แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Ailie662

หน้า: 1 ... 1005 1006 [1007] 1008 1009 ... 1034
18109


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รองแชมป์เก่า พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ กำลังประสบภาวะเสื้อขาดตลาด หลัง คริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังโปรตุกีส ย้ายมาร่วมทีม เป็นเหตุให้เกิดอุปสงค์ (Demand) ล้นหลาม

'อาดิดาส (Adidas)' ผู้ผลิตชุดแข่ง ยูไนเต็ด เผชิญปัญหาส่งสินค้าล่าช้า เนื่องจากคำสั่งปิดโรงงาน ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นแห่งผลิตรายใหญ่ขององค์กร ตามสัดส่วน 28 เปอร์เซ็นต์

การเซ็นสัญญา โรนัลโด วัย 36 ปี ซึ่งจะเป็นเจ้าของเสื้อหมายเลข 7 อันเป็นตำนานของสโมสร ยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงมากขึ้น ตามกระแสฟีเวอร์ของสาวก 'เรด เดวิลส์' รีบจับจองสินค้าเป็นการด่วน

โฆษก 'อาดิดาส' ให้สัมภาษณ์ 'ดิ อินดีเพนเดนท์' หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ 'เรากำลังประสานงานกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนๆ ที่สูงมาก สำหรับดีไซน์ใหม่ของเรา แต่ค่าดว่าสินค้าที่มีอยู่จะไม่เพียงพอ'

ขณะที่เว็บไซต์ 'ปิศาจแดง' เผยว่า เสื้อ.สกรีนชื่อและหมายเลขของ โรนัลโด ตรงด้านหลัง จะยังไม่มีกำหนดจัดส่งกระทั่งเดือนพฤศจิกายน

18112


Christine Lagarde ประธาน ECB ลั่น “Stablecoins แกล้งทำเป็นเหรียญ แต่ในความเป็นจริง มันเกี่ยวข้องกับสกุลเงินจริงทั้งหมด เช่น บางคนบอกว่าสามารถใช้สำหรับการทำธุรกรรมได้ แต่มูลค่าจะสอดคล้องกับเงินดอลลาร์อย่างแน่นอน”

จากการรายงานของ cointelegraph ระบุถึงถ้อยแถลงของนาง Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป ว่า cryptocurrencies ทั้งหมดซึ่งเธอรวม Stablecoins และสินทรัพย์เก็งกำไร 'ไม่ใช่สกุลเงินเลย'

โดยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 กันยายนกับ Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของ World Economic Forum ซึ่ง Lagarde กล่าวว่า cryptocurrencies “แสดงตัวเป็นสกุลเงิน” แต่เธอยังคงถือว่ามัน 'เป็นสินทรัพย์ที่จะถูกควบคุมและดูแลโดยหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์” ภายใต้คำจำกัดความนี้ ประธาน ECB อ้างว่าสกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงด้วยคำสั่งก็ถือเป็นสินทรัพย์เช่นกัน

“สิ่งนี้ต้องได้รับการตรวจสอบ ดูแล ควบคุม เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ใช้อุปกรณ์เหล่านั้นสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดการบิดเบือนความจริงในที่สุด ฉันคิดว่าประวัติล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสกุลเงินสำรองเหล่านั้นไม่พร้อมใช้งานตลอดเวลาและมีสภาพคล่องตามที่ควรจะเป็น”

