แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Prichas

หน้า: 1 ... 959 960 [961] 962 963 ... 1017
17281
3 หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ GLORY-DPAINT-TFM เตรียมลงสนามเทรดปลายเดือนนี้ GLORY ประเดิม 25 ต.ค. นี้  หลังยอดจองซื้อ ไอพีโอ 70 ล้านหุ้นหมดเกลี้ยง  มั่นใจหลังระดมทุน เล็งต่อยอดธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ส่วน DPAINT  เคาะราคาขาย  53.25 ล้านหุ้น หุ้นละ 7.50 บาท  พร้อมเทรด mai 28 ต.ค. เชื่อผลการดำเนินงานโดดเด่น ขณะที่ TFM กำหนดราคาขายที่ 13.50 บาทต่อหุ้น เสนอขาย 19 - 21 ต.ค.64 นี้ พร้อมวางเป้ายอดขายแตะ 8 พันลบ.ในอีก 5 ปี

GLORY ประเดิมเทรด 25 ต.ค. นำเงินซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรม นิยายและการ์ตูน ตปท.

นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY เปิดเผยว่า บริษัทฯพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ โดยใช้ชื่อหุ้น “GLORY” ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังจากที่เปิดจองซื้อหุ้น IPO ระหว่างวันที่ 12 , 14 และ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท จำนวนทั้งสิ้น 70 ล้านหุ้น ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักลงทุนจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯสามารถขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หมดทั้งจำนวนเสนอขาย สะท้อนศักยภาพธุรกิจและความเชื่อมั่นในฐานะผู้ประกอบการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่บริการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์มและเป็นสื่อกลางการจัดจำหน่ายวรรณกรรมแปลลิขสิทธิ์ต่างประเทศ นิยาย การ์ตูน และหนังสือ ออนไลน์ ผ่านช่องทาง “ Kawebook ” แพลตฟอร์ม เพื่อรองรับการขยายตัวของวงการหนังสือในตลาดอีคอมเมิร์ช

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนหลังหักค่าใช้จ่ายในครั้งนี้จำนวน 189 ล้านบาท บริษัทเตรียมนำไปซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรม นิยายและการ์ตูนจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของวรรณกรรมให้ตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้าให้ได้ครบทุกกลุ่มเป้าหมาย พัฒนาแพลตฟอร์ม Kawebook เพื่อขยายการเติบโตของฐานลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายผู้หญิง รวมไปถึงพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับการใช้งานภาษาต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้หากพิจารณาจากอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 61 – ปี 63 เทียบเป็นจำนวน 42.52 ล้านบาท 73.43 ล้านบาท และ 78.24 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 35.81% ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายและบริการช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 อยู่ที่ 45.43 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 19.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนผลและให้ความเชื่อมั่นได้ว่า GLORY จะเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งตามภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต

อันเดอร์ไรท์ เผย นลท.ให้การตอบรับดี มั่นใจศักยภาพ

นางจารีรัตน์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นของ GLORY ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดีในกลุ่มนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในศักยภาพและปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่มีศักยภาพ ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและการให้บริการด้าน Digital Technology Platforms เพื่อรองรับการขยายตัวของวงการหนังสือในตลาด E-Commerce โดย หุ้น GLORY ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในหมวดบริการ และในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เชื่อมั่นว่า การระดมทุนของ GLORY ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถต่อยอดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในอนาคตให้มีศักยภาพและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ด้านนายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่าด้วยจุดเด่น ด้านประสบการณ์และวิสัยทัศน์ ของทีมคณะผู้บริหาร อีกทั้งความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการดิจิทัลเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม (Digital Technology Platforms) และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของวงการหนังสือในตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)เป็นสิ่งที่การันตีถึงศักยภาพ และความน่าเชื่อถือทางธุรกิจในการเป็นผู้พัฒนาและให้บริการด้านดิจิทัลเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม นั่นทำให้ GLORY เป็นที่ยอมรับในแวดวงของกลุ่มธุรกิจเทคสตาร์ทอัพ (Tech Startup) ตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

DPAINT เคาะราคาไอพีโอ 7.50 บาท/หุ้น  พร้อมเทรด mai 28 ต.ค. 64

นางจารีรัตน์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นของบริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT เปิดเผยว่า DPAINT กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 53.25 ล้านหุ้น ที่ราคา 7.50 บาท/หุ้น โดยเปิดให้จองซื้อในวันที่ 19 - 21 ต.ค.นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 28 ตุลาคม 64 ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้างในชื่อหลักทรัพย์ว่า "DPAINT"

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 7.50 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 32.80 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2563 - 30 มิถุนายน 2564) โดยถือว่ามีส่วนลดพอสมควรจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเฉลี่ยของกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหมือนหรือคล้ายคลึงกันทั้งในและต่างประเทศ พร้อมมองว่า DPAINT มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น เป็นหุ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคารรายที่ 3 ในตลาดทุน ที่โดดเด่นทางด้านนวัตกรรม และผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ เป็นโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

