แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - guitarx78

หน้า: [1] 2
1
ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังธุรกิจออกแบบบ้านใช้เทคโนโลยี AR
ภาพจำลอง 3D จากเทคโนโลยี AR (Augmented Reality  เทคโนโลยีภาพเสมือน) เอื้อประโยชน์ในเชิงธุรกิจในด้านการออกแบบบ้านเป็นอย่างมาก มีข้อดีที่ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี AR นี้อีกหลายด้านอย่างแรกคือไม่จำเป็นจะต้องใช้แว่นที่มีขนาดใหญ่เหมือนแว่น VR แว่นอัจฉริยะที่จะทำให้คุณเห็นภาพเสมือนจริง เป็นความทันสมัยของหลักการทำงานของ AR ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจออกแบบได้ เพราะอะไรบ้างมาดูกันเลยดีกว่า
ประหยัดเวลาในการทำงาน
นักออกแบบไม่ต้องเสียเวลาไปดูสถานที่จริงหลายรอบเพื่อเก็บข้อมูลในการออกแบบ เมื่อทำการออกแบบจริงก็สามารถปรับเปลี่ยนแบบโดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality  เทคโนโลยีภาพเสมือน) นี้เข้ามาช่วยให้เห็นภาพ ซึ่งเป็นภาพเสมือนจริงหรือ 3D ที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายและเร็วมากขึ้น ทำให้การทำงานทุกขั้นตอนง่ายขึ้นตามไปด้วยเหมาะกับนักออกแบบยุคใหม่
ประหยัดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการออกแบบ
การออกแบบแต่ละครั้ง เมื่อก่อนจะต้องออกแบบบนกระดาษแต่เพียงอย่างเดียวหรือทุกวันนี้แม้จะออกแบบผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็ยังไม่มีความชัดเจนเท่ากับภาพ 3D ที่ทำให้เห็นรายละเอียดการออกแบบทุกมุมมอง หากมีเทคโนโลยี AR (Augmented Reality  เทคโนโลยีภาพเสมือน) เข้ามาช่วยในการออกแบบจะแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนแบบก็ทำได้ง่ายๆ จากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวทำให้เห็นการออกแบบทุกองศาได้โดยที่ไม่ต้องเสียทรัพยากรไปอย่างสิ้นเปลือง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
สรุปข้อดีของเทคโนโลยี AR (Augmented Reality  เทคโนโลยีภาพเสมือน)
ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้งานจำลองการออกแบบตอบโจทย์ลูกค้าได้ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ลูกค้าเห็นภาพจำลองก่อนสร้างบ้านจริง ในด้านผู้ออกแบบก็ทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจออกแบบบ้านเป็นอย่างมาก

เครดิตบทความจาก : https://www.greatitude.live/digital-tech/%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%81/

Tags : เทคโนโลยี,AR

2
เทคนิคสร้างจุดขายร้านเครื่องดื่ม เพิ่มกำไรเท่าตัว
ธุรกิจเครื่องดื่มจัดว่าเป็นธุรกิจน่าลงทุนอีกธุรกิจหนึ่งในยุคนี้ หากลองสังเกตง่าย ๆ ร้านเครื่องดื่มตั้งแต่ร้านรถเข็นไปจนถึงร้านที่หรูมีแบรนด์ระดับโลกต่างก็ได้มียอดขายที่น่าสนใจ เรื่องของจุดขายและการสร้างแบรนด์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากหากใครกำลังคิดที่จะลงทุนกับธุรกิจเครื่องดื่ม

ยิ่งร้านไหนมีจุดขายที่เด่นกว่าร้านอื่นเท่ากับว่าคู่แข่งของคุณก็จะน้อยลง โอกาสเติบโตทางธุรกิจก็มากขึ้นด้วย

ดังนั้นวันนี้เราจึงนำเทคนิคสร้างยอดขายให้กับร้านเครื่องดื่มมาฝากกัน

  • จุดขายที่ต่างจากร้านอื่น ความแตกต่าง ความโดดเด่นของร้านจะเป็นความประทับใจแรกของการเลือกใช้บริการของลูกค้า ดังนั้นร้านไหนที่น่าสนใจที่สุดร้านนั้นมีโอกาสมากที่สุด จุดเด่นอาจจะเป็นสไตล์ของร้านที่ตกแต่งไม่เหมือนใคร การบริการที่ดี เมนูที่แปลกกว่าที่อื่นโดยเจ้าของร้านจะเป็นคนสร้างจุดขายเหล่านี้ขึ้นมา เช่น ร้านของคุณเน้นขาย เครื่องดื่มเย็นเพื่อสุขภาพ เน้นขายกาแฟ หรือเน้นขายบรรยากาศร้าน หากสามารถสร้างจุดขายได้ก็จะสร้างยอดขายต่อวันได้พอสมควร
  • รสชาติอร่อยเป็นเรื่องถัดมาหลังจากที่ลูกค้าเลือกใช้บริการร้านของคุณ โดยรสชาติที่ทำออกมาจะต้องเป็นรสชาติที่มีคุณภาพเหมือนกันทุกแก้ว และลูกค้าสามารถสั่งได้ตามใจชอบ เช่น เครื่องดื่มร้อนหวานมาก หวานน้อย หรือชอบเครื่องดื่มปั่น แบบละเอียดหรือไม่ละเอียดความเข้มข้นระดับไหน โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภทกาแฟ ที่มักจะเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ ควรปรับรสชาติให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้าน
  • ราคาขายจะเป็นตัวคัดกลุ่มลูกค้าโดยส่วนใหญ่ราคาขายเครื่องดื่มร้อน เครื่องดื่มเย็น และแบบปั่น จะเริ่มต้นที่ราคา 25 บาทต่อแก้วและปรับระดับไปเรื่อย ๆ แล้วแต่เมนูที่สั่ง ซึ่งหากราคาขายอยู่ในระดับที่พอดี เมื่อขายไปสักระยะหนึ่งคุณก็จะได้ลูกค้าขาประจำ โดยการตั้งราคาขายนั้นจะต้องอยู่ที่ราคาต้นทุนของวัตถุดิบที่นำมาใช้ ทำเล และกลุ่มลูกค้าบริเวณนั้น ๆ
  • ทำเลที่ตั้งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากหากทำเลไม่ดี โอกาสทำกำไรก็น้อยลง ส่วนมากทำเลที่เหมาะสมนั้นจะอยู่แถว ๆ ออฟฟิศ โรงเรียน สถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านผ่านไปมา เรียกว่าเป็นทำเลทองและขายดีที่สุด
  • การบริการ ถือเป็นหัวใจสำคัญมาก แม้ว่ารสชาติเครื่องดื่มที่ขายจะมีรสชาติดีแค่ไหนแต่หากร้านนั้นมีการบริการไม่ดี ไม่ใส่ใจลูกค้า โอกาสที่จะขายได้ก็มีน้อยลง

    ทุกวันนี้ร้านเครื่องดื่ม ทั้งร้อน เย็น และปั่น ต่างหาทางสร้างจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ร้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ร้านกาแฟ หรืออาจจะเป็นร้านน้ำผลไม้ เมื่อสร้างจุดขายที่ดีได้แล้วการรักษายอดขาย ควบคุณคุณภาพให้เป็นมาตรฐานเดียวกันอยู่เสมอก็ถือว่าสำคัญมากเช่นกัน หากคุณสามารถทำได้รับรองว่าธุรกิจเครื่องดื่มของคุณจะสร้างกำไรที่น่าสนใจได้ดีทีเดียว

    เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.greatitude.live/business/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%84%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b1/

