า ทาเซรั่มบำรุงผิวหน้า เช้า-เย็น



 

4641


นางกฤติยา ศรีสนิท ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังคงอยู่ในบริบทที่ท้าทาย จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม กรุงศรี มอเตอร์ไซค์ ยังคงรักษาการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อไว้ได้ที่ 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ด้วยการให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาสนับสนุนการขายของพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายฯ โดยเฉพาะ กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเช็กวงเงินประเมินสินเชื่อได้ด้วยตนเอง และอำนวยความสะดวกแก่ดีลเลอร์รถจักรยานยนต์ในช่วงเวลาที่แพลตฟอร์มออนไลน์กลายมาเป็นช่องทางสำคัญในการซื้อขาย โดยในครึ่งปีแรก ยอดสินเชื่อใหม่ของ กรุงศรี มอเตอร์ไซค์ ผ่าน กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท เติบโตสูงถึง 194% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ เรายังคงทำแคมเปญร่วมกับหลากหลายแบรนด์ผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบเงื่อนไขให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของแต่ละแบรนด์มากที่สุด โดยนำเสนอผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ผู้ผลิตและแพลตฟอร์มออนไลน์ของกรุงศรี ออโต้ ตลอดจนสาขาของดีลเลอร์ทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน กรุงศรี มอเตอร์ไซค์ ยังได้เดินหน้าตอบสนองทุกความต้องการด้านการเงินของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรที่สุดในตลาด ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรถจักรยานยนต์และบิ๊ก ไบค์ ใหม่ สินเชื่อรถจักรยานยนต์ และบิ๊ก ไบค์ มือสอง และสินเชื่อเพื่อคนมีรถ คาร์ ฟอร์ แคช มอเตอร์ไซค์

สำหรับในครึ่งปีหลัง กรุงศรี มอเตอร์ไซค์ มีแผนที่จะรักษาการเติบโตของธุรกิจด้วยการสนับสนุนพันธมิตรผู้แทนจำหน่าย และแบรนด์ผู้ผลิตในทุกมิติ พร้อมรักษาความสมดุลของพอร์ตสินเชื่อ และล่าสุด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเสริมสภาพคล่องของเจ้าของรถจักรยานยนต์ สินเชื่อเพื่อคนมีรถ คาร์ ฟอร์แคช มอเตอร์ไซค์ ได้ส่งแคมเปญใหม่สำหรับกับสายไบค์เกอร์ “บิ๊ก ไบค์ วงเงินเต็มร้อย” ชูฟีเจอร์ไฮไลต์ วงเงินสูงสุด 100% สำหรับบิ๊ก ไบค์ ทุกรุ่น ทุกซีซี* ครอบคลุมทั้งสินเชื่อแบบโอนเล่มทะเบียนและไม่โอนเล่มทะเบียน

"กรุงศรี ออโต้ มองว่าตลาดรถจักรยานยนต์ใหม่ในครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ยอดขายรถจักรยานยนต์ใหม่ของทั้งปีจะยังคงทรงตัวจากปีก่อนหน้า โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.53 ล้านคัน หรือเติบโต 1.1% และคาดว่าตลาดสินเชื่อรถจักรยานยนต์จะเติบโตในระดับเดียวกัน หรือมีมูลค่าสินเชื่อใหม่รวมอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ตลาดจะยังคงเผชิญกับปัจจัยที่ท้าทาย แต่เราเชื่อมั่นว่าด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งและความพร้อมในการอยู่เคียงข้างลูกค้าและพันธมิตรในทุกสถานการณ์ กรุงศรี มอเตอร์ไซค์ตั้งเป้ายอดสินเชื่อคงค้างรวมในปี 2564 จะมีมูลค่า 35,000 ล้านบาท หรือเติบโต 3% พร้อมมุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดสินเชื่อในภาพรวม"

4642


ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปี 2564 การส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่สุดที่จะช่วยเศรษฐกิจไทยปี 2564 ขยายตัวได้และไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยการส่งออกปีนี้ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การผ่อนคลายมาตรการการล็อกดาวน์ในประเทศคู่ค้า และการเริ่มกลับมาเปิดเศรษฐกิจของหลายประเทศคู่ค้าสำคัญ

