แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Ailie662

หน้า: 1 ... 1011 1012 [1013] 1014 1015 ... 1026
18220


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันจันทร์ (9ส.ค.)ดิ่งลง 36.60 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน โดยปรับตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนพากันขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค.
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 36.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,726.50 ดอลลาร์/ออนซ์

ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลดการถือครองทอง สู่ระดับ 1,025.28 ตันเมื่อวันศุกร์

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.


ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 5.4% ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.7% หลังจากแตะระดับ 5.9% ในเดือนมิ.ย.

นอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง


ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังกังวลว่าตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทอง

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยเฟดอาจส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว


ตลท.ขยาย JTS ติดแคชบาลานซ์-ห้ามคำนวณวงเงินถึง 30 ส.ค.64

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย โดยขยายช่วงดำเนินการมาตรการระดับ 2 กับ บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS มีผลระหว่างวันที่ 10-30 ส.ค.2564 โดยระหว่างนี้ห้ามหลักทรัพย์ของบริษัทคำนวณวงเงินซื้อขายและติดแคชบาลานซ์ (ต้องใช้บัญชีเงินสดในการซื้อขายหุ้น)

สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น JTS วันนี้ (9 ส.ค.2564) ปิดที่ 48.75 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.28% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 2.6 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (9 ก.ค.- 9 ส.ค.) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 15 บาท หรือ 44.44% จาก 33.75 บาทต่อหุ้น ส่วนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 46.92 บาท หรือ 2,563.93% จาก 1.83 บาทต่อหุ้น

18221


นายวิศิษฐ์  ศรีสุวรรณ์  อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายการเข้าพบของ นายวิฑูรย์ เเนวพานิช ที่ปรึกษาชุมนุมสหกรณ์บริการเดินรถแห่งประเทศไทย จำกัด ว่าได้หารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหารถแท็กซี่ของสหกรณ์                 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19  เบื้องต้นต้องการให้ช่วยประสานหาพื้นที่จอดรถแท็กซี่ที่ต้องหยุดวิ่งบริการเนื่องจากประชาชนงดเดินทางทำให้จำนวนผู้ใช้บริการแท็กซี่ลดลง  ซึ่งสหกรณ์ได้นำรถแท็กซี่บางส่วนไปจอดไว้ที่หน้ากระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จึงขอความร่วมมือสหกรณ์แท็กซี่นำรถออกจากบริเวณด้านหน้าของหน่วยงานดังกล่าว และประสานกับกรมธนารักษ์ และหน่วยงานต่าง  ๆ               จัดหาพื้นที่ว่างเพื่อรองรับรถแท็กซี่ไปจอดไว้ในช่วงสถานการณ์โควิด  ขณะนี้ ได้พื้นที่จอดภายในโรงงานยาสูบ จอดได้ 150 คัน บริษัท แคทเทเลคอม จังหวัดนนทบุรี จอดได้ 120 คัน


ที่ซอยเสรีไทย 66 พื้นที่ 10 ไร่และที่ในเขตหนองจอก                     สามารถจอดได้ประมาณที่ละ 1,000 คัน และพื้นที่ของหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กรมชลประทาน ปากเกร็ด 300 คัน  พื้นที่ของสำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ เขตดุสิต ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ 1 และ 2                            และสำนักงานสหกรณ์จังหวัดปทุมธานี รวม 500 คัน และอยู่ระหว่างการขอความอนุเคราะห์ใช้พื้นที่กับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพิ่มเติม เพื่อให้สหกรณ์แท็กซี่ใช้พื้นที่ในการจอดรถแท็กซี่ที่ไม่สามารถประกอบการได้  เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของสหกรณ์ในการเช่าพื้นที่จอดรถ

            “นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห่วงใยในความเดือดร้อนของพี่น้องสมาชิกสหกรณ์แท็กซี่  จึงสั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสหกรณ์นอกภาคการเกษตร                 โดยจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ให้กู้ยืมไปประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ช่วงสถานการณ์โควิด”


 รวมทั้งประสานกับกระทรวงแรงงาน เพื่อให้คนขับรถบริการที่อยู่ในระบบสหกรณ์ ทั้งรถแท็กซี่ สามล้อเล็ก รถสองแถวหรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เข้าสู่มาตรา 40 ของกฎหมายแรงงาน ให้มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 5,000 บาท                           อย่างไรก็ตาม กรมฯอยากขอความร่วมมือจากหน่วยงานและประชาชนทั่วไปที่มีความประสงค์จะจัดจ้างรถโดยสารขนของในช่วงนี้ ขอให้ใช้บริการผ่านทางสหกรณ์บริการเดินรถ เพื่อช่วยเหลือผู้ขับรถแท็กซี่ให้มี[^_^]เลี้ยงครอบครัว และสามารถผ่านวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน”