DPAINT ได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด

นำเงิน 373 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร ระบบการผลิต

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จำนวนประมาณ 373.16 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) จะนำไปใช้ลงทุนในการปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร และระบบการผลิตที่โรงงานสุวินทวงศ์ จำนวนประมาณ 150 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้เงินภายในปี 68 เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตและบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งนำไปใช้เป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องผสมสีจำนวน 440 เครื่อง จำนวนประมาณ 100 ล้านบาท ภายในปี 68 เพื่อขยายจำนวนร้านค้าปลีกและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขยายผลิตภัณฑ์สีกลุ่มที่อัตรากำไรดี นอกจากนี้จะนำเงินไปใช้ลงทุนในการทำระบบ ERP จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท และใช้ลงทุนสร้างห้อง LAB จำนวนประมาณ 5 ล้านบาทภายในปี 65,ใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น 25 ล้านบาทภายในปี64 และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 83.20 ล้านบาท

นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่าความน่าสนใจของ DPAINT คือสถานะความเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสีทาอาคารที่อยู่ในอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 42 ปี ตลอดจนผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและทีมงานมืออาชีพ วางกลยุทธ์การขยายธุรกิจในเชิงรุก ด้วยปัจจัยสนับสนุนภาพรวมของธุรกิจสีที่ยังมีโอกาสการเติบโตในอนาคต เนื่องจากสีคือวัสดุก่อสร้างที่ต้องมีการใช้ซ้ำ จึงมีความต้องการจากตลาด อีกทั้งยังพัฒนาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 เติบโตตามแผน แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 DPAINT มีรายได้จากการขายและบริการ 387.7 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 31.7% กำไรสุทธิ 32.9 ล้านบาท เติบโต 48.2% อัตรากำไรขั้นต้น 43.3% อัตรากำไรสุทธิ 8.5% 

TFM  เตรียมเปิดจอง 19-21 ต.ค.นี้ ราคาขายหุ้นละ 13.50 บ.


X


นายพิเชษฐ สิทธิอํานวย กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ราคาไอพีโอ ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น เป็นราคาสูงสุดในช่วงราคาที่ใช้ทำ Book building ที่ราคานี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 21.7 เท่า หากพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม ขณะที่นักลงทุนสถาบันมียอดจองเกิน 6-7 เท่า

โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 19 – 21 ตุลาคม 2564 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนตุลาคมนี้

ทั้งนี้ TFM เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.3 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต

ตั้งเป้ายอดขายในไทยโตปีละ 5-10%  เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 25%  

นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM กล่าวว่า ใน 3 ปีข้างหน้า มองการเติบโตของยอดขายในไทยโตปีละ 5-10% ซึ่งถ้าการโตในระดับนี้ บริษัทจึงอยากจะไปโตในต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องไปลงทุนในอินโดนีเซียและปากีสถาน โดยตั้งเป้ารายได้ในต่างประเทศปี 65-67 เติบโตระดับ 10%,15% และ 25% ในอนาคตจะเติบโตในต่างประเทศเป็นหลัก

ตามแผนคาดหวังสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศใน 3-5 ปีข้างหน้า เพิ่มเป็น 25% จากปัจจุบัน 3% และในอนาคตมากกว่า 5-6 ปีข้างหน้า คาดรายได้ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด

การเข้าระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจของ TFM ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดในประเทศไทยเท่านั้น บริษัทฯ ยังได้มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศที่อุตสาหกรรมสัตว์น้ำมีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่าน Model ธุรกิจที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ

17282
“ซิซซ์เล่อร์” กางแผนลุยฟื้นยอดรับเปิดเมือง! มั่นใจดีมานด์ไตรมาส 4 ขยับ ดึงเมนูขึ้นชื่อเยอรมนี ปั้น “อ็อกโทเบอร์เฟสต์”ฉลองเตรียมรับนักเที่ยว พร้อมเดินหน้าขยายสาขา ปรับโมเดล 'ไดน์อิน-เดลิเวอรี่-พิคอัพ' สร้างประสบการณ์ใหม่ลูกค้า

หลังจากรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการและคลาย 'ล็อกดาวน์' ทำให้ธุรกิจร้านอาหารกลับมาเปิดบริการได้เป็นปกติ ในช่วงเวลาที่เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขและการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ผู้ประกอบการต่างใส่เกียร์เดินหน้าระดมทุกกลยุทธ์เร่งฟื้นธุรกิจและช่วงชิงยอดขายที่หล่นหายไประหว่างปีกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด! โดยเฉพาะ 'ร้านอาหาร' ซึ่งได้รับผลกระทบไม่น้อยจากมาตรการล็อกดาวน์ ต้องปิดร้าน จำกัดการให้บริการอยู่เป็นระยะ 

'กรีฑากร ศิริอัฐ' ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด ใน เครือ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการร้านอาหารภายใต้แบรนด์ 'ซิซซ์เล่อร์' กล่าวว่า กว่า 9 เดือนที่ผ่านมาของปี  2564 ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับความท้าทายของการให้บริการท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง! ทำให้ 'ธุรกิจร้านอาหาร' รวมทั้ง 'ซิซซ์เล่อร์' ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ซิซซ์เล่อร์ ได้ขยายบริการเดลิเวอรี่ พร้อมพัฒนา 'เมนูใหม่'  รองรับการรับประทานที่หลากหลายมากขึ้น มีการขยายสาขาภายใต้โมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งการนั่งรับประทานที่ร้าน เดลิเวอรี่ และสั่งกลับบ้าน รวมทั้งการสร้าง “ซิซซ์เล่อร์คลาวด์คิทเช่น” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร

