แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - kdidd

หน้า: [1] 2
1

ขายถั่งเช่า ถั่งเช่าช่วยเพิ่มสมรรถภาพ จริงหรือ?
สั่งซื้อคลิ๊กลิงค์:ได้เลยครับ
ณ วันนี้อาจไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยิน คำว่า "ถั่งเช่า" หรือ "ถั่งเฉ้า" สมุนไพรขายถั่งเช่าที่อ้างกันว่าช่วยเสริมความสามารถทางเพศ จริงๆแล้ว "ถั่งเช่า" เป็นยังไง มีคุณประโยชน์ตามคำกล่าวอ้างพวกนั้นหรือไม่? บทความนี้มีคำตอบ
ขายถั่งเช่า" หรือที่รู้จักกันว่า "ไวอากร้าแห่งแนวเขาหิมาลัย" หรือ ตังถั่งเช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า แปลเป็นไทแก่ตัวว่า "หน้าหนาวเป็นหนอน หน้าร้อนเป็นหญ้า" หรือที่เรียกกันว่า "หญ้าหนอน" ทั้งนี้เพราะว่า ขายถั่งเช่ายาสมุนไพรชนิดนี้มี 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอนหมายถึงตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hepialus armoricanus Oberthiir แล้วก็บนตัวหนอนมีเห็ดมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนชนิดประเภทนี้ในช่วงฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน แล้วต่อจากนั้นตัวหนอนกลุ่มนี้ก็จะกินสปอร์ และก็เมื่อหน้าร้อนสปอร์ก็เริ่มเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยแตกหน่อขายส่งถั่งเช่าออกมาจากท้องของตัวหนอน และผลิออกออกจากปากของมัน เห็ดกลุ่มนี้อยากแดดมันจึงผลิออกขึ้นสู่พื้นดิน รูปลักษณะภายนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะเบาๆตายไป อยู่ในรูปแบบของหนอนตายซาก ด้วยเหตุนี้ "ถั่งเช่า" ที่ใช้สำหรับทำเป็นยาก็เป็น ตัวหนอนแล้วก็เห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง
ขายถั่งเช่าเจอได้ในแถบทุ่งหญ้าบนภูเขาประเทศจีน (ธิเบต) เนปาล และก็ภูเขาฏาน ระดับความสูง 10,000-12,000ฟุต จากระดับน้ำทะเล ตอนนี้มีการเพาะเลี้ยงขายเห็ดหลินจือ ซึ่งโดยมากเพาะในรอบๆภาคใต้ในบริเวณชิงไห่ เขตซางโตวในประเทศธิเบต มณฑลเสฉวน ยูนนาน และก็กุ้ยโจว การเก็บถั่งเช่าจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดตัวหนอนขึ้นจากดินแล้ว ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแห้ง การเก็บรักษา ควรจะเก็บไว้ในที่แห้ง
ขายถั่งเช่า" นับได้ว่าเป็นยาสมุนไพรที่มีการใช้อย่างล้นหลามสำหรับการขายถั่งเช่า[/url]ในประเทศจีนนานนับศตวรรษ มีสรรพคุณทางยาแผนโบราณที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศจีนขายถั่งเช่าในเรื่องของกระตุ้นสมรรถนะทางเพศ แล้วก็ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน อาทิเช่น ปอด ตับ และก็ไต ฯลฯ
ส่วนประกอบ
ถั่งเช่า
ขายถั่งเช่า ขายส่งถั่งเช่า จำหน่ายถั่งเช่า
แคปซูลถั่งเช่า
รับผลิตถั่งเช่า

ถั่งเช่ามีคุณประโยชน์ต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว ดังเช่น เสริมสร้างและก็ปรับแต่งแนวทางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน สร้างเสริมขายส่งถั่งเช่ารูปแบบการทำงานของตับ บำรุงโลหิต โดยช่วยให้ร่างกายสร้างไขกระดูกเพิ่มมากขึ้นทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกสร้างอย่างเพียงพอแล้วก็ช่วยลดระดับน้ำตาลรวมทั้งลดไขมันในเลือดแคปซูลถั่งเช่าทั้งในถั่งเช่ายังเจอสาร คอไดเซปิน (cordycepin) ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด บำรุงไต รวมทั้งยังมีกรดคอไดเซปิค (codycepic acid) ที่มีสรรพคุณเพิ่มการเผาผลาญอาหารรวมทั้งช่วยสลายลิ่มเลือดปกป้องโรคหัวใจขาดเลือดแล้วก็คุ้มครองเลือดออกในสมองรวมทั้งสารโพลีแซคค้างไรด์ในถั่งเช่ายังช่วยต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งต้านเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย นอกจากนั้นถั่งเช่ายังเสริมความสามารถทางเพศและก็ช่วยทำให้สเปิร์มแข็งแรงทั้งทำให้เสปิร์มในน้ำเชื้อแข็งแรงได้อีกด้วยรับผลิตถั่งเช่า
สรรพคุณเห็ดหลินจือเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีสารที่ส่งผลต่อการเยียวยารักษาโรคหลากหลายประเภทขายถั่งเช่าแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆเป็นสารประเภทที่ละลายน้ำ 30% สารละลายอินทร์ 65% รวมทั้งสาระเหย 5% มีสาระสำคัญดังเช่นว่า polysaccharide, triterpenoids, Germanium, Ganoderic, Essence รวมถึงวิตามินและธาตุ ซึ่งช่วยสร้างภูมิต่อต้านทางโรคต่อต้านมะเร็ง บำรุงตับ บำรุงสมองรวมทั้งระบบประสาท ปรับสมดุลให้แก่ร่างกาย เหมาะกับบำรุงร่างกายเพราะมีความปลอดภัยสูงรับผลิตถั่งเช่า
โพลีแซคติดอยู่ไรค์ (polysaccharide) เป็นสาระสำคัญในเห็ดหลินจือที่จะช่วยสร้างเสริมการทำงานของร่างกาย เป็นกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง ต้านโรคมะเร็งขายถั่งเช่าคุ้มครองป้องกันการลุกลามของเซลล์ของโรคมะเร็ง ช่วยทำให้ปรุงแนวทางการทำงานของตับอ่อน ปรับระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยขจัดสารพิษขายถั่งเช่าแต่ว่าด้วยเหตุว่า polysaccharide มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อนอาจจะทำให้ย่อยยากจำเป็นที่จะต้องขายส่งถั่งเช่ากินวิตามินซีหรือของกินที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยในการดูดซึมสาร polysaccharide เข้าสู่ร่างกาย
เยอร์มาเนียม (Germaniuum) ในดอกเห็ดหลินจือมีเยอร์มาเนียมมากถึง 800 - 2000 ppm สารเยอร์มา - เนียมมีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายดังนี้แคปซูลถั่งเช่า

  • ออกสิเจนในเลือด
  • กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยิ่งขึ้น}
  • สมอง บำรุงประสาท
  • รักษาโรคมะเร็ง
  • ทำให้การไหลเวียนของโลหิต{ดีขึ้น||ดี


สามเทอร์ปีนป่ายอยด์ (Tritepenoids) มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายดังนี้รับผลิตถั่งเช่า

  • ต้านทานมะเร็ง
  • ควบคุมระดับความดันโลหิตให้ปกติ
  • ควบคุมภูมิแพ้
  • ลดโคเลสเตอคอยล ปรับไขมันภายในร่างกายให้ปกติสรรพคุณ มีรสหวาน ฤทธิ์ไม่ร้อน เข้าเส้นลมปราณไต บำรุงไต เสริมภูมิต้านทาน แล้วก็พลังชีวิต แก้อาการหมดแรง ภูมิแพ้ แก้ไอ ละลายเสมหะ หอบหือไอเรื้อรัง อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หัวเข่าอ่อนเอวอ่อน ทำให้แก่ช้า และเป็นยาบำรุงสำรับคนไข้ฟื้นไข้iy[z]รับผลิตถั่งเช่า
  • เสริมสร้างระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้นขายส่งถั่งเช่า
  • กระตุ้นหลักการทำงานของเม็ดเลือดขาว


สารกาโนเดอริก (Ganoderic Essence) ช่วยลดระดับความดันเลือด ลดไขมันในเส้นเลือดแล้วก็ปกป้องการตันของไขมันข้างในเส้นโลหิตขายส่งถั่งเช่า

