แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - parple1199

หน้า: [1] 2
1

ขายประโยชน์ผลดี กระชายดำ

  • ขายกระชายดำให้คุณค่าทางโภชนาการ
  • ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง แล้วก็ยาบางจำพวก


ครีมทาผิวกระชายดำที่เป็นส่วนประกอบของสารสกัดกระชายดำ ความเข้มข้น 7% w/w และ eucalyptus oil 1.5% w/w
กระชายดำนำมาปั่น แล้วคั้นเอาน้ำ หรือ นำหัวกระชายดำมาต้มเอาน้ำ ก่อนใช้เป็นส่วนผสมของแซมพู และสบู่

  • ขายกระชายดำเป็นพืชสมุนไพรประจำเผ่าม้งในแถบจังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งเลย ซึ่งนิยมพกติดตัวเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเดินทางเข้าป่า ด้วยเหตุว่าเชื่อกันว่า กระชายดำจะช่วยไล่ส่ง และป้องกันผี และอันตรายต่างๆรวมถึงช่วยให้ผู้เดินป่ามีความทรหดอดทน และกำลังวังชามาก

    ขายสรรพคุณกระชายดำ
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ใจสั่น
    - ขายส่งกระชายดำ สรรพคุณแก้ลมหน้ามืด แน่นหน้าอก
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณแก้แผลในปาก
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณรักษาโรคความดันโลหิตสูง
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยบำรุงรักษาหัวใจ และขยายเส้นเลือดหัวใจ
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น
    - ขายส่งกระชายดำ[/url] สรรพคุณช่วยกระตุ้นประสาท ทำให้ชุ่มชื่น
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยขับเลือดเมนส์ ช่วยปรับประจำเดือนให้มาปกติ
    - ขายส่งกระชายดำ สรรพคุณใช้เป็นยาในสตรีหลังคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
    - เเคปซูลกระชายดำ สรรพคุณช่วยกระตุ้นให้น้ำนมของแม่หลังคลอด
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยขับลม
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณแก้โรคกระเพาะอาหาร
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณแก้ฝีอักเสบ ช่วยรักษาบาดแผล
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณรักษากลากเกลื้อน
    - รับผลิตกระชายดำ สรรพคุณแก้บิดมูกเลือด
    - น้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีคุณสมบัติแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ลดลักษณะของการปวดท้อง ท้องร่วง
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณแก้ซางตาลขโมยในเด็ก
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยฟื้นฟูอาการกามตายด้าน แล้วก็บำรุงกำหนัด
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณใช้รักษาโรคโรคเบาหวาน ด้วยเหตุว่ามีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยลดลักษณะของการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณแก้ปวดหลัง ปวดเอว
    - ขายส่งกระชายดำ สรรพคุณแก้เจ็บท้องมาน
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณบรรเทาอาการท้องร่วง
    - ขายส่งกระชายดำ สรรพคุณรักษาโรคบิด
    - รับผลิตกระชายดำ[/b] สรรพคุณแก้ท้องขึ้น ท้องอืด
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
    - ขายส่งกระชายดำ สรรพคุณรักษาโรคริดสีดวงทวาร
    - ขายกระชายดำ สรรพคุณช่วยบรรเทาโรคเก๊าต์
    - น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ที่ได้จากส่วนต่างๆของกระชายดำมีคุณลักษณะช่วยขับลม แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง
    สารสำคัญหลายประเภทในยางที่ได้จากเปลือกหรือเหง้า ประกอบด้วยสารที่มีรสฝาด ชื่อ Carboxyacidphanole มีฤทธิ์ช่วยสำหรับการขับถ่าย ช่วยขับเยี่ยว และก็รักษาไข้
    ส่วนประกอบ
    กระชายดำ
    ขายกระชายดำ ขายส่งกระชายดำ จำหน่ายกระชายดำ
    แคปซูลกระชายดำ รับผลิตกระชายดำ

    ขายกระชายดำ
    เป็นยาอายุวัฒนะที่ได้รับความนิยมกว้างขวางทั้งยังผู้บริโภครวมทั้งในแวดวงแพทย์แผนไทย ได้เป็นประโยชน์ดังนี้บำรุงหัวใจ ชูกำลัง ขยายเส้นโลหิตในหัวใจ แก้ปวดมวลท้อง ขับปัสวะ ลดลักษณะของการปวดเมื่อย เพิ่มฮอร์โมนให้แก่ผู้ชายเพิ่มสมรรถนะทางเพศให้แก่ท่านชายได้เป็นอย่างดีเหมาะกับผู้ชายที่ต้องการอยากกลับมาเป็นหนุ่มอีกทีขายส่งกระชายดำ มีสรรพคุณ บำรุงร่างกาย ชูกำลังแก้จุกเสียด แก้เจ็บท้อง ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวขายกระชายดำ
    ในผู้ชาย กระชายดำช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศ เพิ่มสมรรถภาพ
    ทางเพศ ช่วยทำให้อวัยวะแข็งตัวนานขึ้น แล้วก็ในเพศหญิง
    รับผลิตกระชายดำช่วยรักษาอาการมดลูกทุพพลภาพ มดลูกหย่อน
    ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศ ยิ่งกว่านั้นกระชายดำยังช่วยกระตุ้น
    ระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับได้ดิบได้ดีขึ้น แก้โรคบิด ขับปัสสาวะ
    และช่วยรักษาอาการขัดเบา ช่วยขับพิษภายในร่างกาย แล้วก็ยังช่วย
    รักษาโรคเกี่ยวกับท้อง เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
    ในไส้ได้
    สมุนไพรอื่นๆ
    สรรพคุณมะขามแขก
    มะขามแขก มีสรรพคุณที่สะดุดตาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้เป็นยาถ่าย เหมาะสำหรับคนวัยชรา คนที่มีกำลังน้อย เด็ก ผู้ที่เป็นริดสีดวง หรือคนที่มีปัญหาท้องผูกอยู่เป็นประจำด้วยเหตุว่ามีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinones) ที่มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ให้ถ่ายท้องได้ โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรตัวอย่างเช่น ส่วนของใบแห้งและฝักแห้งที่มีอายุในตอน 1 เดือนครึ่ง (หรือช่วงก่อนมีดอก) แต่ว่าควรจะใช้เป็นบางครั้งบางคราวแค่นั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
    ตำรายาไทย: เป็นยาระบายท้อง แก้ท้องผูก ขับลมในไส้ ทำให้อ้วก ถ่ายพิษอุจจาระเป็นมูก ถ่ายน้ำเหลือง ถ่ายพิษไข้ ถ่ายโรคผู้ชาย ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวงทวาร ใบทำให้ไซ้ท้องมากยิ่งกว่าฝัก ควรใช้ร่วมกับตัวยาขับลม ดังเช่นกระวาน หรือกานพลู ฯลฯ เหมาะสมกับคนที่กำลังน้อย หรือเด็ก รวมทั้งคนที่เป็นริดสีดวงทวาร
    o ใบมะขามแขกช่วยให้อ้วก (ใบ)
    o ช่วยถ่ายพิษไข้ (ใบ, ฝัก)ลักษณะมะขามแขก
    o ช่วยถ่ายพิษเสลด (ใบ)
    o ช่วยแก้อาการสะอึก (ใบ)
    o ช่วยขับลมในไส้ (ใบ, ฝัก)
    o ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ (ใบ)
    o ช่วยถ่ายพิษอุจจาระเป็นมูก (ใบ)
    o ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ใบ, ฝัก)
    o ใบใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ (ใบ)
    o ช่วยถ่ายโรคชาย (ใบ)
    o ช่วยถ่ายน้ำเหลือง (ใบ)
    o ช่วยลดอาการบวมน้ำ (ใบ)
    มีกล่าวว่าได้มีการใช้มะขามแขกในผู้เจ็บป่วยหลังผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมาก และพบว่ามะขามแขกช่วยทำให้อึที่มีลักษณะอันพึงปรารถนาได้ดีมากว่าการใช้ Milk Of Magnesia (MOM) นอกเหนือจากนั้นแคลเซียมเซนโนไซต์ ยังช่วยทำให้คนไข้แก่หลังการผ่าตัดสามารถถ่ายอุจจาระได้ชำนาญเพิ่มขึ้น
    สรรพคุณดอกคำฝอย
    ดอกคำฝอยคุณประโยชน์ของดอกคำฝอยนั้นมีดังนี้ ใช้เป็นยาระบาย
    ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยทำนุบำรุงประสาท บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ
    รักษาลักษณะของการมีไข้ข้างหลังคลอดบุตร บรรเทาอาการปวดของสตรี
    ที่ระดูมาแตกต่างจากปกติ รักษาอาการโรคตับเหลือง ใช้แก้หวัด
    รักษาอาการบวม ต่อต้านการเกิดออกซิเดชั่นต่างๆอย่างเช่น ปกป้องรับผลิตกระชายดำ
    เซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยคุ้มครองปกป้องอาการ
    อัลไซเมอร์ คุ้มครองปกป้องเซลล์สร้างกระดูกรวมทั้งไขกระดูก ช่วยเพิ่มการรับผลิตว่าชักมดลูก
    สร้างเม็ดเลือด และป้องกันกรเป็นมะเร็งเม็ดเลือดคุ้มครองป้องกันตับทำให้
    ลดความเสี่ยงสำหรับในการเป็นมะเร็งตับ ขายว่านชักมดลูกสาสามารถทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในระบบ
    ไหลเวียนโลหิตทำให้สามารถลดความด้นเลือดรวมทั้งคุ้มครองป้องกันแคปซูลกระชายดำ
    การเกิดโรคหัวใจ รวมถึงโรคเส้นเลือดในสมองด้วย
    ลดระดับน้ำตาลแล้วก็คลอเรสเตอรอลในเลือด รวมถึงสามารถ
    ทุเลาลักษณะของการปวดและต้านการอักเสบได้ขายส่งกระชายดำ

    Tags : ขายส่งกระชายดำ

2

ขายแปะก๊วย สรรพคุณล้ำเลิศ ประโยชน์ดี ๆ ทั้งในเมล็ดและใบ
 
 ขายแปะก๊วย ด้วยสรรพคุณรวมทั้งประโยชน์อันมากไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีอยู่ในตัวของเม็ดแปะก๊วย แล้วก็ใบแปะก๊วย ก็เลยไม่น่าประหลาดใจที่พวกเราจะเห็นการขายแปะก๊วยเป็นทั้งยังของกินและ[^_^]เพื่อสุขภาพ แต่สรรพคุณของวิธีขายแปะก๊วยที่โดดเด่นมีอะไรบ้าง ลองไปดูกันเลยค่ะ
  ลดระดับคอเลสเตอรอล
        ขายแปะก๊วยมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการช่วยลดระดับคอเลสเตอรล โดยการเล่าเรียนในปี 2008 จาก Food Research International พบว่าไขมันซึ่งสามารถละลายน้ำเหมาะอยู่ในเมล็ดแปะก๊วย มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการลดระดับคอเลสเตอรอลในตับ นอกเหนือจากนั้นยังสามารถช่วยสำหรับการป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย
ขายแปะก๊วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
          ขายแปะก๊วยเป็นแหล่งสะสมของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสภาพร่างกาย คุ้มครองป้องกันการเช็ดกทำลายของเซลล์ในร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเกือบทุกชนิด แม้กระทั่งนำเมล็ดแปะก๊วยไปปรุงจนถึงสุกและก็ยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระคงเหลือถึง 60% ซึ่งจัดว่าสูงมากมายเมื่อเทียบกับของกินประเภทอื่นๆค่ะ
ขายแปะก๊วยมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุสูง
          เราสามารถพบวิตามินบีชนิดต่างๆอย่างเช่น ริโบฟลาวิน ไนอะซิน ไทอามีน กรดแพนโทเทนิก โฟเลตและวิตามินบี 6 ซึ่งเป็นวิตามินบีที่ดีต่อร่างกายได้ในเม็ดแปะก๊วย ยิ่งกว่านั้นยังมีธาตุดีๆอย่าง แมงกานีส โพแทสเซียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี และก็เซเรเนียมสะสมอยู่ในเมล็ดแปะก๊วยอีกไม่น้อยเลย โดยยิ่งไปกว่านั้นทองแดงที่เป็นธาตุอันมีความหมายต่อสารสื่อประสาท แล้วก็ระบบเผาผลาญ และเป็นส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดง
แคลอรีต่ำ
          เมื่อเทียบกับวอลนัทและก็อัลมอนด์แล้ว การขายแปะก๊วยนับว่าเป็นอาหารที่มีแคลอรีไม่สูงมากนั้น เนื่องจากเม็ดแปะก๊วย 100 กรัม มีปริมาณแคลอรีอยู่ที่ 182แคลอรี ทำให้สามารถกินได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วน
ขายแปะก๊วยรักษาโรคกลัดกลุ้ม
          มีการศึกษาพบว่าคนที่มีอาการป่วยเป็นโรคซึมเซาจะมีสภาพการณ์อารมณ์ที่ดีขึ้นเมื่อรับประทาน[^_^]ที่มีสารสกัดจากใบขายแปะก๊วย โดยเฉพาะในกลุ่มคนแก่ ซึ่งก็มีจิตแพทย์จำนวนหลายชิ้นที่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคซึมเซากินสารสกัดจากใบแปะก๊วยร่วมกับการรับประทานยาเพื่อรักษาอาการ แม้กระนั้นสารสกัดนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าแม้ใช้กับคนไข้ที่แก่น้อย จะได้ผลดีเท่ากันกับผู้ป่วยในวัยสูงอายุหรือไม่
ขายแปะก๊วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ
          ในรายที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ การรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยสามารถช่วยได้ เพราะ สารสกัดนี้จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดภายในร่างกายดียิ่งขึ้น จัดการกับปัญหาเลือดไปไหลเวียนในรอบๆของลับไม่สบาย โดยจากการเรียนรู้หนึ่งพบว่าการรับประทานสารสกัดจากแปะก๊วยเป็นประจำต่อเนื่องกัน 6 เดือน ช่วยให้อาการดีขึ้นสูงถึง 50%
รักษาโรคเรย์ที่นาร์ด
          โรคเรย์ที่นาร์ดมีต้นเหตุที่เกิดจากสภาวะเส้นเลือดที่ปลายมือตีบตัน ทำให้โลหิตไหลเวียนไม่สะดวก โดยสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ด้วยการกินสารสกัดจากใบแปะก๊วย ทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ปลายมือได้สะดวก ลดปลายมือชา หรือเขียวคล้ำเมื่อสัมผัสกับความเย็น
ขายแปะก๊วยรักษาอาการเบาหวานขึ้นตา
          สำหรับคนเจ็บเบาหวาน อาการโรคเบาหวานขึ้นตาสามารถนำมาซึ่งการทำให้การมองเห็นห่วยแตกลง เพราะว่าน้ำตาลในเลือดนั้นจะเข้าไปทำลายเส้นเลือดด้านในดวงตา ซึ่งการกินสารสกัดจากใบแปะก๊วยจะช่วยให้การมองเห็นสีสันของผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานดีขึ้นจ้ะ
ทุเลาอาการของโรคพาร์กินสัน
          ภาวการณ์การขาดฮอร์โมนโดปามีน เป็นต้นเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดอาการสั่นแล้วก็การสูญเสียความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการควบคุมกล้ามเนื้อสาเหตุจากโรคพาร์กินสันแต่สารสกัดจากแปะก๊วยนั้นจะเข้าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น และนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างเพียงพอ
รักษาอาการก่อนมีประจำเดือนของสตรี
          กรุ๊ปอาการ PMS หรืออาการก่อนมีเมนส์เป็นอาการที่สาวๆเพียงแค่นั้นที่เข้าใจดีที่สุด ขึ้นรถสกัดจากแปะก๊วยนั้นสามารถทุเลาอาการเจ็บหน้าอก และคัดเต้านมที่ชอบเกิดขึ้นในตอนก่อนมีเมนส์ได้ นอกเหนือจากนี้ยังช่วยทุเลาอาการอื่นๆที่เกิดจากสภาวะความปรวนแปรของฮอร์โมนในร่างกายช่วงก่อนมีประจำเดือนได้ด้วยนอกนั้นในหมอแผนจีนยังมีการนำเมล็ดแปะก๊วยมาใช้ เพราะเหตุว่าเชื่อว่าเมล็ดแปะก๊วยมีฤทธิ์ร้อนช่วยในการบรรเทาขายแปะก๊วยปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ สามารถช่วยรักษาโรคโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ และก็โรคระบบทางเดินเยี่ยว แม้กระนั้นทั้งนี้ก็ต้องใช้ในจำนวนที่พอเหมาะ เนื่องจากว่าการใช้ในจำนวนมากนั้นอาจะได้รับผลข้างเคียงที่อันตรายแทนได้จ้ะ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ขายเเปะก๊วย