'กลยุทธ์หลักของซิซซ์เล่อร์คือการรังสรรค์เมนูใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อมอบความหลากหลายในการรับประทานอาหารของผู้บริโภค ควบคู่กับสลัดบาร์เอกลักษณ์เฉพาะ ตลอดจนบรรยากาศของร้านที่เหมาะสำหรับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย' 

'ซิซซ์เล่อร์'เร่งปลุกมู้ดไฮซีซันบูม'อ็อกโทเบอร์เฟสต์'ปั๊มยอดโต20%

อย่างไรก็ดี หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการโดยขยายเวลาเคอร์ฟิวเป็น 23.00-03.00 น. เชื่อว่าเป็นผลบวกต่อภาพรวมธุรกิจร้านอาหารที่จะได้ขยายเวลาให้บริการเพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มตลาดจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายนี้เป็นช่วงเทศกาลขายที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจร้านอาหาร 

'ไฮซีซันเป็นช่วงการใช้จ่ายของผู้บริโภค และมีการแข่งขันสูง  ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ ต่างอัดแคมเปญโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้า'

สำหรับการทำตลาด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา 'ซิซซ์เล่อร์' พบว่ายอดเดลิเวอรี่มีการเติบโตสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันจำนวนผู้บริโภคกลับมาใช้บริการที่ร้านเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย. หลังคลายล็อกดาวน์  ทำให้ภาพรวมมีการเติบโตราว 20% โดยเติบโตเป็น 2 เท่าจากต้นปี และเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว

แนวโน้มตลาดปรับตัวดีขึ้น ดังนั้น 'ซิซซ์เล่อร์' มุ่งเดินหน้าขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากที่สุด

โดยภายในสิ้นปี 2564 เตรียมเปิดสาขาเพิ่ม อาทิ เดอะมอลล์ ท่าพระ โรบินสัน สระบุรี โรบินสัน ฉะเชิงเทรา และเซ็นทรัล ศรีราชา ขณะเดียวกันมีสร้าง “ซิซซ์เล่อร์คลาวด์คิทเช่น”  หลายแห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตร ประชาอุทิศ สุขาภิบาล3 และดอนเมือง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับอาหารอย่างรวดเร็วขึ้น

ปัจจุบัน ซิซซ์เล่อร์ เปิดให้บริการทั้งนั่งรับประทานในร้าน แบบเดลิเวอรี่ และสั่งกลับบ้าน ทั้งหมด 53 สาขาทั่วประเทศ รวมถึง ซิซซ์เล่อร์ ทู โก 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ และโรงพยาบาลกรุงเทพ

 

'ในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2564หากไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ มั่นใจว่าสถานการณ์ของร้านอาหารจะกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบกันมากขึ้น และมีอัตราการเติบโตดีขึ้นตามลำดับ”

 

ด้าน 'นงชนก สถานานนท์' ผู้ช่วยรองประธานบริหาร กลุ่มการตลาด กล่าวเสริมว่า หลังจากภาครัฐได้คลายล็อกดาวน์ทำให้ร้านอาหารกลับมาเปิดบริการได้เป็นปกติ อีกทั้งเป็นช่วงปลายปีที่ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขของใครหลาย ๆ คน 'ซิซซ์เล่อร์' ในฐานะร้านอาหารที่มีจุดเด่นด้านการนั่งรับประทานที่ร้าน รวมถึงบริการและอาหารที่มีคุณภาพ จึงได้เปิดตัวเมนู “อ็อกโทเบอร์เฟสต์” (Oktoberfest) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทศกาลอาหารและเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศเยอรมนีและเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่มักจะจัดขึ้นในระหว่างช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมของทุกปี

ซิซซ์เล่อร์ได้รังสรรค์เมนูดังกล่าวขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ในการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคทุกกลุ่มในทุกสถานการณ์ โดยไม่ต้องบินไปไกลถึงต้นกำเนิดก็สามารถลิ้มลองรสชาติของอาหารสไตล์เยอรมันแท้ ๆ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองความสุขของเทศกาลดังกล่าวได้

โดยตั้งเป้าเมนู 'อ็อกโทเบอร์เฟสต์' จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้ 20%  เสริมการเติบโตภาพรวมยอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปีได้เป็นอย่างดี

'ซิซซ์เล่อร์'เร่งปลุกมู้ดไฮซีซันบูม'อ็อกโทเบอร์เฟสต์'ปั๊มยอดโต20%

สำหรับ “อ็อกโทเบอร์เฟสต์” (Oktoberfest) ประกอบไปด้วยอาหาร 5 เมนู 5 สไตล์ด้วยกัน เริ่มต้นที่อาหารจานหลักขึ้นชื่อของเยอรมนีที่ทุกคนรู้จักกันดี ได้แก่ “ขาหมูทอดและไส้กรอกสไตล์เยอรมัน” (Pork Knuckle & Mixed Sausages) ขาหมูชิ้นใหญ่ทอดกรอบมาพร้อมไส้กรอกเยอรมัน สามารถแบ่งทานได้ เสิร์ฟพร้อมสลัดบาร์ 2 ท่านในราคา 799 บาท ตามมาด้วยเมนู “ฟิชแอนด์ชิปส์ ผสมเบียร์ สไตล์เยอรมัน” (Beer Battered Fish & Chips) เนื้อปลาชุบแป้งผสมเบียร์ทอดสไตล์เยอรมัน เสิร์ฟความอร่อยคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ในราคา299บาท

