แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - kdidd

หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9
110
แปะก๊วย กินแล้วดี

111

(แปะก๊วย) เลือกใช้ไม่ดีมีโทษมหันต์
            สมุนไพรทุกชนิดนั้นมีคุณสมบัติและสรรพคุณในการใช้บำบัดรักษาโรคต่างๆได้ ตามสารออกฤทธิ์ต่างๆ ที่มีในตัวสมุนไพรนั้นๆ แต่ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ มีมืด ย่อมมีสว่าง มีข้อดีย่อมมีข้อเสีย สมุนไพรก็เช่นกัน หากว่าสมุนไพรมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณข้อดีแล้ว อีกด้านหนึ่งหากเราใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือเรามีโรคประจำตัวที่มีผลต่อสารต่างๆ ในตัวสมุนไพรนั้นๆ แล้ว แทนที่เราจะได้ประโยชน์จากการใช้สมุนไพรก็อาจจะกลายเป็นผลร้ายต่อสุขภาพอนามัยของเราก็ได้ ดังนั้นในการใช้สมุนไพรแต่ละตัว เราควรมีการศึกษาข้อมูลของสมุนไพรนั้นๆ อย่างถ่องแท้ก่อนเสมอ สำหรับสมุนไพร "แปะก๊วย" ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีการยืนยันจากหลายๆ หน่วยงานหรือจากการศึกษาวิจัยหลายๆ ชิ้น ว่ามีผลที่ดีต่อสุขภาพ เช่น แปะก๊วยบำรุงสมอง แปะก๊วยป้องกันอัลไซเมอร์ รวมถึงแปะก๊วยช่วยในเรื่องสมรรถภาพทางเพศ แต่หากเรานำมาใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้ในปริมาณมากหรือน้อยเกินไป ก็อาจส่งผลกับสุขภาพของเราเช่นกัน ซึ่งในรายงานการวิจัยด้านความเป็นพิษของแปะก๊วยนั้น มีหลายงานวิจัยเหมือนกันที่ระบุว่า แปะก๊วยนั้นมีความเป็นพิษอยู่ เช่น มีการทดสอบค่าความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูทดลอง ให้ค่า LD = 7725 มก/กก. (น้ำหนักตัว) และเมื่อให้ทางปากมีค่าเท่ากับ 1100 มก./กก. (น้ำหนักตัว) มีรายงานอีกฉบับหนึ่งว่า พบหญิงอายุ 33 ปี กินสารสกัดใบแปะก๊วย 120 มก./วัน นานเป็นปี ตรวจพบก้อนเลือดในเยื่อหุ้มสมอง แต่กลับเป็นปกติเมื่อหยุดกินสารสกัดแปะก๊วยนานประมาณ 35 วัน อีกรายหนึ่งเป็นหญิงอายุ 72 ปี กินสารสกัดใบแปะก๊วย 150 มก./วัน นาน 6 เดือน ตรวจพบก้อนเลือดในเยื่อหุ้มสมอง เช่นกัน  แล้วยังมีการศึกษา ชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานผลแปะก๊วยมากเกินไปทำให้เกิดอาการชักได้ โดยเชื่อว่าอาจเกิดสาร 4'- Methoxpyridoxin (4'MPN) ที่มีในเมล็ดแปะก๊วยทำให้เอนไซม์ glutamate decarboxylass ทำงานไม่ได้  จึงทำให้เกิดอาการชัก  และเมื่อมีการชักทำให้สมองขาดออกซิเจนชั่วขณะ ซึ่งอาจทำให้เซลล์สมองตายได้ นอกจากนี้แปะก๊วยยังมีผลไปขัดขวางการเกาะกันของเกร็ดเลือด เช่นเดียวกับ กระเทียมและตังกุย
            แต่อย่าเพิ่งไปกลัวเจ้า "แปะก๊วย" กันมากจนเกินไปนะครับ  เพราะปัญหาที่พบในการใช้แปะก๊วยเหล่านี้ เกิดจากควรใช้ที่ไม่ถูกวิธี คือ การใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หากใช้ในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม แปะก๊วย ก็จะเป็นสมุนไพรที่ให้ประโยชน์อย่างแน่นอน
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์แปะก๊วย