    Tags : ธุรกิจ,ขาย

3
7 วิธีง่าย ๆ เพื่อสร้างจุดขายให้ร้านกาแฟโฮมเมด
การลงทุนเปิดร้านกาแฟโฮมเมด นอกจากจะต้องอาศัยเงินทุนซึ่งเป็นปัจจัยหลักแล้ว จะต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความถนัดในด้านอื่นด้วย เพราะเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความแตกต่าง สร้างจุดขายที่ต่างจากคู่แข่ง เพื่อทำให้ร้านเป็นที่นิยม สร้างรายได้ไม่ขาดมือ แน่นอนว่าในปัจจุบันนี้เรื่องการตลาดเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คนที่อยากจะทำธุรกิจนี้ให้รุ่งจึงต้องวางแผนหาวิธีเพื่อสร้างจุดขายให้กับร้านตัวเอง เริ่มจาก 7 วิธีง่าย ๆ สามารถสร้างจุดเด่น ทำให้ร้านกาแฟโฮมเมดมีจุดขายได้ด้วยตัวเอง
1.ขายอย่างอื่นเสริมนอกจากกาแฟเพียงอย่างเดียว
จริงอยู่ที่ร้านควรเน้นการขายเครื่องดื่มกาแฟ แต่หากอยากให้ร้านมีจุดเด่น ควรคัดสรรเมนูสูตรใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นเบเกอรี่ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ
2.ขายความน่ารักและความเป็นมิตร
จุดขายของร้านที่ทำให้ไม่เหมือนเจ้าอื่น คือ การบริการของพนักงานในร้านเพราะหากลูกค้าประทับใจในการบริการ พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส ก็ย่อมทำให้ลูกค้าอยากเข้าร้านอีก
3.อินเตอร์เน็ตฟรี
กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจว่า ลูกค้าจะเข้าร้านอีกหรือไม่นั่นก็คือการเปิดให้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี มีผลดีเป็นของแถมคือเป็นการโฆษณาไปในตัวเวลาที่ลูกค้าเช็คอินเข้าร้านกาแฟ
4.มีของฝากที่ลูกค้าสามารถซื้อติดมือจากร้านกาแฟ
ในร้านกาแฟโฮมเมดควรมีของที่ระลึกหรือสินค้าอื่นที่นำมาขาย เช่น บางร้านมีต้นกระบอกเพชร แคสตัส ให้ลูกค้าที่มาดื่มกาแฟได้เลือกต้นไม้กลับไปเลี้ยง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษและจดจำร้านได้ยิ่งขึ้น
5.โปรโมชั่นสำหรับลูกค้า
เริ่มจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้า อาจเลือกจัดโปรโมชั่นทุกวันพุธลด 5% หรือใช้บัตรสะสมแต้มก็ได้เป็นวิธีสร้างลูกค้าขาประจำ และทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่จะได้รับ
6.กลิ่นหอมในร้านกาแฟ
ความประทับใจครั้งแรกที่ลูกค้าเดินเข้าร้านคือ กลิ่นหอมของกาแฟ หรือกลิ่นหอมอื่น ๆ เพื่อให้บรรยากาศในร้านกาแฟน่านั่งขึ้น นั่งชิล ผ่อนคลายได้ตลอดทั้งวัน
7.มุมนั่งดื่มที่หลากหลาย
ลูกค้าหลายคนเข้าร้านกาแฟเพราะเป็นจุดนัดพบระหว่างเพื่อน คู่เดท หรือพูดคุยงาน ซึ่งหากจะสร้างจุดขายให้ร้าน การจัดให้มีมุมนั่งเล่นที่หลากหลาย จะช่วยสร้างความน่าสนใจให้ร้าน วิธีนี้ยังช่วยดึงดูดใจลูกค้าได้หลายกลุ่มอีกด้วย
อยากลงทุนเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง นอกจากจะทำเพราะความชอบ ความถนัดแล้ว หรือมีสูตรกาแฟรสชาติดีแล้วจะต้องวิเคราะห์การสร้างจุดขายก่อนเสมอ เพื่อพัฒนาและทำให้ร้านกาแฟโฮมเมดแตกต่างจากที่อื่นด้วย ทำให้ลูกค้าอยากจะเข้าร้าน รายได้ดีไม่มีตก
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ คือไอเดียเบื้องต้น ในการทำธุรกิจร้านกาแฟ อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการที่จะสร้างธุรกิจของคุณเองให้แข็งแกร่งจริงๆ แล้วละก็ อย่าลืมที่จะลงให้ลึก ในรายละเอียดต่างๆ อีกมากมายด้วยนะคะ เพราะถึงอย่างไร นั่นก็ร้านกาแฟโฮมเมดของคุณเองน่ะคะ

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/business/7-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%87%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b9%86-%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b8/

Tags : ธุรกิจ,ขาย,ร้านกาแฟ

4
ปัญหาผิวของคนผิวมัน
สภาพผิวมันนั้นอาจจะทำให้ใครหลายคนที่มีสภาพผิวเช่นนี้รู้สึกทรมานใจอยู่ลึกๆ อย่างแน่นอน
ทำไมน่ะเหรอ
ก็เพราะทั้งบรรดาสิวเอย และความมันที่เข้ามาคอยเยือนระหว่างวัน ไม่รู้จะเสียกระดาษซับมันไปกี่แผ่น หรือแป้งที่คอยต้องเติมอยู่ตลอดทั้งวัน ก็ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมา
อย่าพูดถึงการที่ต้องมีเครื่องสำอางอยู่บนหน้าเลย ว่ามันจะไหลลงมากองรวมกันจนดูไม่ได้แค่ไหน เพราะว่าสภาพผิวหน้าในวันปกติแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะใช้ทอดไข่ได้อย่างสบายๆ
คงต้องยอมรับก่อนนะคะว่า ผิวมันนั้นเป็นปัญหากวนใจของทั้งหนุ่มๆ สาวๆ อยู่แล้ว หลักๆ ก็เพราะทำให้ไม่มั่นใจเท่าที่ควร อีกทั้งยังเหนอะหนะใบหน้าอีกด้วย จึงทำให้มีเภสัชกรและนักพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความงามต่างสรรหาวัตถุดิบและวิธีการต่างๆ มารังสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับคนผิวมันมากมายเต็มไปหมดในตลาดทุกวันนี้
ซึ่งบางทีก็ได้ผล บางทีก็ไม่ได้ผล ซึ่งส่วนผสมหลักๆ ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีส่วนผสมหลักๆ นั่นก็คือแอลกอฮอล์ (แอลกอฮอล์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเหล้าหรือสุรานะคะ แอลกอฮอล์เป็นสารประกอบประเภทหนึ่งค่ะ)
และแอลกอฮอล์พวกนี้ จะทำให้ผิวแห้งลง ซึ่งในบางรายอาจทำให้ผิวแห้งและลอกเป็นขุยได้ อันที่จริงแล้วการมีสภาพผิวมันนั้นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อป้องกันผิวหน้าจากมลภาวะ ทั้งแสงแดดและฝุ่นละออง โดยน้ำมันที่เคลือบผิวนอกจากจะช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิว เคลือบผิวไว้ไม่ให้ผิวเสียน้ำไปกับการแผดเผาของแดด การมีน้ำมันหล่อเลี้ยงเช่นนี้ จะทำให้ผิวของคุณเด็กและอ่อนเยาว์กว่าคนที่มีสภาพผิวอื่น โดยเฉพาะคนที่มีผิวแห้ง (ยิ่งอายุเยอะ ความแตกต่างนี้ยิ่งเห็นได้ชัดนะคะ)
ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันที่ผิวขับออกมายังทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันผิวจากฝุ่นควันในอากาศที่ปลิวมาเสียดสีกับผิดหน้า
แต่การมีน้ำมันเคลือบไว้นั้นจะทำให้แรงเสียดสีที่มีต่อผิวลดลงได้มาก ความจริงแล้วสาเหตุหนึ่งของความมันบนใบหน้าอาจมาจากกรรมพันธุ์ ซึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าสิ่งแวดล้อมนั้นก็มีผลมาก
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ นั่นก็คือคุณมีผิวมัน ก็เพราะขาดน้ำ เพราะผิวหนังของคนเราต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา หากคุณดื่มน้ำเข้าไปไม่เพียงพอ หรืออยู่ที่มีลมและแดดแรงแล้ว ผิวของคุณจะเสียสมดุล เพื่อนำได้ระเหยออกไปกับอากาศ ร่างกายจึงต้องปรับสมดุลเพื่อลดการสูญเสียน้ำในผิว โดยการขับน้ำมันออกมา
และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนผิวมันเข้าใจผิวว่าผิวตนเองนั้นมันอยู่แล้ว ไม่ควรทาครีมบำรุงลงไปให้เพิ่มความมันหรือเงาเพิ่ม จึงทำให้ผิวต้องขับน้ำมันออกมาเรื่อยๆ
ทางที่ดีใครที่มีผิวมันแบบแก้สารพัดวิธีไม่ตก ควรเริ่มการบำรุงผิวโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะคอยเติมน้ำให้ผิว โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารไฮยาลูรอนิกแอซิด หรือสารสกัดจากว่านหางจระเข้และแตงกว่า จะช่วยปลอบประโลมผิวให้ดีขึ้นได้
และนี่ก็เป็นเกล็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับวิธีการดูแลผิวดีๆ ที่สาวๆ ผิวมันคนรู้ ในเบื้องต้นนะคะ
อย่าลืมติดตามเรื่องราว และสาระดีๆ ได้ที่นี่ค่ะ

