แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - PostDD

หน้า: 1 ... 742 743 [744] 745 746 ... 971
13376
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. ซีเค พาวเวอร์” ที่ “A”, และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ “A-”, แนวโน้ม “Stable”

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ ?A-? หุ้นกู้ของบริษัทมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากหุ้นกู้นี้มีลักษณะการด้อยสิทธิทางโครงสร้างเมื่อเทียบกับเงินกู้ของบริษัทย่อยของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดรับที่เชื่อถือได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (ได้รับอันดับเครดิต ?AAA/Stable? จากทริสเรทติ้ง) และประวัติการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัท อันดับเครดิตยังรวมถึงความคาดหวังว่าระดับหนี้สินจะค่อย ๆ ลดลง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตดังกล่าวก็มีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำและความเสี่ยงของประเทศ (Country Risk) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

รายได้ที่เชื่อถือได้

เงินลงทุนหลักในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่งใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง 2 แห่ง ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้งสิ้น 1,003 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำมีกำลังการผลิตคิดเป็น 83% ของกำลังการผลิตทั้งหมดหรือ 829 เมกะวัตต์ โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรี กำลังการผลิตที่เหลือมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 2 แห่งขนาด 155 เมกะวัตต์ (15%) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 19 เมกะวัตต์ (2%)

กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการชำระเงินและความเสี่ยงด้านตลาด ทั้งนี้ กฟผ. เป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่โดยรับซื้อประมาณ 96% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด ส่วนกำลังการผลิตที่เหลือรับซื้อโดย Electricite Du Laos (EDL) กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ของประเทศไทย

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โครงการน้ำงึม 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักของบริษัทมีความพร้อมในการดำเนินงานอยู่ในระดับสูงตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการ ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมได้ดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ กฟผ. อย่างสม่ำเสมอ

โรงไฟฟ้าพลังน้ำสร้างกำไรเป็นส่วนใหญ่

กำไรของบริษัทขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นอย่างมาก ในปี 2564 บริษัท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท โดยประมาณ 2.9 พันล้านบาท (หรือประมาณ 64%) มาจากโครงการน้ำงึม 2 และ 296 ล้านบาท (หรือประมาณ 7%) ) มาจากโครงการไซยะบุรี โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เนื่องจากไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ส่งผลให้มีกำไรค่อนข้างสูงกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล

สัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังน้ำมีโครงสร้างที่ดี

ความเสี่ยงที่สำคัญของการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำคือความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำ กำลังไฟฟ้าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากในแต่ละปี ปริมาณน้ำที่ผันผวนสูงจะส่งผลต่อความแน่นอนของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเพียงพอของกระแสเงินสดที่ใช้รองรับต้นทุนคงที่ได้

เพื่อลดความเสี่ยงของปริมาณน้ำที่มีความผันผวน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำของบริษัทมีโครงสร้างสัญญาที่ช่วยทำให้กระแสเงินสดมีเสถียรภาพแม้ว่าปริมาณน้ำจะมีความผันผวน โดยสัญญาจะมีกลไกที่เอื้อให้บริษัทสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เกินกว่าปริมาณเป้าหมายในปีที่มีน้ำมาก ในขณะที่ปีแล้งบริษัทก็จะได้รับค่าตอบแทนชดเชย และในกรณีที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าได้ต่ำกว่าปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายต่อปี ปริมาณไฟฟ้าในส่วนที่ขาดนี้ก็สามารถนำไปทบกับปริมาณไฟฟ้าเป้าหมายของปีถัด ๆ ไปได้

ความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ

แม้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะมีกลไกช่วยลดความเสี่ยง แต่ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทยังคงมีความเสี่ยงสูงด้านอุทกวิทยา เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำถือเป็นสัดส่วนหลักในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท ภัยแล้งที่ยืดเยื้ออาจส่งผลให้รายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว เห็นได้จากรายได้ของโครงการน้ำงึม 2 ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