ส่วนใครชื่นชอบทานไส้กรอกอย่างเดียวต้องไม่พลาดเมนู “ไส้กรอกรวม สไตล์เยอรมัน” (Mixed Sausages & Roasted Potatoes with Bacon) ไส้กรอกเยอรมันนำเข้าชิ้นโตหลากหลายรสชาติ เสิร์ฟพร้อมสลัดมันฝรั่งสุดอร่อยที่เพิ่มความกรุบกรอบด้วยเบคอนกรอบ ในราคา 459 บาท หากใครที่อยากทานสเต๊กก็มีเมนู “สเต๊กหมูทอด สไตล์เยอรมัน” (Pork Schnitzel) สเต๊กหมูชิ้นใหญ่สุดชุ่มฉ่ำที่ถูกนำไปทอดกรอบ เพิ่มรสชาติด้วยซอสสูตรเฉพาะซิซซ์เล่อร์และเห็ด ในราคา369บาท และเมนูทานเล่น “ยำไส้กรอกเยอรมัน” (Mixed Sausages Spicy Salad) ไส้กรอกเยอรมันที่ถูกนำมาผสมผสานกับยำในสไตล์ไทย ๆ ให้รสชาติเข้มข้นถึงใจให้ได้ทานรองท้องระหว่างรออาหารจานหลักมาเสิร์ฟในราคา199บาท

ทั้งนี้เมนู “อ็อกโทเบอร์เฟสต์” (Oktoberfest)พร้อมให้ทุกท่านมาสัมผัสรสชาติของอาหารสไตล์ตะวันตกขนานแท้ที่เต็มไปด้วยความอร่อยและสนุกสนานได้ที่ร้านซิซซ์เลอร์ทั่วประเทศ และแบบเดลิเวอรี่ (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564

'ซิซซ์เล่อร์' เป็นร้านอาหารประเภทสเต๊ก ซีฟู้ด และสลัด สไตล์ตะวันตก มีสาขาอยู่ทั่วโลก โดยซิซซ์เล่อร์ ประเทศไทยได้ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ จาก บริษัท คอลลินส์ ฟู้ด เมืองแอนเนอร์เลย์ รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย โดย บริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด ในเครือบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้นำ “ซิซซ์เล่อร์” เข้ามาในประเทศไทยและเปิดสาขาแรกที่อาคารฟิฟฟ์ตี้ฟิฟฟ์ พลาซ่า (Fifty Fifth Plaza) สุขุมวิท55 (ปิดบริการแล้ว) ในปี 2535 และได้ขยายสาขาเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันซิซซ์เล่อร์มี 54 สาขา มีบริการช่องทางเดลิเวอรี่ และมีแบรนด์น้องใหม่สไตล์ Grab & Goคือ ซิซซ์เล่อร์ทูโก 5 สาขา โดยทุกสาขาของซิซซ์เล่อร์ในประเทศไทย ดำเนินงานตามหลักการของซิซซ์เล่อร์ทั่วโลกที่มีมาตรฐานเดียวกัน โดยมีอาหารหลายชนิดให้เลือกทั้งสเต๊กเนื้อ ไก่ หมู อาหารทะเลทั้งทอดและย่าง รวมทั้งสลัดบาร์ เติมได้ไม่จำกัด พร้อมทั้งของหวานและผลไม้

17283
โปรโมชั่นที่สุดแห่งปี ซื้อรถวันนี้ขับฟรี 6 เดือน  Mitsubishi Pajero Sport 2.4GT

สนใจติดต่อ
ธีรพัชร์ 0846623662
Add Line ID : teerapat999
 

17284


นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจแบบครบวงจร เปิดเผยว่า การนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งการเข้าระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจของบริษัทฯ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังได้มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศที่อุตสาหกรรมสัตว์น้ำมีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่านรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ อาทิ การส่งออกไปประเทศศรีลังกา มาเลเซีย บังคลาเทศ และพม่า การร่วมลงทุนกับพันธมิตร จัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน โดยบริษัทฯ มีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ร้านค้าจำหน่ายอาหารสัตว์ และฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทฯ ในระยะถัดไป โดยการเติบโตของยอดขายในไทยที่โตเฉลี่ยปีละ 5-10% บริษัทจึงวางแผนเดินหน้าเติบโตในตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่งในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ จากตลาดต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 25% จากปัจจุบัน 3% และในอนาคตมากกว่า 5-6 ปีข้างหน้า คาดรายได้ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด โดยตั้งเป้ารายได้ในต่างประเทศปี 2565 โต 10% ปี 2566 โต 15% และปี 2567 โต 25%

นายบรรลือศักร กล่าวว่า บริษัทฯ มีกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ 3 แนวทาง ได้แก่ 1.รักษาและพัฒนาความเป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศ ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 2.พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพการผลิตตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ผ่านการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และสูตรอาหาร รวมถึงสูตรอาหารสำหรับสัตว์น้ำชนิดใหม่ เพื่อส่งเสริมให้มีสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ อาหารปลากะพงยักษ์ ปลาเก๋า อาหารปลาสลิด อาหารปู และปลากดคัง และ 3.ขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะประเทศที่มีความเป็นไปได้ของการลงทุน อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ ความเสี่ยงและแนวทางการบริหารหรือลดความเสี่ยง ซึ่งบริษัทฯ จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นสูงสุด