113

ลักษณะไม่เหมือนใครของแปะก๊วย สมุนไพร "ลูกไม้สีเงิน"
            สมุนไพรจีนแปะก๊วย หรือชื่อจีนว่า "หยาเจียว" เป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เพราะสรรพคุณที่มีการบอกต่อๆกันมา โดยเฉพาะสรรพคุณในการบำรุงสมอง ฟื้นฟูความจำจากโรคอัลไซเมอร์ สมุนไพรของไทยที่มีข้อดีนี้คือพริกไทยดำ และชาวจีนยังเชื่อว่า แปะก๊วยเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้แปะก๊วยเป็นสมุนไพรที่ได้รับความชื่นชอบอย่างมหาศาร  ซึ่งแปะก๊วยที่ทุกท่านพบเห็นกันนั้นส่วนใหญ่จะเห็นในรูปแบบการอบแห้งพร้อมจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่คงมีไม่กี่คนที่ได้เห็นต้นแปะก๊วย จริงๆ ว่ามีลักษณะทั่วไปเป็นอย่างไร  ทั้ง ต้น ดอก ใบ ผล มีลักษณะและสีสันเป็นแบบใด จึงจะขอนำลักษณะทั่วไปของแปะก๊วยมาบอกเล่าเก้าสิบให้ทุกท่านได้รับทราบถึง ข้อมูลตรงนี้กัน  โดยชื่อแปะก๊วย  ตามความหมายแล้ว หมายถึง  "ลูกไม้สีเงิน"  เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่โต เปลือกสีเทาเมื่อต้นแก่เป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ซึ่งหากโตเต็มที่และได้รับการบำรุงที่ดีแล้ว อาจสูงถึง 30 - 40 เมตรเลยทีเดียว โดยต้นแปะก๊วยนั้นจะมีทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย เหมือนกับกำลังพญาเสือโคร่ง สำหรับใบของแปะก๊วยนั้น ลักษณะเป็นใบเดี่ยว คล้ายพัดจีน กว้าง 5 - 10 ซม. ยาวประมาณ 8 ซม. ก้านใบยาว ใบมีรอยเว้าตรงกลาง ออกตามปลายกิ่ง ใบอ่อนมีสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง ดอกของแปะก๊วยนั้นลักษณะเป็นดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้นกันตามต้นเพศผู้หรือเพศเมีย ดอกออกปลายกิ่งโดยดอกเพศผู้จะออก 4 - 6 ดอกต่อกิ่ง ส่วนดอกเพศเมียจะออก 2 - 3 ดอกต่อกิ่ง ปลายก้านมีไข่ 2 เมล็ด ไข่ไม่มีรังหุ้ม ผลของแปะก๊วย เป็นลักษณะกลม หรือรี มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ซม. มีสีเหลืองนวลแต่กลิ่นเหม็น และเมล็ดของแปะก๊วยนั้นเป็นรูปไข่ เปลือกแข็ง มีสีเหลือง เนื้อภายในใช้ทำอาหารได้ นั้นคือลักษณะ ของแปะก๊วย สมุนไพรจีนอีกตัวหนึ่ง ที่กำลังเป็นที่พูดถึงและนิยมนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านอาหารและสมุนไพร  ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ไม่ใช่ว่า ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติทุกอย่างจะไม่มีอันตราย แปะก๊วยก็เช่นกัน หากใช้ไม่ดีก็อาจจะทำให้เกิดโทษได้ ซึ่งในเรื่องความเป็นพิษของแปะก๊วยนั้นจะขอนำเสนอต่อไปในบทความหน้า โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ.
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณแปะก๊วย