Tags : ขายส่งเเปะก๊ยว,รับผลิตสมุนไพร,ผลิต[^_^]

3

ขายสมุนไพร[^_^]ลดไขมันให้หุ่นสวยเป๊ะด้วยสมุนไพรใกล้ตัว
9ชนิดที่คุณประโยชน์เพียบ ใครที่กำลัง[^_^]อยู่ก็ไม่ควรพลาดเลย

 คงไม่มีใครไม่ยอมรับหรอกว่าการขายสมุนไพรลดความอ้วนแล้วก็ได้ซื้อทานสามารถมีรูปร่างที่ดีแล้วก็แข็งแรงเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน ทำให้หลายคนบากบั่นอย่างมากสำหรับเพื่อการ[^_^]โดยใช้กระบวนการต่างๆได้แก่ การออกกำลัง การควบคุมอาหาร หรือแม้กระทั้งการกิน[^_^]เพื่อช่วยสำหรับการลดความอ้วน แต่ว่า[^_^]ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอ หากเจอ[^_^]ดีๆดีแล้วไป
          แม้ว่าจริงแล้วพวกบรรดา[^_^]ทั้งหลายนั้นก็มีส่วนผสมมาจากสมุนไพรใกล้ตัวที่เราสามารถรับประทานมันได้สดๆโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งสารสกัดที่อยู่ในยาพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย แถมยังปลอดภัยกว่าด้วย แต่ว่ามีการขายสมุนไพรอะไรบ้างที่ช่วยลดหุ่นได้ของสมุนไพรที่สามารถช่วยสำหรับในการลดหุ่นแล้วก็ไขมันมาฝาก ไปดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรจำพวกไหนบ้างที่รับประทานแล้วหุ่นงามเป๊ะ แถมดีต่อร่างกายอีกด้วย
มะนาว
       ถ้าหากเอ่ยถึงสมุนไพรที่รสชาติเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดซึ่งสามารถลดความอ้วนได้ ก็คงต้องระลึกถึงมะนาวอย่างแน่แท้ เพราะว่าในเวลานี้มะนาวแปลงเป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมที่ประยุกต์ใช้ในการลดความอ้วน แถมสูตรสำหรับในการ[^_^]ด้วยน้ำมะนาวก็ยังมีนานาประการ
         เหตุผลที่น้ำมะนาวสามารถลดหุ่นอย่างเห็นผลก็เป็นเพราะเหตุว่ามะนาวมีกรดต่างๆซึ่งช่วยสำหรับในการเผาผลาญไขมัน นอกนั้นมะนาวยังมีวิตามินซีสูง เมื่อได้รับเข้าไปในจำนวนที่พอเหมาะก็จะมีผลให้ไขมันภายในร่างกายน้อยลง ระดับไตรกลีเซอไรด์ก็จะเป็นปกติ ไขมันชั่วช้าจะน้อยลงและช่วยทำให้ไขมันดีมากขึ้น แถมมะนาวยังมีไฟเบอร์สูง ทำให้รู้สึกอิ่มแล้วก็ลดความต้องการของกินได้ คนไหนที่กำลังต้องการจะลดหุ่นแล้วชอบรสเปรี้ยวล่ะก็ มะนาวนี่ล่ะไม่ควรพลาด
เมล็ดแมงลัก
          ถึงแม้เม็ดแมงลักจะไม่ได้มีสารอาหารที่ช่วยสำหรับเพื่อการลดหุ่นโดยตรง แต่เม็ดแมงลักก็สามารถช่วยสำหรับในการควบคุมด้านการกินอาหารได้ เนื่องจากเม็ดแมงลักเป็นพืชที่ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากเอามารับประทานก่อนที่จะรับประทานอาหารก็จะสามารถช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้อง แล้วก็ช่วยทำให้กินอาหารได้ลดลง
 
          นอกนั้นเม็ดแมงลักยังสามารถรับประทานได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ไม่มีอันตรายต่อหญิงท้องและก็หญิงให้นมบุตรอีกด้วย แต่หากใครกันแน่ที่เกลียดรับประทานเม็ดแมงลักจืดชืดๆล่ะก็ ก็ทดลองนำไปกับผสมเครื่องดื่มอื่นๆได้ตามที่ใจต้องการ แม้กระนั้นก็จำต้องนำไปแช่น้ำให้พองจนเต็มที่ก่อนด้วยล่ะ ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นผลให้อาการท้องอืดและท้องผูกแทน
กระเพรา
          ใบกะเพราเป็นพืชสมุนไพรที่พวกเรานิยมเอามาประกอบอาหารกันอย่างแพร่หลาย แถมยังเป็นอาหารยอดนิยมอีกด้วย ซึ่งสรรพคุณของกะเพรา ที่พวกเราทราบกันอยู่แล้วอยู่แล้วมันก็คือมีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง และแก้เจ็บท้องอุจจาระได้ แต่สรรพคุณเด็ดของใบกะเพราอีกประการที่เราไม่ค่อยจะรู้กันนั่นก็คือ ช่วยขับไขมันแล้วก็น้ำตาล
 
          เคยสงสัยบ้างหรือไม่ล่ะ เพราะอะไรอาหารตามสั่งควรมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ ใบกะเพราไก่ กะเพราหมู โน่นก็เนื่องจากนอกจากใบกะเพราจะช่วยกำจัดกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมันรวมทั้งน้ำตาลส่วนเกินออกมาจากร่างกาย อีกทั้งกะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วยนะ โดยเหตุนั้นถ้าหากอยาก[^_^]ล่ะก็ ใบกะเพราก็เป็นลู่ทางที่ดีทางหนึ่งเลยนะคะ
กระเทียม
          กระเทียม สมุนไพรที่คนประเทศไทยมักนิยมนำมาทำเป็นอาหารมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารจานไหนก็ควรจะมีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ แม้กระนั้นจะต้องเป็นกระเทียมสดเพียงแค่นั้นค่ะ ส่วนกระเทียมที่ผ่านการนำไปปรุงในของกินแล้วไม่สามารถที่จะช่วยลดความอ้วนได้นะ
 
          ที่เป็นถ้าอย่างงั้นก็เพราะเหตุว่าในกระเทียมนั้นมีสารอัลลิซินซึ่งมีคุณสมบัติสำหรับในการลดคอเลสเตอรอลรวมทั้งไตรกลีเซอไรด์ในเลือด, ช่วยลดน้ำตาลกลูโคสในเลือด, ช่วยเสริมสมรรถนะของยาฆ่าเชื้อรา, ช่วยลดการอักเสบ, มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ, ยั้งเนื้องอกรวมทั้งเซลล์มะเร็งบางชนิด ซึ่งมีการทดลองพบว่าถ้าหากว่ากินกระเทียมวันละ 10 กลีบ จะมีผลให้ระดับคอเลสเตอรอลนั้นต่ำลง 14% ไขมันไม่ดีอย่าง LDL ลดลง 17% และไขมันดีอย่าง HDL มากขึ้นมากถึง 41% อย่างยิ่งจริงๆ แต่สารอัลลิซินนั้นจะถูกทำลายเมื่อไปสัมผัสกับน้ำมันรวมทั้งความร้อน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจำเป็นต้องที่จะรับประทานกระเทียมสดๆขั้นต่ำวันละ 3-5 กลีบเล็กก่อนกินอาหารเพื่อ[^_^]
 
          แม้กระนั้นถ้าหากอยากเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยล่ะก็ให้รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารก็จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้มากขึ้นเรื่อยๆได้ แต่ว่าก็อย่าลืมเรื่องกลิ่นปากแล้วก็กลิ่นตัวด้วยล่ะ เพราะกระเทียมนั้นกลิ่นแรงมาก ถ้าหากว่าจำต้องไปพบใครภายหลังจากทานกระเทียมก็ควรจะหลบหลีกการทาน หรือไม่ก็แปรงฟันก่อนจะดีที่สุด
พริก
        ผู้ใดกันจะไปมั่นใจว่าพริกจะมีความรู้และมีความเข้าใจช่วยลดความอ้วนได้ แต่ว่าโน่นก็เป็นเพราะว่าพริกมีวิตามินซีสูง ซึ่งเจ้าวิตามินซีนี่ล่ะที่จะไปช่วยขยายเส้นเลือดในไส้และก็กระเพาะ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับสารอาหารได้ดีขึ้น และก็ช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย นอกเหนือจากวิตามินแล้ว ในพริกยังมีสารแคปไซซิน (Capsaicin), โอลีโอเรสิน (Oleoresin) และกรดแอสคอร์บิก ซึ่งกรดแอสคอร์บิกนี่ล่ะที่มีหน้าที่สำคัญสำหรับเพื่อการ[^_^] เพราะมันจะไปช่วยทำให้ไขมันถูกเผาผลาญเปลี่ยนเป็นพลังงานก้าวหน้า หากใครกันแน่ที่เป็นร่างกายมีการเผาผลาญต่ำ การกินพริกเข้าไปบ่อยๆก็จะสามารถช่วยให้ร่างกายปรับนิสัยก้าวหน้าขึ้น
 
          อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าพริกจะช่วยลดความอ้วนได้ แต่ว่าก็จะต้องกินเป็นจำนวนมากถึงจะได้รับสารอาหารที่อยู่ในพริกเพียงพอ ฉะนั้นถ้าต้องการใช้พริกช่วยสำหรับการลดหุ่นล่ะก็ ชี้แนะให้รับประทานพริกในรูปแบบของสารสกัดจะดีมากกว่าทานแบบสดๆเป็นกำๆที่อาจทำให้ท้องเฟ้อ ปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะได้อีกต่างหาก
ต้นหญ้าหวาน
          หญ้าหวานนับว่าเป็นสมุนไพรที่นอกเหนือจากการที่จะให้ความหวานได้เหมือนน้ำตาลแล้ว ยังช่วยให้สามารถลดความอ้วนได้ด้วย ด้วยเหตุว่าหญ้าหวานเป็นพืชที่ไม่ให้พลังงานรวมทั้งแคลอรี่ต่ำมากมาย สามารถนำไปผสมกับเครื่องดื่มหรือนำไปปรุงรสชาติอาหารแทนน้ำตาลก็ได้ทั้งนั้น แถมความหวานที่ได้จากหญ้าหวานยังมากยิ่งกว่าน้ำตาลถึง 200-300 เท่าของซูโครส แล้วก็ถ้าเกิดรับประทานเป็นประจำก็ยังไม่มีผลใกล้กันใดๆให้ต้องวิตกกังวลใจ ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนใดกันแน่ที่ชอบกินหวาน แม้กระนั้นก็ไม่ได้อยากต้องการอ้วนล่ะก็ หญ้าหวานนี่ล่ะตัวช่วยที่เยี่ยมที่สุดเลย
ขายขมิ้นชัน
        ขมิ้นชันมีสารพฤกษเคมีที่เรียกว่าเคอร์คูไม่น ซึ่งสารประเภทนี้จะไปช่วยสำหรับการยับยั้งการเติบโตของเซลล์ไขมัน ทำให้สามารถช่วยลดไขมันได้ โดยขมิ้นชันสามารถรับประทานได้สดแล้วก็นำไปปรุงกับอาหาร ถ้าเกิดนำไปปรุงกับอาหารจำพวกทอดก็จะช่วยสำหรับในการย่อยไขมันในของกินได้อีกด้วย และก็ที่สำคัญไม่ควรให้ขมิ้นอยู่ในความร้อนมากกว่า 65 องศาเนื่องจากอาจจะทำให้เกิดสารสเตรอยด์ในขมิ้นได้
ขายผลส้มแขก
         ในผลส้มแขกมีสาร HAC หรือสารไฮดรอกซีซิตริกแอสิด อยู่จำนวนไม่ใช่น้อย ซึ่งสารที่ว่านี้เป็นสารมีคุณสมบัติที่ดีในการเข้าไปสกัดแล้วก็ยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินไนร่างกาย รวมทั้งยังช่วยทำให้รับประทานอาหารได้ลดลง พุงยุบ รูปร่างเปรียวขึ้น โดยคนโดยมากก็ชอบกินในรูปแบบของสารสกัดเสียมากกว่ารวมทั้งการเลือกใช้สินค้าส้มแขกสำหรับเพื่อการลดหุ่นนั้นก็ควรเลือกขนาดจำนวน 300-600 มก.และรับประทานดังที่ฉลากกำหนดเท่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างๆ แม้กระนั้น พวกเราก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นไขมัน ลดพวกของทอดของมัน และก็ออกกำลังกายมากมายๆเพื่อที่การลดความอ้วนจะได้ มีคุณภาพและไม่กลับมาอ้วนให้กลุ้มใจอีกยังไง
ขายบุก
          บุกเป็นพืชที่คนกำลังลดหุ่นนิยมนำมารับประทาน เนื่องจากบุกมีสารกลูวัวแมนแนน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งชนิดหนึ่งที่มี เดกซ์โทรส แมนโนส ฟรุคโทส มีลักษณะข้นๆเหนียวๆเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะก่อให้อิ่มเร็ว เนื่องจากความเหนียวเหนียวหนืดของกลูวัวแมนแนนจะชะลอการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหารไปยังส่วนอื่นๆของร่างกาย ก็เลยทำให้การบริโภคอาหารอื่นๆน้อยลงไปโดยปริยาย แถมยังมีกากใยสูงทำให้ดีต่อลำไส้แล้วก็การขับถ่ายอีกด้วย นอกนั้นบุกยังสามารถนำไปทำครัวได้มากมายแถมยังไม่เป็นผลเสียต่อสถาพทางร่างกายเลยอีกด้วย คนใดที่อยากลดหุ่นลองนำบุกมาทำเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ก็ช่วยได้จ้ะ
 
      เป็นอย่างไรกันบ้างกับสมุนไพรใกล้ตัวทั้ง 9 ชนิดที่เอามาเล่ากันในวันนี้ ผู้ใดกันแน่ที่กำลังลดความอ้วนอยู่ก็ลองขายสมุนไพรพวกนี้ไปช่วยสำหรับในการลดหุ่นอีกแรงนะคะ แต่อย่าลืมว่ายังไงก็ควรรับประทานให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะเนื่องจากถ้าเกิดทานมากจนเกินไปอาจจะให้เกิดผลเสียตามมาได้ อาจจะไม่คุ้มกันแน่หากต้องหุ่นเพรียว น้ำหนักลด เพราะเหตุว่าลักษณะการเจ็บป่วยไข้จากผลกระทบใช่ไหมล่ะค่ะ
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : รับผลิตส้มเเขกพริกไทยดำ

Tags : ผลิต[^_^]