นายบรรลือศักร กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง ซึ่งบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 17% ของปริมาณอาหารกุ้งในไทย (ปี 2563) 2.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งเป็นอาหารปลาทะเล อาหารปลาน้ำจืด อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อนหรือการอนุบาลลูกปลา และอาหารกบ โดยบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำกลุ่มตลาดอาหารปลากระพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาจำหน่ายและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดอาหารปลากะพงประมาณ 24% ของปริมาณอาหารปลากระพงไทย (ปี 2563) และ 3.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งออกเป็นอาหารสุกร และอาหารสัตว์ปีก ซึ่งบริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลายปี 2561 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง คือ 1.โรงงานมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และ 2.โรงงานระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเหมาะแก่การประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ เนื่องจากภาคกลางและภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเพาะพันธุ์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญของประเทศ โดยทั้ง 2 โรงงานมีกำลังการผลิตรวม 273,000 ตันต่อปี (ณ 30 มิถุนายน 2564) แบ่งเป็นอาหารกุ้ง 153,000 ตันต่อปี อาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และอาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี รวมถึงเป็นสายการผลิตแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ ที่มีระบบการควบคุมและสั่งงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถติดตามข้อมูลในการผลิตระหว่างกระบวนการผลิตได้ทันที (เรียลไทม์)



นายพิเชษฐ สิทธิอํานวย กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่ราคา 13.50 บาทต่อหุ้น จำนวน 109.3 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในช่วงราคาที่ใช้ทำ Bookbuilding ที่ราคานี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 21.7 เท่า โดยหากพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นไอพีโอในวันที่ 19 – 21 ตุลาคม 2564 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนตุลาคมนี้

17285
ขายบ้านริมน้ำเจ้าพระยา (สรรพยา) ชัยนาท 850000 โทร 0837124115

17286
"ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์" เดินหน้านำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกใน SET 29 ต.ค. นี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “TFM” หลังประกาศราคาขายหุ้น IPO ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น ลุยเข้าลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในต่างประเทศ

นายพิเชษฐ สิทธิอํานวย กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 13.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในช่วงราคาที่ใช้ทำ Bookbuilding ที่ราคานี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 21.7 เท่า หากพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 19 – 21 ตุลาคม 2564 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)  ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ 

ทั้งนี้ TFM เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.3  ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต


TFM จ่อเข้าเทรด SET  29 ต.ค.นี้ เดินหน้าขยายลงทุนต่างประเทศ

“การเดินหน้าเข้าระดมทุนของ TFM ในครั้งนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของกลุ่มไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ประกอบกับด้วยปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง มีความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจ สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยการกำหนดราคาหุ้น IPO ของ TFM ที่ 13.50 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากศักยภาพการเติบโตและแผนการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในต่างประเทศ เพื่อสร้างรากฐานการผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้ TFM ในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต” 

บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 3 ราย เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ TFM ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) 


นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจแบบครบวงจร เปิดเผยว่า นับเป็นอีกก้าวความสำเร็จและความภาคภูมิใจในการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งการเข้าระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ

TFM จ่อเข้าเทรด SET  29 ต.ค.นี้ เดินหน้าขยายลงทุนต่างประเทศ

 

เนื่องจากธุรกิจของ TFM ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดในประเทศไทยเท่านั้น บริษัทฯ ยังได้มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศที่อุตสาหกรรมสัตว์น้ำมีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่าน Model ธุรกิจที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ เช่น (1) การส่งออก เช่น ศรีลังกา มาเลเซีย บังคลาเทศ และพม่า เป็นต้น (2) การเข้าทำสัญญาความร่วมมือกับ AVANTI ซึ่งเป็นผู้นำการผลิตอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินเดีย โดยการใช้ชื่อทางการค้าและสูตรการผลิตของ TFM ในการขายสินค้าในประเทศอินเดีย และ (3) การเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตร จัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทฯ ในช่วง 3 – 5 ปีข้างหน้า


ทั้งนี้ TFM มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำการดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศ พร้อมใช้ประโยชน์จากความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน ความพร้อมทางด้านบุคลากร และแหล่งเงินทุนของบริษัทฯ  และยังเป็นตัวแทนของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคเอเชีย 


นายบรรลือศักร กล่าวต่อว่า บริษัทฯ มีกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ 3 แนวทาง ได้แก่ (1) รักษาและพัฒนาความเป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศ ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น การให้วงเงินการซื้อสินค้าและระยะเวลาการให้สินเชื่อ (Credit Term) ที่เหมาะสม, ศึกษาข้อมูล ช่วยแก้ไขปัญหา ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างเหมาะสม, พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาสายพันธุ์ลูกกุ้งที่มีคุณภาพ, นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และแสดงให้เห็นถึงคุณภาพและความคุ้มค่า (Proof of Performance) ของผลิตภัณฑ์


(2) พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพการผลิตตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ผ่านการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และสูตรอาหาร รวมถึงสูตรอาหารสำหรับสัตว์น้ำชนิดใหม่ เพื่อส่งเสริมให้มีสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น อาหารปลากะพงยักษ์ ปลาเก๋า อาหารปลาสลิด อาหารปู และปลากดคัง เป็นต้น พร้อมพัฒนาสูตรอาหารโดยใช้วัตถุดิบใหม่ เพื่อลดการพึ่งพิงวัตถุดิบประเภทใดประเภทหนึ่ง เช่น การใช้โปรตีนจากพืช และการพัฒนาสูตรการผลิตที่ลดปริมาณการใช้น้ำมันปลา เป็นต้น