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2564 การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 67,761 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 36.2% (สูงสุดรอบ 44 ไตรมาส) โดย สศช.คาดว่าการส่งออกปีนี้ มูลค่าในรูปดอลลาร์จะขยายตัวถึง 13.3% สอดคล้องการปรับเพิ่มสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณ การค้าโลกและเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงการเกิดคลัสเตอร์ในโรงงานจำนวนมาก ทำให้หลายฝ่ายกังวลกระทบกับภาคการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกจึงต้องมีมาตรการรับมือส่วนนี้ 

ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 โดยต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการแพร่ระบาดพื้นที่ฐานการผลิตสำคัญด้วยการมีมาตรการป้องกันควบคุมในพื้นที่เฉพาะ “Bubble and seal” รวมทั้งตรวจเชิงรุกเพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ป่วยในโรงงาน เพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อในโรงงาน รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการขนส่งสินค้า การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคการผลิต รวมถึงการสร้างตลาดส่งออกใหม่กับคู่ค้าใหม่ด้วยเพื่อให้ไทยมีตลาดการส่งออกเพิ่มขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) สั่งการให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัด การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) โดยเร็ว และสถานประกอบการหรือโรงงานไม่พร้อมให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลการตรวจหาเชื้อ การจัดหาสถานที่กักตัว ยารักษาโรค ตลอดจนวัคซีนให้แรงงาน


โครงการ Factory Sandbox เป็นแนวคิดการจัดการโครงสร้างและกระบวนการในลักษณะ “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข” ที่มุ่งดำเนินการควบคู่ระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ โดยใน Sandbox จะมุ่งเป้าที่โรงงานภาคการผลิตส่งออกขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของประเทศในปัจจุบัน มีมูลค่าการส่งออกรวมถึง 7 แสนล้านบาท และจ้างงานถึง 3 ล้านตำแหน่ง ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1.ยานยนต์ 2.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3.อาหาร 4.อุปกรณ์การแพทย์ 

สำหรับการดำเนินการจะป้องกันคลัสเตอร์โรงงานจากการติดเชื้อ รวมทั้งสร้างสมดุลระหว่างมาตรการทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนต่อได้ และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยและชาวต่างชาติในช่วงเวลาที่ซัพพลายเชนของประเทศคู่แข่งกำลังปิดตัวลง โดยโครงการนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 

ระยะที่ 1 ดำเนินการ 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรสาคร มีสถานประกอบการเข้าร่วม 60 แห่ง มีลูกจ้าง 138,795 คน 

ระยะที่ 2 ดำเนินการ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ 

ทั้งนี้ มีขั้นตอนหลัก ได้แก่ การตรวจ การรักษา การดูแลและการควบคุม เพื่อให้บริหารทรัพยากรที่มีจำกัดได้ตรงเป้าหมาย โดยโรงงานที่มีลูกจ้าง 500 คนขึ้นไป ต้องตั้งโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการไม่ต่ำกว่า 5% ของพนักงาน ดำเนินการ Bubble and Seal โดยกำหนดให้ลูกจ้างเดินทางกลับที่พักแบบไม่แวะระหว่างทาง และอยู่แต่ในเคหสถานเท่านั้น 

รวมทั้งตรวจหาเชื้อแบบ PCR 1 ครั้ง ให้ลูกจ้างทั้งหมด และตรวจแบบ Self ATK ทุก 7 วัน ดำเนินการฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างทุกคน ยกเว้นคนที่ติดเชื้อให้รักษาในส่วนค่าบริการฉีดวัคชีน สถานประกอบการต้องเป็นผู้จ่ายให้สถานพยาบาล และสถานประกอบการทำหนังสือยินยอมดำเนินการตามแนวทางกระทรวงแรงงานและจังหวัด



สำหรับแผน Bubble and Seal จะป้องกันและควบคุมการแพร่เชื้อในพื้นที่และไม่ให้ระบาดไปสู่ชุมชน รวมถึงป้องกันการเสียชีวิตและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมจากการหยุดดำเนินกิจการ โดยมีหลักการสำคัญ