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.greatitude.live/lifestyle/%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7-%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%99/

Tags : ผิวมัน,สภาพผิว

5
กินอะไรแล้วแก้มแดงอมชมพู สวยง่ายๆ ตามธรรมชาติ วันนี้มีคำตอบ
สาวๆ ส่วนใหญ่ นิยมให้แก้มแดงอมชมพูระเรื่อ แลดูสุขภาพดี ซึ่งบางทีการที่จะให้แก้มแดงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะแก้ปัญหาทางลัด
ทางลัดที่ว่านี้ ก็ได้แก่การใช้บรัชออนสีแดงปัดแก้มแทน แน่นอนว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วและได้ผลทันตา แต่มันอาจจะแลกมาด้วยปัญหากวนใจต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการใช้เครื่องสำอาง เช่น ปัญหาสิวอุดตัน ปัญหาผิวหนังหรือสิวอักเสบ ที่เกิดจากผงสีหรือผงบรัชออนหล่นลงไปตกค้างในรูขุมขน ทำให้ผิวบริเวณแก้มของสาวๆ อาจจะไม่เรียบเนียนเหมือนอย่างที่เคย
แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกันดี?
ถ้าอยากผิวใส แก้มแดงอมชมพูอย่างเป็นธรรมชาติ เรามีวิธีการง่ายๆ มานำเสนอ เป็นวิธีที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ แถมยังดีต่อสุขภาพของสาวๆ อีกด้วย นั่นก็คือ การทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารเบต้าแครอทีนนั่นเอง เพราะสารเบต้าแคโรทีนนั้นจะมีอยู่ในผักที่มีสีแดง เหลือง และส้ม ซึ่งมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วว่า หากเรารับประทานสารเบต้าแครอทีนเข้าไปมากๆ สีของอาหารจะสามารถเข้าไปสะสมในเซลล์ของร่างกาย ทำให้มีสีระเรื่อได้ล่ะ
แล้วแบบนี้เราควรจะทานอาหารอะไรดี ให้แก้มแดงอมชมพู
คำตอบสำหรับคำถามนี้ง่ายมากๆ เพียงแค่คุณดื่มน้ำมะเขือเทศมากๆ อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว ติดต่อกันเป็นเวลา 60 วัน โทนสีผิวของคุณจะออกแดงระเรื่อมากขึ้น และยิ่งเป็นในช่วงฤดูหนาว หรือบริเวณที่มีอากาศแห้ง ก็จะเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่จะกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยบริเวณแก้มสูบฉีดเลือดได้ดีมากขึ้น และจะเห็นได้ว่าแก้มมีสีแดงระเรื่อได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
แล้วถ้าไม่ชอบดื่มน้ำมะเขือเทศ สามารถทานอาหารประเภทอื่นทดแทนได้หรือไม่
จริงๆ คำตอบก็คือ ได้ เพียงแต่น้ำมะเขือเทศนั้นจะอุดมไปด้วยกรดวิตามินเอ และกรดวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการช่วยให้ผิวขาวใสอมชมพู จึงเป็นอาหารที่ทำให้แก้มแดงระเรื่อได้เร็วที่สุด แต่ถ้าหากเพื่อนๆ ไม่ชอบกลิ่นของน้ำมะเขือเทศมากจริงๆ ก็สามารถทานอาหารชนิดอื่นทดแทนได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า 60 วันจึงจะเห็นผล และอาจจะเห็นผลได้ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเทียบกับน้ำมะเขือเทศ นั่นก็คือ การทานผักผลไม้ที่มีสีแดงเข้ม เช่น สตอเบอร์รี่ บีทรูท เชอร์รี่แดง โดยควรหลีกเลี่ยงการทานแครอท และฟักทอง เพราะจะทำให้สีผิวออกไปทางโทนส้มและเหลืองได้
ถ้ารู้เคล็ดลับแบบนี้แล้ว สาวๆ คนไหนอย่างผิวสวยใสอมชมพูอย่างเป็นธรรมชาติ ก็อย่าลืมหันมาหัดดื่มน้ำมะเขือเทศกันเป็นประจำนะทุกคน

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/lifestyle/%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b8%a1/

Tags : สวย,ผู้หญิง

6
9 ข้อคิด ก่อนทำธุรกิจร้านกาแฟในยุคดิจิทัล
การเปิดร้านกาแฟเป็นไอเดียในการทำธุรกิจที่เป็นที่สนใจของคนในยุคปัจจุบันมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครื่องดื่มกาแฟเป็นนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นกว่าในอดีต อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปิดร้านกาแฟก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่แค่มีความต้องการที่อยากจะทำก็ทำได้ทันที อีกทั้งคู่แข่งที่เป็นร้านกาแฟก็มีมากมาย เปิดร้านแล้วจะขายได้ จะมีลูกค้าเข้าร้าน และจะมีกำไรหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคิดและวางแผนให้ดีทั้งนั้น
ใครกำลังอยากมีธุรกิจร้านกาแฟเป็นของตัวเอง อยากฝากข้อคิด 9 ข้อต่อไปนี้เอาไว้ค่ะ
1 ข้อคิดที่ฝากไว้ข้อแรกคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟจะทำธุรกิจร้านกาแฟประสบความสำเร็จได้ ความชื่นชอบในการดื่มกาแฟกับการเปิดร้านกาแฟก็เป็นคนละเรื่องกัน
2 คนที่เปิดร้านกาแฟต้องชื่นชอบเรื่องของกาแฟชนิดที่ควรถึงกับลงในรายละเอียดแบบลึก ๆ อย่างเรื่องของวัตถุดิบที่เป็นเมล็ดกาแฟ เครื่องชงกาแฟ การชงกาแฟ เรียกได้ว่าคุณต้องรู้ลึกรู้จริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกาแฟ
3 เงินทุนสำคัญ แม้ธุรกิจร้านกาแฟจะดูเหมือนกับว่าไม่ต้องใช้เงินทุนอะไรมากมายนัก แต่ถ้าไม่มีเงินทุนเลยก็ทำไม่ได้ เงินทุนที่ต้องใช้มีทั้งเงินลงทุนที่ต้องใช้เพื่อซื้ออุปกรณ์อย่างเครื่องชงกาแฟดี ๆ สักเครื่อง เงินค่าเช่าสถานที่ และยังต้องมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจด้วย
4 รสชาติกาแฟต้องโดดเด่น ถ้าคิดจะเปิดร้านกาแฟ แต่กาแฟรสชาติไม่ดี อันนี้ก็จบข่าว ต่อให้ร้านจะตกแต่งสวยงามน่านั่งแค่ไหน ถ้ากาแฟไม่อร่อยลูกค้าก็คงมาแค่ครั้งเดียว
5 ลงทุนกับเครื่องชงกาแฟดี ๆ ในยุค 4.0 เช่นทุกวันนี้ ลูกค้าเดินเข้าร้านกาแฟมาจะตรงมาที่เคาน์เตอร์ ดูเครื่องชงกาแฟก่อนเลย ทั้งรูปลักษณ์ ยี่ห้อ และขนาดของเครื่องชงกาแฟสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลิ้มรสชาติของกาแฟเลย
6 บริการที่รวดเร็ว ลูกค้าต้องไม่อยากรอเครื่องดื่มแก้วโปรดของเขานานแน่ ๆ เขาจะรู้สึกอึดอัดทันที ทำให้เสียบรรยากาศ จำนวนพนักงานที่เพียงพอที่จะบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญ
7 ตั้งราคาเครื่องดื่มให้มีกำไร ถ้าทุกอย่างในร้านกาแฟของคุณดี ลูกค้าก็ยอมจ่าย ขนาด starbucks กาแฟแก้วละร้อยกว่าบาทยังขายได้ถ้าเราทำได้ดีกว่าก็ต้องขายได้เช่นกัน
8 ใส่ใจทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของแก้วกาแฟทั้งดื่มที่ร้านหรือซื้อกลับ ขนมที่ลูกค้าจะสั่งทานพร้อมกับกาแฟ หรือแม้แต่รูปร่างของน้ำแข็งในเมนูเครื่องดื่มเย็นก็เช่นกัน มีการทำวิจัยว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบน้ำแข็งที่มีรูปร่างเป็นหลอดมากกว่าน้ำแข็งทุบละเอียด
9 Wifi ต้องมี เปิดร้านกาแฟยุคที่ทุกคนใช้มือถือสมาร์ทโฟนตลอดเวลากันแบบนี้เรื่องwifiก็คงขาดไม่ได้ แต่เรื่องของปลั๊กเสียบสำหรับชาร์ตไฟจะมีบริการแบบฟรีหรือคิดเงินอย่างไรก็ต้องคิดให้ดี และต้องหาวิธีจัดการกับลูกค้าที่นั่งแช่นานหลายชั่วโมงเอาไว้ด้วย
การเปิดร้านกาแฟมีเรื่องต้องคิดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ถ้ามั่นใจว่าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ลงมือได้เลยค่ะ