114
ถังเช่า ควรมีการเลือกซื้อที่มี อย. บริโภคนะครับ

115
พริกไทย มีข้อดีมากกว่าที่คุณคิด

116
ดันถังเช่าค่ะ

118
ถั่งเช่า ทองคำแห่งสมุนไพรจีน  สมญานี้ชัวร์หรือมั่วนิ่ม ?
            ถั่งเช่า  สมุนไพรจีนที่สนนราคาอยู่กันที่ 6 - 7 หลัก ต่อ กิโลกรัมนั้น  นับเป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงระดับต้นๆ ของวงการสมุนไพรของโลกเลยทีเดียว  ถึงขนาดว่า ถั่งเช่า ได้รับสมญานามว่า "ทองคำแห่งสมุนไพรจีน"  แต่ในราคาที่แพงหูฉี่  เชื่อว่า ยังมีอีกหลายท่านที่ยังคงสงสัยว่า เม็ดเงินที่จ่ายไปสำหรับซื้อ ถั่งเช่า นั้นจะคุ้มค่าราคาคุย ในตัวสมุนไพรชนิดนี้หรือไม่  ในตอนนี้จะนำข้อมูลต่างๆ มารวบรวมให้ทุกท่านได้คลายข้อสงสัยในตัวของถั่งเช่า "ทองคำแห่งสมุนไพรจีน"
            สมุนไพร ถั่งเช่า นี้ เป็นสมุนไพรจีนที่ได้รับความนิยมในการศึกษาวิจัยจากนักวิจัยจากทั่วโลก เช่นเดียวกับเห็ดหลินจือ และมีผลงานวิจัยออกมาหลายชิ้น โดยในตัวสมุนไพร ถั่งเช่า นี้  มีองค์ประกอบทางเคมีต่างๆ เช่น สารแมนทินอล , สารกลุ่มนิวคลิโอไซด์  , โปรตีน , สารกลุ่มพอลิแซ็กคาไรค์ และกลุ่มไขมัน ซึ่งสารกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีประโยชน์และจำเป็นกับร่างกายของมนุษย์เราทั้งนั้น ส่วนเรื่องสรรพคุณของ ถั่งเช่า นั้น มีมากมายหลายประการ แต่ที่เด่นชัดและเป็นที่ยอมรับและนิยมกันมาก คือ สรรพคุณด้านการเสริมสมรรถภาพทางเพศ เช่นเดียวกับสมุนไพรกวาวเครือแดงของไทย  โดยมีรายงานการศึกษาในชาย 22 คน พบว่า ถั่งเช่า สามารถเพิ่มสเปิร์มของอสุจิได้ และสามารถเพิ่มความต้องการทางเพศได้ กว่า 80% เลยทีเดียว รวมทั้งเพิ่มโอกาสที่สเปิร์มจะทำการปฏิสนธิกับไข่ได้อีกถึง 3 เท่า  จนถึงเช่าได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า "ไวอะกร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย" ส่วนสรรพคุณของถั่งเช่าในด้านอื่นๆก็ยังมีอีกนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นลดระดับน้ำตาลในเลือด , บำรุงโลหิต เสริมสร้างการทำงานของตับ , ลดไขมันในเลือด , ต้านมะเร็ง , ชะลอความแก่ , ฟื้นฟูการทำงานของไต ฯลฯ
            นี่เป็นเพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่นำมาเสนอให้ทุกท่านได้ลองอ่าน ซึ่งในระดับที่ลึกๆลงไปมากกว่านี้ เชื่อว่ายังมีข้อมูลด้านต่างๆ ของสมุนไพรชนิดนี้ที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์เราอีกมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เพราะในขณะที่ ถั่งเช่า ส่งผลที่ดีในสรรพคุณต่างๆ แก่คนหมู่มาก ส่วนอีกด้านหนึ่งอาจส่งผลข้างเคียงกับคนบางกลุ่มได้
            ดังนั้น  ก่อนจะใช้สมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น ถั่งเช่า หรือ สมุนไพรชนิดไหน ควรศึกษาข้อมูลของสมุนไพรและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ ดังสำนวนจีนที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง"