4

ขายสมุนไพรไทย[^_^]ที่คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
ขายสมุนไพรลดหุ่น พวกเรามีแนวทางที่ให้คุณไม่ต้องกังวนอีกต่อไป ความอ้วนเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย เชื่อว่าทุกคนมุ่งหมายที่จะมีรูปร่างดี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง หลายหนที่คนอ้วนขาดความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองสำหรับเพื่อการเข้าสังคม ต้องการแต่งตัวงามๆราวกับสาวๆหุ่นผ่ายผอมบ้าง ก็เลยได้คัดสรรแนวทางการต่างๆพวกเรามีขายสมุนไพร[^_^] ส่วนมากก็จะไม่กินอาหาร บ้างบริหารร่างกาย หรือถึงกับขนาดจำเป็นต้องหันมาพึ่ง[^_^] หรือยาลดความอ้วน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสารเคมีที่ได้ผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายทั้งหมด วันนี้พวกเรามีขายสมุนไพรไทยซึ่งสามารถช่วยลดความอ้วนรวมทั้งลดไขมัน มาแนะนำค่ะ
มะนาว (ขายสมุนไพรไทยลดความอ้วนมะนาวนับว่าเป็นสมุนไพรใกล้ตัวแล้วก็เป็นเครื่องปรุงรสที่มีติดครัวแทบทุกบ้าน ในน้ำมะนาวมีกรดซึ่งมีคุณลักษณะช่วยเผาผลาญไขมัน รวมทั้งยังมีวิตามินซีสูง คุ้มครองป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วย
พริกไทยดำ (ขายสมุนไพรไทย[^_^] คุณประโยชน์ของพริกไทยดำ จะให้รสที่เผ็ดร้อนช่วยเผาผลาญไขมันเก่า ลดการสะสมไขมันใหม่ ใครที่มีไขมันสะสมมากมายๆทดลองหันมารับประทานพริกไทยดำมองนะคะ
ส้มแขก (ขายสมุนไพรไทย[^_^] พวกเราจะเห็นว่าส้มแขกเป็นสมุนไพรหลัก ที่เป็นส่วนผสมใน[^_^][^_^]แทบทุกประเภท เนื่องมาจากส้มแขกมีคุณสมบัติช่วยลดความต้องการของกิน ทำให้กินอาหารได้ลดน้อยลง ลดการสั่งสมไขมันส่วนเกินในร่างกายนั่นเอง
เม็ดแมงลัก (ขายสมุนไพรไทย[^_^]) ด้วยคุณสมบัติของเม็ดแมงลักที่จะขยายตัวเมื่อโดนน้ำ เมื่อเรารับประทานเข้าไปก็เลยช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ลดการอยากของกิน และยังสามารถนำไปกินกับเครื่องดื่มร้อน เย็นได้ด้วย เมื่อก่อนนำไปรับประทานอย่าลืมนำเม็ดแมงลักไปแช่น้ำให้ขยายตัวก่อนนะคะ
ดอกคำฝอย (ขายสมุนไพรไทย[^_^]) เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรยอดนิยมก็ว่าได้ การกินก็แสนง่ายเพียงคุณนำมาต้มหรือชงดื่มร้อนๆหรือจะใส่น้ำแข็งเป็นน้ำดอกคำฝอยเย็นก็สดชื่น ซึ่งคุณลักษณะของดอกคำฝอยจะใช้เพื่อเป็นยาระบายอ่อนๆช่วยเรื่องลดหุ่นแล้วก็ลดพุงได้ดิบได้ดี
กระเจี๊ยบแดง (ขายสมุนไพรไทยลดความอ้วน) กระเจี๊ยบแดงสมุนไพรประจำถิ่นที่มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาในเรื่องลดหุ่น จากการทดลองด้านวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำกระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยคุ้มครองปกป้องโรคมะเร็ง และมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลและก็ไขมันชนิดต่ำช้าในร่างกายของผู้คน แต่สาวๆใครกันแน่อยากดื่มน้ำกระเจี๊ยบเพื่อ[^_^]ก็ไม่ควรใส่น้ำตาลเยอะนะคะ ด้วยเหตุว่าแทนที่คุณจะซูบผอมบางครั้งก็อาจจะเปลี่ยนเป็นอ้วนขึ้นกว่าเดิม
พริก (ขายสมุนไพรไทย[^_^]) อีกหนึ่งสมุนไพรติดบ้านที่ช่วยเรื่องลดความอ้วน ซึ่งพริกจะมีสาร Ascorbic acid เป็นสารสำคัญในการช่วย[^_^] ช่วยสลายไขมันให้กลายเป็นพลังงานเจริญ ถ้าเกิดคนไหนกันเป็นร่างกายมีการสลายไขมันต่ำ การกินพริกบ่อยๆจะก่อให้ร่างกายปรับพฤติกรรมก้าวหน้าขึ้น และก็ยิ่งกว่านั้นพริกยังช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้รวมทั้งกระเพาะอาหารทำให้ร่างกายซึมซับของกินได้ดิบได้ดี อีกทั้งมีส่วนช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย
สำหรับหนุ่มๆผู้หญิงท่านไหนที่ต้องการ[^_^]ด้วยวิธีธรรมชาติก็สามารถเลือกกินสมุนไพรไทย[^_^] 7 ชนิดนี้ได้เลยจ้ะ แต่การใช้สมุนไพรในการลดความอ้วนควรที่จะใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะเหตุว่าทุกๆอย่างถ้าเกิดมากมายไปอาจจะก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ และอย่าลืมการออกกำลังพร้อมกันกับการทานขายสมุนไพรไทย[^_^] เพื่อผลที่ดียิ่งขึ้นนะคะ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : รับผลิตส้มเเขกพริกไทยดำ

Tags : ขายส่งส้มเเขกพริกไทยดำ,ผลิต[^_^]

5

การศึกษาทางพิษวิทยาของขมิ้นชัน
การ ค้นคว้าพิษในหนูขาว (rat), หนูตะเภา (guinea pig) และลิง โดยให้ขมิ้นชันทางปาก ไม่พบการเกิดพิษทั้งการ วิจัยทางจุลกายวิภาคของเนื้อเยื่อ (histology) และเซลล์วิทยา (cytology) ของหัวใจ ตับ และไต
ไม่พบการเกิดพิษเฉียบพลันในหนูขาว (rat) โดยให้สาร curcumin ทางปากในขนาดสูงถึง 5 ก./กก.9 วิจัยในหนูขาว (rat) โดยให้ขมิ้นชันหรือสาร curcumin ทางปากในขนาดที่มนุษย์ ทานโดยทั่วไปหรือขนาดที่สูงกว่านั้น (1.25-125 เท่า) ไม่ทําให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ต่อการเติบโต การทานอาหาร,erythrocytes, leukocytes, สารประกอบในเลือด (Hb, total serum protein, albumin, globulin, serumaminotransferase และ alkaline phosphatase)
สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 50% เมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูขาว (rat) ในขนาด500มก./กิโลกรัม ทําให้หนูตายครึ่งหนึ่ง และหนูทนต่อสารสกัดนี้ได้ถึง 250 มิลลิกรัม/กก. ส่วนสารสกัดด้วยปีโตรเลียม อีเทอร์ แอลกอฮอล์และน้ำทําให้หนูตายครึ่งหนึ่งเมื่อให้สารสกัดขนาด 525, 398 และ 430 มก./กิโลกรัม ตามลําดับ ส่วนพิษเฉียบพลันนั้น มีผู้ทดสอบในสัตว์ทดสอบอย่างไม่พบว่ามีพิษเฉียบพลัน เมื่อให้ขมิ้นชันในขนาด 2.5 ก./กก. หรือสารสกัดด้วย      แอลกอฮอล์ 300 มิลลิกรัม/กก.15
      การค้นคว้าพิษเรื้อรังของขมิ้นชันในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ (vistar rat) ที่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำ และกลุ่มทดสอบได้รับผงขมิ้นชันทางปากในขนาด 0.03, 2.5 และ 5.0 ก./กิโลกรัม/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับ 1, 83 และ 166 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนคือ 1.5 กรัม/น้ำหนักตัว 50 กก./วัน เป็นเวลานาน 6 เดือนพบว่าหนูเพศผู้ที่ได้ขมิ้นชันในขนาด 2.5 และ 5.0 ก./กิโลกรัม/วัน มีน้ำหนักตัวและการกินอาหารน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในเพศเมียที่ได้รับยาขนาดเท่ากัน ขมิ้นชันในขนาดต่างๆ ที่ให้แก่หนู ไม่ทําให้เกิดอาการพิษใดๆ รวมทั้งไม่มีผลต่อค่าทางโลหิตวิทยาหรือค่าเคมีคลินิก และไม่ทําให้เกิดพยาธิสภาพ    ต่ออวัยวะภายในของหนูทั้งสองเพศ
            ค้นหาพิษเรื้อรังนาน 6 เดือน ของ curcuminoids ในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ที่แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มกลุ่มละ 15 ตัวต่อเพศ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำ กลุ่มควบคุมที่ได้รับ tragacanth และกลุ่มลองที่ได้รับน้ำยาแขวนตะกอน curcuminoids ใน tragacanth ทางปากในขนาด 10, 50 และ 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน              ซึ่งเทียบเท่ากับ 1, 5 และ 25 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนต่อวัน  ส่วนหนูขาวกลุ่มที่ 4 ได้รับน้ำยาแขวนตะกอน curcuminoids ขนาด 250 มก./กก./วัน นาน 6 เดือน แต่หยุดให้ยา 2 สัปดาห์ก่อนผ่าซาก เพื่อดูว่าหากมีอาการพิษจาก curcuminoids เกิดขึ้น จะกลัยมาหายเป็นปกติได้หรือไม่หลังจากหยุดยา พบว่าอัตราการเจริญของหนูเพศผู้ที่ได้รับ curcuminoids 50 มิลลิกรัม/กก./วัน สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ tragacanth อย่างมีนัยสำคัญ  หากมี อาการพิษ จากcurcuminoids เกิดขึ้น จะกลับมาหายเป็นปกติได้หรือไม่หลังจากหยุดยา พบว่าอัตราการเจริญของหนูเพศผู้ที่ได้รับ curcuminoids 50 มก./กก./วัน สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ tragacanth อย่างมีนัยสําคัญ curcuminoids ไม่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าทางโลหิตวิทยาใดๆ ที่มีความสัมพันธ์กับขนาดของสารที่ให้ในหนูเพศผู้ที่ได้รับcurcuminoids 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน พบว่าน้ำหนักจริงและน้ำหนักสัมพัทธ์ของตับ และระดับ alkaline phosphateสูงกว่ากลุ่มควบคุมทั้งสองกลุ่ม แต่ยังอยู่ในช่วงของค่าปกติ แม้ว่าหนูขาวกลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีอุบัติการณ์ของไขมันสะสมในตับและชั้น cortex ของต่อมหมวกไตสูง แต่อุบัติการณ์ดังกล่าาวไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุมทั้งสองอย่างมีนัยสําคัญ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการให้ curcuminoids ขนาดที่ใช้ในคน 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ทําให้เกิดพิษในหนู ขาว อย่างไรก็ตาม curcuminoids ในขนาดสูงอาจมีผลต่อการทํางาน และโครงสร้างตับได้ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กลับเป็นปกติใหม่ได้เมื่อหยุดใช้ curcuminoids
            จากการวิจัยความปลอดภัยของน้ำมันขมิ้นชัน (turmeric oil) ทางคลินิกระยะที่ 1 ในคนปกติ 9 รายก่อนที่จะนําไปค้นคว้าประสิทธิผลในการเยียวยา oral submucous fibrosis ซึ่งเป็น precancerous change ของมะเร็งช่องปากในระยะที่ 2 ต่อไปนั้น พบว่าเมื่อให้น้ำมันขมิ้นชัน 0.6 มล. วันละ 3 ครั้ง นาน 1 เดือน ตาม  ด้วยขนาด 1 มิลลิตร แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง 2 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 1 คนถอนตัว เนื่องจากมีไข้ ที่เหลืออีก 7 ราย พบว่าไม่ทําให้เกิดพิษทางคลินิก ทางโลหิตวิทยา หรือพิษต่อตับ ไต หลังได้รับน้ำมันขมิ้นชันนาน 1 หรือ 3 เดือน19
จากการศึกษาทางคลินิกของฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์ และคณะ52 ได้วิจัยเคมีในเลือดผู้ป่วยที่เข้าร่วมการค้นหาจํานวน 30 คน ก่อนและหลังการรับประทานขมิ้นติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงผลเคมีในเลือดที่บ่งถึงการตรวจหน้าที่ตับและไตและ hematology
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง:   

  • ไม่ควรกินสารสกัดที่ได้จากเหง้าขมิ้นชันติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย งุ่นง่าน กระสับกระส่าย ถ่ายเป็นเลือด อาเจียน และผู้หญิง ที่มีครรภ์ในระยะแรกๆ ไม่ควรเยียวยาเด็ดขาดเพราะอาจทำให้แท้งบุตรได้
  • การใช้ขมิ้นเป็นยารักษาโรคกระเพาะ ถ้าใช้ขนาดสูงเกินไป  จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ
  • คนไข้บางคนอาจมีอาการแพ้ขมิ้น โดยมีอาการคลื่นไส้  ท้องเสีย  ปวดหัว  นอนไม่หลับ  ให้หยุดยา
  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการอุดตันของท่อน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี และห้ามใช้ในผู้หญิง มีครรภ์
  • ควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากเสริมฤทธิ์กัน อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และเลือดไหลหยุดยากได้


 