ที่มา : https://www.greatitude.live/business/9-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%84%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2/

Tags : ร้านกาแฟ,ธุรกิจ,กาแฟ

7
5 เรื่องควรรู้ก่อนบริหารคลังสินค้าในธุรกิจโลจิสติกส์ด้วย AR
ปัจจุบันนี้ ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าที่มีการขยายตัวอย่างมาก ด้วยเหตุผลว่าเป็นธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการยุคใหม่ที่มีความต้องการความสะดวกสบายในการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ทำให้ต้องมีการขนส่งสินค้า ผู้ประกอบการโลจิสติกส์จึงต้องวางแผนพัฒนาระบบการขนส่งเพื่อสร้างประสิทธิภาพให้กับองค์กร AR เทคโนโลยีภาพสมจริงในรูปแบบสามมิติ โดยมีการจำลองให้เห็นในโลกความจริง เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการบริการคลังสินค้า ซึ่งมี 5 เรื่องควรรู้ก่อนนำมาใช้บริหารคลังสินค้า ดังนี้
1 ธุรกิจคุณพร้อมแล้วหรือยัง โดยควรให้ผู้พัฒนาซอฟแวร์หรือผู้เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ AR กับพนักงานที่เกี่ยวข้อง
2 เลือกใช้ฟังก์ชั่นที่สอดคล้องกับความต้องการของคุณ เช่น การนำเสนอข้อมูลตัวหนังสือ การนำเสนอภาพ 3D เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจน
3 AR ช่วยประหยัดเวลาในการบริหารคลังสินค้า ยกตัวอย่าง การนำแว่นอัจฉริยะและเทคโนโลยี AR มาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้า ทำให้พนักงานสามารถเห็นรายชื่อเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พนักงานจะรู้ตำแหน่งของสินค้าในคลังเก็บด้วยความรวดเร็ว
4 อุปกรณ์รองรับจะต้องพร้อมใช้งาน อย่างแว่นอัจฉริยะใช้งานคู่กับเทคโนโลยี AR
5 สร้างความเข้าใจให้กับพนักงานหรือยัง เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามเพื่อสร้างความเข้าใจในการใช้งาน ด้วยเหตุผลว่าเทคโนโลยีสามมิติที่จำลองให้เห็นในสภาพแวดล้อมจริงยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน
5 ข้อควรรู้เหล่านี้คือเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ควรรู้ เพราะ AR เป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดมาจาก VR หรือภาพเสมือนจริง เพื่อประโยชน์จากการใช้งานอย่างสูงสุด ผู้ประกอบการจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการทำงานให้ชัดเจนก่อนนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ 

ที่มา : https://www.greatitude.live/digital-tech/ar-vr/5-%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3/

Tags : AR,โลจิสติกส์

8
5 เมนูเครื่องดื่ม อร่อยติดดาวจากเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ร้านกาแฟของคุณต้องมี
นอกเหนือไปจากรสชาติและกลิ่นหอมอบอวลของกาแฟที่เป็นตัวดึงดูดให้คนเลือกเป็นลูกค้าประจำของร้านกาแฟเราแล้ว ความหลากหลายของเมนูเครื่องดื่มก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมนูเครื่องดื่มติดดาวจากเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่จะขาดไปไม่ได้เลยในร้านกาแฟของคุณ
1 เอสเพรสโซ่
เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ก็ต้องใช้สำหรับชงกาแฟเอสเพรสโซ่ถึงจะถูกต้องที่สุด เขาว่ากันว่าถ้าจะเปรียบเทียบว่าร้านกาแฟร้านไหนที่ชงกาแฟอร่อยต้องดูที่เมนูเอสเพรสโซ่นี้เลยก็ว่าได้ เพราะกาแฟเอสเพรสโซ่บ่งบอกถึงรสชาติและกลิ่นของกาแฟที่ชงสดและต้องดื่มให้หมดภายในเวลาไม่กี่นาทีในขณะที่ยังร้อนอยู่ เพื่อให้ได้เข้าถึงรสชาติความเข้มข้นของกาแฟที่ติดที่ปลายลิ้นและลำคอ
2 อเมริกาโน่
อเมริกาโน่เป็นเครื่องดื่มที่เป็นกาแฟดำแบบไม่ผสมนม น้ำตาล หรือครีมเทียม แต่มีการผสมน้ำร้อนเพื่อให้เจือจางไม่เข้มข้นเหมือนกับเอสเพรสโซ่ที่หลายคนบอกว่าดื่มยาก ต้องเป็นคอกาแฟจริง ๆ เท่านั้นถึงจะดื่มเอสเพรสโซ่แบบเข้าถึงได้ เมนูอเมริกาโน่จึงเป็นทางเลือกของคนที่อยากลิ้มลองรสชาติและกลิ่นของกาแฟชงสดแท้ ๆ ในอีกรูปแบบหนึ่งและในเมืองร้อนแบบไทยเราการมีเมนูอเมริกาโน่เย็นไว้บริการลูกค้าให้ชื่นใจดับร้อนด้วยก็ยิ่งทำให้ร้านกาแฟของคุณนั้นไม่ขาดเมนูสำคัญไป
3 คาปูชิโน่
สำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟดำหรือกาแฟที่มีรสเข้มข้นเกินไปก็นิยมสั่งเมนูกาแฟผสมนม ซึ่งถ้าต้องการให้เข้มหน่อยก็ต้องเป็นคาปูชิโน่ที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น โดยจะเลือกเติมน้ำตาลให้มีรสหวานมากน้อยแค่ไหนก็เอาตามที่รสชาติที่แต่ละคนชอบ คาปูชิโน่เป็นกาแฟที่ให้ความหอมและหวานมัน ดื่มแล้วทำให้มีพลังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทีเดียว
4 ลาเต้
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟแต่ไม่ต้องการคาเฟอีนที่มากเกินไป ก็สามารถเลือกดื่มกาแฟลาเต้ที่มีส่วนผสมที่เป็นนมสดมากที่สุดในทุกชนิดของกาแฟนี้ได้ โดยมีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็นเช่นกัน ดื่มแล้วจะได้กลิ่นและรสชาติของกาแฟแบบเบา ๆ พร้อมกับความหวานมันของนมสด ที่รวมแล้วให้ความรู้สึกว่ากาแฟแก้วนั้นไม่ได้รุนแรงเกินไป
5 มอคค่า
เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่สามารถใช้เพื่อชงเครื่องดื่มชนิดอื่นที่มีกาแฟเอสเพรสโซ่เป็นส่วนผสมได้ด้วยซึ่งก็คือเมนูมอคค่านั่นเอง สำหรับคนที่ต้องการเครื่องดื่มผสมแบบลูกครึ่งก็เลือกสั่งเมนูมอคค่านี้ได้ มอคค่ามีส่วนผสมของกาแฟเอสเพรสโซ่ โกโก้ และนมข้นหวาน ดื่มแล้วจะได้รสชาติที่กลมกล่อม ขมนิด หวานหน่อย และหอมมัน
เมนูเครื่องดื่มจะมีมากกว่าก็ไม่ว่า แต่ร้านกาแฟร้านไหนที่ไม่มี 5 เมนูนี้ต้องถือว่าผิดอย่างแรง อย่าปล่อยให้เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ของคุณต้องเสียโอกาสในการชงเมนูเครื่องดื่มติดดาวที่ลูกค้าส่วนใหญ่สั่งเป็นประจำนี้ไป และที่สำคัญก็คือต้องใส่ใจในการชงเมนูเหล่านี้แก้วต่อแก้วเพื่อให้ลูกค้ารับรู้ได้ถึงรสชาติและกลิ่นหอมที่ร้านกาแฟของเราตั้งใจทำให้กับลูกค้าทุกคนมากที่สุดด้วย

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/business/5-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%95%e0%b8%b4/