อย่างไรก็ดี Lagarde อาจหมายถึง Tether ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดตามมูลค่าราคาตลาด ซึ่งล่าสุดบริษัทเพิ่งตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหาย 18.5 ล้านดอลลาร์ และยื่นรายงานเงินสำรองของตนเป็นระยะ จนถึงปี 2023 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับสำนักงานอัยการสูงสุดแห่งนิวยอร์ก ซึ่งกล่าวหาว่าผู้ออกเหรียญ Stablecoin ได้บิดเบือนระดับโทเค็น USDT ของตนให้ได้รับการสนับสนุนโดยหลักประกันคำสั่ง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคิดเห็นที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ Lagarde ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ECB ตั้งใจที่จะตอบสนองต่อลูกค้าของตน โดยก่อนหน้านี้เธอเคยวิพากษ์วิจารณ์ Stablecoins และ cryptocurrencies แต่ไม่ได้ตัดทอนความเป็นไปได้ที่ ECB จะแนะนำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สภาปกครองของ ECB กล่าวว่าจะเริ่มขั้นตอนการสอบสวนโครงการยูโรดิจิทัลซึ่งกินเวลานาน 2 ปี

“หากลูกค้าต้องการใช้สกุลเงินดิจิทัลมากกว่าที่จะมีธนบัตรและเงินสด ก็ควรจะใช้ได้” Lagarde กล่าว “เราควรตอบสนองต่อความต้องการนั้นและมีโซลูชั่นที่อิงจากยุโรป มีความปลอดภัย พร้อมใช้งาน และมีเงื่อนไขที่เป็นมิตรซึ่งสามารถใช้เป็นวิธีการชำระเงินได้”

“Stablecoins แกล้งทำเป็นเหรียญ แต่ในความเป็นจริง มันเกี่ยวข้องกับสกุลเงินจริงทั้งหมด ตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่าสามารถใช้สำหรับการทำธุรกรรมได้ แต่มูลค่าจะสอดคล้องกับเงินดอลลาร์อย่างแน่นอน” Lagarde กล่าว

ทั้งนี้เธอกล่าวเสริมว่าโครงการที่อยู่เบื้องหลังการออกเหรียญ stablecoin ควรจะต้องคืนทรัพย์สินของพวกเขาด้วยคำสั่งที่มีหน่วยงานกำกับ

18113


​วันนี้ (3 ก.ย.) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมสำหรับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ 2565 ณ ห้องประชุมกำธร สุวรรณกิจ ชั้น 1 อาคาร 1 กรมอนามัย และผ่านระบบออนไลน์ Webex Meeting ว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบกับสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก ปี 2565 จึงเป็นความท้าทายของกระทรวงสาธารณสุขที่จะวางแผนการทำงานให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมตามบทบาทภารกิจของกรมอนามัย โดยมุ่งเน้นจัดการสุขภาพใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ สร้างกระบวนการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลความรู้ ด้วยการจัดบรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อประชาชนเพื่อพัฒนาทักษะและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งในปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขโดย กรมอนามัยได้พัฒนาแพลตฟอร์มก้าวท้าใจ ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2564 จำนวน 3,266,430 คน และในปี 2565 มุ่งเน้นให้จังหวัดสนับสนุนให้ประชาชนเข้าร่วมมากขึ้น โดยมุ่งเจาะไปทุกหน่วยงาน องค์กร เช่น โรงงาน สถานประกอบการ โรงเรียน ชุมชน เป็นต้น 2) การส่งเสริมสุขภาพกลุ่มวัย เน้นให้ประชาชนเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดอุปสรรคในการจัดบริการปกติ เช่น ปิดศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน หรือปิดแผนกของหน่วยบริการสาธารณสุข ดังนั้น ในปี 2565 จำเป็นต้องออกแบบบริการใหม่ให้ทุกกลุ่มวัยเข้าถึงบริการโดยง่าย สะดวก ทั้งเชิงรุกในพื้นที่ หรือใช้ดิจิตัลเทคโนโลยี เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น การฝากครรภ์คุณภาพและฉีดวัคซีน การส่งเสริมการเล่นและพัฒนาการเด็ก สุขภาพช่องปาก เป็นต้น



