แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jessicas

หน้า: 1 ... 1022 1023 [1024] 1025 1026 ... 1059
18418
เป็นที่ชัดเจนแล้วหลังนายกฯ ประกาศเตรียมเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ย. นี้ โดยจะเริ่มนำร่องรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ 10 ประเทศ เช่น สหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี จีน และสิงคโปร์ ที่ได้รับวัคซีนครบโดส

และมีผลตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR จากประเทศต้นทาง และตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย หากผลออกมาเป็นลบหรือไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทุกที่ทั่วประเทศโดยไม่ต้องกักตัว ถือเป็นข่าวดีในการพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยวไทย หลังถูกพิษโควิดเล่นงานสาหัสมานาน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเปิดประเทศ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ที่ประชุมศบค. วานนี้ (14 ต.ค.) จึงได้มีมติสำคัญออกมาหลายอย่าง ตั้งแต่การปรับลดเวลาเคอร์ฟิวจาก 22.00 น. – 04.00 น. เป็น 23.00 น. – 03.00 น. เริ่ม 16 ต.ค. นี้

การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยสนับสนุนการเปิดประเทศ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น ขณะที่คนในประเทศเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ เศรษฐกิจจะค่อยๆ คึกคักขึ้น และในเฟสต่อไป วันที่ 1 ธ.ค. จะให้เปิดสถานบันเทิง และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้แล้ว

แน่นอนว่า “สายการบิน” ถือเป็นด่านแรกในการนำพานักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย ดังนั้น เมื่อเปิดประเทศน่าจะช่วยชุบชีวิตธุรกิจการบินให้ฟื้นจากอาการโคม่า หลังถูกโควิดเล่นงานแล้วหลายรอบ จนแทบไม่เหลือสภาพคล่องหล่อเลี้ยงธุรกิจ ผลประกอบการพลิกขาดทุนกันระนาว

ทั้งบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เจ้าของสายการบินไทยแอร์เอเชียในฐานะเจ้าตลาดโลว์คอสต์ ขาดทุนมา 2 ปีติด ปี 2562 ขาดทุน 474 ล้านบาท ปี 2563 ขาดทุนต่อ 4,764.09 ล้านบาท มาปีนี้ 6 เดือนแรกขาดทุนไปแล้ว 3,556.46 ล้านบาท เรียกว่าอาการยังสาหัส

ส่วนบางกอกแอร์เวย์สของบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA แทบไม่ต่างกัน ปี 2563 พลิกขาดทุนถึง 5,283.18 ล้านบาท ส่วนครึ่งแรกปีนี้ขาดทุนอยู่ 1,431.55 ล้านบาท ด้านบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI และบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK อาการยังน่าเป็นห่วงอยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ


อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลง ขณะที่การฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สายการบินในประเทศเริ่มทยอยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งตั้งแต่เดือนก.ย. ที่ผ่านมา อย่างไทยแอร์เอเชียปัจจุบันเปิดบริการเพิ่มเป็น 20 เส้นทาง สูงสุด 30 เที่ยวบินต่อวัน ส่งผลให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเดือน ก.ย. อยู่ที่ 87% เทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ 61%

ขณะที่จำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ทั้งผู้โดยสารคนไทยที่เริ่มกลับมาเดินทางท่องเที่ยวช่วงปลายปี หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการเที่ยวของภาครัฐ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 ที่เปิดให้จองห้องพักไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค. และเริ่มเข้าพักตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. จนถึง 31 ม.ค. 2565 โดยจะได้รับเงินคืนค่าตั๋วเครื่องบินสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท

ส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศคาดว่าจะค่อยๆ ทยอยกลับมาเปิดให้บริการ ซึ่งปีนี้ทางผู้บริหารของ AAV คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการรวม 4 ล้านคน ลดลงจากปี 2562 และ ปี 2563 ที่ 22.15 ล้านคน และ 9.49 ล้านคน ตามลำดับ ขณะเดียวกันหากบริษัทปรับโครงสร้างเสร็จ นำบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด (TAA) เข้าจดทะเบียนแทน AAV จะมีเม็ดเงินก้อนใหม่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอีกแรง

ด้านบางกอกแอร์เวย์สทยอยกลับมาเปิดบินรวม 8 เส้นทาง ทั้งสมุย, เชียงใหม่, ภูเก็ต, สุโขทัย, ลำปาง, ตราด, สิงคโปร์ และสมุยไปกลับภูเก็ต ขณะที่จำนวนผู้โดยสารค่อยๆ เพิ่มขึ้น

หากย้อนดูราคาหุ้น AAV และ BA ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง จากช่วงเดือนส.ค. ที่โควิดระบาดหนัก โดยหุ้น AAV พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 25% จากราคาปิดเดือนก.ค. ที่ 2.38 บาท ส่วน BA ขึ้นมากว่า 25% เช่นกัน หวังว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และต้องภาวนาว่าอย่าให้เกิดการระบาดรอบใหม่ขึ้นหลังเปิดประเทศ

18420
​​​​​​​https://katoacademy.com/facebook-ads/
สอนเฟสบุ๊ค สอนยิงแอดเฟสบุ๊ค

18424


         รถรับจ้าง ให้บริการรถรับจ้างกรุงเทพต่างจังหวัด โดยใช้รถกระบะรับจ้างขนของ โดยให้บริการรถขนของที่หลากหลายแก่ผู้ใช้บริการทุกท่าน อาทิเช่น รถรับจ้างย้ายบ้าน รถรับจ้างย้ายเฟอร์นิเจอร์ รถรับจ้างย้ายหอพัก บริการรถขนส่งสินค้า รถรับจ้างย้ายคอนโด รถรับจ้างย้ายบูธสินค้า รถ6ล้อรับจ้าง  รถรับจ้าง4ล้อใหญ่ พูดง่าย ๆ ก็คือรถรับจ้างทั่วไป ไม่ว่าจะจ้างอะไรที่ใช้รถกระบะ เรายินดีรับใช้คุณลูกค้าทุกท่านด้วยความเต็มใจ และงานบริการที่มีคุณภาพเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ และมิตรภาพ ระหว่างเราครับ ให้โอกาสเราได้รับใช้ท่านสักครั้งหนึ่งนะครับ ขอบคุณครับ




อธิบายเพิ่มเติม ขนาดตัวรถ :   เพื่อประกอบการพิจารณาใช้บริการรถรับจ้างขนของ      
          รถกระบะ กว้าง 1.6  สูง  2.2  ยาว  2.2  เมตร
          รถ4ล้อใหญ่  กว้าง 1.8  สูง 2   ยาว  3   เมตร
          รถ6ล้อ   กว้าง 2.4   สูง  2.2  ยาว  6.5 เมตร



18427
​​​​​​​https://katoacademy.com/facebook-ads/
สอนเฟสบุ๊ค สอนยิงแอดเฟสบุ๊ค

18428


ดอลลาร์อ่อนค่า หลังบอนด์ยีลด์ร่วง-นักลงทุนขายสกุลเงินปลอดภัย ขณะที่เงินบาทปรับตัวแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 33.28/30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 11-15 ตุลาคม 2564 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (11/10) ที่ระดับ 33.77/79 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร (8/10) ที่ระดับ 3387/89 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 500,000 ตำแหน่ง หลังจากแตะระดับ 366,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.1% จากระดับ 5.2% ในเดือนสิงหาคม ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.6% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.4% ซึ่งนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อไว้

ค่าเงินดอลลาร์ยังถูกกดดันในฐานะเงินสกุลปลอดภัยหลังนักลงทุนเริ่มหันกลับไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังคลายกังวลที่ประเด็นการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐถูกคลี่คลายไปอย่างน้อยจนเดือนธันวาคมหลังล่าสุดวุฒิสภาสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 50 ต่อ 48 ผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐเป็นการชั่วคราว โดยเพิ่มเพดานหนี้อีก 4.80 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 28.9 ล้านล้านดอลลาร์ ไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม

ช่วงกลางสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนหน้า นอกจากนี้ ความวิตกกับการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย

โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมมีการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่าง ๆ กล่าวคือ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือน ก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% ส่วนเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 5.4% ในเดือน ก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.3%