Tags : ถั่งเช่า,ขายถั่งเช่า,ตังถั่งเช่า

120
เรื่องน่ารู้lสนใจเกี่ยวกันงานวิจัยในlของพริกไทย
            "พริกไทย"  มีการนำไปศึกษาlค้นคว้าวิจัยด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกองค์ประกอบทางเคมีออกมาหรือการศึกษาทางเภสัชวิทยา  และการศึกษาlค้นคว้าความเป็นพิษ  ซึ่งการศึกษาlค้นคว้าเรื่องต่างๆเหล่านี้ เนื่องมาจาก พริกไทยนั้น เป็นพืชที่ได้รับความนิยมlชื่นชอบในการใช้ทั่วโลก  ทั้งใช้ในการเป็นเครื่องปรุงรสอาหาร เป็นวัตถุดิบการประกอบอาหาร (พริกไทยอ่อน)  หรือการใช้เป็นยาและlหรือสมุนไพร ทั้งนี้ในการบริโภคพริกไทยนั้น  ผู้บริโภคย่อมต้องการความปลอดภัยว่า เมื่อบริโภคแล้วจะไม่เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์กับร่างกาย  และต้องการทราบว่า พริกไทยที่บริโภคไปนั้นให้คุณประโยชน์อะไรกับร่างกายบ้าง  ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้จึงมีการศึกษาlค้นคว้าวิจัยในตัวพริกไทยกันขึ้นlเรื่อยมา ทั้งในสถาบันในประเทศlไทยและต่างประเทศ ต่างก็มีผลงานการวิจัยออกมากันอย่างแพร่หลายมากมายหลายชิ้นlอย่างด้วยกัน  แต่ในแต่ละผลงานทางวิชาการนั้น ทิศทางและผลสรุปของการวิจัยนั้นแทบlเกือบจะออกมาในแนวทางเดียวกัน  ดังนั้นในบทความนี้จึงขอนำผลงานการวิจัยด้านต่างๆที่รวบรวมได้และนำมากลั่นกรอง แล้วจึงนำมาเล่าสู่กันฟังแบบคร่าวๆนะครับ  โดยพริกไทยนั้นมีองค์ประกอบทางเคมี คือ มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ประมาณ 2% ส่วนมากเป็น beta - caryophyllene      และพบสาร   alkaloid     ประเภท   alkaloid  piperine   และ  piperttine   เป็นองค์ประกอบหลักซึ่งคล้ายกับชะพลู สำหรับการศึกษาlค้นคว้าทางเภสัชวิทยาของพริกไทย นั้นพบว่า เพิ่มการหลั่งของน้ำย่อยในทางเดินlกระเพราะอาหาร และกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ต้านการออกซิเดชั่น และยับยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง รวมถึงยังมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางทำให้เมื่อเกิดอาการชักนั้นร่างกายจะถูกกดระบบประสาทส่วนกลางไว้ทำให้ไม่เกิดอาการหรือเกิดน้อยกว่าปกติ  ส่วนการศึกษาlค้นคว้าความเป็นพิษของพริกไทยนั้น มีการศึกษาlค้นคว้าสารไพเพอรีนในพริกไทย ต่อหนูทดลอง 800 มก.ต่อน้ำหนักตัวพบว่า  ไพเพอรีน ที่ให้หนูทดลองนั้นไม่เกิดอันตรายต่อหนู  แต่ทำให้ค่า Mitotic index ลดลง        สัณนิษฐานว่า ไพเพอรีนอาจเป็นพิษต่อไขกระดูกได้เมื่อได้รับในปริมาณที่สูงและติดต่อกันนานๆ และในการศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูทดลองพบว่า ค่า LD = 12.66 ก/กก. (น้ำหนักตัว) ในสารสกัดเอทานอล และ LD = 424.38 ก/กก. (น้ำหนักตัว) ส่วนพิษกึ่งเรื้อรัง เมื่อป้อนผงยาให้หนูทดลองขนาด 5 เท่าของขนาดที่ให้คนพบว่าไม่เกิดอันตรายต่อหนูทดลอง  นี่เป็นเพียงผลของการศึกษาวิจัยในพริกไทยส่วนเสี้ยวหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งการวิจัยในเรื่องพริกไทยนี่ยังมีอีกมาก แต่ที่พอหามาเล่าสู่กันฟังนั้นสรุปได้ประมาณนี้ ในส่วนของขนาดการใช้พริกไทยนั้น ก็ไม่ได้มีการกำหนดตายตัวว่าจะต้องใช้ปริมาณเท่าใด ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้พอสมควร เนื่องจากพริกไทยมีสาร alkaloid  piperine   ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่ายกายแล้วจะเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม "เอนไนโตรโซไพเพอร์ริดีน ที่จะทำปฏิกิริยากับไนโตรเจน ซึ่งหากมีปริมาณที่มาก อาจทำให้เสียงเป็นมะเร็งสูง เช่นกัน แต่หากทานให้พอดีร่ายกายก็จะขับออกมาเอง ดังนั้นควรรับประทานให้พอเหมาะและไม่ใช้ติดต่อlต่อเนื่องกันนานจนเกินไป