6

การศึกษาทางพิษวิทยาของขมิ้นชัน
การ ศึกษาพิษในหนูขาว (rat), หนูตะเภา (guinea pig) และลิง โดยให้ขมิ้นชันทางปาก ไม่พบการเกิดพิษทั้งการ ค้นคว้าทางจุลกายวิภาคของเนื้อเยื่อ (histology) และเซลล์วิทยา (cytology) ของหัวใจ ตับ และไต
ไม่พบการเกิดพิษเฉียบพลันในหนูขาว (rat) โดยให้สาร curcumin ทางปากในขนาดสูงถึง 5 ก./กก.9 ศึกษาในหนูขาว (rat) โดยให้ขมิ้นชันหรือสาร curcumin ทางปากในขนาดที่มนุษย์ กินโดยทั่วไปหรือขนาดที่สูงกว่านั้น (1.25-125 เท่า) ไม่ทําให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ต่อการเติบโต การกินอาหาร,erythrocytes, leukocytes, สารประกอบในเลือด (Hb, total serum protein, albumin, globulin, serumaminotransferase และ alkaline phosphatase)
สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 50% เมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูขาว (rat) ในขนาด500มิลลิกรัม/กก. ทําให้หนูตายครึ่งหนึ่ง และหนูทนต่อสารสกัดนี้ได้ถึง 250 มก./กิโลกรัม ส่วนสารสกัดด้วยปีโตรเลียม อีเทอร์ แอลกอฮอล์และน้ำทําให้หนูตายครึ่งหนึ่งเมื่อให้สารสกัดขนาด 525, 398 และ 430 มก./กิโลกรัม ตามลําดับ ส่วนพิษเฉียบพลันนั้น มีผู้ทดสอบในสัตว์วิจัยชนิดไม่พบว่ามีพิษเฉียบพลัน เมื่อให้ขมิ้นชันในขนาด 2.5 ก./กิโลกรัม หรือสารสกัดด้วย      แอลกอฮอล์ 300 มก./กิโลกรัม15
      การค้นคว้าพิษเรื้อรังของขมิ้นชันในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ (vistar rat) ที่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำ และกลุ่มวิจัยได้รับผงขมิ้นชันทางปากในขนาด 0.03, 2.5 และ 5.0 ก./กก./วัน ซึ่งเทียบเท่ากับ 1, 83 และ 166 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนคือ 1.5 กรัม/น้ำหนักตัว 50 กก./วัน เป็นเวลานาน 6 เดือนพบว่าหนูเพศผู้ที่ได้ขมิ้นชันในขนาด 2.5 และ 5.0 ก./กก./วัน มีน้ำหนักตัวและการกินอาหารน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในเพศเมียที่ได้รับยาขนาดเท่ากัน ขมิ้นชันในขนาดต่างๆ ที่ให้แก่หนู ไม่ทําให้เกิดอาการพิษใดๆ รวมทั้งไม่มีผลต่อค่าทางโลหิตวิทยาหรือค่าเคมีคลินิก และไม่ทําให้เกิดพยาธิสภาพ    ต่ออวัยวะภายในของหนูทั้งสองเพศ
            ศึกษาพิษเรื้อรังนาน 6 เดือน ของ curcuminoids ในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ที่แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มกลุ่มละ 15 ตัวต่อเพศ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำ กลุ่มควบคุมที่ได้รับ tragacanth และกลุ่มลองที่ได้รับน้ำยาแขวนตะกอน curcuminoids ใน tragacanth ทางปากในขนาด 10, 50 และ 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน              ซึ่งเทียบเท่ากับ 1, 5 และ 25 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนต่อวัน  ส่วนหนูขาวกลุ่มที่ 4 ได้รับน้ำยาแขวนตะกอน curcuminoids ขนาด 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน นาน 6 เดือน แต่หยุดให้ยา 2 สัปดาห์ก่อนผ่าซาก เพื่อดูว่าหากมีอาการพิษจาก curcuminoids เกิดขึ้น จะกลัยมาหายเป็นปกติได้หรือไม่หลังจากหยุดยา พบว่าอัตราการเจริญของหนูเพศผู้ที่ได้รับ curcuminoids 50 มิลลิกรัม/กก./วัน สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ tragacanth อย่างมีนัยสำคัญ  หากมี อาการพิษ จากcurcuminoids เกิดขึ้น จะกลับมาหายเป็นปกติได้หรือไม่หลังจากหยุดยา พบว่าอัตราการเจริญของหนูเพศผู้ที่ได้รับ curcuminoids 50 มิลลิกรัม/กก./วัน สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ tragacanth อย่างมีนัยสําคัญ curcuminoids ไม่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าทางโลหิตวิทยาใดๆ ที่มีความสัมพันธ์กับขนาดของสารที่ให้ในหนูเพศผู้ที่ได้รับcurcuminoids 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน พบว่าน้ำหนักจริงและน้ำหนักสัมพัทธ์ของตับ และระดับ alkaline phosphateสูงกว่ากลุ่มควบคุมทั้งสองกลุ่ม แต่ยังอยู่ในช่วงของค่าปกติ แม้ว่าหนูขาวกลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีอุบัติการณ์ของไขมันสะสมในตับและชั้น cortex ของต่อมหมวกไตสูง แต่อุบัติการณ์ดังกล่าาวไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุมทั้งสองอย่างมีนัยสําคัญ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการให้ curcuminoids ขนาดที่ใช้ในคน 10 มก./กก./วัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ทําให้เกิดพิษในหนู ขาว อย่างไรก็ตาม curcuminoids ในขนาดสูงอาจมีผลต่อการทํางาน และโครงสร้างตับได้ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กลับเป็นปกติใหม่ได้เมื่อหยุดใช้ curcuminoids
            จากการค้นพบความปลอดภัยของน้ำมันขมิ้นชัน (turmeric oil) ทางคลินิกระยะที่ 1 ในคนปกติ 9 รายก่อนที่จะนําไปค้นคว้าประสิทธิผลในการเยียวยา oral submucous fibrosis ซึ่งเป็น precancerous change ของมะเร็งช่องปากในระยะที่ 2 ต่อไปนั้น พบว่าเมื่อให้น้ำมันขมิ้นชัน 0.6 มล. วันละ 3 ครั้ง นาน 1 เดือน ตาม  ด้วยขนาด 1 มล. แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง 2 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 1 คนถอนตัว เนื่องจากมีไข้ ที่เหลืออีก 7 ราย พบว่าไม่ทําให้เกิดพิษทางคลินิก ทางโลหิตวิทยา หรือพิษต่อตับ ไต หลังได้รับน้ำมันขมิ้นชันนาน 1 หรือ 3 เดือน19
จากการค้นหาทางคลินิกของฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์ และคณะ52 ได้วิจัยเคมีในเลือดผู้ป่วยที่เข้าร่วมการวิจัยจํานวน 30 คน ก่อนและหลังการทานขมิ้นติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงผลเคมีในเลือดที่บ่งถึงการตรวจหน้าที่ตับและไตและ hematology
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง:   

  • ไม่ควรรับประทานสารสกัดที่ได้จากเหง้าขมิ้นชันติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย งุ่นง่าน กระสับกระส่าย ถ่ายเป็นเลือด อาเจียน และสตรี ที่มีครรภ์ในระยะแรกๆ ไม่ควรเยียวยาเด็ดขาดเพราะอาจทำให้แท้งบุตรได้
  • การใช้ขมิ้นเป็นยาเยียวยาโรคกระเพาะ ถ้าใช้ขนาดสูงเกินไป  จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ
  • คนไข้บางคนอาจมีอาการแพ้ขมิ้น โดยมีอาการคลื่นไส้  ท้องเสีย  ปวดหัว  นอนไม่หลับ  ให้หยุดยา
  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการอุดตันของท่อน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี และห้ามใช้ในสตรี มีครรภ์
  • ควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากเสริมฤทธิ์กัน อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และเลือดไหลหยุดยากได้


 

7

ถิ่นกำเนิดชาเขียว
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ชาเขียวนั้น ก็คือ ชา ประเภทเดียวกับ ชาอู่หลง , ชาดำ , ชาผง แต่ที่แบ่งชนิดของชาต่างๆออกมานั้นเพราะแบ่งตามกรรมวิธีในการผลิต ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม ของชาอยู่ในทวีปเอเชีย บนเขตที่ราบ สูงบริเวณรอยต่อระหว่างพม่า อินเดีย และจีน ดังนั้นแหล่งผลิตและส่งออก ชารายใหญ่ที่สำคัญของโลกคือ ประเทศจีน อินเดีย และรัฐอัสสัม ซึ่งนอก จาก ๓ แห่งนี้แล้ว ก็ยังมีการผลิตชาในอีกหลายประเทศ อาทิเช่น อินโดนีเซีย (ที่เกาะชวา) รัสเซีย เคนยา ยูกันดา พม่า และไทย เป็นต้น แต่ชาเหล่านั้นมีคุณภาพสู้ชาจีน ชาดาร์จิลิ่ง ชาอัสสัม และชาซีลอนไม่ได้ส่วนประเทศญี่ปุ่นแม้จะผลิต ชาเขียวที่มีคุณภาพและรสชาติดี เป็น ที่รู้จักและนิยมกินกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ส่งออกขายน้อย เพราะประชาชน ภายในประเทศนิยมกินชาเขียวกันมาก
การกินชามีมานานเกือบ 5,000 ปีมาแล้ว ตามตำนานของชาวจีนกล่าวว่า การดื่มชาเกิดขึ้นจากการสังเกตุเห็นโดยบังเอิญของจักรพรรดิเฉินหนุง ซึ่งพระองค์ชอบดื่มน้ำต้ม โดยบ่ายวันหนึ่งขณะที่พระองค์ต้มน้ำกินอยู่นั้น เผอิญมีใบไม้จากต้นไม้ใกล้ๆปลิวตกในหม้อน้ำ ซึ่งท่านสังเกตุว่า น้ำต้มที่มีใบไม้นั้นมีกลิ่นหอมและมีรสชาติดีกินแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จึงได้มีการ วิจัยต่อไปพบว่ามี ประโยชน์ทางยา จึงได้มีการเผยแพร่ต่อไป คนจีนจึงรู้จักชา ครั้งแรกในรูปแบบของสมุนไพร และจักรพรรดิเฉินหนุงก็ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการแพทย์"
ลักษณะทั่วไปชาเขียว 
ต้นชาเป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว และหากปล่อยให้เจริญเติบโตเองในป่าจะให้ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเมื่อดอกชาเติบโตเต็มที่จะให้ผลชาที่ภายในมีเมล็ดเล็กๆ ตั้งแต่หนึ่งถึงสามเมล็ด ส่วนในการแพร่พันธุ์ ต้นชาจะต้องได้รับการผสมละอองเกสรกับต้นชาต้นอื่นๆ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนยีน (gene) และโครโมโซม (chromosome) ซึ่งกันและกัน เมื่อชาต้นใหม่เจริญเติบโตจะคงคุณ สามารถที่เข้มแข็งบางส่วนของพ่อแม่พันธุ์ และด้วยวิธีการนี้ ต้นชาจึงเป็นพืชที่มีคุณ อาจเด่นเฉพาะตัว
ต้นชาเป็นไม้ยืนต้นที่สูงได้ถึง 10 เมตร แต่ชาวไร่ชานิยมตัดแต่งให้เป็นพุ่มเตี้ย เพื่อความสะดวกในการเก็บยอดอ่อน ชาได้ชื่อว่าเป็นพืชที่อ่อนไหวต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด อากาศ ที่ชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการ ปลูกชาให้ได้ผล แต่รู้ไหมว่าความแตกต่างใน เรื่องนี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ส่งผลต่อรสชาติของใบชาที่เก็บเกี่ยวแม้จะเป็น ใบชาจากต้นเดียวกันก็ตาม หากเก็บต่างฤดูต่างเวลา หรือขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ก็ให้รสชาติที่แตกต่างกันได้
ชาที่มีขายอยู่มากมายในท้อง ตลาดนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆ ตามกรรมวิธีการผลิต จึงได้ชาที่มีกลิ่น รส และสีสันที่ต่างกัน ดังนี้คือ

  • 1. ชาเขียว (green tea) คือยอดอ่อนของชาที่ถูกนำไปอบ (หรือคั่ว) แห้งทันที โดยไม่มีการนวดหรือ หมักเลย จึงทำให้ใบชายังคงสีเขียวเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้น ชาเขียวจึงให้รสชาติใกล้เคียงใบชาธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งชาวจีนและชาวญี่ปุ่นจะนิยมดื่มชาเขียวกันมาก
  • ชาดำ (black tea) คือยอดอ่อนของชาที่ถูกนำมานวดอย่างเต็มที่ แล้วหมักจนได้กลิ่นหอมซึ่งเป็นชนิดเฉพาะ จากนั้นจึงนำมาทำให้แห้งด้วยการอบ ทำให้ใบชาที่ได้มีสีเข้มและมีรสขมปนฝาดมากขึ้น เนื่องจากปฏิกิริยาทางเคมีของสารแทนนินในใบชา ชาที่ฝรั่งส่วนใหญ่ดื่มก็คือชาดำ ซึ่งมีหลายชนิด และที่คนทั่วไปรู้จักกันดีก็คือ ชาอัสสัม ชาซีลอน และชาดาร์จิริ่ง
  • ชาแดงหรือชาอูหลง (red tea or Oolong) คือยอดอ่อนของชาที่ถูกนำมานวดพอให้ผิวนอกช้ำ เพื่อกระตุ้นสารแทนนิน จากนั้นจึงอบให้แห้ง เพื่อหยุดยั้งปฏิกิริยาทางเคมี ดังนั้น สีและรสของชาแดงจึงอยู่กึ่งกลางระหว่างชาดำกับชาเขียว เหมาะสำหรับดื่มเปล่าๆ ต่างน้ำ (ไม่ใส่นม)


 

8
สรรพคุณขมิ้นชัน
ตำรายาไทย: ใช้ภายใน ช่วยเจริญอาหาร ยาบำรุงธาตุ ฟอกเลือด แก้ท้องอืดเฟ้อ แน่น จุกเสียด [^_^] ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาผิดปกติ อาการดีซ่าน แก้อาการวิงเวียน แก้หวัด แก้อาการชัก ลดไข้ ขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องมาน แก้ไข้ผอมแห้ง แก้เสมหะและโลหิตเป็นพิษ โลหิตออกทางทวารหนักและเบา แก้ตกเลือด แก้อาการตาบวม แก้ปวดฟันเหงือกบวม มีฤทธิ์ระงับเชื้อ ต้านวัณโรค ป้องกันโรคหนองใน แก้ท้องเสีย แก้บิด รักษามะเร็งลาม ใช้ภายนอก ช่วยลดอาการฟกช้ำบวม ปวดไหล่และแขน บวมช้ำและปวดบวม แก้ปวดข้อ สมานแผลสดและแผลถลอก ผสมยานวดคลายเส้นแก้เคล็ดขัดยอก แก้น้ำกัดเท้า แก้ชันนะตุ แก้กลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนังผื่นคัน สมานแผล รักษาฝี  แผลพุพอง  ลดอาการแพ้  อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย  ตำใส่แผลห้ามเลือด รักษาผิว บำรุงผิว


  • รักษาโรคน้ำกัดเท้า โดยนำขมิ้นชันสดมาปอกเปลือกหรือขยี้ส่วนปลาย ก่อนใช้ทาบริเวณที่เกิดโรคน้ำกัดเท้า ซึ่งจะช่วยเยียวยาอาการให้หายเร็ว
  • ลดอาการปวดบวมจากแมลงกัดต่อย ด้วยการนำขมิ้นชันสดบดผสมกับน้ำเล็กน้อย ก่อนนำมาประคบบริเวณถูกกัด
  • รักษาฝี ด้วยการใช้ขมิ้นชันบดให้ละเอียดก่อนนำมาประคบที่ฝี
  • ยาสตรีคลอดบุตร ด้วยการใช้ขมิ้นชันบดให้ละเอียดผสมกับดินสอพอง ทาบริเวณท้องหลังการคลอดบุตร ซึ่งจะช่วยทำให้ท้องยุบตัวเร็ว และช่วยลดหน้าท้องลายได้
  • รักษาสภาพฟัน และลดกลิ่นปาก ด้วยการนำขมิ้นชันสดมาเคี้ยว และอมค้างไว้ 1-2 นาที ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพฟันให้แข็งแรง และช่วยลดกลิ่นปาก


นอกจากนี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา  ปรากฏการใช้ขมิ้นชัน ในยาเยียวยากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ"ยาเหลืองปิดสมุทร" มีส่วนประกอบของขมิ้นชันเป็นองค์ประกอบหลัก ร่วมกับสมุนไพรอื่นอีก 12 ชนิดในตำรับ มีคุณสมบัติบรรเทาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อุจจาระไม่เป็นมูก หรือมีเลือดปนและท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้ นอกจากนี้ยังจัดอยู่ในบัญชียาพัฒนาจากสมุนไพรที่สามารถใช้เดี่ยว เพื่อลดอาการแน่น จุกเสียด
ตารางที่ 1 การใช้เหง้าขมิ้นชันในการเยียวยาโรคต่างๆ ตามแนวทางการแพทย์แผนโบราณ





ประเทศ




สรรพคุณทางยา




อินเดีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 


    - ให้กลิ่นหอม เป็นยากระตุ้น และช่วยขับลม
    - ผงขมิ้นผสมกับน้ำมะนาวใช้พอกเพื่อรักษาอาการ  บาดเจ็บ เคล็ด ขัด
      ยอก บวม
    - รักษาความผิดปกติของระบบน้ำดี
    - รักษาอาการเบื่ออาหาร
    - โรคหวัด
    - แก้ไอ
    - แผลจากโรคเบาหวาน
    - ความผิดปกติของตับ
    - โรคข้อรูมาติซึม (rheumatism)
    - ไซนัสอักเสบ (sinusitis)
 
 





ประเทศ




สรรพคุณทางยา




จีน
 
 
 


    - ปวดท้อง (abdominal pain)
    - ท้องมาน (ascites)
    - ดีซ่าน (icterus)




ไทย
 
 
 
 
 


    - แก้ไข้เรื้อรัง
    - รักษาอาการผอมเหลือง
    - แก้โรคผิวหนัง
    - แก้ท้องร่วง
    - สมานแผล
    - ขับลม
    - รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย
    - รักษาแผลในกระเพาะอาหาร




 


องค์ประกอบทางเคมีของขมิ้นขัน
สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin), monodesmethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin
           น้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) มีสีเหลืองอ่อน สารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone) 60%, ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25%, borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene
องคประกอบทางเคมีที่เกี่ยวของกับการรักษาอาการ dyspepsia
        การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพบว่า เหง้าขมิ้นชัน ประกอบด้วยสารสําคัญ 2 กลุ่มคือcurcuminoids ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ให้สีเหลืองส้ม มีประมาณ 1.8 - 5.4%  ประกอบด้วย  curcumin  และสารอนุพันธ์ของ curcumin ได้แก่ desmethoxycurcumin และ bisdesmethoxycurcumin และสารสําคัญอีกกลุ่มหนึ่งคือน้ำมันหอมระเหย (volatile oils) สีเหลืองอ่อน ที่มีอยู่ประมาณ 2 - 6% ประกอบด้วยสารประกอบmonoterpenes และ sesquiterpenes เช่น turmerone, zingeberene, curcumene, borneol เป็นต้น