“ประเด็นสุดท้าย คือ 3) การจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ถือเป็นมาตรการสำคัญในการจัดการภาวะคุกคามสุขภาพประชาชน โดยให้ทุกจังหวัดเน้นเรื่องการควบคุม กำกับ โดยเฉพาะการให้อำนาจเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย เพื่อไปกำกับมาตรฐาน เช่น มาตรฐานตลาด เนื่องจากตลาดหลายแห่งไม่ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน จึงเป็นเหตุให้เกิด การระบาดของโควิด-19 ขึ้น หรือกิจการประเภทอื่นๆ ก็เช่นกัน ที่สร้างเหตุรำคาญ จำเป็นต้องควบคุมกำกับอย่างเข้มงวด โดยในปีหน้าจะเน้นเรื่องอาหารปลอดภัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประชาชน รวมถึงต่อยอดทางเศรษฐกิจในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะร้านอาหาร Street food ตลาดสด และตลาดนัด ดังนั้น การขับเคลื่อนประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์และนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี มีระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และเกิดการขับเคลื่อนทางสังคมและเศรษฐกิจ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้บริหารระดับจังหวัด ในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติของบุคลากรสาธารณสุข ในพื้นที่ และส่งมอบบริการที่มีคุณค่าสู่ประชาชน เกิดความมั่นคงทางสุขภาพ ซึ่งผลสำเร็จตามเป้าหมายจะไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้ หากขาดการบูรณาการและผนึกกำลังเครือข่ายการดำเนินงาน โดยเฉพาะสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ที่ถือได้ว่าเป็นเครือข่ายในพื้นที่ที่มีความใกล้ชิด เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สำเร็จ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ทางด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยในฐานะกลไกหลักระดับชาติในการขับเคลื่อนระบบส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ตามกรอบทิศทางและแผนปฏิบัติการ ในปีงบประมาณ 2565 ที่มุ่งเน้นการพัฒนายกระดับสุขภาพกลุ่มวัย และสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ซึ่งเชื่อมโยงและ สอดรับกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จำนวน 12 แผน และแผนปฏิรูปประเทศ จำนวน 2 ประเด็น 4 Big Rocks โดยกรมอนามัยได้รับมอบหมายเป็นเจ้าภาพหลักของแผนแม่บทฯ ในประเด็นการเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี เป้าหมาย คือ การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาวะ และประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต เป้าหมายคือเด็กเกิดอย่างมีคุณภาพ มีพัฒนาการสมวัย สามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงการปฏิรูประบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุด้านการบริบาลดูแลรักษาที่บ้าน/ชุมชน และระบบสนับสนุนการเตรียมตัวของประชาชนในการเป็นผู้สูงอายุในอนาคตด้วย

18115
ลูกอมพระแม่ธรณี

จัดสร้างจากดินใต้ฐานพระแม่ธรณี ผงมหาจักรพรรดิ และมวลสารอื่น ๆ ช่วยในเรื่องการขายบ้าน ขายที่ดิน

18116
ส่งรูปถ่ายภายนอก ภายใน พร้อมรายละเอียดของรถที่ต้องการขายมาที่
ไลน์ : nopcartoday

18119


ช้อปปี้ (Shopee) กระตุ้นอีคอมเมิร์ซไทยด้วยการจับมือวีซ่า (Visa) ขยายบริการการชำระเงินดิจิทัล เปิดตัวโครงการ “Shopee x Visa : Sellers Grow Ruay Beyond” ร่วมมือ 5 ปีเพื่อปลดล็อกศักยภาพร้านค้าเอสเอ็มอี เปิดทางร้านค้ามีองค์ความรู้ และเครื่องมือทางการตลาดที่ครบวงจร พร้อมผลักดันร้านค้ารายย่อยเติบโตด้วยการรับชำระด้วยบัตรเครติด/เดบิตแบบไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า

น.ส.สุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า ช้อปปี้ ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน บริษัทมีพันธกิจสำคัญที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ที่เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยความเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทาย ช้อปปี้จึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรคนสำคัญอย่าง วีซ่า ตามแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในโครงการ ‘Shopee x Visa : Sellers Grow Beyond’ โตไกลไปด้วยกัน

“โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือเหล่าผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงโอกาส องค์ความรู้ เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็น ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการเริ่มต้นที่มหกรรมชอปปิ้งสุดยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาคกับแคมเปญ Shopee 9.9 Super Shopping Day เพื่อปลดล็อกศักยภาพในการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพร้อมกับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศและอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด”

โครงการ “Shopee x Visa : Sellers Grow Beyond’ จะเปิดให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยเข้าร่วมโครงการเข้าถึงทรัพยากรที่จะเป็นในการเปิดร้าน และการทำให้การค้าขายออนไลน์เป็นเรื่องง่าย เช่น ส่วนลดในการฝึกอบรมจาก Shopee University และการเปิดรับการชำระเงินในรูปแบดิจิทัล ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2564 ที่ https://shopee.co.th/m/visa-sellers-grow-beyond

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “การแพร่ระบาดในครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อและขายสินค้าของคนในประเทศไทยและทั่วโลก เทรนด์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือการเปลี่ยนผ่านสู่การค้าในรูปแบบดิจิทัล จากการศึกษาล่าสุดเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study) ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์บนสมาร์ทโฟนทุกๆ 2 วัน หรือเฉลี่ย 14 ครั้งในหนึ่งเดือน

“นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เรารู้สึกดีใจที่ได้ร่วมกับช้อปปี้ในการให้กำเนิดโครงการ ‘Seller Grow Beyond’ โดยเป็นหนึ่งในโครงการจากแผนความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะเวลา 5 ปีระหว่างวีซ่าและช้อปปี้อีก โดยโครงการนี้จะช่วยให้ผู้ขายออนไลน์เข้าถึงเครื่องมือ และทรัพยากรใหม่ๆ ที่จำเป็นในการทำการค้าในรูปแบบดิจิทัล เพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน และท้ายที่สุดเข้าใจและใช้ประโยชน์จากเทรนด์การค้าปัจจุบันที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในหลากหลายเจเนอเรชันและเซกเมนต์ต่างอยู่บนโลกออนไลน์”

โครงการ ‘Shopee x Visa : Sellers Grow Beyond’ โตไกลไปด้วยกัน ถูกริเริ่มขึ้นเพื่อลดความยุ่งยากในการเริ่มธุรกิจบนแพลตฟอร์มช้อปปี้สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยการเปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซได้อย่างครบวงจรและสะดวกสบาย

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์หลักคือ Incentive Package เพื่อช่วยให้การเริ่มธุรกิจออนไลน์ของผู้ประกอบการรายย่อยบนแพลตฟอร์มช้อปปี้เป็นไปได้อย่างคล่องตัวและดึงดูดความสนใจจากนักชอปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะได้การสนับสนุนจากช้อปปี้ในรูปแบบของโค้ดส่วนลด 30% ไม่มีขั้นต่ำ สูงสุด 50 บาทต่อคำสั่งซื้อ สำหรับการจัดโปรโมชันฉลองเปิดร้าน

อีกสิทธิประโยชน์คือ Payment System โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการยังสามารถเปิดรับช่องทางการชำระเงินด้วยบัตรเครติด/เดบิต ได้อย่างง่ายดายและปราศจากค่าธรรมเนียมแรกเข้า เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินแบบไร้เงินสด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน โดยร้านค้าสามารถเลือกเข้าร่วมรายการผ่อนชำระเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายได้อีกด้วย

สิทธิประโยชน์ยังรวมถึง Workshop & Knowledge เนื่องจากองค์ความรู้เป็นทรัพยากรที่จำเป็นในการยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในโลกอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจึงจะได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการขายสินค้า รวมถึงการทำการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มช้อปปี้จาก Shopee University รวมไปถึงการเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์กชอปที่จะจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ และถ่ายทอดเทคนิคการขายสินค้าออนไลน์ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร้านค้าสำหรับมหกรรมอีคอมเมิร์ซในช่วงปลายปี