125
กวาวเครือขาวกับคุณประโยชน์และข้อบ่งใช้ที่ควรทราบ
            เมื่อขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้ว ล้วนต้องมีสรรพคุณต่างๆตามสารออกฤทธิ์ที่มีในตัวสมุนไพรนั้นๆ ซึ่งคุณสมบัติต่างๆนี้มนุษย์เราก็จะเลือกสมุนไพรมาใช้ตามอาการป่วยของตนที่เป็นอยู่เพื่อที่จะได้ใช้สมุนไพรเยียวยาให้ตรงตามอาการและไม่เกิดพิษหรือภาวะแทรกซ้อนใดๆกวาวเครือขาวก็เช่นกันในทีนี่ของนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคุณสมบัติของกวาวเครือขาว สมุนไพรยอดฮิตของสาวๆ (ทั้งสาวเล็กและสาวใหญ่) ซึ่งในตอนที่แล้ว เรารู้แล้วว่าในหัวกวาวเครือขาว[/i]นั้นมีสารออกฤทธิ์ตัวไหนบ้าง (กวาวเครือขาวมีสารออกฤทธิ์อย่าน้อย 19 อย่าง) ดังนั้นเราจึงควรรู้ว่าประโยชน์ของกวาวเครือขาวนั้นมีอะไรบ้าง โดยตำรายาแผนโบราณกล่าวไว้ว่ากวาวเครือขาวเป็นสมุนไพรที่ให้รสเย็น เบื่อเมา , บำรุงสุขภาพ เป็นยาอายุวัฒนะแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย หากทาหรือทานจะทำให้เต้านมขยายใหญ่ขึ้น เป็นยาปรับรอบเดือน บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้มีเลือดมาคั่งมากขึ้น ทำให้ผิวหนังเต่งตึง แก้พิษงู ส่วนในตำรายาพม่านั้นกล่าวว่า กวาวเครือขาวใช้หัวเป็นยาอายุวัฒนะใช้ได้ทั้งชายและผู้หญิง แต่คนหนุ่มคนสาวไม่ควรรับประทานส่วนในการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นระบุว่า กวาวเครือขาวกำลังอยู่ในช่วงการค้นหาถึงฤทธิ์ที่มีต่อสตรี ในเรื่องต่างๆ เช่น ช่วยลดอาการต่างๆ ของสตรีหมดประจำเดือน , ลดภาวะกระดูกพรุน , ต้านอนุมูลอิสระ , ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้ง ส่วนที่มีการใช้กันในปัจจุบันนั้น สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุขระบุไว้ว่า ให้ใช้กวาวเครือขาวเป็นส่วนประกอบในตำรายาเพื่อบำรุงร่างกาย โดยมีส่วนประกอบของผงกวาวเครือขาวไม่เกิน 2 มิลลิกรัม ต่อกก.ต่อวัน หรือรับประทานได้วันละไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนในปัจจุบันนั้น เราจะเห็นได้ว่า กวาวเครือขาวจะถูกนำมาเป็นครีมบำรุงและขยายขนาดหน้าอกของผู้หญิงหลายแบรนด์หลายยี่ห้อ  ซึ่งเป็นจุดแข็งของกวาวเครือขาวในปัจจุบันเพราะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้รวดเร็ว เห็นผลไว หากใช้อย่างสม่ำเสมอ แต่กวาวเครือขาวก็มีข้อบ่งใช้ที่ต้องปฏิบัติตาม คือ 1.ไม่ควรใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ 2.ผู้ป่วยมะเร็งมดลูกและมะเร็งเต้านมหรือเนื้องอกที่ไวต่อฮอร์โมนเอสโตเจน ไม่ควรใช้เพราะในกวาวเครือขาวมีสารออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนนี้อยู่ 3.ไม่ควรรับประทานเกินขนาดที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ในปัจจุบันนี้กวาวเครือขาวได้ถูกจัดให้เป็นสมุนไพรควบคุมเช่นเดียวกับ กวาวเครือแดงและกวาวเครือดำเพราะเป็นสมุนไพรที่เสี่ยงจะสูญพันธุ์ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ส่วนสมุนไพรตัวอื่นที่เสี่ยงจะสูญพันธุ์เช่นกัน และจำถูกจัดเป็นสมุนไพรควบคุมในเร็ววันนี้ มีอีก 22 อย่าง อาทิเช่น สะค้าน เถาเอ็นอ่อน ปลาไหลเผือก ฯลฯ
            ดังนั้นสมุนไพรไทยเหล่านี้เราจึงควรเพาะปลูกทดแทนและอนุรักษ์ไว้ให้ได้ใช้ต่อไปในระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าหากมีการค้นคว้าเพิ่มเติมในมนุษย์แล้ว กวาวเครือขาวจะเป็นสมุนไพรที่ให้คุณคุณสมบัติแก่มนุษย์อย่างมหาศาลแน่นอน

Tags : ผงหัวกวาวเครือขาว,กินกวาวเครือขาว,ผงกวาวเครือขาว

หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9