ปัจจุบันสหกรณ์แท็กซี่มีจำนวน 59 แห่ง มีสมาชิก 50,974 คน มีจำนวนรถแท็กซี่ 19,555 คัน ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้มีหนังสือหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเยียวยาช่วยเหลือสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบการ ค่าใช้จ่าย              ในการตรวจสภาพรถ ค่าเชื้อเพลิง และค่าเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจ ผลกระทบด้านการชำระหนี้สถาบันการเงิน

 

  รวมทั้งขอเข้าร่วมโครงการเยียวยาจากภาครัฐตามมาตรการต่าง ๆ แล้ว ซึ่งขณะนี้คาดว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความช่วยเหลือของ             แต่ละหน่วยงาน  

18222
ส่งรูปถ่ายภายนอก ภายใน พร้อมรายละเอียดของรถที่จะขายมาที่
ID Line : nopcartoday

18223


นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวรองรับทุกสถานการณ์ ตลอดเวลา (Speed to Market) ส่งผลให้ 7 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามาถทำยอดขายรวมได้ถึง 20,600 ล้านบาท หรือเกือบ 70% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 13,700 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 6,900 ล้านบาท สัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบเพิ่มเป็น 67% โดยบ้านเดี่ยวแบรนด์ เศรษฐสิริได้รับการตอบรับที่ดี อาทิ โครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา2, เศรษฐสิริ พระราม 5 และเศรษฐสิริ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า2 เป็นต้น รวมทั้งทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์“สิริ เพลส” ซีรี่ย์ล่าสุด Dream Destination ทั้ง สิริ เพลส บางนา - เทพารักษ์ และ สิริ เพลส วงแหวน - ลำลูกกา ที่ทำยอดขายกว่า 80% ของยูนิตที่เปิดขาย


ขณะที่คอนโดมิเนียม แบรนด์เดอะ มูฟ หนึ่งในโปรดักส์ไฮไลท์ในปีนี้ ที่รองรับเซกเมนต์ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย ได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเดอะ มูฟ เกษตรเดอะ มูฟ ราม 22 ขายหมดทุกยูนิตที่เปิดขายในทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะส่งต่อความสำเร็จไปสู่ “เดอะ มูฟ บางนา” เป็นโครงการที่ 3 ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท ที่เตรียมพรีเซลล์เป็นโครงการต่อไป

นายอุทัย ระบุว่า ช่วง 7 เดือน ที่ผ่านมาบริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วถึง 18,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 60% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 55 : 45 โดยครึ่งปีหลัง บริษัทยังเตรียมโอนคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา คอนโดไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา และ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ – รังสิตรองรับการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามเป้าหมายรายได้จากการขายที่วางไว้ 27,600 ล้านบาท โดยล่าสุด แสนสิริมี รายได้ในมือที่รองรับแล้ว(Secured Revenue)ถึง 22,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% เหลืออีกเพียง 17% เท่านั้น ก็จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้ารายได้ที่วางไว้อย่างแน่นอน

สำหรับคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา คอนโดไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา จำนวน 603 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท พร้อมสระว่ายน้ำสีทองแชมเปญบนชั้นดาดฟ้า พร้อมวิวอ่าวไทย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 70% พร้อมเข้าอยู่ในเดือนก.ย. เริ่มโอนวันที่ 4 – 5 ก.ย.นี้

โครงการดีคอนโด ไฮด์อเวย์ คอนโดมิเนียมโลว์ไลส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 800 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ขนาดพื้นที่โครงการ 10 ไร่ แบ่งออกเป็น พื้นที่ส่วนกลาง 8 ไร่ พร้อมพื้นที่สีเขียว 2.5 ไร่ ครบทั้งสระว่ายน้ำ สวนผักออแกนิกส์ Jogging Track คลับเฮาส์พร้อมฟิตเนส Co-working space และจัดสรรพื้นที่สำหรับจอดรถไว้ถึง 40% บนทำเลศักยภาพ โซนรังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รองรับกลุ่มนักศึกษา คนทำงาน และนักลงทุน ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท โดยอัตราค่าเช่าในทำเลนี้ยังมีผลตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน โดยมีอัตราค่าเช่าที่ 8,500 - 10,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5.5% ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 60% พร้อมโอนในเดือนต.ค.นี้