และ (3) ขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยมีปัจจัยสำคัญในการพิจารณา ได้แก่ ความเป็นไปได้ของการลงทุน อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ ความเสี่ยงและแนวทางการบริหารหรือลดความเสี่ยง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นสูงสุด


ปัจจุบัน TFM มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) 
นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่  (1) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณอาหารกุ้งในไทย (ปี 2563) (2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพงและปลาเก๋า 2. อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิลและปลาดุก 3. อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และ 4. อาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำกลุ่มตลาดอาหารปลากระพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาจำหน่ายและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดอาหารปลากะพงประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณอาหารปลากระพงไทย (ปี 2563)

และ (3) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. อาหารสุกร 2. อาหารสัตว์ปีก โดยบริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลายปี 2561 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ
บริษัทฯ มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง คือ (1) โรงงานมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และ (2) โรงงานระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเหมาะแก่การประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ เนื่องจากภาคกลางและภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเพาะพันธุ์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญของประเทศ โดยทั้ง 2 โรงงานมีกำลังการผลิตรวม 273,000 ตันต่อปี  (ณ 30 มิ.ย.64) แบ่งเป็นอาหารกุ้ง 153,000 ตันต่อปี อาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และอาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี รวมถึงเป็นสายการผลิตแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติที่มีระบบการควบคุมและสั่งงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถติดตามข้อมูลในการผลิตระหว่างกระบวนการผลิตได้ทันที (Real time) ทั้งนี้ TFM มีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ร้านค้าจำหน่ายอาหารสัตว์ และฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์

17287

หุ้นไทยปิดเช้าบวก 4.57 จุด ดูดีกว่าภูมิภาคจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน-แบงก์ โดยมีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ สำหรับแนวโน้มการลงทุนในภาคบ่ายคาดดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น ดูดีกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบสลับกัน โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเปิดประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าเริ่มมีอัปไซด์ที่จำกัดจากรับข่าวไปแล้วในระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกัน มอง Set index วันนี้ยืนได้ด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามทิศทางราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้น และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากสัปดาห์นี้จะมีการทยอยประกาศผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงนักลงทุนรอดูตัวเลขการนำเข้า ส่งออกที่จะทยอยประกาศออกมา ซึ่งคาดว่าน่าจะมีอานิสงส์จากความคาดหวังที่เข้ามาช่วยหนุนตลาด

ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ระดับ 1,642.91 จุด เพิ่มขึ้น 4.57 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.28% มูลค่าการซื้อขายราว 51,289 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มการลงทุนช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา คาดว่า ตลาดน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ให้แนวรับไว้ที่ 1,630 จุด และแนวต้านที่ 1,650 จุด
 

17290
ผู้หญิงควรทานข้าวกล้องออแกนิกน้ำตาลต่ำ Low GI ข้าวอร่อยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ข้าวสุรินทร์ 100%
 การตรวจสอบข้าวอินทรีย์  สถานการณ์ข้าวอินทรีย์ไทย  คนทำนาข้าวอินทรีย์  รูปภาพสำหรับข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ …..ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด )
        การรับประทาน “#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวสุขภาพสุรินทร์ ” ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  “#ข้าวกล้องออร์แกนิค”  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1. ข้าวมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ขายข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวสุขภาพปะกาอำปึล, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ปลูกข้าวผกาอำปึลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ปลูกข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ “ข้าวกล้องออร์แกนิค”  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ “ข้าวกล้องออร์แกนิก”  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิสุขภาพ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์  ปลูกข้าวผกาอำปึลอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  จำหน่ายข้าวหอมมะลิสุรินทร์ผสมหลายสายพันธุ์แท้ จากสุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์ 6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์
7.  ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่อินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อสุขภาพ 

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 

17291
แอลกอฮอล์แบบไหน คนใดชอบใช้
ในยุคที่ทุกคนเริ่มเคยชินกับชีวิตแบบ New Normal เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะรามือไป ผนวกกับวิกฤติ PM 2.5 ที่ไม่ได้หายไปไหน ทำให้เราเริ่มเคยชินกับการกระทำหนึ่งมากยิ่งขึ้นซึ่งก็คือ การล้างมือ นั่นเอง

และก็สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็จะต้องพกติดกระเป๋ากันในช่วงนี้แบบขาดไม่ได้จริงๆก็คืออุปกรณ์ตระกูลแอลกอฮอล์ล้างมือนั่นเอง ทั้งสเปรย์แอลกอฮอล์ และก็เจลล้างมือ วันนี้เลยจะลองมาแนะนำว่าแอลกอฮอล์ล้างมือแต่ละแบบเหมาะสมกับใครกันบ้างมาดูกัน

1. เจลแอลกอฮอล์
เจลแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่เรียกว่าได้รับความนิยมมากมายมาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคต่างๆเสียอีก เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อการชำระล้างมือแล้ว ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆบางแบรนด์มีกลิตเตอร์ระยิบระยับ แถมบำรุงมือด้วยอีกต่างหาก แพ็กเกจจิ้งน่ารัก น้ำหนักเบาแล้วก็พกพาง่าย คนไหนไม่ใช่สายพกพาก็เหมาเจลล้างมือขวดใหญ่ไปตั้งไว้ที่บ้านหรือที่ทำงาน กดกันตลอดวันได้เลย


                        