1.การป้องกันโรค โดยดำเนินการก่อนเกิดการระบาด และการควบคุมโรคเมื่อเกิดการระบาด 

2.การให้ทำกิจกรรม กลุ่มกิจกรรมหรือทำงานได้ รวมทั้งเดินทางเคลื่อนย้ายระหว่างที่พักและที่ทำงาน โดยการควบคุมกำกับ 

3.การบริหารจัดการทั้งด้านการแพทย์และสาธารณสุข และการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเครื่องอุปโภคบริโภค โดยมีมาตรการป้องกันควบคุมโรค มาตรการด้านสังคม มาตรการกำกับและประเมินผล รวมทั้งมีการบูรณาการจากหลายภาคส่วน 

ในขณะที่ขั้นตอนการดำเนินงาน Bubble & Seal ดังนี้

1.ผู้ประกอบการทำความเข้าใจหลักการจัดทำมาตรการรวมทั้งสื่อสารสร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วมของพนักงานและชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

2.ผู้ประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยึดตามหลักการ แต่ทำแนวปฏิบัติขึ้นกับลักษณะแรงงาน ที่พัก การเดินทางและชุมชน ซึ่งสถานประกอบการออกแบบเองได้

3.ผู้ประกอบการควรกำหนดผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานและกำกับติดตามให้ชัดเจน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอและถอดบทเรียน เพื่อปรับมาตรการให้เหมาะสมในระยะยาวเหมาะสมกับสถานการณ์ 

4.กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดกลไกการสื่อสารเพื่อให้เกิดการปฏิบัติและการกำกับติดตามการดำเนินงานต่อเนื่อง

ส่วนกลไกการดำเนินงาน Bubble & Seal ประกอบไปด้วย 1.กลไกด้านการสื่อสารทำความเข้าใจ ได้แก่ จัดทำคู่มือที่ประกอบด้วย หลักการ แนวคิด มาตรการการป้องกัน มาตรการควบคุมโรค การตรวจด้วย ATK และ การดูแลด้านสุขภาพจิต มีการจัดทำแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) สำหรับทีมผู้ประเมินกำกับมาตรการระดับจังหวัด และจัดทำวีดีโอประชาสัมพันธ์มาตรการ Bubble & Seal ตั้งแต่ก่อนการระบาดและเมื่อเกิดระบาด

2.กลไกด้านการให้คำแนะนำและระบบพี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา (Coaching) ได้แก่ ทีมส่วนกลางประกอบด้วย กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทีมระดับเขต

ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันควบคุมโรค ศูนย์อนามัย ศูนย์สุขภาพจิต และทีมระดับจังหวัด ประกอบด้วยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) อุตสาหกรรมจังหวัด สวัสดิการแรงงานจังหวัด สำนักงานประกันสังคม จังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด กระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานอื่นภายใต้คำสั่งแต่งตั้งและมติคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โดยกลไกด้านกำกับประเมินผล แบ่งเป็น3 ทีม ได้แก่ ทีมส่วนกลาง ทีมเขต และทีมบูรณาการ ระดับจังหวัด

4643

กรุงเทพมหานคร จัดตั้งศูนย์พักคอย (Community Isolation) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมกันจัดตั้งให้ครอบคลุมทั้ง 50 เขต แล้ว 65 แห่ง และจะทยอยเปิดอีก 5 แห่ง ให้ครบ 70 แห่ง

เพจเฟซบุ๊ค ผู้ว่าฯ อัศวิน โดย พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ข้อมุลว่าการจะหยุดหรือลดการแพร่ระบาดได้นั้น ต้องแยกผู้ป่วยให้ออกจากครอบครัวหรือชุมชน ผู้ป่วยติดเชื้อหลายคนใน กทม. ไม่สามารถแยกกักรักษาตัวที่บ้านได้ จำเป็นต้องมีศูนย์พักคอยรองรับ

ตอนนี้ มีเตียงรองรับผู้ป่วยได้ทั้งสิ้น 8,804 เตียง ซึ่งเมื่อรวมกับศูนย์พักคอยที่กำลังจะเปิดอีก 5 แห่ง จะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีกรวมเป็น 9,684 เตียง ในจำนวนนี้ได้ปรับศูนย์พักคอย 7 แห่งให้เป็นกึ่งโรงพยาบาลสนาม (CI Plus) รองรับผู้ป่วยเหลืองได้ 1,240 ราย

ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโควิดอาการสีเขียวและสีเหลืองเข้ามาพักรักษาตัวที่ศูนย์พักคอยแล้วทั้งสิ้น 15,498 ราย โดยส่งต่อเข้ารักษาในโรงพยาบาล และมีผู้ป่วยหายกลับบ้านแล้วรวมทั้งสิ้น 12,384 ราย ซึ่งยังมีผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ 3,586 ราย

“ศูนย์พักคอย ยังสามารถเปิดรับผู้ป่วยได้อีก 5,218 เตียง ซึ่งเพียงพอต่อการแยกผู้ป่วยออกจากชุมชนและครอบครัว ไม่ให้แพร่ระบาดไปยังผู้อื่น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลงโดยเร็วที่สุด และได้ขยายศักยภาพระบบการรักษา ทำให้ผู้ป่วยโควิดเข้าสู่ระบบการรักษาให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยครับ”

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการพักรักษาที่ศูนย์พักคอยสามารถโทรติดต่อได้ที่ สายด่วนโควิดเขต ทั้ง 50 เขต ลิ้งค์ตามนี้ http://www.prbangkok.com/th/hotnews/view/MDY1cDBzNnM0NHIyb3Ezc3E2NnEyNDk0cDRyOTQzcjQ1MzI2Mg

4644


บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (Settrade) เปิดตัว Streaming Fund+ แอปพลิเคชันใหม่ล่าสุดเพื่อผู้ลงทุนในกองทุนรวม เปิดบัญชี ซื้อขาย สร้างและติดตามพอร์ต เพื่อการลงทุนในกองทุนรวมที่สะดวกง่ายดายมากขึ้น พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทั้ง iOS และ Android

นายพุฒิพงศ์ สกนธวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (Settrade) กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสนใจในเรื่องการลงทุนเพื่อบริหารผลตอบแทนจากเงินออมเพิ่มมากขึ้น โดยกองทุนรวมนับเป็นทางเลือกให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ลงทุนบุคคลใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน หรือผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาลงทุนด้วยตนเอง Settrade จึงได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อการลงทุนในกองทุนรวมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว Streaming Fund+ เป็นการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เน้นตอบโจทย์ผู้ลงทุนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเปิดบัญชีกองทุนรวม ซื้อขาย และสร้างแผนการลงทุนและบริหารพอร์ตได้อย่างสะดวกรวดเร็วในแอปเดียว

“Streaming Fund+ เป็นแอปใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจาก Streaming for Fund ให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายและทันสมัยมากขึ้น ประกอบด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ตอบโจทย์ลูกค้าที่สนใจการลงทุนในกองทุนรวม ให้จัดการการลงทุนได้ครบ จบ ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีออนไลน์กับตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (selling agent) 20 ราย เลือกลงทุนในกองทุนรวมหลากหลายจาก 22 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ชั้นนำ ส่งคำสั่งซื้อ-ขาย และรองรับการลงทุนแบบตั้งลงทุนล่วงหน้า รวมถึงการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ติดตามภาพรวมพอร์ตการลงทุนได้ในหน้าเดียว นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกลงทุนผ่านแผนการลงทุนที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถเลือกแผนลงทุนในระดับความเสี่ยงที่รับได้ โดยจะมีการสรุปผลการลงทุนให้อย่างสม่ำเสมอ และปรับแผนการลงทุนได้ตลอดเวลา Settrade เชื่อว่า Streaming Fund+ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่งเสริมการวางแผนการออมการลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสำหรับอนาคตอีกด้วย” นายพุฒิพงศ์กล่าว

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอป Streaming Fund+ ได้แล้ววันนี้ ทั้งใน iOS และ Android สำหรับผู้ใช้ Streaming for Fund ปัจจุบัน สามารถดาวน์โหลดและใช้งาน Streaming Fund+ ได้ทันทีด้วย Username และ Password เดิม หรือยังคงใช้งาน Streaming for Fund ได้จนถึงช่วงเดือนมกราคมต้นปีหน้า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://bit.ly/3gah2JB

หน้า: 1 ... 256 257 [258] 259 260 ... 265