9

ถิ่นกำเนิดขมิ้นชัน

ขมิ้นชันมีถิ่นกําเนิดในประเทศแถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งธรรมชาติในสภาพพืชป่า มีข้อสันนิษฐานว่า ขมิ้นชันเป็นพืช ขยายพันธุ์ที่เกิดกระบวนการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติและมีโครโมโซม 3 ชุด ซึ่งเป็นหมัน มีการสืบทอดพันธุ์กันต่อมา โดยวิธีการคัดเลือกพันธุ์และ เพาะแบบไม่อาศัยเพศ ปัจจุบันมีเขตการกระจายพันธุ์ เพาะทั่วไปในประเทศที่มีอากาศร้อน หรือร้อนชื้นทั่วโลก ได้แก่ กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาดากาสกา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย รวมถึงบางประเทศในเขตร้อนชื้นของทวีปแอฟริกา แหล่งที่ เพาะปลูกขมิ้นชันเป็นการค้าขนาดใหญ่ของโลกคืออินเดีย มีแหล่ง อื่นบ้างแถบเอเซียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ อุปโภค ได้แก่ ประเทศจีน อินเดียอินโดนีเซีย และไทย
ลักษณะทั่วไปของขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ลําต้นใต้ดินเป็นเหง้า มีทั้งเหง้าหลักที่เจริญชูตั้ง รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรี บางครั้งเรียกเหง้าหลักของ "หัว" ด้านข้างของเหง้าหลักแตกแขนงในแนวระนาบ แต่ละแขนงมักแตกย่อยต่อไปได้อีก 1 - 2 ครั้ง เหง้าแขนงรูปคล้ายทรงกระบอก หรือคล้ายนิ้วมือ ตรงหรือโค้งเล็กน้อย บางครั้งเรียกเหง้าแขนงว่า "แง่ง" เนื้อเหง้าสีส้ม และมีกลิ่นเฉพาะ ลําต้นเหนือดิน เป็นลําต้นเทียมที่มีกาบใบเรียงซ้อนอัดแน่นสูงได้ถึง 1 เมตร หรือมากกว่า มีใบ 6 - 10 ใบต่อต้น ใบเดี่ยว ออกสลับถี่ กาบใบยาว 40 - 60 ซม.แผ่นใบรูปรีหรือรีแกมขอบขนาน กว้าง 10 - 20ซม. ยาว 30 - 70 เซนติเมตร  โคนใบสอบแคบหรือมน ปลายใบแหลมมาก ช่อดอกรูปทรงกระบอก กว้าง 5 - 9 เซนติเมตร  ยาว 10 - 20 เซนติเมตร  มีใบประดับจํานวนมาก รูปรีแกมขอบขนานเรียงเวียนถี่รอบแกนช่อดอก ใบประดับที่อยู่บริเวณโคนช่อดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีขาวแกมเขียวยาว 5 - 6 ซม.  กว้าง 2 - 3 เซนติเมตร  ขอบโคนใบประดับประกบติดกับใบประดับที่อยู่ใกล้เคียงและติดกับแกนช่อดอกเกิดเป็นซอกคล้ายกระเปาะ ใบประดับที่อยู่บริเวณปลายช่อดอกมีสีขาวแกมเขียวอ่อน ปลายใบประดับมีแถบสีเขียวอ่อนหรือแถบสีชมพูอ่อน โคนใบประดับไม้ประกบติดกันเป็นกระเปาะ ดอกออกในซอกกระเปาะใบประดับ 3 - 5 ดอกต่อซอก และทยอยบาน ดอกยาวประมาณ 5 ซม.  กลีบเลี้ยงสีขาวใส ติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายหยักไม้เท่ากัน กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดยาว ปลายผาย และแยกเป็น 3 กลีบเกสรตัวผู้ที่เป็นหมันแผ่เป็นกลีบขนาดใหญ่ 3 กลีบ กลีบกลางรูปไข่กลับ สีเหลืองอ่อนและมีแถบสีเหลืองเข็ม บริเวณกลางกลีบ สองกลีบข้างรูปรีแกมขอบขนานสีเหลืองอ่อน เกสรตัวผู้ที่สมบูรณ์มีก้านสั้น อับเรณูเล็กเรียวและมีจะงอย โอบรอบก้านชูยอดเกสรตัวเมีย รังไข่ 3 ห้อง ผลกลมหรือรี แต่มักไม่ติดผล
การขยายพันธุ์ของขมิ้นชัน
            ขมิ้นชันชอบแสงแดดจัดและมีความชื้นสูง ชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง วิธีเพาะปลูกใช้เหง้าหรือหัวอายุ10-12เดือนทำพันธุ์ ถ้าเป็นเหง้าควรยาวประมาณ8-12ซม.หรือมีตา6-7ตา ปลูกลงแปลง กลบดินหนาประมาณ5-10ซม.. ขมิ้นจะใช้เวลาในการงอกประมาณ30-70วันหลังปลูก ควรรดน้ำทุกวัน หลังจากนั้นเมื่อขมิ้นมีอายุได้ 9-10 เดือนจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้

  • ฤดูกาลปลูก : ควรเริ่มปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณปลายเดือนเมษายน ถึงต้นเดือนพฤษภาคม
  • ฤดูการเก็บเกี่ยว : จะเก็บเกี่ยวหัวขมิ้น ในช่วงฤดูหนาวหรือประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งช่วงนี้หัวขมิ้นชันจะแห้งสนิท

     

10

ถิ่นกำเนิดของดีปลี
ดีปลีเป็น สมุนไพรเมืองของเอเชียตุวันออกเฉียงใต้ มี ถิ่น กำเนิดที่เกาะโมลัคคาส (Moluccas) ในมหาสมุทรอินเดียและได้มีการนำมา ขยายพันธู์ และเกิดการแพร่กระจายในทางตอนใต้ของประเทศไทย รวมถึงในประเทศมาเลเซียและอินเดีย
ลักษณะทั่วไปของดีปลี

  • ต้นดีปลี จัดเป็น สมุนไพร เถามีรากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดเกาะและเลื้อยพัน เถาค่อนข้างเหนียวและแข็ง มีข้อนูน แตกกิ่งก้านสาขามาก เจริญเติบโตได้ดีในที่ชุ่มชื้น มีแสงแดดรำไร
  • ใบดีปลี มีใบเป็นใบเดี่ยว คุณสมบัติเป็นรูปไข่แกมขอบขนาน ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร มีเส้นใบออกจากโคนประมาณ 3-5 เส้น ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร
  • ดอกดีปลี หรือ ผลดีปลี ผลสดมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ประเภทของผลอัดกันแน่นเป็นช่อรูปทรงกระบอก โคนใหญ่กว่าปลายไม่มาก ปลายเล็กมน ผลมีความยาวประมาณ 2.5-7.5เซนติเมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-8 ซม. ผิวของผลค่อนข้างหยาบ และมีเกสรตัวเมียติดอยู่ ผลย่อยมีเมล็ดเดียว โดยเมล็ดมีขนาดเล็กมาก ลักษณะกลมและแข็ง ผงของผลมีสีน้ำตาล มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสเผ็ดร้อน ขมปร่า นิยมเก็บผลมาใช้เมื่อผลเริ่มเป็นสีน้ำตาล แล้วนำมาตากแดดให้แห้ง

    ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้แก่ ส่วนของดอก ใบ ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก หรือตากแดดให้แห้ง เถา และรากดีปลี
    การขยายพันธุ์ของดีปลี
    ดีปลีเป็น สมุนไพร เลื้อยที่ชอบพื้นที่ชุ่ม ดินร่วมซุย ไม่มีน้ำท่วมขังสามารถเติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน จึงเห็นได้ในทุกภาคของไทย
    การปลูกและการดูแล          ดีปลี ต้องเตรียมหลักให้เลื้อยพันตั้งแต่เพาะปลูกหลักควรมีความสูง 1.50 เมตร ถ้าสูงเกินไปจะเก็บเกี่ยวยาก จะใช้เสาปูนก็ได้แต่ดีปลีจะไม่ค่อยเกาะในระยะแรกเนื่องจากเสาปูนร้อน และไต่พันยากกว่าขึ้นต้นไม้ ถ้าจะใช้ต้นไม้บางอย่างเป็นหลักก็มีต้นทองหลางที่เหมาะมาก เนื่องจากทองหลางโตเร็วตัดยอดตัดกิ่งบังคับความสูงได้ วิธีใช้ ให้นำต้นทองหลางมาเพาะพันธ์ลงไปก่อน พอต้นทองหลางโตเป็นร่มแล้ว ก็เอาดีปลีมาปลูกที่โคน เมื่อทองหลางแตกยอดก็ตัดยอดไม่ให้สูงไปกว่านั้น
              ดีปลีจะเอายอดหรือไหลมาชำก็ได้ แต่นิยมใช้ยอดมากกว่าเพราะให้ผลผลิตได้เลย ถ้าใช้ไหลเพาะปลูกใช้เวลาหลายปีกว่าจะออกดอก ยอดที่จะนำมาชำให้ใช้ยอดกระโดงหรือยอดที่แยกออกด้านข้าง ตัดต่ำกว่ายอดลงมา 5 ข้อแล้วเอาดินเหนียวหุ้ม 2 ข้อล่าง เพื่อเพิ่มความชื่นให้แตกรากเร็วขึ้นไม่เช่นนั้นจะเหี่ยวเฉา จากนั้นจึงนำยอดไปชำลงในถุงจนกระทั่งแตกรากแล้วจึงนำไปเพาะปลูกที่โคนเสาหรือต้นทองหลาง อาจต้องใช้ลวดหรือเชือกมามัดหลวมๆ ในระยะแรก
              คอยรักษาความชุ่มชื้นในดินให้สม่ำเสมอในระยะแรก อย่าให้น้ำท่วมขัง เมื่อต้นแข็งแรงจะออกรากมาช่วยเกาะหลัก ถ้าปลูกกับเสาก็ตัดเชือกออกได้ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกดินรอบโคนต้นจะช่วยให้แข็งแรงและเติบโตดี
    การเก็บเกี่ยว          ถ้าดินมีความชุ่มชื้นได้น้ำตลอดปี ไม่แฉะเกินไป จะออกดอกได้ผลทั้งปี หน้าฝนผลจะดกแต่การตากให้แห้งทำได้ลำบาก หน้าแล้งผลผลิตลดลง แต่เก็บเกี่ยวตากแห้งได้สวยกว่า ส่วนที่เก็บเกี่ยวคือ ผล จะเก็บเมื่อผลกลางอ่อนกลางแก่ คือเริ่มมีสีแดงเรื่อๆ ปนเขียว เป็นระยะที่ผลดีปลีดีปลีมีกลิ่นฉุนจัดที่สุด ถ้ารอให้สุกแดงจะเละเกินไป
    องค์ประกอบทางเคมี  สารกลุ่ม  alkaloids เช่น piperine 4-5% , piperanine , pipernonaline , dehydropipernonaline piperlonguminine  piperrolein  B สารกลุ่ม phenolic  amides เช่น  etrofractamide    Chavicine  Methyl piperate  Guineensine  น้ำมันหอมระเหย 1%  ประกอบด้วย  terpinolene  caryophyllene  p-cymene  thujene  dihydrocarveol Pentadecane
    Caryophylleneoxide   Heptadec-8-ene  Heptadecane
     
     

    Tags : ดีปลี

11

งานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับดีปลี

  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการ ศึกษาผลดีปลี พบว่า สาร piperlonguminine ในผลสดของดีปลี สามารถต้านการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินในผิวหนังได้ และยังพบว่า สารสกัดจากผลดีปลี สามารถออกฤทธิ์ลดอาการระคายเคืองของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคกระเพาะอาหารได้
  • ในประเทศอินเดีย มีรายงานว่ามีการใช้ดีปลีในการนำมาปรุงอาหาร เพราะดีปลีมี ชนิดช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และยังแนะนำว่า ผลดีปลีแห้งควรนำมาใช้ทันที และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 ปี เพราะหากเก็บไว้นานกว่านี้ คุณสมบัติ และฤทธิ์ทางยาจะน้อยลง
  • จากการ วิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าดีปลีมีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์ของเซลล์ได้ จึงนิยมใช้ผลดีปลีเป็นส่วนประกอบของยาต้านเซลล์มะเร็ง และ รักษาโรคมะเร็ง
  • การ ทดลองสารสกัดจากผลดีปลี พบสารหลาย ประเภท และนำสารต่างๆมาทดสอบฤทธิ์ในการฆ่าแมลง พบว่า guineensine และ piperine สามารถฆ่าหนอนกระทู้ผักได้

การศึกษาทางพิษวิทยาของดีปลี

  • มีการ ศึกษาพิษเฉียบพลัน (acute toxicity test) ในหนูถีบจักรโดยใช้สารสกัดอัลกอฮอล์ (50%) จากสมุนไพรไทยชนิดต่างๆ กรอกเข้าทางปากหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แล้วดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสัตว์ วิจัยในระยะ 3 ชม.แรกอย่างใกล้ชิด ต่อจากนั้นคือ ในระยะ 12, 24 และ 72 ชม. หลังให้สารสกัดจะทำการตรวจสอบจำนวนสัตว์ทดลองที่ตาย เนื่องจากพิษของสารสกัดซึ่งในการ วิจัยนี้มีการ ทดสอบสารสกัดจากดอกดีปลี พบว่า สารสกัดขนาด 10 ก./ กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับ 250 เท่าของขนาด รักษาในคน พบว่าสารสกัดขนาดดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดพิษในหนูถีบจักร
  • การ ทดสอบฉีดสารสกัดเอทานอล (90%) จากผลแห้งเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักร พบว่า LD50 เท่ากับ 500 มก./กก.
  • การ ทดสอบให้สารสกัดเอทานอล (95%) จากผลแห้งทางกระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่า LD50 เท่ากับ 87.4 ก./กก.
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวังของดีปลี

  • ไม่ควร บริโภคดีปลีใน จำนวนที่มากเกินไป เพราะอาจจะทำให้กระเพาะอักเสบ แสบทวารเวลาขับถ่ายได้
  • สำหรับผู้ที่เป็นไข้ ไม่ควร รับประทานดีปลี เพราะจะทำให้เป็นร้อนในด้วย
  • เกิดการอักเสบของเยื่อบุในระบบทางเดินอาหารจนเกิดเลือดออกได้
  • สตรีตั้งครรภ์ ห้ามบริโภคดีปลีเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้แท้งบุตรได้