ความร่วมมือระหว่างวีซ่า และช้อปปี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้แผนความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ 5 ปี ที่มีจุดมุ่งหมายในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยและในภูมิภาคนี้ โดยเมื่อปีก่อนทั้ง 2 พันธมิตรได้ริเริ่มแคมเปญเพื่อส่งมอบประสบการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ที่คุ้มค่า สะดวกสบาย และปลอดภัยให้แก่เหล่าผู้ใช้งานทุกคน ผ่านการนำเสนอทางเลือกในการชำระเงินวีซ่า ที่รวดเร็ว ง่าย และปลอดภัย ให้แก่ผู้ใช้งานช้อปปี้ทุกคน รวมไปถึงการส่งมอบประสบการณ์การชอปปิ้งที่เหนือระดับผ่านการเปิดตัวบัตรเครดิต ‘กสิกรไทย-ช้อปปี้ วีซ่า แพลทินัม การ์ด เชื่อมมิติทุกการชอป’ ในปีที่ผ่านมา

18120


นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้การคลายล็อกดาวน์จะเป็นสัญญาณบวกของภาคธุรกิจ แต่มีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะยุติลงอย่างไร กระทบต่อความมั่นใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคซบเซา ขณะที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการให้สินเชื่อ มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง

รวมถึง ตัวเลขลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ (Walk in) ก็ยังไม่ดีขึ้น แม้จะมีการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้นสามารถช่วยได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโดมิเนียมยังต้องการมาดูโครงการด้วยตนเอง ไม่ใช่ดูผ่านออนไลน์แล้วจะตัดสินใจซื้อ 100% ทันที

"สิ่งที่กังวลช่วงเวลานี้ คือภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ดีและไม่มีความชัดเจนว่าจะดีขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาโควิดยังไม่รู้ว่าจะไปอย่างไรต่อ จะวนกลับมาระลอก 5 ระลอก 6 หรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ ส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นที่สะสมตัวอยู่ ทำให้คนกลัวไม่กล้าจับจ่ายเพราะไม่อยากสร้างหนี้ ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมทั้งสินค้าต่าง ๆ ยิ่งความไม่สงบทางการเมือง คนรู้สึกไม่มั่นใจ ทำให้ชะลอการซื้อเพื่อลงทุน รอดูสถานการณ์ (wait and see) หากเป็นเช่นนี้ตลาดอสังหาฯ ซบเซา"

ความกังวลหลัก 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ โรคระบาด และการเมือง เป็นตัวแปรต่อการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายนี้ ทั้งการจัดโปรโมชั่น พร้อมปรับแผนการลงทุนใหม่ ระมัดระวังการขยายธุรกิจ สังเกตได้ว่า มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลงจนถึงไม่มี ส่วนใหญ่เน้นระบายสต็อกเก่า

“หนทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาทุกภาคส่วนต้องพยายามทำให้ภาครวมของเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะอสังหาฯ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของภาคเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจรวมไม่ฟื้น อสังหาฯ ไม่สามารถฟื้นตัวเองได้”


สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ประเมินว่าตลาดคอนโดมิเนียมตัวเลข “ติดลบ” ไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อน ส่วนบ้านจัดสรร คาดการณ์ติดลบเป็นตัวเลขหลักเดียว ไม่ถึง 10% หากนำตัวเลขสองตลาดนี้มารวมกัน ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ น่าจะติดลบประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 อยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่า แต่จะมากหรือน้อยระดับไหนต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหลือ 4 เดือนสุดท้ายนี้ หาก สถานการณ์จะดีขึ้นหรือว่าสถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม

ทั้งนี้ หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดไม่เกิดระลอกใหม่ ไม่มีการติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีการปิดแคมป์ก่อสร้าง กระทบต่อตลาด จะทำให้ 4 เดือนจากนี้สถานการณ์จะไม่เลวร้ายมากนัก และไต่ระดับกลับมาอยู่ในภาวะทรงตัว อย่างไรก็ตาม ตลาดบ้านจัดสรร จะยังคงไปได้แต่ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงอยู่ในภาวะลำบากต่อเนื่อง