Tags : กาแฟ,เครื่องดื่ม,ธุรกิจ

9
Marker based กับ Location based ของ AR แบบไหนที่เหมาะกับงานของคุณ?
AR หรือ Augmented Reality เป็นเทคโนโลยีที่นำวัตถุเสมือนจริง 3 มิติมาผสมผสานกับโลกความจริงจริงมีข้อดีกว่า VR หรือ Virtual reality ซึ่งนำเสนอเพียงภาพเสมือนจริงเท่านั้น เป็นการซ้อนทับสองภาพไว้ด้วยกันทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุ 3 มิติเป็นภาพเดียวกันกับสภาพแวดล้อมจริง แต่เพราะ AR มีหลายประเภทจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า Marker based กับ Location based แบบไหนเหมาะกับงานของคุณ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว บทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น
Marker Based 
เหมาะกับงานประชาสัมพันธ์ผ่านโบรชัวร์มีข้อดีคือช่วยให้คนจดจำแบรนด์คุณได้ Marker based  เป็น AR ชนิดหนึ่งที่มาในรูปแบบของเครื่องหมายหรือสัญลักษณะต่าง ๆ เหมาะกับงานที่ต้องการนำเสนอใบปลิว โบรชัวร์ที่มีความทันสมัย เพราะเมื่อนำมาสแกนด้วยกล้องจากสมาร์ทโฟนแล้วจะมีภาพ 3 มิติ ให้เห็นช่วยเพิ่มความสนใจให้สินค้าและเป็นที่จดจำของผู้ใช้บริการ
Location Based
เหมาะกับงานให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลของสถานที่ต่าง ๆ การบอกพิกัดและใช้เป็นสื่อโฆษณาใน Social Network สำหรับ AR ชนิดนี้ข้อดีคือสามารถดูภาพ 3 มิติได้โดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน แต่เป็นการใช้งานควบคู่กับ GPS บอกตำแหน่งของวัตถุ
หากต้องการให้งานของคุณได้รับความสนใจจึงต้องเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือทันสมัยอื่น ๆ ด้วยนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือทั่วไป ด้วยคุณสมบัติของ AR Augmented Reality ทั้ง 2 ชนิด ดังกล่าวนี้จึงถือว่าเป็นตัวช่วยให้งานของคุณมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เป็นการสร้างจุดเด่น สร้างแรงดึงดูดให้ผู้ใช้งานสนใจในคอนเทนต์ที่นำเสนอและเพิ่มโอกาสให้งานของคุณประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ต้องอาศัยความทันสมัยเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความสนใจสินค้าหรือบริการ
และหากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ AR หรือ Augmented Reality เพิ่มเติมสำหรับธุรกิจของคุณ ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ LINE ID : @thefotodio

เครดิต : https://www.greatitude.live/digital-tech/ar-vr/marker-based-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-location-based-%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-ar-%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b9%84%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1/

Tags : AR,Marker,Locattion

10
Customer experience innovation พัฒนาประสบการณ์ลูกค้า เพื่อพัฒนาธุรกิจ
ทำไมใครต่อใคร ก็พูดถึงการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า? อะไรคือประสบการณ์ และประสบการณ์หน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมยคุนี้จึงแต่คนพูดถึงคำๆ นี้บ่อยมาก
นั่นก็เพราะในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมากในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม การพยายามสร้างความแตกต่างหรือผลิตสินค้าใหม่ สุดท้ายจะพบว่ามีคนเลียนแบบอย่างรวดเร็ว แล้วก็กลับมาแข่งขันกันอย่างหนักหน่วงเหมือนเดิม ฉะนั้นไม่ว่าจะผลิตอะไรออกมามันก็จะไม่ค่อยแตกต่างสักเท่าไหร่ สิ่งที่จะทำให้ต่างได้จริงๆ คือ ประสบการณ์ที่ลูกค้าเคยได้รับบริการ สิ่งนี้ต่างหากที่เลียนแบบกันไม่ได้
ทำไม Customer experience ถึงสำคัญมาก

  • แบรนด์ที่สามารถสร้าง Customer experience ได้ดีจะเป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นอย่างชัดเจน
  • ลูกกค้าเชื่อถือเพราะได้ทดลองสินค้า มีความมั่นใจในสินค้าและบริการ
  • ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่าเพื่อได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า
  • ที่สำคัญ จะมีลูกค้ากลุ่มที่จงรักภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะใช้สินค้าจนรักในแบรนด์
  • และถ้าได้จงรักภักดีต่อแบรนด์แล้วโอกาสเปลี่ยนไปหาคู่แข่งจะน้อยมากเพราะสิ่งที่ยึดลูกค้ากลุ่มนี้อยู่คือ บริการ
วิธีการพัฒนา Customer experience
Multi experience development เป็นการผสมผสานรูปแบบนริการอย่างแข็งแกร่งโดยใช้ IT เข้ามาพัฒนาทุกแพลทฟอร์มที่เรามี มีช่องทางการจำหน่ายที่ยืดหยุ่น มีการร่วมมือกับหลายฝ่ายเพื่อพัฒนาแพลทฟอร์ม
Hyper personalization เป็นการนำข้อมูลแบบ Real time มาใช้ไม่ได้รอแต่เก็บประวัติเพียงอย่างเดียว ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นสถานการณ์รอบตัว หรือเคสของธุรกิจอื่นแต่นำมาวิเคราะห์แล้วปรับใช้กับธุรกิจเรา
AI assistance ใช้ Chatbot เข้ามาดูแลตอบคำถามลูกค้าในเบื้องต้น อย่าให้ลูกค้ารอนาน แต่ก็อย่าเสียเวลาทั้งหมดไปกับการตอบคำถามพื้นฐานที่มักเจอซ้ำๆ วิธีการที่ดีกว่าคือพัฒนา Chatbot เข้ามาช่วยทำงาน
 
 

เครดิต : https://www.greatitude.live/business/branding-marketing/customer-experience-innovation-%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%aa%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81/

Tags : ลูกค้า,ธุรกิจ,แบรนด์

11
3 เรื่องต้องรู้! Augment Reality สำคัญต่อวงการแพทย์อย่างไร
หากติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการประยุกต์ใช้กับวงการอุตสาหกรรมการสร้างเครื่องบิน การผลิตรถยนต์ รวมถึงวงการแพทย์ด้วย Augment Reality หรือ AR เป็นเทคโนโลยีการจำลองภาพสามมิติซ้อนทับโลกความเป็นจริงที่ได้วงการแพทย์ได้นำมา ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาวงการแพทย์ด้วยเช่นกัน คำถามคือเป็นเรื่องใกล้ตัวเราหรือไม่และมีเรื่องใดบ้างที่ควรรู้ คำตอบเหล่านี้จะช่วยปลดล็อกข้อสงสัยให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่าง
1 ประยุกต์ใช้เป็นสื่อการสอนนักศึกษาแพทย์ เพราะ AR ช่วยเพิ่มความสมจริงในการรักษา มีการจำลอง ภาพ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาจาก VR หรือ Virtual Reality เทคโนโลยีภาพเสมือนจริง เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้เครื่องมือจริงในการผ่าตัดโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ Ganz ประเทศอังกฤษได้นำมาใช้ในการเรียนการสอนภาควิชาแพทย์ศาสตร์
2 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัดในตำแหน่งที่มีพื้นเล็ก ๆ เช่น กระดูกสันหลัง อวัยวะใต้ผิวหนัง โดยเป็น การทำงานควบคู่กับการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์   
3 ช่วยให้แพทย์ระบุตำแหน่งผ่าตัด 85% จึงถือว่าเป็นเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การรักษาผู้ป่วยเป็นไปอย่าง ราบรื่น
จะเห็นว่าเทคโนโลยี AR มีความสำคัญต่อวงการแพทย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเป็นเครื่องมือที่ทำให้แพทย์ทำการผ่าตัดและรักษาผู้ป่วยได้อย่างราบรื่น แต่ด้วยว่าเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้นำมาใช้ในวงการแพทย์ 100% ด้วยข้อจำกัดของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ปัจจุบัน AR จึงเป็นเพียงที่รับรู้กันโดยส่วนใหญ่เท่านั้นว่าเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามจาก VR  Virtual reality  การจำลองโลกเสมือนจริงและมีการนำมาใช้งานในวงการเกมเป็นส่วนใหญ่ เรื่องควรรู้เหล่านี้จึงถือว่าเป็นความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีกับวงการแพทย์ที่น่าสนใจ
หากผู้ประกอบการท่านใด สนใจเทคโนโลยี AR ก็สามารถติดต่อสอบถาม รายละเอียดต่างๆ เข้ามาได้ ที่ LINE OA : @thefotodio ยินดีให้คำปรึกษาฟรีครับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : หมอ

