ที่สนาม สตาดิโอน อาน แดร์ อัลเทน ฟอร์สเตเรย์ ประเทศเยอรมัน ในการแข่งขันฟุต.บุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2021-2022 คืนวันที่ 30 ต.ค.64 ระหว่างทีม 'อูนิโอน เบอร์ลิน' พบกับทีม 'บาเยิร์น มิวนิค' เริ่มเกมการแข่งขันในครึ่งเวลาแรก นาทีที่ 15 บาเยิร์น ออกนำ 1-0 จากจุดโทษจากจังหวะที่ซาเน่ได้เหลี่ยมซัดที่หน้ากรอบเขตโทษแล้ว.พุ่งไปโดยแจ๊คเคิลที่บล็อคด้วยแขน ผู้ตัดสินเช็ค VAR ชี้จุดโทษก่อนที่เลวานดอฟสกี้จะรับหน้าที่สังหารไม่พลาด นาทีที่ 23 บาเยิร์น หนีเป็น 2-0 จากจังหวะที่พวกเขาได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษตรงกลางประตูเลย ตรงนั้นมียืนอยู่หลายคนแล้วเป็นคิมมิชที่เล่นลูกสูตรเขี่ยให้มุลเลอร์หยุด.ให้เลวานดอฟสกี้วิ่งมาซัดด้วยขวาเน้นๆ ผ่านตัวบล็อคพุ่งตุงตาข่ายอย่างสุดสวย นาทีที่ 35 บาเยิร์น หนีห่างเป็น 3-0 อยู่ดี จากจังหวะที่โคมันได้.หลุดขึ้นมาทางริมกรอบฝั่งขวา เขาครอสไปเสาแรกแล้วมุลเลอร์แหย่ตวัดปลายเท้าแล้ว.เปลี่ยนทางเล็กน้อยไปถึงเสาสองให้ซาเน่วางเท้าแปจ่อๆด้วยซ้ายโล่งๆไม่เหลือ นาทีที่ 43 อูนิโอนมาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 3-1 จากจังหวะที่ฮารางูจิได้.ขึ้นมาทางริมกรอบฝั่งขวาก่อนที่จะครอสไปเสาสองให้กีสเซิลมันน์วางเท้าซัดด้วยซ้าย.พุ่งไปแฉลบนอยเออร์ปลิ้นชนเสาแรกเข้าไปเลย

เริ่มเกมการแข่งขันในครึ่งเวลาหลัง นาทีที่ 60 บาเยิร์น ได้ประตู 4-1 จากจังหวะทำเร็วขึ้นมาแล้วมุลเลอร์ไหล.ออกทางกรอบฝั่งขวาให้โคมันเลี้ยงกระชากหนีตัวประกบแล้วแต่งซัดด้วยขวาเต็มข้อ .พุ่งแรงเสียบเสาแรกเข้าไปแบบสุดมัน นาทีที่ 65 เจ้าถิ่นไม่ยอมแพ้แล้วมาได้ประตูตีตื้น 4-2 สำเร็จ จากจังหวะที่เบห์เรนส์ได่.หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายถึงเส้นหลังแล้วปาดเรียดกลับไปหน้าประตูให้ไรเยอร์สันวิ่งมาชาร์จเน้นๆไม่เหลือ นาทีที่ 79 บาเยิร์น มาได้ประตูหนีห่างเป็น 5-2 จากจังหวะที่อูปาเมกาโน่ลาก.ลุยมาที่หน้ากรอบเขตโทษดึงตัวประกบมาสองคนก่อนไหลให้มุลเลอร์ยืนโล่งในกรอบเขตโทษ เขามีเวลาแต่ง.เข้าขวาแล้วซัดเน้นๆพุ่งผ่านมือลูธเบียดเสาเข้าไปอย่างสวยงาม