โรงไฟฟ้าพลังน้ำยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโต

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนา ?โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง? (โครงการหลวงพระบาง) ในจังหวัดหลวงพระบางของ สปป. ลาว โครงการนี้เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-river) ขนาดใหญ่ในแม่น้ำแม่โขงซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 1,460 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้น 42% ในบริษัทที่ดำเนินโครงการคือ บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างโครงการได้ในปี 2565 และเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้ในปี 2573 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทต้องใช้เงินลงทุนราว 1.6 หมื่นล้านบาทในช่วงที่พัฒนาโครงการ ปัจจุบัน บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปในโครงการแล้ว 2.7 พันล้านบาท

มีความเสี่ยงของประเทศใน สปป. ลาว

การที่โรงไฟฟ้าหลัก ๆ ของบริษัทตั้งอยู่ใน สปป. ลาว จึงทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงของประเทศใน สปป. ลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวก็ได้รับการบรรเทาลงได้ด้วยสัญญาสัมปทานที่มีกับรัฐบาล สปป. ลาว และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่งใน สปป. ลาว มีข้อตกลงในการชำระค่าขายไฟฟ้า โดย กฟผ. ชำระค่าซื้อไฟฟ้าโดยตรงเข้าบัญชีรายได้ของโรงไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้ (EDL-Generation Public Company -- EDL-Gen) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของ สปป. ลาว ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของทั้งโครงการน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรีอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าโคงการหลวงพระบางจะดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน และคาดว่าว่ารัฐบาล สปป. ลาว จะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการหลวงพระบางด้วยเช่นกัน

สถานะการเงินที่คาดว่าจะดีขึ้น

การคงอันดับเครดิตตอกย้ำความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้นโดยมีภาระหนี้สินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งอิงตามระดับน้ำเมื่อต้นปี 2565 และสมมติฐานที่ระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า โดยคาดการณ์ว่าโครงการน้ำงึม 2 จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,600-1,650 ล้านหน่วย ในปี 2565 และฟื้นตัวขึ้นไปใกล้ระดับเฉลี่ยในช่วงปี 2566-2567 นอกจากนี้ ยังคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนได้ประมาณปีละ 1.1-1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับเงินปันผลจากโครงการไซยะบุรี 200 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 เป็นผลให้ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.0-4.7 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2567 และเงินทุนจากการดำเนินงาน (FFO) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน

ภาระหนี้คาดว่าจะลดลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจนถึงระดับที่ต่ำกว่า 4 เท่าในปี 2567 โดยเชื่อว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งหมด 1.2 พันล้านบาทระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านและใช้จุดแข็งเพื่อพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ เนื่องจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำโดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ทริสเรทติ้งจึงไม่คาดว่าสินทรัพย์ของบริษัทจะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามประมาณการกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 40% ในช่วงปี 2565-2567

โครงสร้างหนี้สิน

ณ เดือนธันวาคม 2564 งบการเงินรวมของบริษัทมีหนี้สินทั้งหมดจำนวน 3.11 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวน 1.86 หมื่นล้านบาทที่ถูกพิจารณาว่าเป็นหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ของบริษัทย่อย อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดคือ 60% ทำให้เจ้าหนี้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทนั้นด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญในกรณีที่ต้องเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินของบริษัท หุ้นกู้ของบริษัทจึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 1 ขั้น

สถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ

ในงบการเงินรวมนั้น บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดซึ่งรวมถึงเงินสดที่มีภาระผูกผันสำหรับเงินกู้โครงการอยู่ที่ประมาณ 7.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (ทั้งแบบที่สามารถและไม่สามารถยกเลิกวงเงินได้) อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 2.8 พันล้านบาทในปี 2565 ดังนั้น เงินสดในมือ รวมทั้งวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ และเงินทุนจากการดำเนินงานจึงน่าจะเพียงพอใช้ชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงปี 2565-2567 จำนวนรวมประมาณ 8.6 พันล้านบาทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2565-2567 จำนวน 4 พันล้านบาทโดยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัทอีกด้วย

จากประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้ทั้งหุ้นกู้และเงินกู้โครงการ นอกจากนี้ บริษัทย่อยเหล่านี้ยังต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินสำรองสำหรับใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ด้วย โดยบัญชีดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงให้แก่ผู้ให้กู้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ปริมาณไฟฟ้าที่โครงการน้ำงึม 2 ขายให้ กฟผ. เท่ากับ 1,600-1,650 ล้านหน่วยในปี 2565 และ 2,000 ล้านหน่วยในปี 2566-2567

? โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมขายไฟฟ้าจำนวน 1,526-1,545 ล้านหน่วย

? เงินลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 1.2 พันล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่' สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการลงทุน และคาดว่าโครงสร้างทางการเงินจะค่อย ๆ ดีขึ้นโดยกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ในระดับเดียวกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านั้นมีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทที่อ่อนแอกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะเกิดจากปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เงินกู้เป็นหลักซึ่งส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CKP22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

CKP23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

CKP245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

CKP265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

CKP27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-

CKP285A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

CKP286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-

CKP31OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว 

13377
ก.ล.ต.กล่าวโทษ 'มด คันหุ้น-คันหุ้น-เทรดหุ้นโชว์' ปล่อยข่าวเท็จปั่นราคาหุ้น

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคลผู้ใช้นามแฝงชื่อ 'มด คันหุ้น' รวมถึงบุคคลที่เผยแพร่ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน LINE OpenChat ได้แก่ กลุ่ม 'คันหุ้น' และกลุ่ม 'เทรดหุ้นโชว์' กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน โดยอาจทำให้มีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์หรือต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์

ทั้งนี้ พบการเผยแพร่ข้อความในช่วงปี 62 และปี 64 ของบุคคลผู้ใช้นามแฝงข้างต้นที่เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน เช่น การผิดนัดชำระหนี้จำนวนหลายหมื่นล้านบาท การคำเสนอซื้อกิจการ การร่วมทุน การจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor listing) และ การขายหุ้นของกิจการทั้งหมด โดยเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียน รวม 12 แห่ง ได้แก่

บล.เออีซี (ACE) ปัจจุบันชื่อ บล.บียอนด์ (BYD), บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM), บมจ.ซีเอ็มโอ (CMO), บมจ.ฟลอยด์ (FLOYD), บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), บล.เกียรตินาคินภัทร (KKP) ปัจจุบันไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ, บมจ.คัมเวล คอร์ปอเรชั่น (KUMWEL), บมจ.แพนเอเซียฟุตแวร์ (PAF), บมจ.ภัทรลิสซิ่ง (PL), บมจ.สยามอีสต์ โซลูชั่น (SE), บมจ.ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) (TPLAS), บมจ.อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) ซึ่งเป็นข้อความเท็จและบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งได้ออกมาปฏิเสธข้อความดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง

การกระทำของบุคคลที่ใช้นามแฝง 'มด คันหุ้น' รวมถึงกลุ่ม 'คันหุ้น' และกลุ่ม 'เทรดหุ้นโชว์' เข้าข่ายเป็นการบอกกล่าว หรือเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน ราคาซื้อขายหลักทรัพย์ หรือข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ในลักษณะที่น่าจะทำให้มีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์หรือต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลที่ใช้นามแฝง 'มด คันหุ้น' รวมถึงบุคคลที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกันตามที่กล่าวข้างต้น ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ

 

13379
ช่างปานกุญแจ ยินดีให้บริการ สนใจติดต่อสอบถามได้ครับ 0851088797

13381
Balance Ucore [^_^] ประกอบด้วย สารสกัดจากธรรมชาติ13 ชนิด
น้ำมันจมูกข้าว, น้ำมันงา, น้ำมันเมล็ดงาขี้ม่อน, สารสกัดโสม, สารสกัดถั่งเช่า, เห็ดชิตาเกะ, เห็ดยามาบูชิตาเกะ, เห็ดไมตาเกะ, สารสกัดขิง, สารสกัดพลูคาว, สารสกัดเห็ดหลินจือ, เบต้ากลูแคน, โคเอนไซม์ Q10

จดทะเบียนในชื่อ ยูคอร์ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลนิ่ม)
Ucore (SOFT GEL DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT)
เลขที่ อย. 13-1-07458-5-0233
ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล
ราคาพิเศษเพียง 990 บาท