2. สเปรย์แอลกอฮอล์
ใครที่ไม่ชอบเจลแอลกอฮอล์ด้วยเหตุว่ากลัวว่าจะเหนียวเหนอะหนะมือแห้งยาก ก็เสนอแนะเป็นสเปรย์แอลกอฮอล์อาจจะเหมาะกว่า ก็แค่ ฉีด ถู แห้ง สะอาด และก็สะดวกเร็วทันใจ ขนาดกะทัดรัดเหมาะกับการพกพา บางแบรนด์ก็มีกลิ่นหอมชื่นใจไม่แพ้เจลล้างมือเหมือนกัน แถมนอกเหนือจากใช้ล้างมือได้แล้ว ยังสามารถใช้ฉีดบนผิวที่ต้องสัมผัสเสมอๆได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ แป้นคีย์บอร์ด เม้าส์ ราวบันไดเลื่อน หรือปุ่มกดลิฟต์ ฯลฯ


                     


3. ทิชชู่เปียกผสมแอลกอฮอล์
หากว่าการพกเจลแอลกอฮอล์หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ยังคงดูเยอะหรือเทอะทะเกินไป ทิชชู่เปียกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แนะนำมากๆเพราะว่านอกเหนือจากจะประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าแล้ว ยังใช้งานง่ายเป็นที่สุด จะเช็ดมือ ถูแขน เช็ดขา หรือเช็ดถูจุดสัมผัสร่วมต่างๆก็ตามแต่จะสะดวก ไม่เพียงแค่ควรจะพกในช่วงสถานการณ์นี้เพียงแค่นั้น แต่ว่าควรที่จะต้องพกติดตัวไว้เสมอ เนื่องจากสามารถใช้ได้สะดวกมากในการทำความสะอาดแล้วก็ทิ้งได้เลยด้วย

4. โฟม/สบู่เหลวล้างมือ
เดี๋ยวนี้ Work from home กันไม่ได้ออกไปไหน เลยไม่รู้จะพกวัสดุอุปกรณ์ข้อบนๆไปทำไมก็ขอแนะนำเป็น โฟมล้างมือหรือสบู่เหลวล้างมือ ตั้งไว้เลยจะข้างอ่างล้างหน้า หรือซิงก์ล้างถ้วยชามก็แล้วแต่คนไหนสะดวกแบบไหน นั่งทำงานเบื่อๆก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจสักทีไปล้างมือกันสักหน่อยเพื่อให้มีความปลอดภัยของบริเวณใบหน้าและก็ดวงตาของพวกเรา


                 


ถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์เสริมในการป้องกันตัวจากเชื้อโรคข้างนอกอย่างไร ก็จำต้องอย่าลืมดูแลสุขภาพของตนจากข้างในให้แข็งแรงอยู่ตลอดด้วยการรับประทานอาหารให้มีคุณประโยชน์รวมทั้งบริหารร่างกายให้สม่ำเสมอกันด้วยนะ

17292
ยุคสมัยเปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว กักตัวอยู่บ้านกันนานๆคนจำนวนไม่น้อยค้นพบความสามารถพิเศษของตนกันก็งานนี้ อยู่กับบ้านเล่นเกมกันจนกระทั่งผันตัวเข้าสู่วงการสตรีมมิ่งจริงจัง เรียกได้ว่าเปลี่ยนเป็นเกมเมอร์กันไปเลย เรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือสำคัญมากสำหรับวงการนี้ นอกเหนือไปจากจอคอมพิวเตอร์ดีๆ เมาส์ลื่นๆ หรือหูฟังที่กระชับกับหน้าแล้ว จะมานั่งเล่นเกมกับพื้น หรือนั่งสตรีมบนเก้าอี้คอมพิวเตอร์ปกติมันจะดูไม่สมศักดิ์ศรี เห็นทีต้องมีเก้าอี้เกมมิ่งกับเค้าสักตัวประดับบารมีสักหน่อย วันนี้เลยจะมาแนะนำ 3 หลักเกณฑ์เลือกซื้อเก้าอี้เกมเมอร์ง่ายๆให้เหมาะสมกับคุณ





1. ราคา
อย่างที่บอกไปว่าหลายคนพึ่งจะเข้าวงการเกมเมอร์ ก็ยังไม่อยากที่จะให้ทุ่มทุนไปกับอุปกรณ์มากเท่าไรนัก การพิจารณาซื้อเก้าอี้เล่นเกมสักตัวก็ขอให้นึกถึงงบประมาณในกันสักนิดสักหน่อย โดยราคาขายของเก้าอี้เกมมิ่งมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น บางคนก็รู้สึกว่าไม่ได้ซื้อมาเพื่อเล่นเกมอย่างเดียวเพียงเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อซัพพอร์ตการนั่งอยู่กับโต๊ะนานๆได้ด้วย ก็ต้องการที่จะให้เลือกที่ราคาเหมาะกับบัดเจ็ทของแต่ละคน อย่าซื้ออะไรที่มันเกินตัวกันมากนักเพราะความชื่นชอบของเราก็เปลี่ยนไปได้ทุกๆวัน