18225


กลุ่มบริษัทกัลฟ์ โดยนางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยนายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการฯ ร่วมลงนามสัญญาบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่ง 115 เควี และ 22 เควี ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ กฟภ.จะดำเนินงานบำรุงรักษาให้กับโรงไฟฟ้าเอสพีพี (SPP) 19 แห่ง ภายใต้กลุ่มบริษัทกัลฟ์ ส่งผลให้การจำหน่ายไฟฟ้าผ่านสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่งไฟฟ้ามีเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่กลุ่มบริษัทกัลฟ์เลือกกฟภ.เข้ามาดำเนินงานบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า SPP 19 แห่ง เนื่องจากกฟภ. ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริการงานบำรุงรักษาชั้นนำในธุรกิจอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทย กลุ่มบริษัทกัลฟ์และกฟภ. เป็นพันธมิตรกันมายาวนานกว่า 20 ปี จึงเชื่อมั่นในทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญสูง การเลือกใช้อุปกรณ์ ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน ทำให้ระบบไฟฟ้ามีสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ หนุนให้โรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนตลอดระยะสัญญา

นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า กฟภ. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่กลุ่มบริษัท กัลฟ์มอบความไว้วางใจให้ กฟภ. เป็นผู้ดำเนินงานบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าจำนวน 19 แห่ง กฟภ. พร้อมนำประสบการณ์ และความชำนาญ ในการให้บริการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความมั่นคงในการจ่ายพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ สัญญามีระยะเวลา 3 ปี ครอบคลุมงานบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่ง 115 kV และ 22 kV รวมไปถึงงานบริการฉีดน้ำลูกถ้วยแรงสูงแบบไม่ตัดกระแสไฟฟ้า (Hotline Cleaning Insulator) และการให้บริการซ่อมอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน 24 ช.ม. สำหรับโรงไฟฟ้า SPP 19 แห่งภายใต้กลุ่มบริษัทกัลฟ์ รวมมูลค่างานเป็นวงเงินกว่า 223 ล้านบาท

18226


โลกเปลี่ยน ภูมิทัศน์สื่อปรับ และธุรกิจ "ทีวี" เข้าสู่ขาลงหลายปี "แกรมมี่" เจ้าของทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม ยังเดินหน้าหาช่องเติบโต รุกต่อ "ทีวีดาวเทียม" พลิกเพิ่มสัดส่วนขายกล่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวีแตะ 20–30% ต่อจิ๊กซอว์คอนเทนท์โปรวายเดอร์

ตั้งแต่ปี 2554  ที่บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจกล่อง รับสัญญาณทีวีดาวเทียม และเริ่มมีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ในนาม  “จีเอ็มเอ็ม  แซท”   จากวันนั้นถึงวันนี้ บริษัทฯ  ผลิตกล่องรับสัญญาณฯ มาแล้วกว่า 10 รุ่น มีการพัฒนาคุณภาพความคมชัดจากกล่องรับสัญญาณระดับหรือ SD : Standard definition สู่ ระดับความคมชัดสูงหรือ HD : High definition 

ปัจจุบันบริษัทมีกล่องดาวเทียมที่จำหน่ายไปแล้วด้วยแพลตฟอร์มจีเอ็มเอ็ม แซทมากกว่า 7 ล้านกล่อง ซึ่งมีสัดส่วนของกล่องประเภทเอสดี  45%  และกล่องประเภท HD 55%  ทั้งในระบบ C Band  และ KU Band พร้อมช่องรายการในกล่องกว่า 180 ช่อง โดยสินค้าของ จีเอ็มเอ็ม  แซท มีจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพความคงทนในการใช้งาน  ประกอบจากวัสดุคุณภาพดี และใช้งานง่าย ด้วยการออกแบบรีโมทให้มีปุ่มกดที่เรียกว่า Smart button ให้เข้าถึงช่องรายการหรือเมนูการตั้งค่าได้ง่าย นับเป็นจุดต่างจากสินค้าอื่นในตลาด

ทั้งนี้  จีเอ็มเอ็ม แซท เล็งเห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปโดยหันมารับชม VOD (Video on demand) มากขึ้น ยอดขายของกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมจึงถูกเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ของผู้ผลิตคอนเทนต์ (Content provider)  ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มนำคอนเทนต์ตัวเองขึ้น Streaming platforms รวมไปถึงต่างประเทศที่รุกเข้ามาเปิดธุรกิจในไทย และการแข่งขันของคอนเทนต์ไทยเองที่ต้องแย่งชิงพื้นที่ในตลาด เพื่อเปลี่ยนรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาไปเป็นรายได้แบบระบบสมาชิก  

ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์ สายธุรกิจจีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท  จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และธุรกิจในเครือกำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัลสตรีมมิงอย่างเต็มตัว การรับชมคอนเทนท์ต่างๆ ของจีเอ็มเอ็ม ประสบความสำเร็จในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น การรับชมที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคจึงต้องเปลี่ยนไป จากการรับชมด้วยเสาอากาศ หรือผ่านจานรับสัญญาณ จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นกล่องรับสัญญาณหรืออุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวี ซึ่งทางเรากำลังเร่งเพิ่มสัดส่วนของการจำหน่ายกล่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวีให้ได้ตามเป้าหมาย 20 – 30 % ของกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมในปีหน้า เพื่อรองรับคอนเทนต์ทั้งหมดของจีเอ็มเอ็มในอนาคต



สำหรับกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้ จีเอ็มเอ็ม แซท ได้เลือก “เต-ตะวัน วิหครัตน์” นักแสดงจาก จีเอ็มเอ็ม ทีวี เป็น Brand Ambassador สินค้าตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายของคนรุ่นใหม่ GEN Y และ GEN Z ที่มีพฤติกรรมการรับชมแบบ VOD  Streaming  เป็นส่วนใหญ่   

ทั้งนี้ สินค้าใหม่ “GMM Z TV STICK” เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวี ที่มีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ขนาดเล็ก พกพาสะดวก ที่จะทำให้ทีวีธรรมดาหรือทีวีรุ่นเก่ากลายเป็น  Smart TV รวมไปถึงยังตอบโจทย์ผู้ที่ใช้ทีวีรุ่นใหม่ได้มากขึ้นด้วย Play Store  ที่สามารถโหลดแอปพลิเคชันได้เหมือนโทรศัพท์มือถือ และยังให้ภาพคมชัดระดับ 4K สามารถใช้งานได้ทั้งบนรถยนต์ รถโดยสาร รวมไปถึงสามารถพกพาไปยังสถานที่ต่างๆ เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย “GMM Z TV STICK” สามารถหาซื้อได้ที่ Advice, Banana IT, IT City และ JIB

18232


ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (2-6 ส.ค.) มีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 3.66 แสนล้านบาท โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดการซื้อขายปลายสัปดาห์ที่ 1,521.72 จุด แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนที่  1,521.92 จุด


โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอยู่กลุ่มเดียว 8,148.43 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3,899.62 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 12.84 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,235.97 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของบัญชี "เอ็นวีดีอาร์" (NVDR) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศในการซื้อหุ้นไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 ส.ค. พบว่า

 

10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสูงสุด ได้แก่

PTT มูลค่าซื้อสุทธิ 352.54 ล้านบาท         

ASIAN มูลค่าซื้อสุทธิ 328.31 ล้านบาท     

MTC มูลค่าซื้อสุทธิ 183.72 ล้านบาท        

GULF มูลค่าซื้อสุทธิ 171.25 ล้านบาท       

INTUCH มูลค่าซื้อสุทธิ 156.98 ล้านบาท

SUN มูลค่าซื้อสุทธิ 137.90 ล้านบาท         

EA มูลค่าซื้อสุทธิ 120.17 ล้านบาท           

SCB มูลค่าซื้อสุทธิ 118.84 ล้านบาท         

TIDLOR มูลค่าซื้อสุทธิ 110.75 ล้านบาท   

TOP มูลค่าซื้อสุทธิ 89.26 ล้านบาท

และ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสูงสุด ได้แก่

IVL มูลค่าซื้อสุทธิ 301.95 ล้านบาท

PSL มูลค่าซื้อสุทธิ 301.20 ล้านบาท

STGT มูลค่าซื้อสุทธิ 208.85 ล้านบาท             

KCE มูลค่าซื้อสุทธิ 193.47 ล้านบาท 

SCC มูลค่าซื้อสุทธิ 187.24 ล้านบาท 

DCC มูลค่าซื้อสุทธิ 172.34 ล้านบาท 

PTTEP มูลค่าซื้อสุทธิ 162.80 ล้านบาท

STA มูลค่าซื้อสุทธิ 155.31 ล้านบาท             

KTC มูลค่าซื้อสุทธิ 153.23 ล้านบาท             

PTTGC มูลค่าซื้อสุทธิ 126.94 ล้านบาท 

18233
ส่งภาพภายนอก ภายใน พร้อมรายละเอียดของรถที่ต้องการขายมาที่
ID Line : nopcartoday

หน้า: 1 ... 1011 1012 [1013] 1014 1015 ... 1026