Tags : รับผลิตถั่งเช่า

2

มารุมรู้จักมะรุมกันดีกว่า
            หากกล่าวถึงมะค้อนก้อม ผักอีฮุม  กาแน้งเดิง เชื่อว่าหลายๆคนคงงงกันเป็นไก่ตาแตก ว่าที่กล่าวมานั้นคืออะไร หรือเป็นภาษาต่างดาวกันแน่ ซึ่งความจริงแล้วชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็คือ "มะรุม" ผักพื้นบ้านของไทยที่ทุกท่านคงคุ้นเคยและได้ลองลิ้มชิมรสอันโอชาของพืชคุณสมบัตินี้มาแล้ว วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของมะรุมอาหารและสมุนไพรพื้นบ้านของไทยอีกประเภทหนึ่ง  โดยมะรุมนั้นเป็นที่รู้จักของมนุษย์มาหลายพันปีแล้ว ซึ่งถือว่าพืชสมุนไพรที่มีการค้นหายาวนาน (พอๆกับแปะก๊วยของจีน)ส่วนถิ่นกำเนิดนั้น มะรุมมีถิ่นกำเนิดแถบใต้เทือกเขาหิมาลัย แถบอินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย รวมถึงแถบเอเชียไมเนอร์และแอฟริกา (ที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันหลายทวีปเพราะมะรุมมีสารพันธุ์มากถึง 13 สายพันธุ์) สำหรับในประเทศไทยนั้นสามารถพบต้นมะรุมได้ทั่วทุกภาคโดยสายพันธุ์ที่ชอบขยายพันธุ์ในไทยคือ พันธุ์ข้าวเหนียว (Moring Oleifera) และพันธุ์กระดูก (Moringa Stenopetala) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ชอบใช้ในการบริโภคและวิจัยทดลองมากที่สุดอีกด้วย และสำหรับในประเทศไทยเรานั้นถือกันว่ามะรุมนั้นถูกจัดเป็นพืชผัก สมุนไพรพื้นบ้านของไทยเรามาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งคนในสมัยโบราณชอบเพาะมะรุมไว้ในละแวกบ้าน เพื่อไว้ทำเป็นอาหารเพราะอาจรับประทานได้หลายๆส่วนไม่ว่าจะเป็นยอด ดอก และผัก แต่โดยส่วนมากจะนิยมอุปโภคผักมากกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งเมนูยอดฮิตที่ใช้มะรุมทำเป็นอาหารก็คือ แกงส้ม (ว่ากันว่ามะรุมเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด เช่นทางใต้จะชอบนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยใส่ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวและใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขามเปียกเพื่อให้รสเปรี้ยว และเป็นเมนูยอดฮิตของร้านอาหารใต้อีกด้วย) ส่วนในต่างประเทศก็ใช้ใบมะรุมมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเช่นกัน โดยปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรือราดอาหารที่เป็นแป้งอื่นๆ รวมถึงใช้ใบอบแห้งป่นเก็บไว้โรยอาหารได้อีกด้วย ส่วนมะรุมในด้านสมุนไพรนั้นคนในสมัยโบราณก็นำส่วนต่างๆของมะรุมมาทำเป็นสมุนไพรบำบัดอาการเจ็บป่วยเช่นกัน เช่น แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ ขับลม แก้อักเสบ ข้อปัสสาวะ ลดไข้ บำรุงร่างกาย ฯลฯ และด้วยเหตุผลเหล่านี้ที่มะรุมเป็นได้ทั้งอาหารและยาผู้คนในอดีตจึงชอบเพาะไว้ใกล้บ้านซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามะรุมเป็นพืชผักสมุนไพรที่มีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตมาจนถึงปัจจุบันและในบทความหน้าเราจะมากล่าวถึงคุณสมบัติทางกายภาพของมะรุมกันว่าจะเป็นแบบไหนมีคุณสมบัติแบบใด
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณมะรุม

3
กวาวเครืองแดง
            "กวาวเครือแดง" สมุนไพรที่มีประวัติและที่มาอย่างยาวนานหลายสิบปี  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน "กวาวเครือแดง" ได้ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ บำรุงเลือด เช่นเดียวกับ กำลังพญาเสือโคร่ง โดยถูกใช้สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น  จนถึงปัจจุบันจึงมีงานวิจัยใหม่ๆ มาแปรรูปสมุนไพรชนิดนี้ มีการทดสอบ การวิจัยต่างๆ และผลการทดสอบและวิจัยเหล่านั้น บ่งบอกและชี้ชัดว่า กวาวเครือแดง เป็นสุดยอดสมุนไพรสำหรับท่านชายอย่างไม่มีข้อกังขา โดยหากพูดถึงสรรพคุณของกวาวเครือแดงนั้นมีมากมายหลายประการและทุกส่วนสามารถนำมาใช้ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น หัว , ราก , เปลือกเถา โดยสรรพคุณหลักๆ ของ "กวาวเครือแดง" คือ บำรุงธาตุ , บำรุงเลือด , เป็นยาอายุวัฒนะ , บำรุงผิวให้เต่งตึง , ถอนพิษไข้ , แก้พิษงู ฯลฯ แต่สรรพคุณของกวาวเครือแดงที่จะขาดไม่ได้สำหรับท่านชาย คือ เพิ่มจำนวนอสุจิ , เพิ่มสมรรถนะทางเพศ  ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องนี้ "มโน" ไปเอง กล่าวคือ สำหรับเรื่องสรรพคุณ|ประโยชน์}ของกวาวเครือแดง ต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ มีการวิจัยต่างๆ อย่างมากมาย ทั้งในคนและสัตว์ทดลอง โดยมีผลการทดลองในคนชิ้นหนึ่ง ที่จะเห็นได้ชัดว่า กวาวเครือแดง มีสรรพคุณในด้านนี้ คือ ทดลองกับผู้ชายอายุ 30 - 70 ปี 17 คน ที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มาให้กิน "กวาวเครือแดง" 250 มก/แคปซูล โดยให้กินวันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นกว่า 80% ของผู้ทดลอง และในส่วนของความปลอดภัยในการใช้ กวาวเครือแดง นั้น ทาง อย.ของไทย ได้ออกมาระบุไว้ว่าสามารถใช้ กวาวเครือแดง ได้ ต่อวัน ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คือหากคนที่ใช้มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม สามารถใช้กวาวเครือแดง ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน) และในตำรับยาไทยได้กล่าวไว้ว่า กวาวเครือแดง มีฤทธิ์เหมือนกวาวเครือขาว แต่มีฤทธิ์แรงว่า
            จากที่พูดมา แสดงให้เห็นถึง สรรพคุณและประโยชน์ของ กวาวเครือแดง โดยเฉพาะสรรพคุณสำหรับท่านชาย และยังเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย. ว่าหากใช้ไม่เกินที่กำหนดก็ไม่เกิดผลเสียกับร่างกาย กวาวเครือแดงจึงเป็นสมุนไพรที่มาแรงแซงทางโค้ง ในทศวรรษนี้เลยก็ว่าได้.

Tags : กวาวเครือแดง,กวาวเครือ,หัวกวาวเครือ

4
1.กระชายดำฤทธิ์ป้องกันอักเสบ สาร 5,7 - ได้เมธอกซีฟลาโวน (5,7-DMF) ที่แยกได้จากหัวในดินของกระชายดำ มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบเทียบได้กับยามาตรฐานหลายชนิด คือ แอสไพริน , อินโดเมธาซิน , ไฮไดรคอร์ติโซน และเพรดนิโซโลน จากการศึกษาฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ พบว่าสาร 5,7-DMF สามารถป้องกันการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีกว่าแบบเรื้อรัง โดยกระชายดำแสดงฤทธิ์ยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารคาราจีนแนน และเคโอลินได้ดีกว่าฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ พบว่า สาร 5,7-DMF ของกระชายดำยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด exudation และการสร้างสาร prostaglandin อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
2.กระชายดำฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone และ 5,7,3' ,4' -tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Plasmodium falciparum  ที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone และ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Candida albicans และแสดงฤทธิ์ป้องกันเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
3.กระชายดำพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดสอบผลของฟลาโวนอยด์ 9 ชนิดของกระชายดำต่อเซลล์มะเร็ง เช่น KB , BC หรือ  NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดทำให้เกิดพิษต่อเซลล์มะเร็งที่ทดสอบ (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
4.กระชายดำฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง มีรายงานการศึกษาว่า สารสกัดกระชายดำด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ละลดการหดเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว และยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)