ซ่อมหลังคา

www.facebook.com/mediapro60
สอนทำพิมพ์ สอนหล่อเรซิ่น น้ำยาดับกลิ่นเรซิ่น

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/ELT0901

ดันดัน

จัดไป

555+

ดันจร้าา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย การประชุมเฟด ในวันที่ 2-3 พ.ย. คาดประกาศลดวงเงิน QE อย่างเป็นทางการ เหตุ เงินเฟ้อพุ่ง ประเมินเริ่มลดปลายปีนี้ ถึงกลางปีหน้า เดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เชื่อฟดยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% ชี้ ผลกระทบตลาดเงิน-ตลาดหุ้นจำกัด

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย. 2564 จะเป็นรอบการประชุมที่สำคัญ เนื่องจากเฟดน่าจะมีการประกาศการลดวงเงิน QE อย่างเป็นทางการ ขณะที่เฟดน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25%

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองดังต่อไปนี้
เฟดน่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินตามแผนที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้าว่าเฟดจะเริ่มลดวงเงิน QE ภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะสิ้นสุดการลดวงเงิน QE ภายในกลางปี 2565 ซึ่งแปลว่าเฟดอาจทยอยลดวงเงิน QE เดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นการลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเดือนละ 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ จากวงเงินปัจจุบันที่ 8.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และการลดการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (mortgage-backed securities) เดือนละ 0.5 หมื่นล้านดอลลาร์จากวงเงินปัจจุบันที่ 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อเดือน ซึ่งจะส่งผลให้วงเงิน QE ทั้งหมดที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปัจจุบันหมดลงในช่วงกลางปีหน้าตามที่เฟดได้ส่งสัญญาณไว้



ความกังวลหลักของเฟดอยู่ที่ประเด็นด้านเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นอย่างมาก และอาจจะลากยาวกว่าที่เคยประเมิน อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนก.ย. ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นถึง 5.4% YoY สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิตที่เร่งตัว สูงขึ้นอย่างมากที่ 8.6% YoY ตามปัจจัยด้านราคาพลังงานและปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานซึ่งมีแนวโน้มที่จะไม่คลี่คลายลงในระยะอันใกล้ ทั้งนี้ แม้ว่าการลดวงเงิน QE อาจจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างตรงจุด เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยทางฝั่งอุปทานที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตนั้นสูงขึ้น อย่างไรก็ดี การถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายผ่านการลดวงเงิน QE จะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) และแรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ ซึ่งจะช่วยหยุดยั้งวงจรเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโมเมนตัมที่จะชะลอตัวลง ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนแรงงานรวมถึงความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจจะลากยาวกว่าที่เคยประเมิน ส่งผลให้เฟดคงจะต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจและด้านเงินเฟ้อในการพิจารณาจังหวะที่เหมาะสมในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า


โดยหากเฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ควรนอกจากจะสร้างความผันผวนมากขึ้นในตลาดเงินตลาดทุนแล้ว ยังอาจยิ่งบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาวะที่ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่ได้หมดไป อีกทั้งยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาขีดจำกัดในฝั่งอุปทานซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นและส่งผลให้ผู้ผลิตอาจเพิ่มกำลังการผลิตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

สำหรับผลกระทบในฝั่งตลาดเงินตลาดทุน เนื่องจากตลาดได้รับรู้แผนการลดวงเงิน QE ไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้น การประกาศลดวงเงิน QE ในการประชุมที่จะถึงนี้น่าจะส่งผลต่อตลาดเงินตลาดทุนให้เกิดความผันผวนอย่างจำกัด อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามผลการประชุมว่าเฟดจะส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติม ซึ่งหากเฟดส่งสัญญาณมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงเชิงลบสูงขึ้น อาจส่งผลให้ตลาดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยชะลอออกไปจากที่เคยคาด ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์ เผชิญแรงกดดันและมีแนวโน้มอ่อนค่าได้ ขณะที่หากเฟดส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อประเด็นเงินเฟ้อมากกว่าความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลให้ตลาดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาด ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะข้างหน้าคงผันผวนไปตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์ และปัจจัยในประเทศ ซึ่งคงต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากมีการเปิดประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดที่ยังอยู่ในระดับสูง