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.greatitude.live/digital-tech/3-%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89-ar-augment-reality-%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%95/

Tags : AR,แพทย์,หมอ

12
4 วิธีเพิ่มยอดขายในธุรกิจคุณด้วย Augmented Reality
Augmented Reality หรือ AR เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราได้เห็นภาพจำลองในรูปแบบ 3 มิติ ได้ในโลกความจริงซึ่งจะทำให้เราเห็นเป็นภาพซ้อนทับกัน มีความแตกต่างจาก VR (Virtual Reality) เทคโนโลยีภาพเสมือนจริงอยู่หลายด้านโดยเฉพาะหลักการทำงาน VR จะต้องใช้แว่นเป็นอุปกรณ์สำคัญเชื่อมต่อให้เราเห็นภาพในโลกเสมือนจริง ต่างจาก AR ที่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นเพียงมองผ่านจอสมาร์ทโฟนที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชัน  หากเราได้นำเทคโนโลยี AR มาใช้ในงานด้านธุรกิจ AR จะช่วยให้ธุรกิจนั้นประหยัดค่างบประมาณในด้านการตลาดมากกว่า ไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ก็ได้ ข้อดีคือทำให้เกิดการเติบโตของยอดขายได้เป็นอย่างมากหลายเท่าตัวเลยทีเดียวอย่างการใช้ 4 วิธีนี้ในการเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ
1 ใช้ AR เป็นผู้ช่วยในการจัดวางสินค้า
การเพิ่มยอดขายให้ได้ตามเป้านั้น การจัดวางสินค้าถือว่ามีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก เราสามารถนำเทคโนโลยี AR มาช่วยจัดวางสินค้าโดยใช้ภาพจำลองเพื่อเปรียบเทียบตำแหน่งในการจัดวางสินค้าให้ดูมีความน่าสนใจได้ง่ายขึ้น เพราะหากจัดร้านสวยคนก็เข้ามาชมสินค้ามาก ทำให้เกิดการขายได้มากตามด้วย
2 ออกแบบร้านให้โดนใจลูกค้าด้วย Augmented Reality
ธุรกิจใดที่มีหน้าร้าน สิ่งสำคัญคือการสร้างบรรยากาศของร้านให้น่าสนใจ ก่อนออกแบบคุณสามารถใช้ AR  จำลองการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งร้านได้เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน AR มาใช้งาน
3 ให้ข้อมูลสินค้าด้วยเทคโนโลยี AR
ใช้ AR เป็นสื่อในการบอกข้อมูลสินค้าทั้งขนาด สี และคุณสมบัติ ทำให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายและเร็วขึ้น
4 เพิ่มยอดขายโดยภาพจำลอง 3 มิติ จากเทคโนโลยี AR
ใช้เทคโนโลยี AR เป็นภาพจำลองให้ลูกค้าเห็น เช่น เปิดร้านขายเสื้อผ้า ลูกค้าสามารถเลือกชุดมาลองได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนหรือลองชุดจริง AR จะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพได้เลยทันทีจากหน้าจอ
 4 วิธีเหล่านี้เป็นวิธีเพิ่มยอดขายโดยการใช้ AR หากกำลังวางแผนพัฒนาการตลาด บอกเลยว่าผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เป็นเครื่องมือการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายได้อีกระดับอย่างแน่นอน

เครดิต : https://www.greatitude.live/digital-tech/4-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4/

Tags : AR,ธุรกิจ

13
จะรู้ได้อย่างไรว่าเราทำคอนเทนต์มาถูกทางแล้ว กับ 3 ตัวชี้วัดความสำเร็จของคอนเทนต์
การทำงานในบริษัทย่อมมี KPIs ใช้วัดผล การทำการตลาดออนไลน์ก็เช่นกัน การตลาดออนไลน์มักขับเคลื่อนด้วยคอนเทนต์ ซึ่งเหมารวมทั้ง เนื้อหาบทความ รูปภาพ คลิปวีดีโอ และแบนเนอร์ต่างๆ ถ้าหากอยากรู้ว่าเราทำคอนเทนต์มาถูกทางแล้วหรือไม่ สามารถวัดด้วยค่า KPIs ดังต่อไปนี้
1. Traffic จำนวนคนเข้าเว็บไซต์หรือเพจ
เป็นอย่างแรกที่จะวัดดูว่าคนเข้าเว็บไซต์แต่ละวันมีกี่คน ซึ่งการวัด Traffic มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นจากการ Search engine โดยตรง, การพิมพ์ชื่อ URL ของเว็บไซต์เข้ามา, การดูเว็บอื่นแล้วผ่านเข้ามา, ไปจนถึงการเข้ามาผ่าน Ads. โฆษณา เป็นต้น
2. Time spend on website เข้ามาแล้วอยู่ในเว็บไซต์นานเท่าไหร่
วัดจำนวนคนอ่านไม่พอ ต้องวัดด้วยว่าคนเหล่านั้นใช้เวลาอยู่ในเว็บของเรากี่นาทีก่อนจะเลื่อนไปหน้าอื่น ถ้าคนใช้เวลาอยู่ในเว็บของเรานานย่อมหมายความว่า เค้าอ่านบทความจริง เลือกชมสินค้าจริง ซึ่งหมายความว่าคอนเทนต์ในเว็บของเรามีประโยชน์นั่นเอง นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google search แบบออร์แกนิคได้สูงด้วย
3. Conversion rate (วัดเป็น %)
Conversion rate เป็นคำที่หาคำอธิบายได้ยาก เนื่องจากจะหมายถึง ยอด Leads, ยอด Order, หรือ ยอด sign in ก็ได้ ซึ่งจะมีการวัดเป็น % เทียบกับจำนวนคนคลิกทั้งหมด เช่น มีผู้เข้าชมจากหน้าขายสินค้า Landing page 100 คน และมีคนลงทะเบียน 10 คน อัตรา Conversion Rate จะอยู่ที่ 100/10 ผลลัพธ์คือ 10% หรือถ้าหากคุณขายสินค้าผ่าน Ads Facebook 1000 คน มีคนขอรายละเอียดเพิ่มเติม 100 คน อัตรา Conversion Rate จะอยู่ที่ 100/10 หรือ 10% เช่นกัน
ทั้ง 3 ตัวชี้วัดนี้ เป็นเพียงตัวชี้วัดเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งยังคงไม่ใช่ทั้งหมด
ซึ่งถ้าคุณยังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นบริหารจัดการการตลาดของคุณอย่างไรดี 3 ตัวชี้วัดนี้ ก็จะเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว

เครดิต : https://www.greatitude.live/business/branding-marketing/%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89-%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b8%a3/