Tags : กระชายดำ,กระชาย

5

งานวิจัยต้านฤทธิ์ทางยา ของมะรุม
            แม้ว่าในอดีตนั้นผู้คนจะใช้มะรุมมาทำเป็นยาสมุนไพรป้องกัน และบำบัดรักษาโรคต่างๆมาเนินนานและยังใช้ได้ผลดีมาตลอดจนถึงปัจจุบันนั้น แต่เมื่อมีการพัฒนาทางด้านวิทยาการสมัยใหม่ในด้านต่างๆ ในยุคปัจจุบันแล้ว จึงจำเป็นจะต้องมีการค้นคว้าและลองเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีและมีการรับรองคุณภาพและมาตรฐานในสรรพคุณของมะรุม อันเป็นการสร้างความปลอดภัยต่อผู้รับประทานรวมถึงยกระดับความน่าเชื่อถือของสมุนไพรไทยในระดับสากล สำหรับงานทดลองและงานวิจัยของมะรุมนั้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นงานงานวิจัยในสัตว์ทดลอง ส่วนงานวิจัยในมนุษย์นั้นมีเพียงชิ้นเดียวและยังเป็นเพียงงานวิจัยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยงานทดสอบทางด้านฤทธิ์ทางยาของมะรุมที่น่าสนใจมีดังนี้ 1.งานวิจัยในสัตว์ทดลอง  งานวิจัยฤทธิ์ในการลดระดับคลอเรสเตอรอล มีการวิจัยให้กระต่ายกินฝักมะรุมวันละ 200 กรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว)นาน 120 วัน โดยเปรียบเทียบกับกระต่ายกลุ่มที่ให้ทานอาหารไขมันมากและกินยา โลวาสเตทิน 6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว)ต่อวัน พบว่ามีผลทำให้ระดับคลอเรสเตอรอล ฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL  LDL ลดลง ทั้งสองกลุ่ม จึงเชื่อได้ว่า มะรุมสามารถลดระดับคลอเรสเตอรอลได้เช่นเดียวกับยาโลวาสเตทิน  ฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็ง มีการวิจัยในหนูโดยให้หนูที่ถูกกระตุ้นโดยสาร ฟอบอลเอสเทอร์แล้วแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้อุปโภคมะรุมเป็นอาหาร อีกกลุ่มกินอาหารตามปกติเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทดลอง พบว่าหนูกลุ่มที่รับประทานมะรุมเป็นอาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มที่ทานอาหารปกติ โดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้องกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง จากการทดสอบนี้คณะผู้ทดสอบ เชื่อว่าสารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่ง และสารไนอาซิไมชิน จากมะรุมเป็นสาระสำคัญที่สามารถต้านการเกิดมะเร็งจากการกระตุ้นได้ ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด มีงานวิจัยในหนูทดลองว่า ผงใบแห้งและสารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้นสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งหนูทดลองที่ปกติและหนูทดลองที่เป็นเบาหวาน ฤทธิ์ป้องกันตับถูกทำลาย มีการวิจัยในหนูทดลองโดยให้ยาไรแฟนไพซิน แล้วแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้สารสกัดแอลกอฮอลล์ของใบมะรุม กลุ่มที่สองให้สารซิลิมารีน (พบได้ในชาเขียว โกจิเบอร์รี่) กลุ่มที่สามไม่ให้ยาใดๆเลย เมื่อจบการทดลองและดูผลจากการตรวจชิ้นเนื้อตับทั้ง 3 กลุ่มพบว่า กลุ่มที่ให้สารสกัดมะรุม และกลุ่มที่ให้สารซิลิมารีน มีผลช่วยในการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาได้ 2.งานวิจัยในคน สำหรับงานลองในคนของมะรุมมีเพียงชิ้นเดียวคือ งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ยา Septillin เป็นยาที่สกัดจากพืช 6 คุณสมบัติ คือ มะรุม บอระเพ็ด มะขามป้อม ชะเอมเทศ Balsamoderdron.mukul (สมุนไพรอินเดีย) และเปลือกหอยสังข์ ซึ่งยา Septillin มีคุณสมบัติที่ดี ในเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และการติดเชื้อที่ผิวหนัง จะเห็นได้ว่ามะรุมเป็นพืชผักที่มีประโยชน์มากมายนานับประการ แต่โดยส่วนมากคือการทดลองในสัตว์ทดลองดังนั้นหากอย่าได้ประโยชน์ของมะรุมควรกินในชนิดการนำไปประกอบอาหารจะดีกว่า และหากมีการศึกษาทดลองในมนุษย์มากขึ้นและมีการรับรองผลที่แน่ชัดจึงค่อยหันมาใช้มะรุมในแบบอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

Tags : มะรุม

6

ส้มแขกในตำรายาแผนไทย
            ในการใช้สมุนไพรต่างๆของไทยในอดีตนั้น มีการใช้กันมาเนิ่นนานตกทองกันมาหลายรุ่นจนเกิดการพัฒนาขึ้นเป็นแบบแผนและได้มีการเขียนเป็นตำรับตำรายาสมุนไพร(ปัจจุบันเรียกว่าตำรับยาแผนไทย โดยหมายรวมถึงตำรายาพื้นบ้านในทุกภาคด้วย) ที่ใช้รักษาโรคต่างๆทั้งโดยการใช้สมุนไพรชนิดเดียวโดดๆ เพื่อใช้เยียวยา เช่น ขมิ้นชัน ใช้เหง้าตำให้ละเอียดผสมกับน้ำดื่ม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจตมูลเพลิงแดง นำรากมาอบให้แห้งแล้วต้มกันน้ำดื่มกินเยียวยาโรคทางเดินปัสสาวะ รักษาอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร แก้ธาตุพิการ ฯลฯ และใช้ผสมกันหลายชนิด เช่น มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ใช้รวมกันเป็นพิกัดตรีผลา ช่วยในการล้างพิษออกจากร่างกาย แก้ปิตตะ  วาตะ  เสมหะ ในกายธาตุกองฤดู กองอายุ กองสมุฎฐาน ฯลฯ และได้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน และในขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมให้การใช้ยาสมุนไพรนั้นเป็นทางเลือกในการบำบัดเยียวยาโรคต่างๆ ตามภูมิปัญญาไทย โดยเข้ามาให้ความรู้แก่ผู้ใช้และผู้ผลิต รวมถึงแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตที่จะยังคงคุณภาพของสารออกฤทธิ์ในสมุนไพรจำพวกนั้นๆไว้ได้อย่างมีสมรรถนะ ซึ่งในบรรดาสมุนไพรในตำรับยาแผนไทยทั้งหมดทั้งมวลนั้น "ส้มแขก" ก็เป็นสมุนไพรที่การระบุไว้ในตำราดังกล่าวเช่นกัน โดย ส้มแขกนั้นได้มีการระบุประโยชน์ไว้ในตำราพื้นบ้านดังนี้ ใช้บรรเทาอาการปวดท้องในผู้หญิง มีครรภ์  ช่วยในการรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้ดอกตัวผู้ของส้มแขกที่แห้งแล้ว 7 ดอกมาต้มกับน้ำ 1 ลิตร แล้วนำมาดื่มแก้กษัยและรักษานิ่วด้วยการนำรากส้มแขกมาตากแห้งมาต้มกับรากมังคุดและรากจูบูนำใบสดของส้มแขกคั้นเอาน้ำมาทานแก้อาการท้องผูก รวมถึงในตำรายาไทย ก็ยังระบุคุณสมบัติไว้อีกว่าส้มแขกสามารถใช้บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ลดความดัน ฟอกโลหิต รวมถึงส้มแขกยังเป็นยาระบายที่มีฤทธิ์อ่อนๆ นอกจากนี้ ส้มแขกยังสามารถนำมาใช้ในเรื่องการประกอบอาหารได้อีก เช่น นำผลของส้มแขกมาทำเป็นเครื่องปรุงรสในอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติเปรี้ยว หรือ นำใบอ่อนของส้มแขกมารองในการนึ่งปลา รวมถึงใบแก่ของส้มแขกยังสามารถนำมาทำใบชาได้อีกด้วย(แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะมีกลิ่นเหม็นเขียว) ส่วนต้นของส้มแขกที่แก่เต็มที่แล้วยังสามารถนำมาทำเครื่องใช้ไม้สอย ทำโต๊ะเก้าอี้หรือเครื่องเรือนอื่นๆได้ จะเห็นได้ว่าประโยชน์ทางยาตามตำรายาแผนไทยของส้มแขกนั้นไม่ได้เป็นรองสมุนไพรประเภทอื่นๆเลย รวมถึงยังสามารถนำส่วนต่างๆ มาใช่คุณสมบัติในด้านอื่นที่ไม่ใช้สมุนไพรได้อีกด้วย แต่ในระยะ 4 - 5 ปีมานี้ส้มแขกได้รับความนิยมและได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอันมาก ในเรื่อง" ประโยชน์ที่ช่วยลดความอ้วน" และยังได้มีผลิตภัณฑ์[^_^] ลดความอ้วนจากส้มแขกหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น แบบผง แบบเผ็ด ชาส้มแขก ส้มแขกแคปซูล หรือสารสกัดส้มแขก มาวางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจเลือกใช้ และยังได้รับกาตอบรับจากผู้กินอย่างล้นหลาม เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีความปลอดภัยสูง ส่วนในรายละเอียดและกลไกของสารออกฤทธิ์ที่มีผลทำให้ส้มแขกอาจลดความอ้วนได้นั้น ผู้เขียนจะของอธิบายในบทความหน้าครับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ส้มเเขก