2. วัสดุ
วัสดุของทั้งเบาะ และก็หนังที่ห่อหุ้มด้านนอก มีผลต่อราคาของเก้าอี้เกมเมอร์แต่ละตัวอย่างแน่นอน มีให้เลือกแบบหลากหลายเพื่อให้เหมาะกับคาแรกเตอร์และก็ความชื่นชอบของเกมเมอร์แต่ละคน อย่างสุภาพสตรีแนะนำให้เลือกวัสดุเบาะรองนั่งที่เป็น Memory Foam เนื่องจากสัมผัสนุ่มสบาย คืนตัวง่าย แถมราคาก็มิได้แรงที่สุด แม้ผู้ใดเน้นราคาไม่แพงให้เลือกวัสดุที่เป็นฟองน้ำ แต่ก็จะยวบตัวง่าย ไม่กันน้ำ รวมทั้งระบายอากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ใครงบเยอะหน่อยก็เลือก High Density Foam ได้ วัสดุนี้จะรองรับน้ำหนักได้มากที่สุด สัมผัสจะแน่นกว่าวัสดุอื่น แล้วก็เก็บความเย็นได้มากกว่า แถมยังช่วยให้นั่งได้นานขึ้นด้วย ส่วนของวัสดุห่อหุ้มเบาะก็มีให้เลือกทั้ง หนัง PU หนัง PVC หนังแท้ และก็ผ้า โดยวัสดุที่ทนที่สุดก็คือหนังแท้กับผ้าที่มีอายุการใช้งานได้นานสุดๆถึง 5 ปีทีเดียว

3. ขนาดและอุปกรณ์เสริม
ความสูงของแต่ละคนมีผลกับการเลือกไซซ์ของเก้าอี้เล่นเกมอย่างไม่ต้องสงสัย ลองคิดดูว่าถ้าหากพนักพิงกับที่วางแขนไม่สัมพันธ์กับสรีระของผู้นั่ง แทนที่จะเสริมให้ให้นั่งเล่นเกมได้นานกลับทำให้ปวดเมื่อยเสียแทน แถมทำให้เสียบุคลิกภาพซะอีก เลือกเก้าอี้เกมมิ่งที่สามารถปรับระดับหมอนรองคอรวมทั้งเบาะรองหลังได้จะดีมาก โดยแนะนำให้ปรับหมอนรองคอให้อยู่บริเวณหลังคอพอดี และวางหมอนรองหลังให้จุดกึ่งกลางอยู่เหนือเชิงกรานมาเล็กน้อย เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่จะซัพพอร์ตการนั่งให้นั่งได้สบายที่สุดรวมทั้งถูกสุขลักษณะ ไม่ทำให้เสียสุขภาพ

ใช้แค่ 3 หลักเกณฑ์นี้ก็คงจะพอเพียงที่ทำให้สามารถเลือกซื้อเก้าอี้เกมเมอร์กันได้สบายๆแล้ว ฝากไว้อีกนิดว่าต้องการที่จะให้พิจารณาฟังก์ชันก่อนความสวยงาม เนื่องจากว่าสุขภาพสำคัญกว่าองค์ประกอบอื่นเสมอ

17293
อย่าเพิ่งยิงแอด ถ้ายังไม่เรียน คอร์สออนไลน์ 98 บาท

17294
 5 วัน 5 คอร์ส เรียนออนไลน์ พื้นฐานสู่มือาชีพ


ประกาศๆ แจ้งให้ทราบ ถ้าคุณเป็นแบบนี้อยู่
ไม่มีประสบการณ์เลย
วิกฤตธุรกิจไปต่อไม่ได้
อายุเยอะแล้วกลัวเรียนไม่ทัน
อยากขายออนไลน์เป็น แต่ไม่มีคนสอน
เอาความรู้ไปต่อยอด

>>> 97 บาท <<<
ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว ตอนนี้!!!
เพราะเราออกแบบคอร์สนี้
มาให้สำหรับท่านแล้ว
____________________________
5 วัน 5 วิชา
ที่สามารถพาคุณไปเจอกับโลกใบใหม่
เรียนผ่านมือถือเครื่องเดียว
วัยไหนก็เรียนได้
ปรึกษาได้ตลอด
ดูแลอย่างใกล้ชิด
วันที่ 1 การปรับหน้าโปรไฟล์
วันที่ 2 การสร้างวีดีโอ / รูปให้ดูน่าสนใจ
วันที่ 3 การสร้าง Content
วันที่ 4 การสร้างเพจมืออาชีพ
วันที่ 5 สอนยิงตรงกลุ่ม ยิงถูก ปิดยอดเก่ง
พร้อมวิธีหากลุ่มเป้าหมายแบบตรงเป๊ะ
.
เรียนจบครบทั้ง 5 วัน รับวุฒิบัตรได้ด้วย
ทั้งหมดนี้
เราเก็บค่าคอร์สกับคุณเพียง 97 บาท
ย้ำ!!คุณดูไม่ผิดหรอก 97 บาท
จากราคาปกติ 7,990 บาท
.
จำนวนจำกัด
สิทธิ์ 97 เฉพาะ 100 ท่าน
.
ขอท่านที่สนใจเรียนจริงๆ
เพราะเราก็ตั้งใจสอนให้ท่านจริงๆเช่นกันสนใจติดต่อ โค้ชเอก

โทร 0846623662

line id : teerapat999
รายละเอียดเพิ่มเติม https://teerapat99.iconsalepage.com/

17295
โปรโมชั่นที่สุดแห่งปี ซื้อรถวันนี้ขับฟรี 6 เดือน  Mitsubishi Pajero Sport 2.4GT

สนใจติดต่อ
ธีรพัชร์ 0846623662
Add Line ID : teerapat999
 

17296
ขายบ้านริมน้ำเจ้าพระยา (สรรพยา) ชัยนาท 850000 โทร 0837124115

หน้า: 1 ... 959 960 [961] 962 963 ... 1017