*รบกวนแจ้งอาการและยาที่ทานก่อนครับ
มีผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์คอยให้คำปรึกษา
แอดไลน์ สอบถามปรึกษา
Line : @balances 
รายละเอียดเพิ่มเติม Ucore

13384
ZEN มั่นใจปี 65 พลิกเป็นกำไร-วางเป้ารายได้โต 30% แตะ 3 พันลบ.รับศก.ฟื้น
 
นางยุพาพรรณ เอกสิทธิกุล กรรมการบริหาร และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและบัญชี บมจ.เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการปี 65 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่มีผลขาดทุน 91.57 ล้านบาท เนื่องจากตั้งเป้ารายได้ในปีนี้จะฟื้นมาแตะ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,255.32 ล้านบาท โดยคาดว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20%
แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สายพันธุ์โอไมครอนไม่ได้มีอาการรุนแรงเหมือนกับสายพันธุ์ก่อนหน้า ส่งผลให้การใช้ชีวิตของประชาชนและกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้ค่อนข้างมาก ในขณะเดียวกันภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และยืนยันว่าจะไม่ใช้มาตรการปิดเมือง (Lockdown) อีก จึงช่วยหนุนให้ประชาชนกลับมาทานอาหารในร้านสาขาของบริษัทมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาร่วมสร้างยอดขายใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้น รวมถึงการต่อยอดร้านอาหารแบรนด์ "เขียง" เพิ่มมากขึ้น ทั้งเขียงแกงใต้ และเขียงเล็ก (ร้านรถเข็น) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดี
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะมีการรับรู้รายได้จากการลงทุนโรงงานผลิตซอส ZKC's ซึ่งเดิมเป็นซัพพลายเออร์ซอสปรุงรสให้กับบริษัท ภายใต้สัดส่วนถือหุ้นที่ 51% เข้ามาได้อย่างเต็มปี โดยในช่วงเดือน ก.พ.65 ที่ผ่านมาบริษัทได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายกับ บริษัท เดอเบล จำกัด (DURBELL) ทำให้จากนี้จะสามารถขยายสินค้าไปได้ครอบคุลมทุกจังหวัด รวมถึงคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัท King Marine (KMF) ผู้ประกอบธุรกิจจำหน่าย ปลาแซลมอน แอตแลนติกโฟรเซ่น ที่บริษัทเข้าไปถือหุ้น 51% เข้ามาด้วย
ในปี 65 บริษัทได้วางงบลงทุนราว 250 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตในโรงงานผลิตซอสให้เพียงพอรองรับกับการขยายตลาดทั่วประเทศ รวมไปถึงการขยายสาขาและปรับปรุงร้านอาหารเดิม ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีความสนใจและมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการ (M&A) และร่วมทุน (JV) กับผู้ประกอบการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะที่เป็นรายย่อย (SMEs) ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้รายย่อย รวมถึงกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทในการรับรู้รายได้จากหลากหลายธุรกิจ
ด้านผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/65 มีการเติบโตกว่า 10-15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อกลับมาฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 4/65 มองว่ายอดขายโดยรวมอาจลดลงเล็กน้อย เพราะไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีช่วงเทศกาลต่างๆ ในช่วงปลายปีทำให้มียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่า
 

13386
ช่างกุญแจ ยินดีให้บริการ ตลอด 24 ชม ครับ  สนใจติดต่อ โทร 0851088797

13387
CH ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอจำนวน 160 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

"เจริญอุตสาหกรรม" ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอจำนวน 160 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนใน SET ระดมทุน "ปรับปรุงโรงงาน-ก่อสร้างคลังสินค้า และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ" รองรับการขยายโอกาสทางธุรกิจ

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของบริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) เพื่อประกอบการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 20% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท

"ในปัจจุบันบริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH มีทุนจดทะเบียนจำนวน 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 320 ล้านบาท โดยมีทุนจดทะเบียนส่วนที่ยังไม่ได้ชำระจำนวน 80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 160 ล้านหุ้น ที่จะรองรับการเสนอขาย IPO โดยจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)" นายสมศักดิ์ กล่าว

นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้ (1) ผลไม้อบแห้ง (2) ปลากระป๋อง และ (3) ขนมเพื่อสุขภาพ บริษัทเน้นส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากกว่าร้อยละ 70 ของรายได้จากการขาย อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อินเดีย ไต้หวัน ฝรั่งเศส คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น

"บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตผลไม้และอาหารแปรรูป จากการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและอาหารบรรจุกระป๋องที่หลากหลาย มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งมีการคิดค้น พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ และช่วยให้คำปรึกษาและคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้า โดยบริษัทมีรูปแบบการจำหน่ายสินค้าแบบรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Original Equipment Man.cturing : OEM) จำหน่ายสินค้าเป็นแพ็คใหญ่ (Bulk Pack) ให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและกลุ่มลูกค้าธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่  และจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท อาทิ EROS ซูมาโก้ เรือรบ Meble และ ChinHuay เป็นต้น" นายศักดา กล่าว

นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า การยื่นไฟลิ่งในครั้งนี้ เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และจะได้เตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัท และช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย รวมถึงสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว

"บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ในการปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้าที่โรงงานท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตสินค้า และปรับปรุงคลังสินค้าท่าทราย จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บวัตถุดิบ (Raw Material) สินค้ากึ่งสำเร็จรูป (Semi-Product) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) รวมถึงจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทอีกด้วย" นายสุพล กล่าว

13388
ขนส่งสินค้าจากจีนเส้นทางลาว สอบถามค่าส่งสินค้า ราคาโปโมชั่นพวกเราบริการขนส่งผลิตภัณฑ์ทั่วทั้งโลก
มีประสบการณ์ในด้านธุรกิจขนส่งสินค้าแล้วก็เป็นคนที่มีประสบการณ์อื่นๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการขนส่งทั้งในและก็
ต่างแดนซึ่งเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการขนส่ง

ขนส่งสินค้าจากจีนเส้นทางลาว สอบถามค่าส่งสินค้า ราคาโปโมชั่นการส่งมอบสินค้าระหว่างชาติมาก
กว่า 22 ปีด้วยความขมักเขม้นที่
อยากได้ย้ำให้ลูกค้าเพื่อได้รับ
ความพอใจและบริการอย่างยิ่ง
ขนส่งสินค้าจากจีนเส้นทางลาว สอบถามค่าส่งสินค้า ราคาโปโมชั่นสุด โดยจากจุดเริ่มที่เราเริ่มด้วยบุคลากรที่มี
ความเป็นจริงเป็นจัง
สำหรับในการให้บริการซึ่งได้รับ
การฝึกหัดมา{เป็นอย่างดี|อย่างดีเยี่ยม


https://bit.ly/3wyn6EU

13389
TTB ห่วงต้นทุนปุ๋ยเคมี-น้ำมันฉุดรายได้เกษตรกร จากคาดปีนี้โตสูงสุดรอบ 5 ปี

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) คาดว่า ในปี 65 รายได้เกษตรกรจาก 5 พืชเศรษฐกิจ (ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน) จะเพิ่มขึ้นเป็น 8.86 แสนล้านบาท ซึ่งเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนถึง 16.1% และสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่

1. ข้าวเปลือก คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.93 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 12.6% โดยปริมาณผลผลิตข้าวจะเพิ่มขึ้น 4.1% และราคาข้าวเปลือก (ความชื้น 15%) จะเพิ่มขึ้น 8.2% (ปี 64 ราคาข้าวเปลือกปรับตัวลดลง 5.2% จากอุปทานเพิ่มขึ้น) โดยรายได้เกษตรกรชาวนาจะได้รับผลดีจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง และปริมาณน้ำจะเพียงพอทั้งในอ่างเก็บกักน้ำและน้ำฝนตามธรรมชาติ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนราคาข้าวเปลือกคาดว่าจะดีขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ทำให้การค้ากลับมาเป็นปกติ โดยข้าวไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