Tags : แบรนด์,ธุรกิจ

14
ดื่มน้ำแบบไหน ช่วยให้ผิวสวยใสสุขภาพดี
น้ำองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เป็นรากฐานของการหายใจ และการแลกเปลี่ยนก๊าซ ตลอดจนการสันดาปอาหารของมนุษย์ เพราะร่างกายของมนุษย์นั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญมากถึง 3 ใน 4 ส่วนของน้ำหนักร่างกาย เป็นค์องค์ประกอบของเลือด น้ำเหลือง น้ำดี น้ำย่อย ไขกระดูก น้ำลาย และสารหล่อลื่นภายในร่างกาย น้ำจึงมีความสำคัญมากกว่าแค่การดื่มเพื่อดับกระหาย เพราะมันนั้นเป็นดั่งวัตถุดิบสำคัญ ที่จะคอยหล่อเลี้ยงร่างกายของพวกเราให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นั่นเอง
ในธรรมชาตินั้น น้ำไม่มีวันหมดไป เพราะน้ำมีวัฏจักรการเกิดการตายที่วนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ เนื่องจากมีชั้นบรรยายกาศของโลกคอยห่อหุ้มเอาไว้ เมื่อน้ำในแม่น้ำลำคลองได้รับความร้อน จนระเหยกลายเป็นไอน้ำ มันจะไปจับกลุ่มรวมกันเป็นก้อนเมฆขนาดใหญ่ พอหยดน้ำรวมตัวกันมากเข้า เมื่อกระทบกับความเย็นในอากาศ จะจะค่อยๆ กลั่นตัวเป็นหยดน้ำตกมาเป็นเป็นน้ำฝนให้พื้นดินได้เย็นชุ่มชุ่มอีกครั้ง
จะว่าเป็นได้ กระบวนการของการเกิดฝนนั้น ก็จะสามารถช่วยกรองสิ่งสกปรกที่เราชำระล้างร่างกายด้วยน้ำให้สะอาดมากขึ้น เพราะเมื่อน้ำระเหยกลายเป็นไอ มันจะระเหยขึ้นเป็นเฉพาะโมเลกุลของไฮโดรเจน และออกซิเจน หรือ H20 โดยไม่นำสิ่งปฏิกูลต่างๆ ติดลงไปด้วย คนสมัยก่อนจึงนิยมรองน้ำฝนเอาไว้ดื่มกิน เพราะเป็นของที่ได้มาฟรีๆ แถมยังดีต่อสุขภาพ ถ้าใครอยากได้น้ำที่เย็นหอมชื่นใจ ก็สามารถตักน้ำฝนใส่ตุ่ม แล้วลอยด้วยดอกมะลิได้เลย
อย่างไรก็ตาม โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก ในอากาศมีมลภาวะต่างๆ มากมาย ทั้งฝุ่น ควัน สารพิษ และ PM 2.5 การที่เราจะนำน้ำฝนที่รองได้ตามธรรมชาติมาใช้ดื่มกินเหมือนอย่างเช่นในอดีตนั้น มันไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ในทุกๆ วัน รถยนต์ก็จะปล่อยควันพิษออกมา ทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์
ในกรณ๊ที่เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งพอก๊าซทั้ง 2 ตัวนี้ลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วขับตัวกับไอน้ำ ก็จะแปรสภาพกลายเป็นกรดคาร์บอร์นิก ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การเผาพลาสติก และผลิตภัณฑ์จากโฟม ก็จะทำให้เกิดสาร CFC และก๊าซมีเทนหลุดขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศ เป็นสารพิษที่นอกจากจะกัดกร่อนชั้นบรรยายกาศโอโซนแล้ว ก็ยังเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต หากมันปนเปื้อนกับน้ำฝนได้อีกทางหนึ่งด้วย
จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้น้ำสะอาดนั้นหายาก และไม่สามารถหาได้ง่ายๆ จากแหล่งน้ำตามธรรมชาติอีกต่อไป ดังนั้นถ้าหากว่าคุณอยากจะดื่มน้ำสะอาดเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วล่ะก็ คงจำเป็นที่จะต้องหาตัวช่วยดีๆ อย่างเครื่องกรองน้ำที่มีคุณภาพมาใช้กรองทุกครั้งก่อนดื่มน้ำ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของคุณและคนในครอบครัวนั่นเอง

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/lifestyle/%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b9%84%e0%b8%ab%e0%b8%99-%e0%b8%8a%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%9c%e0%b8%b4/

Tags : สุขภาพ

15
จะทำอย่างไร เมื่อเป็นฝีและหนอง
เพราะมีสวยใสสุขภาพดี เป็นสิ่งที่ชายหญิงทุกคนฝ้าปรารถนา คงจะไม่ดีแน่ ถ้าผิวของคุณขรุขระไม่เรียบเนียน แค่เป็นสิวและผดผื่น ก็น่าจะเป็นปัญหากวนใจคุณมากพอดูอยู่แล้ว ถ้าหากเกิดเป็นฝีและหนองขึ้นมา งานนี้คงต้องปวดหัวและปวดใจมากมาย เพราะมันอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของรอยแผลเป็นและหลุมสิว ซึ่งจะตามหลอกหลอนในชีวิตคุณไปอีกนานหลายปี หรือจนกว่าคุณจะทุ่มเงินจำนวนมากไปทำเลเซอร์ราคาแพงกับคุณหมอ ที่อาจจะไม่สามารถการันตีว่าร่องรอยเหล่านั้นจะหายไปได้ทั้งหมดได้หรือไม่

จะทำอย่างไรถ้าเป็นฝีและหนอง

คนส่วนใหญ่เมื่อเป็นฝีและหนอง มือของคุณมักจะอยู่ไม่สุข คนส่วนใหญ่พยายามจะบีบ แกะ เกา หรือเค้นให้ฝีแดงหรือหนองไหลออกมา ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว มันเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการรักษาโรคเหล่านี้ เพียงแต่ว่า คุณอาจจะใช้วิธีในการนำฝีหนองออกไม่ถูกต้อง จนทำให้ผิวเกิดรอบช้ำและรอยดำตามมาได้ หลังจากที่กดฝีและหนองออกมาได้แล้ว หรืออย่างีที่สุด คือฝีแหนองออกมาได้ แต่แผลจะไม่สวย เมื่อฝีและหนองแห้ง อาจจะเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้ ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด หากเป็นสีหรือหนอง เราก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาให้ถูกต้องต่อไป

ถ้าเผลอกด บีบ เค้น ฝีและหนองไปแล้ว จะทำอย่างไร

แน่นอนว่าฝีและหนอง เวลาที่เป็นมันทรมาน มันไม่ได้มีอาการแค่รู้สึกตึงๆ ที่ผิวเท่านั้น แต่มันอาจจะมีอาการปวด ตึง หรือเจ็บจี๊ดๆ ที่บริเวณที่เป็นฝีและหนอง จนไม่มีสมาธิที่จะทำงานทำการใดๆ จึงอดไม่ได้ที่จะบีย กด เค้น ฝีและหนองให้แตกออกมา
เมื่อมันแตกออกมา ความแน่น ความตึง ความทรมานก็หมดไป แต่เราต้องเร่งรักษาแผลให้เรียบร้อย ก่อนที่มันจะกลายเป็นหลุมสิว หรือรอยแผลเป็น ซึ่งคุณสามารถทำได้ โดนการทานยาแก้อักเสบที่เภสัชกรจัดให้ จากนั้นใช้น้ำสะอาดล้างแผล พร้อมฟอกสบู่อ่อนๆ ให้สะอาด จากนั้นเช็ดน้ำเกลือเช็ดรอบๆ แผลให้เรียบร้อย อย่าใช้แอลกอฮอลล์เช็ดแผลโดยตรง เพราะจะทำให้ผิวไหม้ได้ จากนั้นปิดพลาสเตอร์เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกตกลงไปในแผล แต่ต้องเป็นพลาสเตอร์ที่สามารถระบายอากาศได้ดีด้วย แผลจะได้ไม่เน่า และเมื่อจะล้างแผล คุณก็สามารถทำขั้นตอนแบบเดิมซ้ำ เมื่อแผลตกสะเก็ด ให้ใช้ว่านหางจระเข้ทาบางๆ หรือทาด้วยยาลบรอยแผลเป็น จนกว่าแปลจะหายดี สลับกับการประคบด้วยน้ำเย็น หากมีอาการปวดตึง
และนี่ก็เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณควรทราบเมื่อเป็นฝีแลหนอง แต่ทางที่ดีที่สุด เราขอย้ำว่าคือการไปพบแพทย์ล่ะ

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/lifestyle/%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%82%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%87%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%86-%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89/

Tags : ฝี

16
รู้แล้วรุ่ง กับ 5 แนวทาง การทำการตลาด[/url]ออนไลน์ ปี 2021
Omni-Channel
ต้องมีทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์คู่กัน หรือที่แบรนด์ใหญ่ชอบเรียกกันว่า Omni-Channel โดยที่สองช่องทางนี้ต้องสัมพันธ์กัน เช่น ทำให้ลูกค้ารับรู้ข่าวสารทางออนไลน์ แต่ถ้าอยากทดลองใช้ก็สามารถทำได้โดยการมาลองที่หน้าร้านออฟไลน์
ทำคอนเทนต์คุณภาพ
หันมาให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์มากยิ่งขึ้น ทำคอนเทนต์เยอะไม่สำคัญเท่าคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ข้อมูลถูกต้อง จริงใจ ไม่ปลอม เท่านี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
อย่าพลาดเรียนรู้ Channel ใหม่
ถึงแม้ปัจจุบันเฟสบุ๊คจะเป็นสื่อโซเลียลอันดับ 1 ที่คนไทยใช้งานเยอะมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแพลทฟอร์มใหม่เกิดขึ้นทุกวัน นอกจาก IG, Twitter, YouTube แล้ว ปัจจุบันยังมี Tiktok แพลทฟอร์มใหม่ขวัญใจ Gen Z ที่ไม่ควรพลาด
Customer Insight
เทรนด์ปีนี้แบรนด์ใหญ่ให้ความสำคัญกับ Data กันมาก และจะมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเท่าทวีคูณ เพราะมันเป็นข้อมูลการซื้อจริงๆ ถ้าหากแบรนด์ไหนเก็บข้อมูลลูกค้ามาตลอดจะสังเกตเห็น สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อย, อะไรที่ลูกค้ามักถามถึง, Ads.ใดที่ทำให้ยอดขายเพิ่มมากที่สุด ลูกค้าซื้อช่วงเช้าหรือเย็นมากกว่ากัน ฯลฯ
Data Analytics
ถ้าพูดถึง data analytic ในยุคที่ผ่านมาคงเป็นเรื่องยากที่แบรนด์เล็กแบรนด์น้อยจะสามารถเข้าถึง Big-Data ขนาดนั้นได้ แต่ต่อจากปี 2020 นี้ data จะถูกพูดถึงเยอะขึ้น มีความจำเป็นมากขึ้น และไม่อาจมองข้ามได้เลย ถ้าหากแบรนด์ใดยังห่างไกลจากข้อมูลสำคัญก็จำเป็นต้องเริ่มต้นเก็บข้อมูลด้วยตัวเองได้แล้ว
ถึงเวลาปรับตัวกันแล้ว ถึงจะเป็นวันนี้ ก็ยังไม่สาย แต่ถ้าไม่ปรับตัวกันตั้งแต่วันนี้ รู้ตัวอีกที ธุรกิจของคุณอาจจะหายไปอย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.greatitude.live/business/branding-marketing/%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%87-5-%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%97/