18122
ส่งภาพถ่ายภายนอก ภายใน พร้อมรายละเอียดของรถที่จะขายมาที่
Line ID : nopcartoday

18123
ลูกอมพระแม่ธรณี

จัดสร้างจากดินใต้ฐานพระแม่ธรณี ผงมหาจักรพรรดิ และมวลสารอื่น ๆ ช่วยในเรื่องการขายบ้าน ขายที่ดิน

18126


เบนจามิน เมนดี ปราการหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี ถูกปฏิเสธคำขอยื่นประกันตัว ก่อนการสอบสวนคดีข่มขืน แถมเกิดอาการจิตตก เนื่องจากไม่ได้ถูกคุมขังในโซนวีไอพี (VIP)

แนวรับวัย 27 ปี ซึ่งถูกตั้งข้อหาคดีขืนใจ 4 คดี และล่วงละเมิดทางเพศ 1 คดี ได้รับแจ้งจากพัสดี ที่เรือนจำแห่งหนึ่ง ย่านเมอร์ซีย์ไซด์ หลังเดินทางถึงสถานที่ดังกล่าว วันศุกร์ที่ผ่านมา (27 ส.ค.) จะโดนควบคุมตัวในโซน VP สำหรับนักโทษที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อาทิ ผิดปกติทางจิต, ติดยาเสพติด, เบี่ยงเบนทางเพศ หรือพิการ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ฟูลแบ็กชาวฝรั่งเศส เข้าใจผิดว่าจะอยู่ในโซน VIP สำหรับผู้ต้องขังที่มีชื่อเสียง และเกิดอาการตกใจ หลังนึกขึ้นได้ว่า ไม่สมควรถูกกักขังในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

แหล่งข่าวเผยต่อ 'เดอะ ซัน' แท็บลอยด์หัวดังของอังกฤษ 'ตอน เมนดี มาถึง ผู้คุมนักโทษชี้แจงว่าเขาจะต้องถูกขังในโซน VP (vulnerable prisoners) เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง เขารู้สึกหวาดกลัว เมื่อเห็นสภาพห้องขัง และต้องอยู่ร่วมกับนักโทษแบบใด เขาไม่มีความสุข และมันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมากสำหรับเขา'

เมนดี ยื่นคำขอประกันตัวอีกครั้ง ที่ศาลเชสเตอร์ คราวน์ ในการพิจารณาแบบปิด ซึ่งกินเวลาประมาณ 50 นาที โดย แบ็กซ้ายดีกรีทีมชาติฝรั่งเศส ไม่ได้มาขึ้นศาล

ผู้ลงบันทึกคำตัดสินระดับอาวุโสของตุลาการ สตีเวน เอเวอเรตต์ ปฏิเสธคำร้อง ตามรายงานของโฆษก

อดีตนักเตะ โอลิมปิก มาร์กเซย และ โมนาโก กระทำผิดข้อหาทำร้ายหญิง 3 คน รวม 1 คน อายุต่ำกว่า 18 ปี ที่บ้านของตัวเอง ตั้งอยู่ในเพรสต์บิวรี แคว้นเชสเชียร์

ความผิดฐานกระทำชำเรา 3 คดี เกิดขึ้นเดือนตุลาคม 2020 และ เมนดี ยังตกเป็นจำเลย คดีล่วงละเมิดทางเพศหญิงคนหนึ่ง ช่วงต้นเดือนมกราคม 2021

เมนดี ซึ่งถูก 'เรือใบสีฟ้า' สั่งแบน เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย มีกำหนดขึ้นศาลเชสเตอร์ คราวน์ วันที่ 10 กันยายน

หน้า: 1 ... 1005 1006 [1007] 1008 1009 ... 1034