2. ยางพารา คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.89 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 12.3% โดยปริมาณผลผลิตคาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อน สำหรับราคายางพาราคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 12.0% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตยางรถยนต์ปรับสัดส่วนการใช้ยางสังเคราะห์มาเป็นยางธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงความต้องการยางพาราที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออกหลัก (จีนและมาเลเซีย) ที่ต้องการนำไปผลิตเป็นสินค้าขั้นปลาย ได้แก่ ยางรถยนต์ และถุงมือยางทางการแพทย์ มากขึ้น

3. ปาล์มน้ำมัน คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 13.6% โดยปริมาณผลผลิตและราคาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% และ 9.7% ตามลำดับ ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากราคาปาล์มน้ำมันปรับสูงขึ้นจูงใจให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกมากขึ้น ด้านราคาที่ปรับเพิ่มนั้นสาเหตุมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และอินโดนีเซียผู้ผลิตปาล์มรายใหญ่ของโลกจำกัดการส่งออกน้ำมันปาล์ม เพื่อคุมราคาน้ำมันปาล์มที่ใช้ประกอบอาหารในประเทศไม่ให้สูงเกินไป

4. อ้อย คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.97 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 47.9% โดยปริมาณผลผลิตและราคาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 28.1% และ 15.5% ตามลำดับ ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมาสภาวะอากาศที่กลับสู่ปกติรวมถึงราคาอ้อยที่ปรับสูงขึ้น เนื่องจาก 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย ได้แก่ สมาคมโรงงานน้ำตาลไทย สมาคมผู้ผลิตน้ำตาลและชีวพลังงานไทย และสมาคมการค้าอุตสาหกรรมน้ำตาล ร่วมกันประกันราคาอ้อยฤดูกาลผลิตปี 2565/66 ขั้นต่ำไว้ที่ 1,000 บาทต่อตัน จูงใจให้เกษตรกรเพาะปลูกมากขึ้น

5. มันสำปะหลัง คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.79 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 17.1% โดยปริมาณผลผลิตและราคาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% และ 16.4% ตามลำดับ แม้ว่าเนื้อที่เก็บเกี่ยวจะลดลงจากอุทกภัยในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. 64 ที่ผ่านมา ทำให้มันสำปะหลังเสียหาย ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ อย่างไรก็ดี คาดว่าผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่ในปี 65 จะดีขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอช่วยชดเชย ทำให้ผลผลิตใกล้เคียงกับปี 64 ด้านราคามันสำปะหลังจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากความต้องการที่จะนำไปแปรรูปเป็นมันเส้น มันอัดเม็ด แป้งมันสำปะหลัง และเอทานอลเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคามันสำปะหลังปรับตัวสูงขึ้น

มูลค่ารายได้เกษตรกรจาก 5 พืชเศรษฐกิจหลักของไทยปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จาก 1. ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นสาเหตุจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร 2. ปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกพืช 3. แนวโน้มราคาอาหารเพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวภายหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 และ 4. ความตึงเครียดของสงครามรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาพืชอาหารและพืชที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ttb analytics ห่วงว่า ต้นทุนปุ๋ยเคมีและต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่พุ่งกว่าเท่าตัว ฉุดรายได้สุทธิเกษตรกรให้ลดลง เนื่องจากปุ๋ยเคมีถือเป็นต้นทุนสำคัญในการเพาะปลูกพืช โดยจากข้อมูลปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีของเกษตรกรจาก 5 พืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พบว่า พืชที่ใช้ปุ๋ยเคมีมากคือ ปาล์มน้ำมันใช้ปุ๋ยเคมี 120 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมาเป็น ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวเปลือก ใช้ปุ๋ยเคมี 76 63 41 และ 30-49 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ

ttb analytics คาดว่าในปี 65 ราคาปุ๋ยเคมีขายปลีกท้องถิ่น (สูตร 46-0-0) จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 26,000 บาทต่อตันจากปี 64 ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 13,541 บาทต่อตัน สาเหตุเนื่องจาก 1. ความต้องการปุ๋ยเคมีโลกที่เพิ่มขึ้นจากการที่ประเทศต่างๆ มุ่งเน้นด้านความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อภาคการเกษตร 2. อุปทานการผลิตปุ๋ยเคมีหยุดชะงักจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน 3. ราคาวัตถุดิบแม่ปุ๋ยปรับเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานที่สูงขึ้น 4. จีนและรัสเซียผู้ผลิตปุ๋ยรายใหญ่ของโลก ลดปริมาณการส่งออกปุ๋ยเคมี