Tags : การตลาด,ออนไลน์,ธุรกิจ

17
ผดผื่น เรื่องเล็กที่อาจกวนใจใครหลายๆ คน
บางทีปัญหาผิวที่รบกวนจิตใจของคุณอยู่ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่ถ้ามองดูดีๆ แล้ว คนที่ไม่ได้มีปัญหาผิว คงไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนๆ หนึ่ง แต่ถ้าต้องมาเจอกับมันบ่อยๆ เจอกับมันทุกๆ วัน ก็น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ได้เหมือนกันนะ
จริงๆ แล้วผดผื่นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ โดยมักจะพบบริเวณจุดข้อพับแขน ขา คอ รักแร้ เอว ใต้ราวนมที่เสียดสี เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากเป็นพิเศษทำให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน และยิ่งเมื่อรูขุมขนของเราที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อถูกทำให้เกิดการระคายเคืองก็จะเกิดเป็นตุ่มเม็ดเล็กสีแดงเป็นแนวยาว โดยการเกิดผดผื่นธรรมดานั้นมีลักษณะคล้ายๆ อาการทั้ง ลมพิษ การแพ้เครื่องสำอาง หรือแพ้ยา เราจึงมีเกร็ดวิธีสังเกตเบื้องต้นเพื่อรักษาอาการได้อย่างถูกวิธี
โดยลักษณะของผดผื่นนั้น มีดังต่อไปนี้
1.ผื่นลมพิษ จะมีอาการเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มใส และอาการคัน เช่นเดียวกับผดผื่นธรรมดา แต่จะรู้สึกร้อนบริเวณตุ่มเหล่านี้และขนาดจะเพิ่มและขยายหนาขึ้น
2.ผื่นแพ้จากเครื่องสำอางหรือสารเคมี เราจะสังเกตได้จากหลังใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะเกิดอาการผื่นแดงคันขึ้นบริเวณนั้น ในเวลาไม่นานและจะแสดงฤทธิ์อาการนานเป็นวันหรือสัปดาห์
3.ผื่นจากแพ้ยา เกิดผื่นแดงหรือตุ่มใสๆ รวมทั้งขุ่นๆ ในบางราย โดยเมื่อมีอาการจะแห่ขึ้นทั้งตัวเหมือนหัดและมีอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายน้ำร้อนลวก
หากเป็นผื่นแพ้แล้ว เราก็มีวิธีป้องกันเบื้องต้น ที่ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
1.ทำร่างกายให้เหงื่อออกน้อยที่สุดจะอาบน้ำบ่อยขึ้นหรือหาผ้าสะอาดชุบน้ำซับเบาๆ บริเวณที่เหงื่อออก
2.หลีกเลี่ยงอาการร้อนอบอ้าวอยู่ในที่ลมสามารถโกรก
3.ควรเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อยางเบาและไม่รัดจนฟิตเสียดสีผิวหนังเพื่อลดความเสี่ยงอีกด้วย
4.งดใส่สร้อยหรือเครื่องประดับที่รัดจนก่อให้เกิดการอับของผิวหนัง
5.ดูแลสุขภาพเล็บ ควรตัดให้สั้นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเผลอเรอเกาเนื่องจากคัดบริเวณที่ระคายเคือง
เมื่อสาเหตุของการแพ้หมดไป ผดผืนก็จะหายไปในระยะเวลาไม่นาน แต่ถ้ายังมีอาการอยู่หรือต้องการบรรเทาอาการคัน เราสามารถใช้สมนุไพรรักษาด้วยตัวเองง่ายๆ ด้วยการใช้ แตงกวา มะนาว ขมิ้นชัน ว่านหางจระเข้ ใบและเปลือก สะเดา กล้วย เบคกิ้งโซดา และ ฟ้าทะลายโจร อย่างใดอย่างนึงมาบดแล้วผสมน้ำ จากนั้นนำมาทาหรือประคบบริเวณที่เป็นผื่นแพ้ ก็จะสามารถลดการลามของผดผื่นได้

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/lifestyle/%e0%b8%9c%e0%b8%94%e0%b8%9c%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b9%86-%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b8%97/

Tags : ผื่น,คัน,ผิว

18
IoTs พัฒนาไปไกลกว่าที่คิด ทำให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นมากกว่าที่เคยจินตนาการ
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน คำว่า Internet of things อาจเป็นคำที่หลายคนยัง งงๆ แม้คนที่เรียนการตลาดมาโดยตรงก็ยังอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเจ้า IoTs นั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ในวันนี้เชื่อว่าหลายคนจะเข้าใจกันมากขึ้นจากการได้ใช้งานจริงโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป

  • IoTs (Internet of things) ก่อนจะมาเป็นคำนี้มันเคยเป็นคำว่า Machine to Machine ซึ่งหมายถึง เครื่องมือสู่เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่สามารถสื่อสารกันเองได้ เช่น มือถือ-รถยนต์, หลอดไฟ-ประตู, ทีวี-โน๊ตบุ๊ค
  • สามารถเชื่อมต่อผ่าน device หลายประเภท เช่น Cencer, Bluetooth และที่สำคัญต้องมีอินเตอร์เน็ตเป็นตัวเชื่อม
  • ตัวอย่าง IoTs ที่เราคุ้นเคยเช่น ใช้มือถือแทนรีโมทคอนโทรล ควบคุมการเปิด-ปิดไฟ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ
  • ตัวอย่าง IoTs ที่กำลังพัฒนา รถยนต์ไร้คนขับ โดยรถจะมีการติดเซ็นเซอร์รอบคัน ทำการตรวจจับสิ่งแวดล้อม สิ่งกีดขวาง สภาพท้องถนน ทำให้รถขับเคลื่อนไปได้โดยที่เราไม่ต้องขับเอง
  • ส่วนอนาคตเราอาจเห็น IoTs หลายอย่างที่ทำงานได้โดยไม่ต้องออกคำสั่งอะไรเลย เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจะสามารถทำงานให้เราได้ทุกอย่าง เช่น มีกล้องตรวจจับไปที่เตียงนอน เมื่อเราตื่นแล้วลุกจากเตียงกล้องจะส่งสัญญาณมาที่เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ทำให้เราได้กินกาแฟทันทีหลังจากตื่นนอน อย่างนี้เป็นต้น



IoTs ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหลายอย่างในอดีตเราก็เคยมองว่ามันไม่น่าจะเป็นจริงได้ แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างก็สามารถทำได้จริง ฉะนั้นแนวทางรถยนต์ไร้คนขับ หรือเครื่องใช้ในบ้านทำงานอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องออกคำสั่งก็ย่อมเป็นไปได้ IoTs อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดเพียงแต่อาจจะยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
ส่วนตัวแล้ว ผมมักจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกค้าเสมอว่า เทคโนโลยี ไม่เคยเป็นเรื่องที่ยาก ซึ่งที่ยาก คือการนำเทคโนโลยีนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ธุรกิจ

ขอบคุณบทความจาก : https://www.greatitude.live/digital-tech/%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad-iots-%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b9%84%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b5/

Tags : ธุรกิจ

หน้า: [1] 2