สำหรับรายงานการประชุมประจำเดือน ก.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งนักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิดนั้น ระบุว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงกลางเดือน พ.ย. หรือกลางเดือน ธ.ค.ปีนี้

อีกทั้งกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 293,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 318,000 ราย และต่ำกว่าระดับ 329,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ค่าเงินบาทยังคงปรับตัวแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในช่วงคืนวันจันทร์ (11/10) นายกรัฐมนตรีออกแถลงการณ์ประกาศความชัดเจนในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ เริ่มจากประเทศความเสี่ยงต่ำและต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส

หลังจากนั้นในวันที่ 1 ธ.ค. จะมีการปลดล็อกเปิดสถานบันเทิง และสามารถนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้เพื่อรับเทศกาลเฉลิมฉลองสิ้นปี ก่อนเดินหน้าเปิดประเทศเต็มที่ในวันที่ 1 ม.ค. 65 ด้วยถ้อยแถลงดังกล่าว ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสะคัญ ทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับการปรับขึ้นของตลาดหุ้น

ส่วนการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ น่าจะมาจากทิศทางของ flow เป็นหลัก และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไตรมาส 3 โดยระบุว่า กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 และปี 2565 จะขยายตัวใกล้เคียงกับที่คาดไว้ในการประชุมครั้งก่อน แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 0.7% ส่วนในปี 2565 ขยายตัวได้ 3.9%

โดยแม้ในไตรมาส 3/64 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาด และการส่งออกที่ชะลอลงกว่าคาด แต่พัฒนาการด้านวัคซีนที่ดีขึ้นชัดเจน และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เร็วกว่าคาด จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่น และการบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปี 2564

สำหรับปี 2565 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวจากการใช้จ่ายในประเทศเป็นสำคัญ ตามความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยฟื้นตัวตัวอย่างช้า ๆ และการส่งออกจะยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหา global supply disruption และต้นทุนค่าขนส่งสินค้าทางเรือ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกสินค้า


ทั้งนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.15-33.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดในวันศุกร์ (15/10) ที่ระดับ 33.28/30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดในวันจันทร์นี้ (11/10) ที่ระดับ 1.1575/77 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (8/10) ที่ระดับ 1.1530 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากนักลงทุนมองว่าธนาคารกลางยุโรปยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดการซื้อพันธบัตร หรือการปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่อย่างใด ซึ่งตรงข้ามกับธนาคารกลางสหรัฐที่จะเริ่มมีการปรับนโยบายการเงินในเร็ววันนี้

สำหรับตัวเลขทางเศรษฐกิจของทางฝั่งยูโรโซนนั้น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ 22.3 ในเดือน ธ.ค. จาก 26.5 ในเดือน ก.ย. โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะปรับตัวลงแตะที่ 24.0

ซึ่ง นายอาคิม แวมบาค ประธานสถาบัน ZEW กล่าวว่า ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและสินค้าและสินค้าขั้นกลาง โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบ 1.1531-1.1625 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (15/10) ที่ระดับ 1.1606/08 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (11/10) ที่ระดับ 112.40/42 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (8/10) ที่ระดับ 111.87/89 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐจะปรับตัวลดลงแต่ค่าเงินเยนยังคงได้รับแรงกดดันจากส่วนต่างผลตอบแทนพันธรัฐบาลที่ทยอยปรับตัวเพิ่มมากขึ้น จากการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็เป็นปัจจัยกดดันค่าเงินเยนเช่นกัน เนื่องจากมีการยืนยันว่าจะยังผ่อนคลายและกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว

ทั้งนี้นายฟูมิโอะ คิชิตะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เปิดเผยว่าเขาจะยังไม่มีแผนปรับภาษีรายได้ทางการเงินของประเทศในขณะนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นปรับลดแนวโน้มการส่งออกในรายงานเศรษฐกิจประจำเดือน ต.ค. เนื่องจากการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซบเซาลง อันเป็นผลมาจากภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

นับเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนที่รัฐบาลญี่ปุ่นปรับลดแนวโน้มการส่งออกของประเทศ ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 112.19-114.37 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (15/10) ที่ระดับ 114.34/37 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

หน้า: 1 ... 1022 1023 [1024] 1025 1026 ... 1059