สำหรับราคาปุ๋ยเคมีที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลทำให้ต้นทุนปุ๋ยเคมีของเกษตรกรในปี 65 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 92% จากปี 64 และหากคิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะพบว่า พืชที่ต้นทุนปุ๋ยเคมีเพิ่มมากที่สุด คือ ปาล์มน้ำมัน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1,495 บาทต่อไร่ (จาก 1,625 บาทต่อไร่ในปี 64 เป็น 3,120 บาทต่อไร่ในปี 65) รองลงมา ได้แก่ ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวเปลือก โดยต้นทุนปุ๋ยเคมีในปี 65 จะเพิ่มขึ้นจากปี 64 เท่ากับ 947 785 511 และ 492 บาทต่อไร่ ตามลำดับ นอกจากนี้ ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ทางการเกษตร อาทิ การขนส่งสินค้าเกษตร การสูบน้ำ ฯลฯ นับเป็นอีกต้นทุนหนึ่งที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้สุทธิของเกษตรกรให้ลดลงได้

อย่างไรก็ดี แม้รายได้เกษตรกรจาก 5 พืชเศรษฐกิจของไทย ในปี 65 จะดีขึ้นจากทิศทางราคาและปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ต้นทุนการผลิต อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และค่าแรง ฯลฯ มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งต้นทุนที่ปรับเพิ่มย่อมส่งผลทำให้รายได้สุทธิของเกษตรกรลดลง จึงเสนอแนะแนวทางการลดต้นทุน ดังนี้

1. แนวทางการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ได้แก่ ปรับสัดส่วนเปลี่ยนจากปุ๋ยเคมีมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะปลูกมากขึ้น และจัดทำบัญชีรายการต้นทุนการเพาะปลูกโดยละเอียด อาทิ ค่าปุ๋ยเคมี ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าแรงงาน ค่าสูบน้ำ ค่าหว่าน ค่าไถพรวนดิน ฯลฯ เพื่อให้ทราบต้นทุนการเพาะปลูกทั้งหมดและนำไปประกอบการพิจารณาลดต้นทุนการเพาะปลูกแยกตามลำดับความสำคัญ ตามความสามารถที่เกษตรกรจะสามารถปรับลดเองได้

2. แนวทางการช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิตของภาครัฐ ได้แก่ ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยสั่งตัด ซึ่งเป็นการผสมแม่ปุ๋ยให้ตรงกับสภาพดินและความต้องการของพืช ช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีได้, ส่งเสริมและให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับวิธีการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์แบบผสมผสาน ซึ่งจะช่วยลดค่าปุ๋ยเคมีลงได้ และในกรณีที่ต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้นมากเกินไป ภาครัฐควรพิจารณาใช้งบประมาณช่วยเหลือปัจจัยการผลิตตามความเหมาะสม ฯลฯ

ทั้งนี้ การลดต้นทุนของเกษตรกรด้วยตัวเองและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะสนับสนุนให้ภาคเกษตรไทย มีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถรับมือกับความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรได้ นับเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือเศรษฐกิจฐานรากเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

13390
ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการยูโรโซนสูงกว่าคาดในเดือนมี.ค.

เอส แอนด์ พี โกล.เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 54.5 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 55.5 ในเดือนก.พ.

อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 53.9

นอกจากนี้ ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของยูโรโซนยังคงมีการขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการที่หลายประเทศกลับมาเปิดเศรษฐกิจ หลังจากที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ภาคธุรกิจมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ถูกกดดันจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2563 และสร้างความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะชะลอตัวลงในไตรมาส 2

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.0 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน จากระดับ 58.2 ในเดือนก.พ. แต่ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนยังคงมีการขยายตัว

ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ร่วงลงสู่ระดับ 54.8 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 55.5 ในเดือนก.พ. โดยดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคบริการของยูโรโซนยังคงมีการขยายตัว

13391
ดอง ดอง ดองกิ สาขา เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ฉลองครบรอบ 2 ปี เพลิดเพลินกับสินค้าราคาสุดพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นมากมาย

ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. - 3 เม.ย. 65 นี้ เท่านั้น!!