Tags : ส้มแขก

7

มะขามป้อม ผลไม้สมุนไพรที่ก้องไกลระดับโลก
            ในบรรดาสมุนไพรทั้งหมดนั้น มีไม่กี่ประเภททีเป็นผลไม้สมุนไพรกล่าวคือ มีการนำมาบริโภคในรูปแบบผลสดแบบผลไม้ และอาจนำมาใช้แปรรูปเป็นยาสมุนไพรได้ด้วย  โดยชนิดหลักๆที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาได้ก็จะมีอาทิเช่น สมอไทย ทับทิม กระเจี๊ยบ มะขาม ฯลฯ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ "มะขามป้อม" สมุนไพรที่พบได้ในไทย(ซึ่งจริงๆแล้วไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่เป็น 1 ในหลายๆประเทศที่ถูกระบุว่าเป็นถิ่นกำเนิดของมะขามป้อมเช่นกัน) สำหรับมะขามป้อมนี้นับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีประวัติอันยาวนานมาก เพราะมีปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ 33 พระสุตันตปิฎก เล่มที่ 25 ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ มุสสพุทธวงศ์ ได้กล่าวว่า "พระพุทธเจ้า ปุสสพุทธเจ้าได้ประทับเพื่อตรัสรู้ ณ.ควงไม้มะขามป้อม หลังจากบำเพ็ญเพียรมาได้ 7 วัน (รวมถึงในตำราของพระภิกษุ ก็ยังระบุไว้ว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีโอสถในตัว อาจเก็บไว้ฉันได้ยามวิกาลและโดยถือเป็นปรมัตถ์(หรือยา) และเมื่อนำมาดองกับน้ำมูตรก็จะเป็นยา รักษาโรคต่างๆและเป็นอายุวัฒนะได้เช่นเดียวกับสมอไทยดองน้ำมูตร เช่นกัน) "ซึ่งคาดเดาได้ว่า ในประเทศแถบเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ศรีสังกา บังคลาเทศ นั้นอาจจะมีการใช้คุณสมบัติจากมะขามป้อมกันมาช้านานแล้ว ซึ่งก็มีข้อมูลสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานดังกล่าวคือ ว่ากันว่า มะขามป้อมนี้ เป็นสมุนไพรที่คนในอินเดียใช้กันมาเป็นพันๆปีแล้ว โดยใช้ในสรรพคุณที่เป็นยาอายุวัฒนะ และคนอินเดียยังเรียกชื่อมะขามป้อมว่า Amla (อัมรา) หรือ Amalaka ซึ่งแปลว่า พยาบาล หรือ แม่ ซึ่งความหมายนี้สะท้อนให้เห็นว่า มะขามป้อม เปรียบได้ดังพยาบาลหรือแม่ของผู้ที่ใช้หรืออุปโภคมะขามป้อม เพราะมะขามป้อมก็จะช่วยดูแลสุขภาพของผู้อุปโภคเช่นกัน และเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมานี้ในสหรัฐอเมริกา ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับมะขามป้อมอย่างจริงจัง โดยเริ่มตั้งแต่ในปี 1901 หน่วยงานเกษตรในสหรัฐอเมริกาได้นำเมล็ดมะขามป้อมไปเพาะที่รัฐฟลอริดา ตามสวนสาธารณะทั่วๆไปจนถึงปี 1945 ที่มีรายงานจากประเทศอินเดียว่ามะขามป้อม 1 ลูกนั้นให้วิตามินซีสูงกว่าวิตามินซีสังเคราะห์ถึง 12 เท่า และมากกว่านี้ส้มคั้นสด ถึง 20 เท่าเลยทีเดียวและในสหรัฐอเมริกา มะขามป้อมได้กลายเป็นส่วนประหลักของยา Shawket ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมถึงยา Livzon ซึ่งใช้สารสกัดด้วยน้ำของสมุนไพร 5 ลักษณะ (มีมะขามป้อมรวมอยู่ในนั้นด้วย) เป็นยาป้องกันและรักษาโรคจากสภาวะ เอดส์ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ตับอักเสบ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยา Livad เยียวยาตับอักเสบและยา Glufac รักษาเบาหวาน ซึ่งยาทั้งหมดนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรในอเมริกาแล้ว จะเห็นได้ว่ามะขามป้อม ผลไม้ผลเล็กๆ นี้มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ข้างใน ซึ่งน่าจะเหมาะกับฉายา "เล็กพริกขี้หนู" จริงๆ

Tags : มะขามป้อม

8

ประโยชน์มากมี สรรพคุณมากมายในมะรุม
            หากกล่าวถึงพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรรพคุณในทุกๆส่วนแล้ว หลายท่านคงนึกถึงพืชผักสมุนไพรหลายๆคุณสมบัติ เช่น กล้วย ขิง กระชาย ข่า ฯลฯ ที่กล่าวมานี้สามารถมาใช้คุณสมบัติได้ในทุกๆส่วนไม่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอาหารหรือเป็นเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ รวมถึงยังมีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากไม่มีชื่อ "มะรุม" รวมอยู่ในนั้นด้วยก็คงจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับพืชสมุนไพรประเภทนี้เพราะว่ามะรุมนั้นเป็นพืชที่มีความหัศจรรย์ กล่าวคือมะรุมสามารถนำมาใช้ทำอาหารและยังมีประโยชน์ทางยาอาจใช้รักษาโรคต่างๆได้หลายโรค อีกทั้งเป็นที่ชอบใช้ในหลายๆประเทศส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของมะรุมนั้นก็ยังอาจขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพและทนทานต่อความแห้งแล้งตามที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น ในที่นี้เราจะกล่าวถึง ประโยชน์และสรรพคุณของมะรุมพืชผักสมุนไพรใกล้บ้านกันนะครับ แน่นอนว่ามะรุมนั้นคนไทยนิยมนำมาใช้สรรพคุณโดยเรานำมาเป็นอาหารกันตั้งแต่ช้านานแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามะรุมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยในใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสดถึง 2 เท่า และยังมีธาตุอาหารที่สามารถป้องกันโรคต่างๆในคุณภาพที่สูง เช่น มิวิตามินเอ มากกว่าแครอทถึง 3 เท่า มีวิตามินซี 7 เท่าของส้ม  มีแคลเซียมมากว่า 3 เท่าของนมสด มีโพแทสเซียม 3 เท่าของกล้วย รวมถึงเป็นอาหารที่มีพลังงานไม่มาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ส่วนประโยชน์ในด้านอื่นๆคือ เมล็ดของมะรุมใช้ทำน้ำมันมะรุมเพื่อใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืช ช่วยบำรุงรักษาผิวชะลอความเหี่ยวย่นของผิว ลดอาการผื่นผ้าอ้อมในเด็ก บรรเทาอาการอักเสบของรูขุมขนและสิว ช่วยชะลอจุดด่างดำบนใบหน้า รักษาอาการผมร่วง คันศีรษะ ส่วนสรรพคุณทางยาของมะรุมนั้นก็มีมากมายโดยแยกตามส่วนต่างๆของมะรุมได้ดังนี้ รากของมะรุมมีสรรพคุณแก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เยียวยาโรคไขข้อ เปลือกลำต้นมีประโยชน์ใช้แก้โรคปวดหลังปวดเอว ปวดกล้ามเนื้อ ใบของมะรุมมีประโยชน์เยียวยาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย โรคทางเดินหายใจ รักษาโรคตาต่างๆ ดอกมีคุณสมบัติแก้ไข้หัวลม  ใช้เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ฝักมีสรรพคุณแก้ไข้ ป้องกันมะเร็ว ลกความดันโลหิต เมล็ดมีสรรพคุณใช้แก้ไอ เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และใช้ทำน้ำมันมะรุมโดยมีประโยชน์ต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว รวมถึงมีการศึกษาของคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล ได้พบว่าสารสกัดน้ำของมะรุมน่าจะเป็นสมุนไพรที่ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนในต่างประเทศนั้นก็มีการใช้ประโยชน์จากมะรุมเช่นกัน เช่น ชาวญี่ปุ่นผลิตใบชาจากใบมะรุมออกจำหน่าย โดยระบุว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคปากนกกระจอก หอบหืด ปวดศีรษะ บำรุงสายตา และระบบทางเดินอาหาร และในอินเดีย ผู้หญิงตั้งครรภ์จะทานใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ส่วนฟิลิปปินส์สตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรจะกินแกงจืดใบมะรุมเพื่อเพิ่มแคลเซียมในน้ำนมและเพิ่มคุณภาพน้ำนมอีกด้วย

9

ประโยชน์มากมี สรรพคุณมากมายในมะรุม
            หากกล่าวถึงพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรรพคุณในทุกๆส่วนแล้ว หลายท่านคงนึกถึงพืชผักสมุนไพรหลายๆลักษณะ เช่น กล้วย ขิง กระชาย ข่า ฯลฯ ที่กล่าวมานี้อาจมาใช้ประโยชน์ได้ในทุกๆส่วนไม่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอาหารหรือเป็นเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ รวมถึงยังมีประโยชน์ทางยาอีกด้วย แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากไม่มีชื่อ "มะรุม" รวมอยู่ในนั้นด้วยก็คงจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับพืชสมุนไพรประเภทนี้เพราะว่ามะรุมนั้นเป็นพืชที่มีความหัศจรรย์ กล่าวคือมะรุมอาจนำมาใช้ทำอาหารและยังมีคุณสมบัติทางยาสามารถใช้รักษาโรคต่างๆได้หลายโรค อีกทั้งเป็นที่นิยมใช้ในหลายๆประเทศส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของมะรุมนั้นก็ยังสามารถขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพและทนทานต่อความแห้งแล้งตามที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น ในที่นี้เราจะกล่าวถึง ประโยชน์และสรรพคุณของมะรุมพืชผักสมุนไพรใกล้บ้านกันนะครับ แน่นอนว่ามะรุมนั้นคนไทยนิยมนำมาใช้ประโยชน์โดยเรานำมาเป็นอาหารกันตั้งแต่ช้านานแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามะรุมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยในใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสดถึง 2 เท่า และยังมีธาตุอาหารที่สามารถป้องกันโรคต่างๆในจำนวนที่สูง เช่น มิวิตามินเอ มากกว่าแครอทถึง 3 เท่า มีวิตามินซี 7 เท่าของส้ม  มีแคลเซียมมากว่า 3 เท่าของนมสด มีโพแทสเซียม 3 เท่าของกล้วย รวมถึงเป็นอาหารที่มีพลังงานไม่มาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ส่วนคุณสมบัติในด้านอื่นๆคือ เมล็ดของมะรุมใช้ทำน้ำมันมะรุมเพื่อใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืช ช่วยบำรุงเยียวยาผิวชะลอความเหี่ยวย่นของผิว ลดอาการผื่นผ้าอ้อมในเด็ก ลดอาการอักเสบของรูขุมขนและสิว ช่วยชะลอจุดด่างดำบนใบหน้า เยียวยาอาการผมร่วง คันศีรษะ ส่วนคุณสมบัติทางยาของมะรุมนั้นก็มีมากมายโดยแยกตามส่วนต่างๆของมะรุมได้ดังนี้ รากของมะรุมมีสรรพคุณแก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคไขข้อ เปลือกลำต้นมีสรรพคุณใช้แก้โรคปวดหลังปวดเอว ปวดกล้ามเนื้อ ใบของมะรุมมีคุณสมบัติรักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย โรคทางเดินหายใจ เยียวยาโรคตาต่างๆ ดอกมีประโยชน์แก้ไข้หัวลม  ใช้เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ฝักมีประโยชน์แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ว ลกความดันโลหิต เมล็ดมีสรรพคุณใช้แก้ไอ เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และใช้ทำน้ำมันมะรุมโดยมีคุณสมบัติต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว รวมถึงมีการศึกษาของคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล ได้พบว่าสารสกัดน้ำของมะรุมน่าจะเป็นสมุนไพรที่ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนในต่างประเทศนั้นก็มีการใช้สรรพคุณจากมะรุมเช่นกัน เช่น ชาวญี่ปุ่นผลิตใบชาจากใบมะรุมออกจำหน่าย โดยระบุว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคปากนกกระจอก หอบหืด ปวดศีรษะ บำรุงสายตา และระบบทางเดินอาหาร และในอินเดีย ผู้หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ส่วนฟิลิปปินส์ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมลูกจะกินแกงจืดใบมะรุมเพื่อเพิ่มแคลเซียมในน้ำนมและเพิ่มปริมาณน้ำนมอีกด้วย