     
    รูปแบบ / วิธีการใช้/ปริมาณที่ใช้ของดีปลี

  • อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง และแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากธาตุ ผิดปกติ โดยใช้ผลดีปลีแก่แห้ง 1 กำมือ (ประมาณ 10-15 ผล) ต้มเอาน้ำ กิน ถ้าไม่มีผลใช้เถาต้มแทนได้
  • อาการไอ และขับเสมหะ ใช้ผลแห้งแก่ ประมาณครึ่งผล ฝนกับน้ำมะนาวแทรกเกลือเล็กน้อย กวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ
  • ผลดีปลีแห้งใช้เป็นเครื่องเทศ ประกอบอาหาร มีรสเผ็ดร้อน ขม
  • ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้ดอกดีปลี 10 ดอก หัวแห้วหมู 10 หัว พริกไทย 10 เม็ด นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ใช้ ทานก่อนนอนทุกคืน (ดอก)
  • ช่วยแก้ไข้เรื้อรังหรืออาการไข้ที่มักเป็น ๆ หาย ๆ ด้วยการใช้ดอกดีปลีล้างสะอาด นำมาบดหรือตำพอหยาบ ๆ ประมาณครึ่งแก้ว นำมาต้มกับน้ำ 4 แก้ว จนเหลือ 1 แก้ว แล้วกรองเอาแต่น้ำมา กินขณะท้องว่างวันละ 2 ครั้ง และสูตรนี้ยังช่วยลดอาการม้ามโตได้อีกด้วย (ดอก)
  • ช่วยแก้อาการเจ็บในลำคอ ด้วยการใช้ดอกดีปลี 3 ดอก ผิวมะนาว 1 ลูก หัวกระเทียม 3 กลีบ และพริกไทยล่อน 3 เม็ด นำทั้งหมดมาตำให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำมะนาวและคลุกให้เข้ากัน นำมาปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วใช้อมบ่อย ๆ (ดอก)
  • ช่วยลดอาการเสียงแหบแห้งได้ ด้วยการใช้ผงดีปลีผสมกับสมอไทยอย่างละ 5 กรัมจนเข้ากัน แล้วผสมกับน้ำอุ่นไว้ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง (ผล)
  • ช่วยแก้ริดสีดวงทวารหนัก โดยใช้ดอกดีปลี 10 ดอก เมล็ดงาดำดิบ 20 กรัม นำมาบดให้ละเอียดผสมกับนม ดื่มวันละ 1 แก้ว ติดต่อกัน 15 วัน (ผล, ดอก, เถา)

    ฤทธิ์ทางเภสัของดีปลี
    สารสำคัญ ในผลดีปลี คือ piperine เป็นสารที่มีผลต่อ    TRPV1 ซึ่งมีผลต่อการปวด๔ นอกจากนี้จากการ ค้นคว้าฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ชั้นเอทธานอลของดีปลียังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory)  ทั้งฤทธิ์ต้านการอักเสบเฉียบพลัน และฤทธิ์ต้านการ อักเสบกึ่งเรื้อรัง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant)
    มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา  ต้านการเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร  ต้านออกซิเดชั่น กดประสาทส่วนกลาง เสริมฤทธิ์ยานอนหลับ ลดไขมันในเลือด ลดน้ำตาลในเลือด ต้านพิษต่อตับ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว

12

สรรพคุณดีปลี[/url][/b]
ตามทฤษฎีของแพทย์แผนไทยจัดเป็นสมุนไพรประจำธาตุดิน ช่วยระงับธาตุปถวีโทษ ดอกดีปลีเป็นยารสเผ็ดร้อนขม สรรพคุณทางแผนโบราณใช้บำรุงธาตุ ขับลม แก้จุกเสียด ใช้เป็นยาสำหรับใช้กับทางเดินหายใจ เช่น ขับเสมหะ แก้หืด แก้หลอดลมอักเสบและแก้นอนไม่หลับ แก้ลมบ้าหมู เป็นยาขับน้ำดี เป็นยาขับระดูทำให้สตรีเกิดอาการแท้งบุตร เป็นยาขับพยาธิในท้อง ใช้เป็นยาทาภายนอกสำหรับบรรเทาอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อ โดยทำให้ร้อนแดงและมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้นจึงสามารถแก้อาการอักเสบ ดีปลีถูกใช้เป็นตัวยาตัวหนึ่งในตำรับยาไทยเช่น ยาสหัสธารา เบญจกูล และอีกหลายตำรับ
ตำรายาโบราณ: กล่าวว่า ผลแก้อัมพาต  แก้เส้นปัตตะฆาต  แก้เส้นอัมพฤกษ์  แก้คุดทะราดให้ปิดธาตุ  แก้โรคหลอดลมอักเสบ  เป็นยาขับระดู  เป็นยาธาตุ  ทาแก้ปวดอักเสบของกล้ามเนื้อ  ระงับอชิณโรค  บำรุงธาตุ  ขับลม  ขับลมให้กระจาย  ขับผายลม  แก้ลม  ขับลมในลำไส้  แก้ท้องร่วง  แก้ธาตุพิการ  แก้ธาตุไม่ปกติ  แก้ปฐวีธาตุพิการ  แก้วิสติปัฏฐี  แก้ปัถวีธาตุ  20  ประการ  บำรุงร่างกาย  เจริญอาหาร  แก้จุกเสียด  เจริญไฟธาตุ  แก้ปวดท้อง ขับเสมหะในโรคหืด  แก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก)  ปรุงเป็นยาประจำ  ปัถวีธาตุ  เป็นยาขับรกให้รกออกง่าย  ภายหลังจากการคลอดบุตรและใช้เวลาโลหิตตกมาก  แก้เสมหะ  แก้หืดไอ  แก้ลมวิงเวียน  แก้ริดสีดวงทวาร  แก้คุดทะราด  แก้อาการท้องอืด  ท้องเฟ้อ  แก้อาการคลื่นไส้  (เกิดจากธาตุไม่ปกติ)
           ตำรายาไทย: ดีปลีจัดอยู่ใน "พิกัดตรีกฎุก" แปลว่าของที่มีรสร้อน 3 อย่าง เป็นพิกัดยาที่ประกอบด้วยเครื่องยา 3 อย่าง ในปริมาณเสมอกันคือ พริกไทย ขิงแห้ง และดีปลี มีสรรพคุณแก้โรคที่เกิดจากวาตะ(ลม) เสมหะ และปิตตะ(ดี) ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และกองสมุฏฐาน "พิกัดตรีสันนิบาตผล(ตรีสัพโลหิตผล)" คือการจำกัดตัวยาแก้ไข้สันนิบาต 3 อย่าง คือ ผลดีปลี รากพริกไทย และรากกระเพราแดง มีประโยชน์แก้ไข้สันนิบาต แก้ในกองลม บำรุงธาตุ แก้ปถวีธาตุ 20 ประการ "พิกัดตัวยาเผ็ดร้อน 6 ชนิด" คือการจำกัดจำนวนตัวยาเผ็ดร้อน 6 ชนิด คือ ดีปลี พริกไทย ผลผักชีลา ใบแมงลัก ผลกระวาน ใบโหระพา มีสรรพคุณแก้ลมจุกเสียด ช้ำบวม ช่วยย่อยอาหาร "พิกัดเบญจกูล" คือการจำกัดจำนวนตระกูลยาที่มีรสร้อน 5 อย่าง มี เหง้าขิงแห้ง ดอกดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง มีสรรพคุณกระจายกองลมและโลหิต แก้คูถเสมหะ แก้ลมพานไส้ บำรุงกองธาตุทั้ง 4 ให้บริบูรณ์
            ตำรายาพระโอสถพระนารายณ์:ปรากฏตำรับ "ยาอาภิสะ" มีดีปลีเป็นองค์ประกอบหลักร่วมกับสมุนไพรอื่นอีกหลายคุณสมบัติ มีสรรพคุณแก้ริดสีดวง ไอ ผอมแห้ง แก้เสมหะในทรวงอกและลำคอ
           นอกจากนี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5)    ปรากฏการใช้เมล็ดเทียนดำ ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย รวม 5 ตำรับ คือ
                   1.ยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" มีส่วนประกอบของดีปลี ร่วมกับสมุนไพรอย่างอื่นๆ ในตำรับ มีประโยชน์ในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในท้อง

  • ยาเยียวยากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ "ยาธาตุบรรจบ" มีส่วนประกอบของดีปลีร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ ลดอาการท้องอืดเฟ้อ ตำรับ "ยาประสะกานพลู" มีส่วนประกอบของดีปลีร่วมกับสมุนไพรอย่างอื่นๆ ในตำรับ มีประโยชน์ลดอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย เนื่องจากธาตุไม่ปกติ ตำรับ"ยาเหลืองปิดสมุทร" มีส่วนประกอบของดีปลี ร่วมกับสมุนไพรอื่นอีก 12 จำพวกในตำรับ มีประโยชน์ลดอาการท้องเสียประเภทที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อุจจาระไม่เป็นมูก หรือมีเลือดปนและท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้

                       3.ยารักษากลุ่มอาการทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ปรากฏตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของดีปลีร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้ในสตรีที่ระดูมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าปกติ
    ผลดีปลี
    สามารถใช้รักษาแก้พิษงู  ช่วยขับเสมหะ ลดอาการคันคอ ลดอาการไอ  ช่วยลดไข้หวัด  แก้อาการปวดฟัน  แก้พิษอัมพฤกษ์ อัมพาต  แก้อาการปวดเมื่อย แก้เส้นเอ็นดึงรั้ง  แก้ท้องร่วง  ช่วยขับลมในลำไส้หรือระบบทางเดินอาหาร  แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ  แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน  แก้หอบหืด  แก้ริดสีดวง  แก้เป็นลมวิงเวียนศีรษะ  ช่วยบำรุงธาตุ  ใช้เป็นยาขับระดูและยาธาตุ
    รากดีปลี
    แก้พิษอัมพฤกษ์ อัมพาต  ช่วยลดไข้  แก้พิษคุดทะราด  แก้ท้องร่วง   แก้อาการจุกเสียด  แก้โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ    แก้ธาตุผิดปกติ    ช่วยระบายแก๊สในกระเพาะอาหาร   
    เถาดีปลี   
    ขับเสมหะ    แก้ปวดฟัน    ปวดท้องจุกเสียด   แก้ท้องขึ้น  แก้อืดเฟ้อ   แก้ท้องร่วง    ฝนน้ำทาแก้ฟกช้ำ    แก้ปวดเมื่อยตามตัว   แก้ทางเดินปัสสาวะไม่ปกติ  อัมพฤกษ์  แก้พิษงู
    ใบดีปลี
    แก้หืดไอ   แก้ปวดเมื่อย   แก้เส้นเอ็น
    ดอกดีปลี 
    แก้อาการคลื่นไส้   แก้ลมวิงเวียน   แก้อัมพาต  แก้เส้นอัมพฤกษ์   ใช้เป็นยาธาตุ   ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง  แก้ปวดท้อง   แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ  แก้โรคหืดหอบ   ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ   แก้โรคหลอดลมอักเสบ   แก้โรคริดสีดวงทวาร
     
     

13

ประโยชน์ของไคโตซาน

  • ด้านอาหาร ไคโตซานมีคุณสมบัติในการต่อต้านจุลินทรีย์และเชื้อราบางชนิด  โดยมีกลไกคือไคโตซานมีประจุบวก  และจับกับเซลล์เมมเบรนของจุลินทรีย์ที่มีประจุลบได้  ทำให้เกิดการรั่วไหลของโปรตีนและสารอื่นของเซลล์ ในหลายประเทศได้ขึ้นทะเบียนไคตินและไคโตซานให้เป็นสารที่ใช้เติมในอาหารได้ โดยนำไปใช้เป็นสารกัดบูด  สารช่วยรักษา กลิ่น  รส และสารให้ความข้น  ใช้เป็นสารเคลือบอาหาร  ผัก และผลไม้  เพื่อรักษาความสดหรือผลิตในรูปฟิล์มที่ทาน (edible film) สำหรับบรรจุอาหาร
  • ด้านการแพทย์ ไคตินเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากร่างกาย เนื่องจากไคติน-ไคโตซาน เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติสามารถเข้าได้รับร่างกายมนุษย์ และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ทั้งยังช่วยส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติต่อคนอีก  ใช้ส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียในลำไส้ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ  ต่อต้านมะเร็ง ช่วยลดสารพิษและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่เป็นอันตราย และจากการศึกษาในต่างประเทศ  พบว่าอาจย่อยสลายได้ภายในสัตว์  เนื่องจากมีเอนไซม์หลายชนิดสามารถย่อยสลายได้ นอกจากนี้ ไคติน - ไคโตซานยังสามารถยับยั้งการเจริญของจุลชีพบางชนิดด้วย
  • ด้าน[^_^] ไคโตซานช่วยลดคอเลสเตอรอส  และไขมันในเส้นเลือด  โดยไคโตซานไปจับกับคอเลสเตอรอส ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้หรือดูดซึมได้น้อยลง
  • คุณสมบัติอื่น ที่เป็นคุณสมบัติต่อการ[^_^]ตัวของไคโตซานก็คือ ความสามารถในการดูดน้ำได้ดีทำให้ผู้บริโภครู้สึกอิ่ม  และความสามารถในการเกาะกับน้ำดีซึ่งถือเป็นตัวขนย้ายไขมันตัวหนึ่ง  ทำให้ง่ายต่อการขับไขมันออกจากร่างกาย  โดยไม่มีกาย่อยเกิดขึ้น  เพราะเอนไซม์ในร่างกายของคนเราไม่อาจย่อยไคโตซานได้  เรายังพบอีกว่าไคโตซานช่วยในการลดคอเลสเตอรอสในเลือด  ซึ่งเกี่ยวข้องกับประโยชน์ในการจับกับน้ำดีของไคโตซาน  เป็นหลักฐานอย่างดีในการค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของไคโตซานในโรคหัวใจ  แม้ว่าไคโตซานจะรบกวยการย่อยและการดูดซึมโปรตีนเลย  ไคโตซานถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการต่อไปนี้
  • อ้วน
  • โรคหัวใจ
  • คอเลสเตอรอสสูง
  • ป้องกันมะเร็ง
กลไกการทำงานของไคโตซาน  ในร่างกายมนุษย์ของไคโตซาน มีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่มากทำให้ไม่ถูกดูดซึม แต่จะถูกขับถ่ายออกมาก นอกจากการจับไขมันแล้ว ไคโตซานยังมีคุณสมบัติที่ช่วยจับพวกโลหะหนัก  ซึ่งมากจากฝุ่นไอเสียรถยนต์ ยาฆ่าแมลง และ สีผสมอาหาร ได้เป็นอย่างดี วงการเภสัชกรรมจึงได้ใช้คุณประโยชน์ในการดักจับไขมันในทางเดินอาหารของไคโตซาน มาใช้ในการทานเพื่อ[^_^]  คอเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์อย่างได้ผล
            ไขมันที่จับตัวกับไคโตซาน จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต  แต่จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ  แล้วซึ่งหมายความว่า ไขมันในอาหารมื้ออร่อยปากที่เรารับประทานเข้าไป จะถูกดักจับเสียก่อน โดยไม่มีการดูดซึมเข้าร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับไขมันจากอาหารน้อยลง
ไคโตซานช่วยดักจับไขมันและช่วย[^_^] ไคโตซานไม่ถูกย่อย เช่นเดียวกับเส้นใยทั้งหลาย จึงไม่ให้แคลอรี่ แต่ที่ต่างจากเส้นใยจากพืชทั่วไป คือ ไคโตซานสามารถดักจับไขมันได้สูง ประมาณ 8 - 10 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง กลายเป็นเหมือนก้อนวุ้นไขมันในทางเดินอาหาร และ ถูกขับถ่ายออกในที่สุด
 
แหล่งที่มา / แหล่งอาหารที่มีไคโตซาน
          แหล่งอาหาร  เปลือกกุ้งขนาดกลางและเล็ก  กุ้งก้ามกราม  และปู  รวมทั้งแพลงตอนและผนังเซลล์ของเชื้อรา ผลิตภัณฑ์ของไคโตซานชนิดรับประทานที่พบในท้องตลาดจะอยู่ไปรูปยาตอกเม็ดแคปซูลปลอกแข็ง  แคปซูลนิ่มเจลาติน  และบางครั้งพบอยู่ในรูปส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการ[^_^]
แหล่งที่พบ ในธรรมชาติเราพบไคติน - ไคโตซาน มีปริมาณมากเป็นดับสองรองจากเซลลูโลส แต่ไม่พบเป็นโครง สร้างหลักเดี่ยวๆ ในสิ่งมีชีวิต โดยพบในรูปที่เป็นสารประกอบปะปนอยู่กับสารอื่นๆเช่น  อยู่ร่วมกับหินปูน หรือแคลเซียม และโปรตีน ในรูปสารประกอบเชิงซ้อน และแหล่งวัตถุดิบสําคัญของไคติน - ไคโตซาน ดังแสดงในตาราง
 