Don Don Donki The Market Bangkok (ดอง ดอง ดองกิ สาขา ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก) จัดกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 2 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Spring Begins การเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ โดยที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีวันสำคัญคือ "วันชุนบุน" ซึ่งถือเป็นวันขอบคุณธรรมชาติและ เป็นช่วงเวลาแห่งการออกมา ทำกิจกรรมข้างนอกบ้าน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความกระปรี้กระเปร่า โดยในวาระครบรอบ 2 ปีนี้ ดอง ดอง ดองกิ สาขา ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก (ราชประสงค์) ชวนลูกค้าทุกท่านเพลิดเพลินไปกับสินค้าราคา สุดพิเศษที่มอบให้คุณลูกค้าทุกท่าน อาทิเช่น สตรอว์เบอรรี่ญี่ปุ่น ,เนื้อฮากาตะวากิวA4, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และอื่นๆอีกมากมาย พิเศษ!!! เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาทขึ้นไป นำใบเสร็จและใบปลิวมาแลกรับถุงผ้า Donki ได้ที่เคาท์เตอร์เซอวิส และยังมี Gift Voucher set Promotion สุดพิเศษ ได้แก่

ซื้อ Gift Voucher 3,000 รับสิทธิ์ช้อปปิ้งได้ในราคา 3,300 บาท
ซื้อ Gift Voucher 5,000 รับสิทธิ์ช้อปปิ้งได้ในราคา 5,600 บาท
ช้อปปิ้งสินค้าราคาสุดพิเศษ และกิจกรรมร่วมสนุกอีกมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิในประเทศญี่ปุ่น ได้ที่ ดอง ดอง ดองกิ เฉพาะสาขา เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ชั้น 1 ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม - 3 เมษายน2565 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook / Instagram : Dondondonkith และ themarketbangkok หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร 02 209 5555 *หมายเหตุ พื้นที่และบริการอาจมีเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า

13392
BLP Balance P [^_^] สกัดจากน้ำมันธรรมชาติ 9ชนิด อุดมไปด้วยประโยชน์ดูแลสุขภาพองค์รวมของร่างกาย
ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน 
ลดคอเรสเตอรอล
ลดความเสี่ยโรคความดัน
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ 
บรรเทาอาการพาร์กินสัน

BLP Balance P ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดไขมันร้าย เพิ่มไขมันดีในกระแสเลือดส่งผลปริมาณความดันในเลือดเข้าสู่สภาวะปกติ 
ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดเข้าสู่สภาวะปกติ สมดุล ร่างกายแข็งแรง

BLP Balance P สกัดจากน้ำมันธรรมชาติ 9 ชนิด ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ ลดคอเลสเตอรอล รวมถึงระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายทั้งหมด บำรุงปลายประสาท

1. ดูแลสุขภาพองค์รวมของร่างกายลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน และความดัน

2. ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ

3. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายจำนวนมากมีส่วนช่วยในการบำรุง และฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมให้กลับมาดี และแข็งแรงขึ้น

4. มีสารต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการเจ็บ ปวด บริเวณข้อ และอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อได้

5. มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัยได้เป็นอย่างดี

6. ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ภูมิแพ้ดีขึ้น

BLP DIETARY SUPPLEMENT
เลขที่อย. 13-1-07458-5-0267
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บีแอลพี

BLP Balance P
1กระปุก (30แคปซูล)
ปกติ 1,290 บาท ราคาพิเศษ 990 บาท
โปรโมชั่นพิเศษ 2 กระปุก แถม 1 กระปุก

สอบถาม
LINE: @balances (มี@ด้วยครับ)
รายละเอียดเพิ่มเติม BLP

หน้า: 1 ... 742 743 [744] 745 746 ... 971