Tags : มะรุม

10

ลดความอ้วน ลดไขมัน ด้วยสมุนไพรมหัศจรรย์ ชื่อว่า "ส้มแขก"
            ในปัจจุบันยุคที่มีการแข่งขันกันสูงในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นทางด้าน หน้าที่การงาน ด้านการเงิน ด้านฐานะทางสังคม ด้วยเหตุต่างๆ เหล่านี้จึงทำให้เวลาที่จะทำกิจกรรมส่วนตัวต่างๆของผู้คนในยุคนี้มีน้อยลง ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมส่วนตัวที่เชื่อว่าหลายๆท่านนั้นมักมองข้ามหรือไม่ได้ทำเป็นประจำนั้นก็คือ "การออกกำลังกาย" มีผลการทำโพล จากสถาบันแห่งหนึ่งออกมาว่าคนไทยถึงร้อยละ 70 ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร เมื่อคนเราขาดการออกกำลังกายนั้นสิ่งที่จะเป็นผลตามมาก็คือ ปัญหาสุขภาพทั้งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมถึงปัญหารูปร่างสรีระร่างกายที่เริ่มมีอาการที่เรียกว่า "อ้วน" แต่ในโลกยุคปัจจุบัน(ยุคที่แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส) ก็มักจะมีตัวช่วยอยู่ในทุกๆเรื่อง  ในเรื่องความอ้วนนี่ก็เช่นกัน นั่นก็คือ [^_^]ผลิตภัณฑ์ หรือยาลดความอ้วนต่างๆ ที่ทุกท่านคงเคยเห็นมาไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์ ทั้งในแบบที่ถูกกฎหมายและที่ผิดกฎหมาย แต่รู้หรือไม่ว่าผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนที่เราคุ้นหูคุ้นตากัน เหล่านั้นส่วนใหญ่มักจะนำสมุนไพรต่างๆ มาทำการสกัด อาทิเช่น ถั่วขาว  กระบองเพชร พริกไทยดำ ดอกคำฝอย ฯลฯ และอีกจำพวกหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ "ส้มแขก" ซึ่งส้มแขกนั้นเดิมก็เป็นเพียงแค่อาหารหรือเครื่องปรุงของอินเดียรวมถึงทางภาคใต้ของไทยเท่านั้นแต่เมื่อมีการศึกษา สาร HCA (Hydroxy Citric Acid) ในส้มแขก หรือ ไอดรอกซี ซิตริค แอซิด ซึ่งเป็นสารที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถ[^_^]ได้ สาร HCA จากส้มแขกนี้ ซึ่งมีลักษณะ ไปยับยั้งแป้งไม่ให้แป้งและน้ำตาบ (ที่มาจากอาหารที่เราอุปโภคเข้าไปในแต่ละมื้อ) เปลือกแปลงไปเป็นไขมัน แต่จะนำไปเปลี่ยนเป็นในรูปแบบพลังงาน แทน(ป้องกันไขมันใหม่) ส่วนกลไกการออกฤทธิ์ของสาร HCA คือ สารนี้จะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในวงจรการย่อยสลายกลูโคสของร่างกายทำให้น้ำตาลกลูโคสในส่วนที่มากเกินความต้องการของร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ (เป็นพลังงานสำรองให้แก่ร่างกาย) ซึ่งเมื่อร่างกายมีพลังงานสำรวจเต็มแล้วจึงทำให้เกิดความรู้สึกหิวน้อยลงหรือหิวไม่บ่อย และสาร HCA จากส้มแขก ยังมีประโยชน์ลดไขมันเก่า คือ สาร HCA จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเอนไซม์ คาร์นิทีน เอซิล ทรานเฟอร์เรส ที่มีหน้าที่คือไขมันที่สะสมตามร่างกายมาใช้เป็นพลังงานในกระบวนการแมเทบอลิซึม (Metabolism) ของร่างกาย คือระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันหรือการออกกำลังกายก็จะมีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม และจำมีการดึงไขมันสะสมในร่างกายออกมาเป็นพลังงานอันจะทำให้รูปร่างดีขึ้น และสาร HCA จากส้มแขก ยังต่างจากยาลดความอ้วนในชนิดอื่นๆ คือสาร HCA จากส้มแขก ไม่มีกระบวนการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ที่จะทำให้เกิดความอยากอาหารเมื่อหยุดใช้จึงไม่เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โยโย่ (yoyo effect) และจุดสำคัญสาร HCA จากส้มแขกนี้ยังเป็นสารที่ได้จากธรรมชาติจึงไม่เกิดผลเสียแก่ร่างกาย และมีการประเมินผลโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการว่าไม่มีผลการเปลี่ยนแปลงของตับไตระดับความดันโลหิต รวมถึงน้ำตาลในเลือดอีกด้วย แม้อดีตส้มแขกจะเป็นแค่อาหารและเครื่องปรุงประจำถิ่น แต่ในปัจจุบันส้มแขกกลายเป็นพืชสมุนไพรที่มีความนิยมในตลาดแล้ว แถมยังมีคุณประโยชน์ที่หลายๆท่านชื่นชอบทั้งสตรี และชายตามที่กล่าวมา แต่หากหวังแต่จะพึ่งพาส้มแขกเพียงอย่างเดียว คงจะเป็นผลช้าและต้องใช้เวลานาน  หากแต่สิ่งที่จะช่วยให้เห็นผลรวดเร็วนั้น ผู้ใช้จะต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย ส้มแขกจึงจะเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ในการ[^_^]รักษาหุ่นที่ให้ผลได้อย่างยั่งยืน
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ส้มเเขก

11


"แปะก๊วย" หากรู้จักใช้มีคุณอนันต์
            แปะก๊วย ในเชิงสมุนไพร เป็นที่ยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลกแล้วว่า มีสรรพคุณมากมาย ในการใช้รักษาและบำบัดอาการต่างๆ ของมนุษย์  ซึ่งใบของแปะก๊วยนั้นพบสาระสำคัญที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆ เช่น สารกลุ่ม flavonoids มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อมะเร็ง และช่วยชะลอวัยและโรคที่เกิดจาการเสื่อมของวัย สาร biloalides ป้องกันโรคความจำเสื่อม สมองฝ่อ  ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี  และสารกลุ่ม ginkgolides ป้องกันโรคความจำเสื่อม เพิ่มการไหลเวียนเลือดสู่สมอง และปลายประสาทต่างๆ ป้องกันอาการหลงลืมในผู้สูงวัยหรืออัลไซเมอร์ ในปี 1994 มีการทดลองให้แปะก๊วยกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์พบว่า มีความจำและมีสมาธิดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเมล็ดแปะก๊วย ที่เรานำมาทำอาหารต่างๆ ทั้งของคาวและหวานนั้นก็มีสรรพคุณทางยาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยในเมล็ดของแปะก๊วยแล้ว ปรากฏว่า มีสรรพคุณดังนี้ ลดระดับคลอเรสตอรอล พบว่าไขมันในเมล็ดแปะก๊วยมีฤทธิ์ลดระดับคลอเรสตอรอลในตับได้ ป้องกันมะเร็ง ในเมล็ดของแปะก๊วยมีการสะสมของสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก แม้จะโดนความร้อน สารเหล่านี้ก็ยังคงอยู่มากหากเทียบกับสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ขมิ้น ดีปลี ฯลฯ นอกจากนี้เมล็ดแปะก๊วยยังมีวิตามินและแร่ธาตุหลายตัวในปริมาณที่สูง และยังเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำอีกด้วย (แต่ถ้าบริโภคในปริมาณมากอาจมีผลข้างเคียงได้) ส่วนสารสกัดของแปะก๊วย ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในสมองดีขึ้น บรรเทาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยการช่วยให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น มีรายงานจากการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า เมื่อรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย ติดต่อกัน 6 เดือน จะช่วยให้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศดีขึ้นถึง 50 %  บรรเทาอาการของโรคพากินสัน สารสกัดของใบแปะก๊วยนั้นเข้าไปเพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนโดปามีนอย่างเพียงพอ ที่จะนำส่วนไปยังอวัยวะต่างๆ จึงทำให้การสั่น ในโรคทากินสันนั้นลดลง แต่ใช่ว่าแปะก๊วยจะมีแต่ประโยชน์เท่านั้น มีข้อควรระวังในการใช้อยู่เหมือนกันกล่าวคือ ผู้ที่ใช้ยา Warfarin, Aspirin, Ibruprofen  และสารป้องกันการเกิดลิ่มเลือดไม่ควรรับประทานแปะก๊วย  เพราะอาจทำให้เม็ดเลือดแตกได้ง่าย รวมถึงผู้ป่วยโรคความดันสูงและความดันต่ำ ก็ไม่ควรใช้แปะก๊วย รวมถึงผู้ที่ต้องได้รับการผ่าตัดควรหลีกเลียงการบริโภคสารสกัดแปะก๊วยก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเลือดแข็งตัวช้า
            ดังนั้นหากรู้จักใช้แปะก๊วยก็เป็นสมุนไพรที่มีคุณอนันต์ แต่ในบทความหน้าเราจะมาพูดถึง โทษมหันต์หากเลือกใช้ไม่ดี
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย

Tags : สมุนไพรเเปะก๊วย

12

เคล็ด(ไม่)ลับ...กับการปลูกกวาวเครือแดง
            สุดยอดสมุนไพรที่ท่านชายนิยมมาใช้บำรุงร่างกายเป็นอันดับต้นๆ  เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อสมุนไพร "กวาวเครือแดง" เป็นหนึ่งในนั้นแน่ๆ โดยปกติแล้ว "กวาวเครือแดง" มักพบมากในป่า โดยต้นจะพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่ๆ แต่ในระยะหลัง มีการเพาะพันธุ์ "กวาวเครือแดง" มากขึ้น และเริ่มแพร่หลายไปในทุกภาคของประเทศ สาเหตุที่ต้องเพาะพันธุ์ กวาวเครือแดงเองนั้น  เพราะการขยายพันธุ์ในธรรมชาตินั้น ไม่สามารถที่จะควบคุมปัจจัยและสภาวะที่เหมาะสมในการกระจายพันธุ์ของกวาวเครือแดงได้   เพราะหากไม่มีการเพาะพันธุ์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์โดยหวังว่าจะไปหาจากป่าอย่างเดียวก็อาจจะสูญพันธุ์ไป เช่นเดียวกับสมุนไพรหลายๆตัวที่สุ่มเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในขณะนี้ เช่น เถาวัลย์เปรียง  เจตมูลเพลิงแดง  สมอไทย  และสมอพิเภก ส่วนการเพาะ และการขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ที่นิยมทำกันนั้นทุกท่านอยากรู้กันไหมครับ  เอาเป็นว่าอยากรู้ละกันนะครับ (แบบถามเองตอบเอง)  สำหรับการขยายพันธุ์ "กวาวเครือแดงและกวาวเครือขาว" นั้น หลักๆมีอยู่ 3 วิธี ที่นิยมทำและมีอัตราการรอดสูง คือ การเพาะเมล็ด  การปักชำ  และ การแบ่งหัวต่อต้นโดยมีวิธีการต่างๆ ดังนี้ คือ

  • การเพาะเมล็ด ก็คือ การนำเมล็ดกวาวเครือแดงมาเพาะในขี้เถ้าเลย แล้วนำต้นกล้าที่ได้ไปปลูกในถุงเพาะชำ โดยใช้ดิน 2 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ และ เปลือกมะพร้าว อย่างละส่วน พอมีอายุได้ 2 เดือน  จึงนำไปลงแปลงปลูก โดยต้องหาหลักไว้ให้ต้นพันเกาะขึ้นด้วย
  • การปักชำ มีวิธีดังนี้ นำเถาของกวาวเครือแดง ที่มีข้อมาปักชำในวัสดุเพาะเลี้ยง พอแตกรากจึงนำไปปลูกในแปลง
  • การแบ่งหัวต่อต้น คือ นำหัวของกวาวเครือแดง ที่ไม่มีตาจะแตกต้นใหม่ มาเชื่อมต่อตามวิธี ต่อราก เลี้ยงกิ่ง หลังการต่อต้นประมาณ 2 เดือน จึงนำไปปลูกลงแปลงได้


            เห็นไหมละครับ เพียงแค่นี้ การปลูกกวาวเครือแดงก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกท่านอีกต่อไป  "ตามหัวข้อ เคล็ด (ไม่)ลับ...กับการปลูกกวาวเครือแดง" โดย 3  วิธีที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีที่นิยมทำกัน แต่หากท่านใดมีวิธีอื่นที่นอกเหนือจากนี้ นำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังได้นะครับ

13

พริกไทยทั้งอร่อยและรักษาโรค
            พริกไทยสามารถนำมาเป็นเครื่องปรุงให้กับอาหารต่างๆ ทั้งอาหารไทยและอาหารต่างประเทศ หลายหลายเมนู ทั้งอาหาร ไทย , จีน , ฝรั่ง ซึ่งประโยชน์ในข้อนี้ เราทั้งหลายก็ทราบกันมาแล้ว แต่พริกไทยยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์กันมนุษย์เราไม่แพ้การนำมาเป็นเครื่องปรุงอาหารเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็คือมีการนำพริกไทยมาทำสมุนไพรเพื่อรักษาและบำบัดอาการของโรคต่างๆ ด้วยที่ว่า พริกไทยนั้นเป็นพืชประจำถิ่นแถบอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุนี้ชาวพื้นถิ่นในแถบนี้จึงรู้จักนำพริกไทยมาใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพรตั้งแต่โบราณกาล  โดยในจีนนั้น กล่าวถึงพริกไทย ว่ามีคุณสมบัติ อุ่น สามารถวิ่งเส้นลมปราณในร่างกายได้ ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก  ทั้งยังทำให้พลังลงสู่ส่วนล่าง  ขับพลังเย็นอวัยวะจั้งฝู่ ทำให้ย่อยอาหารดี  บำรุงพลังของไต  ฆ่าพิษอาหารจำพวกอาหารทะเล  โดยแพทย์แผนจีน ระบุว่า พริกไทย จัดเป็นพืชที่เป็นหยางเหมาะกับคนที่กระเพาะอาหารเย็นชื้น  ผู้ที่จะใช้พริกไทย  จึงควรเป็นผู้ที่มีภาวะหยางในร่างกายน้อย ส่วนในไทย ตำราแผนโบราณของไทยนั้น  ระบุว่าสรรพคุณที่โดดเด่นของพริกไทย คือ เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น ในตำรายาวิเศษ "ว่าใช้เหงือกปลาหมอ 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ตำเป็นผงละลายน้ำกิน 1 เดือน หายจากโรคทั้งปวง" ส่วนสรรพคุณอื่นๆ ของพริกไทย อาทิเช่น  รากพริกไทยใช้ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ลมวิงเวียน เถาพริกไทย ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการลงแดง เมล็ดพริกไทย ขับเสมหะ  บำรุงธาตุ  ทำให้ผายลมหรือขับปัสสาวะ และพริกไทยยังได้รับการยอมรับในการแพทย์สมัยใหม่ว่า ถ้าเป็นสมุนไพรที่เมื่อนำไปรวมกับสมุนไพรตัวอื่นๆแล้วจะมีฤทธิ์เป็นยา เช่น พิกัดตรีกฎก ซึ่งประกอบด้วย เหง้าขิงแห้ง เมล็ดพริกไทย  ผลดีปลี  ข่วยขับน้ำดีและขับลม  อีกพิกัดหนึ่งคือ  ตรีวาตผล ประกอบด้วย  ลูกสะค้าน  เหง้าข่า  รากพริกไทย  ช่วยแก้ในกองลม  แน่นหน้าอก   ขับเสมหะ  บำรุงไฟธาตุ สำหรับในอินเดีย นั้น ชาวอินเดีย  นิยมใช้พริกไทยเป็นองค์ประกอบในการใช้ แก้หวัด  ปวดท้อง  อาเจียน  ปวดประจำเดือน และที่สำคัญล่าสุดในปัจจุบันนี้ มีการนำพริกไทยไปแปรรูปเป็นพริกไทยดำ  แล้วมีการศึกษาวิจับ พบสารตัวหนึ่งในพริกไทยดำ  ว่ามีสรรพคุณ [^_^]ได้ คุณผู้หญิงในปัจจุบันจึงนิยมใช้สารสกัดจากพริกไทยดำเพื่อ[^_^]กันอย่างแพร่หลาย  ซึ่งในหัวข้อพริกไทยดำกับสรรพคุณการ[^_^]นี้ ขออุบไว้ก่อนโดย จะขอกล่าวถึงในครั้งต่อไป
            แต่อย่างไรก็ตามพริกไทยก็ถือได้ว่าเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์แก่มนุษย์อย่างมาก  เพราะสามารถเป็นทั้งเครื่องปรุงรสชั้นเลิศ  ที่เป็นที่นิยมทั่วโลกในปัจจุบัน  และยังสามารถเป็นสมุนไพร  ที่มีสรรพคุณรักษาและบำบัดโรคได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น จึงขอขนานนามพริกไทยว่า "พริกไทย สมุนไพร 2 IN 1"
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณของพริกไทย

14

กระชายดำ สมุนไพรไทยแท้ ปลูกง่าย ขายคล่อง
            ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ กระแสความนิยมในการหันมาใช้สมุนไพรแทนการใช้ยาแผนปัจจุบันของคนไทยนั้น ถือได้ว่ากระแสแรงเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะมีสาเหตุเนื่องมาจาก  ผู้บริโภคเกิดความตื่นตัว และรับรู้ข้อมูล ผลข้างเคียงของยาแผนปัจจุบันที่มีผลต่อกระบวนการทำงานของไต  และอวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ จนทำเกิดการเจ็บป่วยแบบสะสมในอวัยวะภายในเหล่านั้น และกลายเป็นโรคที่มีจำนวนผู้ป่วยมาก ติด 5 อันดับแรกของการเจ็บป่วยของประเทศ  ดังนั้นคนไทยจึงหันมาใช้สมุนไพรในการดูแล และรักษาโรค รวมถึงใช้เป็น[^_^]กันอย่างแพร่หลาย โดยสมุนไพรที่ใช้นั้นมีทั้งสมุนไพรจีน และสมุนไพรที่เป็นสมุนไพรไทยแท้ เช่น กระชายดำ เถาเอ็นอ่อน มะขามป้อม ฯลฯ แต่ในกระแสสมุนไพรฟีเวอร์ในปัจจุบันนี้ หากจะนับสมุนไพรไทยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เชื่อได้ว่า กระชายดำ คงเป็นชื่อสมุนไพรที่ทุกท่านเคยได้ยินบ่อยๆอย่างแน่นอน สำหรับกระชายดำ เป็นสมุนไพรของไทยแท้ๆ เพราะมีถิ่นกำเนิดในไทย และพบได้ทุกภาคของไทย  โดยจัดเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน และเราใช้เหง้ามาเป็นสมุนไพรและใช้ประโยชน์ในสรรพคุณต่างๆ เหง้าลักษณะ กลมๆ เรียงต่อกัน มีสีน้ำตาล หากหักออกเนื้อในจะเป็นสีม่วงมีกลิ่นหอม ในอดีตการปลูกกระชายดำนั้นไม่ได้ปลูกไว้เพื่อเป็นเศรษฐกิจ หรือการขายแต่อย่างใด แต่จะปลูกไว้ละแวกบ้านหรือในกระถาง เพื่อรักษาโรคและใช้เป็นยาบำรุงในครัวเรือนเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน กระชายดำเป็นที่นิยมในการนำมาทำยาสมุนไพรทั้งในรูปแบบการบริโภคสด หรือการแปรรูปในรูปแบบต่างๆ เพื่อการรักษาโรคและเป็น[^_^] จึงจำเป็นต้องมีการขยายพันธุ์และการปลูกกระชายดำ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด  โดยการขยายพันธุ์กระชายดำนั้น  ทำได้โดยการใช้หัวหรือเหง้าปลูก เช่น ขิง ข่า ขมิ้นชัน เพราะพืชจำพวกนี้ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี  โดยขุดหลุมกว้างประมาณ 1 จอบ ลึก 10 - 15 ซม. แล้วนำแง่งกระชายดำ  ใส่ในหลุมแง่งเล็กใช้ 1 - 2 แง่ง หากแง่งใหญ่สมบูรณ์ใช้แง่งเดียว  เพราะเมื่อกระชายดำโตขึ้น จะแตกหน่อขยายไปเรื่อยๆเอง  ส่วนแง่งที่เราปลูกจะเหี่ยวและแห้งไป โดยให้ระยะปลูก ระหว่างแถบประมาณ 30 ซม. ระหว่างต้น 25 - 30 ซม. ฤดูที่เหมาะสมที่จะปลูกคือ ฤดูฝน ช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง เดือนมิถุนายน ในการปลูกครั้งแรกควรปลูกให้ได้อายุ 1 ปี ค่อยเก็บเกี่ยว หลังจากครั้งแรก ควรปลูกให้ได้อายุประมาณ 10 - 12 เดือน และควรให้ใบและลำต้นเหี่ยวแห้งหลุดออกจึงทำการเก็บเกี่ยว เพราะจำทำให้ได้ กระชายดำที่คุณภาพตัวยาเข้มข้น
            โดยในราคาขายกระชายดำในปัจจุบันนั้น หากในฤดูกาล ราคา 100 - 120 บาท/กิโลกรัม หากเป็นนอกฤดูกาล ราคาอยู่ที่ 150 บาท/กิโลกรัม เลยทีเดียว เมื่ออ่านแล้วทุกท่าน สนใจการปลูกหรือเปล่าครับ ปลูกง่าย ดูแลง่าย ขาดก็คล่อง แถมราคาดีอีก เหมาะสมกับหัวข้อ "กระชายดำ สมุนไพรแท้ ปลูกง่าย ขายคล่อง"

15

ถั่งเช่า  หญ้าหรือหนอนกันแน่ ?
            เมื่อเอ่ยถึงสมุนไพรจีน ผู้เขียนเชื่อว่า  แวบแรกที่ทุกๆ ท่านนึกขึ้นมาได้ต้องมี "ถั่งเช่า" หรือ "ตังถั่งเช่า"  หรือว่า หญ้าหนอน ในภาษาไทย  ติดอันดับ 1 ใน 3 ด้วยแน่ๆ  ด้วยคุณลักษณะทางด้านสัณฐานทั่วไปของสมุนไพร ถั่งเช่านี้ ที่สร้างความพิศวงงงงวย แต่ก็จำได้ง่าย เพราะลักษณะของถั่งเช่านั้น เหมือนตัวหนอน  แต่ดันไปมีชื่อไทยเรียกว่า หญ้าหนอน  แล้วตกลง ถั่งเช่านี้ จะเป็นสัตว์หรือเป็นพืชกันแน่
            ความจริงแล้ว ถั่งเช่าที่ใช้ทำเป็นยานั้น  คือ  ส่วนที่เป็นตัวหนอนและเห็ดที่ออกจากตัวหนอน  กล่าวคือ เดิมที่แรก ถั่งเช่านั้นเป็นตัวหนอนของผีเสื้อชนิด Hepialus armoricanus oberthir โดยมีสปอร์เห็ดชนิดหนึ่งอยู่ตรงหัวของหนอน ในฤดูหนาวหนอนจะจำศีลอยู่ใต้ภูเขาหิมะ  พอหิมะละลายสปอร์จะถูกพัดไปที่พื้นดิน  หนอนก็จะกินสปอร์  เมื่อถึงฤดูร้อน สปอร์เหล่านี้จะงอกออกมาจากส่วนหัวและปากของหนอน  โดยอาศัยดูดแร่ธาตุจากตัวหนอนเป็นอาหาร  และเห็ดที่งอกมาเหล่านี้ ต้องการแสงแดดจึงงอกผุดขึ้นจากดินส่วนหนอนที่ถูกดูดแร่ธาตุนั้นก็จะกลายเป็นหนอนตายซากที่แห้ง  นั้นเอง
โดยการเก็บถั่งเช่ามาทำยานั้น  จะเก็บมาทั้งส่วนที่เป็นเห็ดและเป็นตัวหนอนแห้งๆ เพราะฉะนั้นจึงได้กล่าวได้ว่า ถั่งเช่านั้นเป็นทั้งสัตว์ และพืชได้ แค่ต้องอาศัยกรรมวิธีทางธรรมชาติที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์  ส่วนเจ้าถั่งเช่านี้ ตามธรรมชาติไม่ได้พบทุกๆ ที่ แต่จะพบได้ ในพื้นที่ที่มีระดับความสูง 10000 - 12000 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล  และมีอุณหภูมิหนาว และร้อน  ที่เหมาะสม ในการออกจากสปอร์ด้วย แต่ในปัจจุบัน มีการเพาะเลี้ยงแล้ว ในธิเบต และจีน นั้นก็เพราะว่า ถั่งเช่านี้เป็นสมุนไพรที่ราคาแพง ส่วนในไทย ได้มีการทดลองเพาะเลี้ยงถั่งเช่าอยู่ (แต่อยู่ในขั้นตอนของการทดลองเพาะเลี้ยง) รวมถึงสมุนไพรจีนอีกหลายชนิด เช่น แปะก๊วย , เก๋ากี๋ (โกจิเบอร์รี่) เป็นต้น  โดยราคาของถั่งเช่าเกรดล่างๆ หรือเกรดทั่วไป สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 250,000 บาท ต่อกิโลกรัม หากเป็นเกรดที่มีคุณภาพดีๆ แล้ว ราคาน่าจะอยู่ที่หลักล้านบาท ต่อ กิโลกรัมเลยทีเดียว เห็นอย่างนี้แล้ว ชักอยากจะลอง เพาะถั่งเช่าบ้างแล้วหละครับท่านผู้อ่าน........