Tags : ไคติน

14

แหล่งกำเนิดไคโตซาน[/url]  [/b]
ไคโตซาน (Chitosan) เป็นสารอนุพันธ์ที่ไม่ละลายน้ำของไคติน ซึ่งอาจสกัดได้จากเปลือกของกุ้งขนาดกลางและเล็ก  กุ้งกร้ามกราม หรือปู
ไคติน (Chitin) เป็นพอลิเมอร์ชีวภาพเกิดในธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตผสม  ประกอบด้วยอนุพันธ์ของน้ำตาลกลูโคสที่มีธาตุไนโตรเจนอยู่ในโครงสร้างทำให้มีคุณสมบัติที่โดดเด่น และหลากหลาย ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นสารที่มีความปลอดภัยในการใช้กับมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม สารไคติน-ไคโตซานนี้มีลักษณะพิเศษในการนำมาใช้ดูดซับและจับตะกอนต่างๆ สารละลาย แล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ซึ่งเป็นการหมุนเวียนตามระบบธรรมชาติ
โครงสร้างทางเคมีของสารไคติน  (Poly (1,4-2-acetamido-2-deoxy--D-glucosamine)) คล้ายคลึงกับเซลลูโลส คือ สารพอลิแซ็กคาไรด์ที่มีกลูโคสเป็นองค์ประกอบหลัก ไคตินที่เกิดในธรรมชาติมีโครงสร้างของผลึกที่แข๊งแรงมีการจัดตัวของรูปแบบของผลึกเป็น 3 ประเภทได้แก่ แอลฟ่าไคติน, บีต้าไคติน, และแกมม่าไคติน ไคตินที่เกิดในเปลือกกุ้งและปู และส่วนใหญ่อยู่ในปลาหมึกพบว่าส่วยใหญ่เป็นบีต้าไคติน และซึ่งทั้งสองชนิดมีความแตกต่างในการจัดเรียงตัวของโครงสร้างตามธรรมชาติ โดยพลว่าแอลฟ่าไคตินมีคุณชนิดของเสถียรภาพทางเคมีสูงกว่าบีต้าไคติน  ดังนั้นจึงมีโอกาสที่บีต้าไคตินอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นแอลฟ่าไคตินได้ในสารละลายของกรดแก่ เช่น กรดเกลือ เป็นต้น  ส่วนแกมม่าไคตินเป็นโครงสร้างผสมระหว่างแอลฟ่าและบีต้าไคติน

ไคติน (Poly (1, 4-2- acetamido-2-deoxy--D-glucosamine)) ไคตินมีสูตรทางเคมีของโมโนเมอร์ คือ C  H  NO ประกอบด้วย C  47.29%   H   6.45%  N 6.89%  และ O  39.37%  พบได้ในเปลือกของสัตว์  เช่น  กุ้ง  ปู  หมึก  แมลง ตัวไหม  หอยมุก  และผนังเซลล์ของพวกรา  ยีสต์ และจุลินทรีย์อีกหลายชนิด  ไคตินในธรรมชาติเป็นของแข็งอันยรูปในทางปฏิบัติไคตินละลายได้ในกรดอนินทรีย์  เช่น  กรดเกลือ  กรดกำมะถัน  และกรดฟอสฟอริกกรดฟอร์มิกที่ปราศจากน้ำ แต่ไม่ละลายในน้ำต่างเจือจาง แอลกอฮอล์  และตัวทำละลายอินทรีย์อื่นๆ โครงสร้างของไคตินแสดงไว้ในรู
ไคโตซาน คือ สารธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีในสัตว์กระดองแข็งและขาเป็นปล้อง เช่น เปลือกกุ้ง กั้ง และกระดองปู ซึ่งเมื่อนำมาสามารถสกัดแยกเอาแคลเซียม และโปรตีน และแร่ธาตุที่ไม่ต้องการออกไป ก็จะได้สารสำคัญที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายเซลลูโลส เรียกว่า "ไคติน" (chi-tin) ไคโตซานถูกค้นพบในปี 1859 โดยศาสตราจารย์ C.Rouget
ไคโตซาน (Poly (1, 4-2- amino-2-deoxy--D-glucosamine))
            ไคโตซานเกิดจากปฏิกิริยาการกำจัดหมู่อะซีติล (Deacetylation) ของไคตินด้วยด่างเข้มข้น ทำให้โครงสร้างของไคตินบางส่วนเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการเปลี่ยนหมู่ฟังก์ชันที่มีหมู่อะเซตามิโด (-NHCOCH)เปลี่ยนไปอยู่ในรูปของหมู่อะมิโน (-NH) ที่ตำแหน่งคาร์บอนตัวที่ 2 สมบัติทางกายภาพและทางเคมีของไคโตซานเป็นโพลิมเมอร์สายยาว มีประจุบวก เนื่องจากเกิดโปรโตเนตหมู่อะมิโน (ในรูป-NH) ปกติไคโตซานละลายได้ดีในกรดอินทรีย์  เช่น กรดอะซีติกกรดโพรพาโนอิก กรดแลคติก เป็นต้น pK ของไคโตซานขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของโพลิเมอร์ขอบเขตของความสะเทินของประจุและค่าระดับการกำจัดหมู่อะซีติล (%DD) ที่มีเศษส่วนโมลเดียวกันกับคู่กรดที่ถูกสะเทิน pK ของไคโตซานมีค่าอยู่ในช่วง 6.2 และ 6.8 สารละลายของไคโตซานมีความเหนียวใส มีพฤติกรรมแบบนอน - นิวโตเนียน (non-newtonian)
 
ไคโตซาน (chitosan) เป็นสารธรรมชาติที่รู้จักกันมานานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่ได้มีการศึกษาเพื่อนำมาใช้ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้มีการรวมตัวกันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อค้นหา|วิจัย|หา|ค้นคว้า}เกี่ยวกับคุณสมบัติของสารตัวนี้ ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานของไคโตซาน ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างค้นหา|วิจัย|หา|ค้นคว้า}ออกมาได้ผลตรงกัน คือ ไคโตซานเป็นสารที่มีประจุบวก จึงสามารถดักจับไขมันต่างๆที่เป็นประจุลบได้ โดยมีการวิจัยใช้สารไคโตซานครั้งแรกในการบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพที่ประเทศญี่ปุ่น และซึ่งหลังจากนั้นไคโตซานก็ได้เข้าไปมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรมหลายสาขา

 

Tags : ไคโตซาน,ไคติน

15

การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชของไคโตซาน[/url] [/b]
จากการค้นหาในหนู พบว่า ไคโตซานและไคติน ยังช่วยลดการเพิ่มของน้ำหนักได้ 143% และจากการค้นพบในคนอ้วน โดยให้รับประทานไคโตซาน วันละ 3 กรัม เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าช่วยลดการเพิ่มของน้ำหนักได้ 22%
ในปีค.ศ.2007 และมีการหาเชิงระบาดวิทยากับประชากรกลุ่มใหญ่ เพื่อค้นหาการ[^_^] พบว่ากลุ่มที่ทานไคโตซาน มีน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญเฉลี่ย 1.7 กิโลกรัม และเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานไคโตซาน
มีรายงานการใช้ไคโตซาน ในงานหา[^_^]ที่เมือง Helsinki ประเทศ Finland ในคน 100 คน น้ำหนักตัวเฉลี่ย 80 กิโลกรัมต่อคน พบว่าไคโตซาน อาจลดปริมาณไขมันในร่างกายได้ถึง 8% และ [^_^]เฉลี่ยได้ถึง 8 กิโลกรัม ต่อคน ภายใน 4 สัปดาห์ รวมทั้งลดความดันโลหิตลงด้วย
ที่จริงเรื่องของไคโตซานนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ในประเทศต่างๆ  เช่น ยุโรป และอเมริกา ทำการค้นพบกันมากมาย แต่ศาสตราจารย์ ดร.ชิกิฮิโร่ ฮิราโน่ (Prof. Shigehiro Hirano) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นนักเคมีชาวญี่ปุ่นที่ทำการค้นคว้าเรื่องไคตินไคโตซานอย่างจริงๆจังๆ มานานเกือบตลอดชีวิต กว่า ๒๐๐ งานค้นหา เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไคโตซาน ดร.ฮิราโน่กล่าวว่า ถึงแม้เขาจะทำงานศึกษาเรื่องไคโตซานมามาก แต่สารธรรมชาติชนิดนี้ก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขาอยู่เสมอ เพราะทุกๆครั้งที่ทำการค้นพบ เขาก็จะพบคุณและประโยชน์ใหม่ๆของไคโตซานอยู่เรื่อยๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม
ขนาดรับประทาน / ปริมาณที่ควรรับประทานไคโตซาน
ไคโตซาน ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ช่วยลดความอ้วนได้ โดยขัดขวางการดูดซึมของไขมัน ในขณะที่ผ่านทางเดินอาหาร ไคโตซานจะช่วยดูดซับไขมันได้ 4-6 เท่าของน้ำหนักตัว ส่งผลให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกาย ก่อนที่ร่างกายจะดูดซึมและเก็บไว้เป็นน้ำหนักส่วนเกิน
ขนาดรับประทาน  ในขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดขนาดรับประทาน  หรือปริมาณที่แนะนำต่อวัน (RDA) ของไคโตซานอย่างแน่นอน  แต่จากการค้นคว้าหลายกรณีชี้ให้เห็นว่าไคโตซาน 8 กรัม (ไคโตซานแคปซูล 250 มิลลิกรัมจำนวน 8 เม็ดต่อวัน  หรือขนาดแคปซูลละ 500 มล.จำนวน 4 เม็ดต่อวัน) อาจดูดซับไขมันได้ 10 กรัม  และกำจัดออกจากร่างกายไปกับของเสีย
งานค้นพบทางการแพทย์ พบว่าไคโตซาน  มีความปลอดภัยต่อมนุษย์สูง และ ไม่พบอันตรายจากการใช้  รวมทั้ง US Environmental Protection Agency ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ให้การรับรองว่า ปราศจากสารพิษ  และ สารที่ก่อให้เกิดมลภาวะ
ข้อแนะนำ / ข้อระวังในการใช้ไคโตซาน
ใช้ในผู้ที่แพ้อาหารทะเล เพราะเสมือนว่ารับประทาน  อาหารทะเลเข้าไป จึงทำให้เกิดอาการในผู้ที่แพ้อาหารทะเล รวมทั้งเด็ก หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตรก็ไม่ควรกิน  ไคโตซาน ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาการย่อยผิดปกติ
ไคโตซานจะดูดซับวิตามินที่ละลายในไขมันที่สำคัญอย่าง วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี และวิตามินเค ไปด้วย จึงควรรับประทาน เฉพาะช่วงเวลาที่จำเป็น และไม่ควรรับประทาน  ต่อเนื่องกันนานเกินกว่า 2 อาทิตย์ และหากคุณรับประทาน  ไคโตซาน จึงควรกิน  อาหารที่มีวิตามินที่ละลายในไขมัน และกรดไขมันที่จำเป็นเพิ่มขึ้นด้วย
 

16

ประโยชน์ / สรรพคุณของถั่วขาว
ถั่วขาว มีคุณค่าทางโภชนาการอาหารที่จำเป็น เช่น คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เเละมีกากและเส้นใยอาหารและมีสารช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟ่า-อะไมเลส เเละทำให้ลดการสะสมแป้งในร่างกาย การใช้ประโยชน์ของถั่วขาว ได้ถูกนำมาแปรรูปทางด้านอุตสาหกรรมและอาหารพร้อมบริโภคต่างๆ หลากหลาย เช่น ถั่วขาวในกาแฟและโกโก้ ซุปครีมถั่วขาว ถั่วขาวผสมคอลลาเจน ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ หรือจะเป็นเมล็ดแห้งก็พบเช่นกัน
จากการวิเคราะห์ cooked bean ในประเทศกัวเตมาลา พบว่า มีโปรตีน 24.9 % ไขมัน 0.7% และเส้นใย 2.8%  คุณสมบัติที่นิยมและโดดเด่นที่สุดสำหรับถั่วขาวสกัด คือการเป็น[^_^][^_^]ที่มีประสิทธิภาพ ถั่วขาวขึ้นชื่อว่าเป็น ตัวบล็อคแป้ง (Starch Blocker) มีจุดเด่นในการช่วยให้ร่างกายลดการดูดซึมสารอาหารชนิดแป้งได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เเละจึงส่งผลให้แป้งถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและถูกเก็บเป็นไขมันน้อยลง  เเละเมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากแป้งส่วนหนึ่ง ทำให้ขาดพลังงานได้ ร่างกายจึงเข้าไปดึงไขมันที่สะสมอยู่มาเผาผลาญเปลี่ยนเป็นพลังงานแทน จึงทำให้ไขมันสะสมในร่างกายของเราลดน้อยลงนั่นเอง
ธรรมชาติของร่ายกาย เมื่อรับประทานอาหารจากพวก แป้ง,ข้าว เข้าไป ร่างกายจะหลั่งสารL-amylaseมาย่อย Carbohydrate ให้เป็นหน่วยโมเลกุลเล็ก ๆ คือ น้ำตาล Glucose จากนั้นร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลGlucose ให้เป็นพลังงาน (Energy) เพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมของร่างกายหากรับประทานแป้งมากกินไปเสมือนหนึ่งมีน้ำตาล Glucose มากเกินความต้องการของร่างกาย น้ำตาล Glucose ส่วนเกิน จะไปเป็นไขมัน สะสมใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกายต่อไป ไขมันสะสมทำให้เราอ้วน  และน้ำหนักมากเกินไป
 
White kidney bean หรือสารสกัดจากถั่วขาว ทำหน้าที่ ยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์ L-amylase ได้ถึงกว่า 50% ซึ่ง นั่นหมายความว่า หากเรารับประทานอาหารจำพวกแป้งเข้าไป 1 จาน แต่ร่างกายเพียงสามารถเปลี่ยนแป้งให้เป็น Glucose และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนต่อไปเป็นไขมัน ได้เพียงครึ่งจานเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งจานจะอยู่ในรูป Carbohydrate ที่ไม่ดูดซึม แล้วขับถ่ายออกมาในรูปของเส้นใย (Fiber) แทน
 
 
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ฟื้นฟูในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน ช่วยระบบขับถ่าย แก้ปัญหาท้องผูก เนื่องจากในถั่วขาวมีใยอาหารในชนิดมาก เเละถั่วขาวอุดมไปด้วยโปรตีนที่มีคุณสมบัติช่วยสร้างและซ่อมแซมเซลล์ เเละช่วยฟื้นฟูเซลล์และอวัยวะที่เสื่อมสภาพ
 