16

 
กวาวเครือแดงกับการศึกษาวิจัยสมัยใหม่
            อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า กวาวเครือแดง เป็นสมุนไพรยอดนิยมของไทยในปัจจุบันนี้ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรพื้นถิ่นของไทย ที่มีหลักฐานการใช้มาตั้งแต่ยุคโบราณ  โดยในอดีตนั้นก็ใช้กัน เพื่อเป็นยาอายุวัฒนะแก้ปวดเมื่อย แต่ก็ไม่ได้มีการศึกษาวิจัยกันในสมัยนั้นเพราะวิทยาการต่างๆ และความสนใจของนักวิจัยทั้งหลายที่มีต่อสมุนไพรยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากพอ จนเมื่อประมาณปี 2478 บริษัทเชอริง-คาลบอม ได้นำหัวกวาวเครือขาว ไปทำการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่เบอร์ลิน เพื่อแยกสารออกฤทธิ์เอสโตรเจนิก หลังจากนั้น กวาวเครือขาวก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว  พร้อมกับการค้นพบกวาวเครือแดง  จึงทำให้นักวิจัยทั้งหลายหันมาศึกษากวาวเครือขาวและกวาวเครือแดงกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งนักวิจัยต่างประเทศจดสิทธิบัติของกวาวเครือทั้งสองชนิดนี้ได้ก่อนประเทศไทย (น่าเจ็บใจไหมครับ ของดีอยู่ใต้แผ่นดินไทย แต่ต่างประเทศเป็นเจ้าของสิทธิบัติ) สำหรับกวาวเครือแดงนั้นจากผลการวิจัยสมัยใหม่นี้ ฤทธิ์ทางเภสัชที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือ ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย เช่นเดียวกับโสมคน (โสมเกาหลีที่เรารู้จักกัน) กล่าวคือ มีการทดลองป้อนกวาวเครือแดงผงละลายน้ำแก่หนูทดลองเพศผู้ 5 มก./กก. เป็นเวลา 21 วัน พบว่า หนูมีน้ำหนักและจำนวนอสุจิเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีพฤติกรรมการสืบพันธุ์มากขึ้น           
            ส่วนการศึกษาวิจัยสมัยใหม่ ทางพิษวิทยาของกวาวเครือแดงนั้นได้ ป้อนผงกวาวเครือแดงขนาด 200 มก./กก./วัน เป็นเวลา 90 วัน พบว่า มีเม็ดเลือดขาว ชนิดต่างๆ ลดลง และมีข้อสรุปที่ได้คือ ในการใช้สมุนไพรกวาวเครือขาวนั้น ต้องระมัดระวังในเรื่องของขนาดการใช้และระยะเวลาในการใช้ เพราะอาจทำให้เป็นพิษต่อตับได้
            ทั้งนั้นผู้เขียนยังเชื่ออีกว่ายังมีความลับเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆและสรรพคุณดีๆ ของสมุนไพรกวาวเครือแดงรวมไปถึงสมุนไพรต่างๆ ของไทย ที่ยังรอให้นักวิทยาศาสตร์/นักวิจัย มาทดลองวิจัย เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทยและคนทั้งโลก ที่สำคัญอย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า ของดีๆ ที่อยู่เมืองไทยคนไทยจะได้จดสิทธิบัติให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป ไม่ใช่ให้ต่างชาติที่ไม่มีสมุนไพรเหล่านั้นเป็นเจ้าของสิทธิบัติ ซึ่งฟังดูแล้ว เหมือนเขามาหยิบชิ้นปลามันจากคนไทยเราเลยครับ.

Tags : สมุนไพรกวาวเครือเเดง

17

(แปะก๊วย) เลือกใช้ไม่ดีมีโทษมหันต์
            สมุนไพรทุกชนิดนั้นมีคุณสมบัติและสรรพคุณในการใช้บำบัดรักษาโรคต่างๆได้ ตามสารออกฤทธิ์ต่างๆ ที่มีในตัวสมุนไพรนั้นๆ แต่ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ มีมืด ย่อมมีสว่าง มีข้อดีย่อมมีข้อเสีย สมุนไพรก็เช่นกัน หากว่าสมุนไพรมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณข้อดีแล้ว อีกด้านหนึ่งหากเราใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือเรามีโรคประจำตัวที่มีผลต่อสารต่างๆ ในตัวสมุนไพรนั้นๆ แล้ว แทนที่เราจะได้ประโยชน์จากการใช้สมุนไพรก็อาจจะกลายเป็นผลร้ายต่อสุขภาพอนามัยของเราก็ได้ ดังนั้นในการใช้สมุนไพรแต่ละตัว เราควรมีการศึกษาข้อมูลของสมุนไพรนั้นๆ อย่างถ่องแท้ก่อนเสมอ สำหรับสมุนไพร "แปะก๊วย" ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีการยืนยันจากหลายๆ หน่วยงานหรือจากการศึกษาวิจัยหลายๆ ชิ้น ว่ามีผลที่ดีต่อสุขภาพ เช่น แปะก๊วยบำรุงสมอง แปะก๊วยป้องกันอัลไซเมอร์ รวมถึงแปะก๊วยช่วยในเรื่องสมรรถภาพทางเพศ แต่หากเรานำมาใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้ในปริมาณมากหรือน้อยเกินไป ก็อาจส่งผลกับสุขภาพของเราเช่นกัน ซึ่งในรายงานการวิจัยด้านความเป็นพิษของแปะก๊วยนั้น มีหลายงานวิจัยเหมือนกันที่ระบุว่า แปะก๊วยนั้นมีความเป็นพิษอยู่ เช่น มีการทดสอบค่าความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูทดลอง ให้ค่า LD = 7725 มก/กก. (น้ำหนักตัว) และเมื่อให้ทางปากมีค่าเท่ากับ 1100 มก./กก. (น้ำหนักตัว) มีรายงานอีกฉบับหนึ่งว่า พบหญิงอายุ 33 ปี กินสารสกัดใบแปะก๊วย 120 มก./วัน นานเป็นปี ตรวจพบก้อนเลือดในเยื่อหุ้มสมอง แต่กลับเป็นปกติเมื่อหยุดกินสารสกัดแปะก๊วยนานประมาณ 35 วัน อีกรายหนึ่งเป็นหญิงอายุ 72 ปี กินสารสกัดใบแปะก๊วย 150 มก./วัน นาน 6 เดือน ตรวจพบก้อนเลือดในเยื่อหุ้มสมอง เช่นกัน  แล้วยังมีการศึกษา ชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานผลแปะก๊วยมากเกินไปทำให้เกิดอาการชักได้ โดยเชื่อว่าอาจเกิดสาร 4'- Methoxpyridoxin (4'MPN) ที่มีในเมล็ดแปะก๊วยทำให้เอนไซม์ glutamate decarboxylass ทำงานไม่ได้  จึงทำให้เกิดอาการชัก  และเมื่อมีการชักทำให้สมองขาดออกซิเจนชั่วขณะ ซึ่งอาจทำให้เซลล์สมองตายได้ นอกจากนี้แปะก๊วยยังมีผลไปขัดขวางการเกาะกันของเกร็ดเลือด เช่นเดียวกับ กระเทียมและตังกุย
            แต่อย่าเพิ่งไปกลัวเจ้า "แปะก๊วย" กันมากจนเกินไปนะครับ  เพราะปัญหาที่พบในการใช้แปะก๊วยเหล่านี้ เกิดจากควรใช้ที่ไม่ถูกวิธี คือ การใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หากใช้ในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม แปะก๊วย ก็จะเป็นสมุนไพรที่ให้ประโยชน์อย่างแน่นอน
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์แปะก๊วย

18

ลักษณะไม่เหมือนใครของแปะก๊วย สมุนไพร "ลูกไม้สีเงิน"
            สมุนไพรจีนแปะก๊วย หรือชื่อจีนว่า "หยาเจียว" เป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เพราะสรรพคุณที่มีการบอกต่อๆกันมา โดยเฉพาะสรรพคุณในการบำรุงสมอง ฟื้นฟูความจำจากโรคอัลไซเมอร์ สมุนไพรของไทยที่มีข้อดีนี้คือพริกไทยดำ และชาวจีนยังเชื่อว่า แปะก๊วยเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้แปะก๊วยเป็นสมุนไพรที่ได้รับความชื่นชอบอย่างมหาศาร  ซึ่งแปะก๊วยที่ทุกท่านพบเห็นกันนั้นส่วนใหญ่จะเห็นในรูปแบบการอบแห้งพร้อมจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่คงมีไม่กี่คนที่ได้เห็นต้นแปะก๊วย จริงๆ ว่ามีลักษณะทั่วไปเป็นอย่างไร  ทั้ง ต้น ดอก ใบ ผล มีลักษณะและสีสันเป็นแบบใด จึงจะขอนำลักษณะทั่วไปของแปะก๊วยมาบอกเล่าเก้าสิบให้ทุกท่านได้รับทราบถึง ข้อมูลตรงนี้กัน  โดยชื่อแปะก๊วย  ตามความหมายแล้ว หมายถึง  "ลูกไม้สีเงิน"  เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่โต เปลือกสีเทาเมื่อต้นแก่เป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ซึ่งหากโตเต็มที่และได้รับการบำรุงที่ดีแล้ว อาจสูงถึง 30 - 40 เมตรเลยทีเดียว โดยต้นแปะก๊วยนั้นจะมีทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย เหมือนกับกำลังพญาเสือโคร่ง สำหรับใบของแปะก๊วยนั้น ลักษณะเป็นใบเดี่ยว คล้ายพัดจีน กว้าง 5 - 10 ซม. ยาวประมาณ 8 ซม. ก้านใบยาว ใบมีรอยเว้าตรงกลาง ออกตามปลายกิ่ง ใบอ่อนมีสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง ดอกของแปะก๊วยนั้นลักษณะเป็นดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้นกันตามต้นเพศผู้หรือเพศเมีย ดอกออกปลายกิ่งโดยดอกเพศผู้จะออก 4 - 6 ดอกต่อกิ่ง ส่วนดอกเพศเมียจะออก 2 - 3 ดอกต่อกิ่ง ปลายก้านมีไข่ 2 เมล็ด ไข่ไม่มีรังหุ้ม ผลของแปะก๊วย เป็นลักษณะกลม หรือรี มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ซม. มีสีเหลืองนวลแต่กลิ่นเหม็น และเมล็ดของแปะก๊วยนั้นเป็นรูปไข่ เปลือกแข็ง มีสีเหลือง เนื้อภายในใช้ทำอาหารได้ นั้นคือลักษณะ ของแปะก๊วย สมุนไพรจีนอีกตัวหนึ่ง ที่กำลังเป็นที่พูดถึงและนิยมนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านอาหารและสมุนไพร  ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ไม่ใช่ว่า ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติทุกอย่างจะไม่มีอันตราย แปะก๊วยก็เช่นกัน หากใช้ไม่ดีก็อาจจะทำให้เกิดโทษได้ ซึ่งในเรื่องความเป็นพิษของแปะก๊วยนั้นจะขอนำเสนอต่อไปในบทความหน้า โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ.
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณแปะก๊วย

หน้า: [1] 2