ถิ่นกำเนิด ของถั่วขาว
ถั่วขาว (White Kidneys Beans) เป็นถั่วที่ชาว แอชเทกส์ (Aztecs) นำเข้ามาเพาะในอเมริกากลางลักษณะคล้ายกับถั่วฝักยาว และ ถั่วบอร์ลอตติ (Borlotti bean) มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่สูง ในแถบประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา หลังการ ค้นคว้าทวีปอเมริกาได้กระจายเข้าสู่ทวีปยุโรปและทวีปอื่นๆต้องการอากาศหนาวเย็นในช่วงการเจริญเติบโต และส่วนในประเทศไทยมีการเพาะ ถั่วขาวในพื้นที่โครงการหลวง ได้แก่ พันธุ์ปางตะ 2 ที่อาจเพาะปลูก ได้ดีและให้ผลผลิตสูง
ลักษณะทั่วไปถั่วขาว
ถั่วขาวมีชนิดทางพฤกษศาสตร์เหมือนถั่วแดงหลวง และถั่วแขก กล่าวคือ เป็นพืชล้มลุกฤดูเดียวทรงต้นเป็นพุ่มเตี้ย และทอดยอดเป็นบางพันธุ์ ใบเป็นชุดประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ ชนิดของใบย่อยอาจกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับพันธุ์มีระบบรากแก้วหยั่งลึกลงดิน ดอกออกเป็นช่อ มีลักษณะเช่นเดียวกับดอกถั่วทั่วๆ ไป โดยธรรมชาติเป็นพืชผสมตัวเอง ภายหลังการผสมพันธุ์ฝักจะเจริญออกมายาว ฝักอาจกลมหรือแบนประกอบด้วยเมล็ดหลายเมล็ด เมล็ดมีสีขาว คุณสมบัติกลมมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดถั่วแดงหลวง ถั่วขาวมีจำนวนโครโมโซม 22 โครโมโซม(2n=2x=22) เท่ากันกับถั่วแดงหลวงและถั่วแขก
ถั่วขาวในประเทศไทยจัดเป็นพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศตามต้นกำเนิดของพืช ความเหมาะสมของพื้นที่ที่ใช้เพาะปลูกในประเทศไทยจึงอยู่ในเขตบนที่สูงที่มีอากาศเย็นที่ระดับความสูงประมาณ 800 - 1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และอุณหภูมิในช่วงการเจริญเติบโตควรอยู่ระหว่าง18.3 - 23.9 องศาเซลเซียส อากาศร้อนกว่า 24 องศาเซลเซียส ประเภททำให้การผสมเกสรไม่ดีดอกร่วง อากาศเย็นและชื้น ฝนชุกก็จะทำให้การเติบโตไม่ดี และไม่ทนต่อการเกิดน้ำค้างแข็ง
การขยายพันธุ์ของถั่วขาว
การปลูกถั่วขาว ดินที่ปลูกควรมีความอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดีไม่เป็นกรดจัด ดินที่ใช้เพาะได้ผลผลิตดีควรมีระดับความเป็นกรด (pH) 6.5 - 6.8 ระยะเพาะระหว่างหลุม และระหว่างแถวควรจะอยู่ประมาณ25x50 เซนติเมตร ใช้เมล็ดพันธุ์ดีประมาณ 10 กิโลกรัมไร่โดยหยอดหลุมละ 4 - 5 เมล็ด
โครงการค้นคว้าและพัฒนาถั่วที่สูง มูลนิธิโครงการหลวงได้นำถั่วขาวมาพัฒนาและค้นหาพันธุ์ที่เหมาะสมในการเพาะปลูกบนที่สูง เพื่อทดแทนการเพาะฝิ่น โดยทดลองขยายพันธู์สถานีเกษตรหลวงปางดะและศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองเขียวระหว่างปี 2541 - 2547  พันธุ์ถั่วขาวที่ค้นพบได้แก่ พันธุ์ปางดะ 1 ปางดะ 2 ปางดะ 3 และ ปางดะ 4 จากการค้นหา พบว่า ผลผลิตเฉลี่ยของทั้ง 5 ฤดูเพาะของถั่วขาวแต่ละพันธุ์แตกต่างกันระหว่างพันธุ์ ถั่วขาวพันธุ์ปางดะ 1 ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 238.6 กิโลกรัมต่อไร่รองลงมาคือสายพันธุ์ปางดะ 2 ปางดะ 4 และปางดะ 3แต่ละพันธุ์มีอายุเก็บเกี่ยวเฉลี่ยทั้ง 5 ฤดูปลูก 67-82 วันโดยที่พันธุ์ปางดะ 4 มีอายุเก็บเกี่ยวนานที่สุด รองลงมาได้แก่พันธุ์ปางดะ 1 2 และ3 แต่ในปัจจุบันพันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกคือ ปางดะ 2 และฤดูเพาะปลูกที่เหมาะสมอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนธันวาคม
สารสกัดที่ได้จากการสกัดเมล็ดถั่วขาว[/url][/b]
การนำเมล็ดถั่วขาวมาสกัดด้วยน้ำพบสาร ฟาซิโอลามิน(Phaseolamin) ในส่วนของโปรตีน ที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส(alpha-amylase) ซึ่งมีหน้าที่ย่อยแป้งดิบและแป้งสุกที่ลำไส้เล็ก ทำให้อาหารประเภทแป้งที่เรารับประทานเข้าไปไม่เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาลทั้งหมด  โดยสารฟาซิโอลามินในถั่วขาว เเละมีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการย่อยแป้งเป็นน้ำตาบถึง 66% แป้งที่เราบริโภคเข้าไปจึงไม่ถูกดูดซึมสู่ร่างกายทั้งหมด การสะสมของไขมันที่เกิดจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลจึงลดลงด้วย เเละเมื่อร่างกายได้รับพลังงานลดลงจึงดึงเอาไขมันเก่าที่สะสมไว้มาเผาผลาญทำให้ไขมันในร่างกายลดลงด้วย

Tags : ประโยชน์ถั่วขาว

17
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่วขาว
สารฟาซิโอลามิน ถูก ค้นหาจากสารสกัดจากถั่วแดงหลวง (kidney bean) ในปีค.ศ. 1975 และในปีค.ศ. 1980 เเละเริ่มมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารสกัดฟาเซโอลามิน โดยกล่าวว่ามีคุณสมบัติเป็นตัวบล็อกแป้ง (starch blockers) เเละเริ่มใช้ในผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นเบาหวาน ปีค.ศ. 2001 มีการ วิจัยผลของสารสกัดจากถั่วขาว (Phase 2TM) ต่อการดูดซับแป้งน้ำหนักของบุคคลที่ กินและ Body fat mass โดย กินในคน 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 30 คน กินสารสกัดจากถั่วขาว (Phase 2TM) 500 มก. ก่อนรับประทานอาหารอีกกลุ่มไม่ได้ กินสารสกัดจากถั่วขาว เป็นเวลา30 วัน ผลการ ค้นคว้า พบว่า กลุ่มที่ รับประทานสารสกัดจากถั่วขาวมีค่า การดูดซับแป้งลดลงถึง 66% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้กิน ซึ่งค่าดูดซับแป้งไม่ลดลงแต่อย่างใด
นอกจากนั้นยังพบว่าหลังจากครบ 30 วัน น้ำหนักเฉลี่ยของกลุ่มที่ ทานสารสกัดจากถั่วขาวลดลง 6.45 ปอนด์(2.93 กก.) เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน ซึ่งไม่มีบุคคลใดน้ำหนักลดลงถึง 1 ปอนด์(0.45 กก.) เลย และยังพบว่ากลุ่มที่ที่ รับประทานสารสกัดจากถั่วขาวมีBody fat mass เเละลดลงมากกว่า 10% และมีขนาดรอบเอวลดลงมากกว่า 3% ด้วยในปีค.ศ. 2004 มีรายงานการ ค้นคว้าของนายแพทย์Jay Udini และคณะยืนยันผลของสารสกัดถั่วขาวในประเภทเดียวกัน ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Alternative Medicine Review2004 :9 :1 ; 36-39. ในหัวเรื่อง "ค้นหาผลของ "Phase 2" ในการยับยั้งการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและ[^_^]"(Blocking Carbohydrate Absorbtion and Weight Loss: A Clinical Trial Using Phase 2 Brand Proprietary  Fractionated White Bean Extract) โดย วิจัยในกลุ่มอาสาสมัครที่เป็นคนอ้วน 50 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธี สุ่มตัวอย่าง กลุ่มแรกให้ ทานPhase 2 1,500 มก.วันละ 2 เวลาพร้อมอาหารส่วนอีกกลุ่มเป็น กลุ่มเปรียบเทียบไม่ได้รับ Phase 2 จากการศึกษาพบว่า Phase 2 สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้และมีผลต่อการ[^_^]และสัดส่วนดังตารางต่อไปนี้
การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่วขาว[/url]
 เเละมีการ ค้นหาด้านความปลอดภัย พบว่าไม่พบอาการข้างเคียงอันตรายแบบเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง แต่เมื่อแป้งส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกย่อย ผ่านเข้าไปสู่ลำไส้ใหญ่ อาจเกิดการหมักจากเชื้อจุลินทรีย์ และก่ออาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้เช่น {เจ็บ|ปวดท้องญ ท้องเสีย อาเจียนได้
รูปแบบขนาดวิธีใช้ของถั่วขาว ปัจจุบันมีข้อมูลว่าการ รับประทานสารสกัดจากถั่วขาวปริมาณ 500-3000 มก.ต่อวัน เเละช่วยให้[^_^]ได้
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง 

  • หาก ทานถั่วขาวสกัดในจำนวนมากเกินควรอาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงเช่น จุกเสียดท้อง ท้องเสีย และท้องอืด ได้ เเละผู้ที่แพ้อาหารประเภทถั่วไม่ควร กินสารสกัดจากถั่วขาว
  • ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อน ทานถั่วขาวสกัด
  • ผู้ที่เป็นโรคตับและโรคไตควรปรึกษาแพทย์ก่อน กินถั่วขาว
  • ผู้ที่กำลัง กินยาลดน้ำตาลอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน กินเช่นกัน เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำเกินไป
  • จุดเด่นของสารสกัดจากถั่งขาว คือ สกัดปริมาณการย่อยอาหารกลุ่ม ข้าวแป้ง จึงเหมาะกับบุคคลที่พบปัญหาการบริโภคอาหารประเภทข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว มากเกินพอดี ผู้ที่อ้วนเพราะชอบอุปโภค ขนมหวาน น้ำตาล หรือ อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน เนื้อสัตว์ ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากถั่วขาว
  • ก่อนซื้อควรอ่านฉลากดูปริมาณของสารสกัดจากถั่วขาวที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ด้วย ไม่ควรหวังผลด้าน[^_^] หากปริมาณที่ได้รับจาการบริโภคต่อวัน น้อยกว่า 500 มิลลิกรัม ซึ่งจะเห็นว่าหลายผลิตภัณฑ์โฆษณาว่ามีสารสกัดจากถั่วขาว แต่จำนวนมีเพียงเล็กน้อย
  • ควรต้องคำนึงถึงช่วงระยะเวลาในการอุปโภคด้วย เเละช่วงที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด ควรอุปโภคก่อนอาหารมื้อหลักพร้อมน้ำ
  • บริโภคก่อนอาหารอย่างน้อย 1 - 2 ชั่วโมง เเละเนื่องจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะผ่านออกจากกระเพาะอาหารใช้เวลาประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง
  • ผู้ที่รับประทานถั่วขาวสกัดเพื่อ[^_^] ควรออกกำลังกายเพิ่มเติมและคุมอาหารประเภทอื่นๆที่นอกจากแป้งร่วมด้วย เนื่องจากการรับประทาน[^_^][^_^]เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เห็นผลเร็วเท่าการดูแลตัวเองร่วมด้วย



Tags : การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่วขาว

18

สรรพคุณของเจียวกู่หลาน 
สรรพคุณยาจีน  แพทย์แผนจีนใช้ส่วนเหนือดินหรือใบเจียวกู่หลานเป็นยาแก้อักเสบ  แก้ไอ  ขับเสมหะ และแก้หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง  ชาชงเจียวกู่หลานใช้บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย  ช่วยให้เจริญอาหาร  ช่วยให้นอนหลับ  และยังสามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน จีนตอนใต้แถบยูนานไปจนถึงไต้หวันรู้จักเจียวกู่หลานมาเนิ่นนาน  โดยถือเป็นยาอายุวัฒนะ
สรรพคุณยาไทย  ยาพื้นบ้านของขาวเขาเผ่ามูเซอ  ใช้ทั้งต้นเป็นยาพอกเยียวยา  บำรุงกระดูกและอาการเจ็บกระดูก  เจ็บในข้อมือ  ข้อเท้า  และอาการฟกช้ำดำเขียว  ชาวเขาพวกจีนฮ่อใช้ใบกิ่งและลำต้นเจียวกู่หลานมาคั่วทำเป็นชาสำหรับดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง  ยาพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าลาฮู (lahu) ใช้ทั้งต้นเป็นยาพอกรักษาแผล  ช่วยบำรุง อาการกระดูกและอาการเจ็บกระดูก มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด  ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง. ต้านอักเสบ  ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
คุณประโยชน์ของเจียวกู่หลาน

  • ช่วยลดโคเลสเตอรรอลชนิด LDL และ ช่วยบำรุง สมดุลในการเกิดของไขมัน HDL จึงลดสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน ช่วยทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันได้ดี จึงลดไขมัน ไม่ให้สะสมตามผนังหลอดเลือด เนื่องจากในตัวของเจียวกู่หลานมีใยธรรมชาติที่สามารถจะดูดซับไขมันแล้วขับถ่ายออกไปจากร่างกายได้
  • ช่วยปรับความสมดุลของระบบความดันโลหิต เช่น  ช่วยปรับการทำงานของหัวใจในสภาวะเกิดระดับความดันโลหิตต่ำ  และสามารถรักษาการขยายตัวของหลอดเลือด เช่น ช่วยปรับการทำงานของหัวใจในสภาวะเกิดระดับความดันโบหิตต่ำ  และยังช่วยการขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อร่างการมีความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และการเต้นของหัวใจ  รวมทั้งป้องกันการเกิดภาวะอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้
  • เจียวกู่หลานช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และยังสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลิน  และยังยั้งการดูดซึมกลูโคสในทางเดินอาหาร
  • ช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของเซลล์ในร่างกาย เนื่องจากมี Flavonoids, Glycoside ที่มีสรรพคุณในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
  • ช่วยต้านการอักเสบ แก้ปวด ปวดศีรษะไมเกรน  ขับเสมหะ  แก้ไอ
  • ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และลดอาการแพ้
  • เยียวยาแผลในกระเพาะอาหาร
  • ยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง
  • ช่วยการทำงานของระบบกล้ามเนื้อหัวใจและระบบการไหลเวียนของโลหิต
  • เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเซลล์ เสริมสร้างเซลล์ไขกระดูกและเม็ดเลือดขาว
  • ช่วยลดอาการผมหงอก ผมร่วง
  • ช่วยเพิ่มปริมาณเชื้ออสุจิ
  • มีการค้นหาและวิจัยและศึกษาจากสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ว่ามีฤทธิ์ยับยั้ง gnzyme  HIV  protease   ทำให้เชื้อไวรัส HIV ไม่เพิ่มจำนวนขึ้น
  • มีฤทธิ์ในการลดภาวการณ์เกิดพิษเรื้อรังที่ตับ และลดการเกิด fibrosis โดยพบว่า Gypenoside ในเจียวกู่หลานจะลดการเพิ่มขึ้นของ SGOT และ SGPT  ได้สามารถป้องกัน biomembrane จากการเกิด oxidationinjury  ได้
  • ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพต่อการสั่งงานของสมอง ช่วยลดปัญหาความจำเสื่อมได้
  • ช่วยในการบำรุงสายตา


มีสารช่วยบำรุงร่างกาย
 
 
 
 
องค์ประกอบทางเคมีของเจียวกู่หลาน Gypenoside Flavonoids ส่วนประกอบอื่นๆ ที่พบได้เช่นเดียวกับที่พบในโสม 6 ชนิด และเหมือนกันกับที่พบในโสมอีกหลายชนิด เช่น Glycoside, Saponin เป็นต้น แร่ธาตุต่างๆ เช่น ซีลีเนียม แมงกานีส  ทองแดง  เจอมาเนียม เหล็ก แมกนีเซียม โซเดียม  โพแทสเซียม  ซิงค์  แคลเซียม   กรดอะมิโน เช่น Arginine, Cystine, Flycine, Lysine, Phenylanine เป็นต้น  โปรตีน  คาร์โบไฮเดรต  และไขมัน
องค์ประกอบทางเคมีของเจียวกู่หลาน Gypenoside  Flavonoids ส่วนประกอบอื่นๆ ที่พบได้เช่นเดียวกับที่พบในโสม 6 ชนิด และเหมือนกันกับที่พบในโสมอีกหลายชนิด เช่น Glycoside, Saponin เป็นต้น แร่ธาตุต่างๆ เช่น ซีลีเนียม แมงกานีส  ทองแดง  เจอมาเนียม เหล็ก แมกนีเซียม โซเดียม  โพแทสเซียม  ซิงค์  แคลเซียม   กรดอะมิโน เช่น Arginine, Cystine, Flycine, Lysine, Phenylanine เป็นต้น  โปรตีน  คาร์โบไฮเดรต  และไขมัน
 
 
 

หน้า: [1] 2