แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - deam205

หน้า: 1 ... 1074 1075 [1076] 1077 1078 ... 1123
19352
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา

19353
ทุกวันนี้ คนไทยไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับการรุกคืบของ “ดิจิทัล” ที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานเท่านั้น หากแต่เรายังอยู่ท่ามกลางกับสิ่งที่ทำให้เกิด “บิ๊กแบง” นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซัดซ้ำให้ชีวิตต้องดำเนินต่อไปกับยุคที่เรียกได้ว่าเป็น ดับเบิ้ลดิสรัปชั่น (Double Disruption) พฤติกรรมการใช้ชีวิตเดิมๆ ถูกแทนที่อย่างฉับพลันทันทีด้วย “ชีวิตวิถีใหม่” (New Normal) ที่พึ่งพา “ออนไลน์” มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกรรมทางการเงิน การทำงานแบบ Work From Home การเรียนออนไลน์ หรือแม้แต่กระทั่งการซื้อสินค้าเพื่อใช้อุปโภคบริโภค และไม่ใช่แค่ “คนไทย” เท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่แบรนด์ต่างๆ ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างและแสวงหาช่องทางการเข้าถึง “ลูกค้า” ให้ได้ไวและครอบคลุมที่สุด

เรายิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในวันที่โควิดเข้ามาแผลงอิทธิฤทธิ์ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว 2 ปี ที่ผ่านมา พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยและธุรกิจต่างๆ เปลี่ยนไปจากเดิม ผลพวงการล็อกดาวน์ทำให้คนทำมาหากินไปจนกระทั่งถึงแบรนด์ใหญ่ต่างหาลู่ทางใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยอาศัยช่องทางทรงพลังอย่าง “ออนไลน์” มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับผู้บริโภคที่คุ้นชินกับการสั่งและซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ เพราะสะดวก ง่าย รวดเร็ว สามารถทำทุกอย่างผ่านมือถือ โดยจากข้อมูลของ Thailand Digital Outlook ระยะที่ 3 ที่สำรวจระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2564 พบว่า คนไทยซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้น 76.6% จากปีก่อนอยู่ที่ 37.7% ยิ่งเป็นการชี้ชัดให้เห็นว่าช่องทางออนไลน์ จากเดิมที่เป็นทางเลือกกลับกลายเป็น “ทางหลัก” โดยอีกหนึ่งช่องทางมีมาแรงและได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย นั่นคือ อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ทั้งนี้จากข้อมูลของ KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรนาคินภัทร นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจไว้ว่า อีคอมเมิร์ซในปี 2563 ที่ผ่านมา ขยายตัวสูงถึงกว่า 80% โดยในส่วนของปี 2564 ได้คาดการณ์ว่าหลังโควิด-19 จะขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปีตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า และจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 3 แสนล้านบาท เป็น 7.5 แสนล้านบาทในปี 2568 หรือคิดเป็น 16% ของตลาดค้าปลีกรวม


 

เหนือสิ่งอื่นใด การจะประสบความสำเร็จทางช่องทางออนไลน์ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การมองหา “พาร์ทเนอร์” ที่มีความชำนาญเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการติดอาวุธในสมรภูมิการค้า โดย ช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ถือพันธมิตรอีคอมเมิร์ซที่สำคัญที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำมากมาย ด้วยความโดดเด่นของ E-commerce Ecosystem ที่ครบวงจรและสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Shopee Mall ที่นอกจากจะเป็นศูนย์การค้าออนไลน์ขนาดใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภคแล้ว Shope Mall ยังเพียบพร้อมด้วยเครื่องมือทางการตลาดที่ทันสมัย มีฐานข้อมูลเชิงลึก (Insight) ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลายตามไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สร้างปฏิสัมพันธ์ในระยาวผ่าน Loyalty program หรือนำเสนอ Loyalty privilege ต่างๆ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและแบรนด์ได้แบบไร้รอยต่อ รวมไปถึงการส่งมอบ Personalized Experience ให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีแคมเปญการตลาดและส่งเสริมการขายตลอดทั้งปี ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อทั้งการซื้อซ้ำหรือซื้ออย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าเก่า และยังสามารถสร้างยอดขายเพิ่มเติมจากการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ (Prospect) ได้อีกด้วย


 
ADVERTISEMENT


เพื่อเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ช้อปปี้ ได้นำเสนอตัวอย่างความสำเร็จจาก 4 แบรนด์ชั้นนำ ที่สามารถทำยอดขายและยอดติดตามร้านค้าอย่างเป็นทางการบน Shopee Mall ที่พร้อมเปิดเผยกลเม็ดและทีเด็ดทางธุรกิจเพื่อพิชิตเป้าหมายด้วยอีคอมเมิร์ซ


แบรนด์ใหญ่ ยิ่งต้องขยับไว ใช้วิสัยทัศน์ ปรับแผนธุรกิจ รับทุกความท้าทาย

เริ่มต้นที่ ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค ที่มีสินค้าในกลุ่ม FMCG ซึ่งเป็นตลาดที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปรับแผนลุยออนไลน์อย่างเต็มขั้น โดย นายโรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย และภาคพื้นอาเซียน ได้เปิดเผยว่า “เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะนำมาพาแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคในทุกๆ ที่ และส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและบริการที่เหนือระดับให้กับผู้บริโภคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยูนิลีเวอร์เล็งเห็นถึงศักยภาพของอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มที่จะสามารถเข้ามาเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน จึงได้เดินหน้าแผนงานโดยเริ่มนำสินค้าเข้ามาวางขายบน Shopee Mall และทำงานร่วมกับช้อปปี้อย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่แปลกใหม่และทันสมัย”


 
“เราสามารถกล่าวได้ว่าเต็มภาคภูมิว่า ยูนิลีเวอร์ เป็นแบรนด์แรกที่กล้าและเริ่มบุกเบิกการทำแคมเปญการตลาดในรูปแบบ Collaboration โดยเริ่มต้นด้วยแคมเปญ Unilever x Shopee Super Brand Day ซึ่งเป็นครั้งแรกบน Shopee Mall ในปี 2561 โดยได้กระแสตอบรับที่ดีเกินเป้าหมายด้วยยอดขายที่พุ่งขึ้นสูงกว่า 250 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ จากความสำเร็จในครั้งนั้น ทำให้เราได้เพิ่มกำลังในการทำกลยุทธ์บนอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น จวบจนถึงปัจจุบันที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาด ยูนิลีเวอร์ ยังคงเป็นแบรนด์ชั้นนำที่สามารถเข้าถึงและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ และอาหาร ให้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบาย และปลอดภัย ในทุกที่ทุกเวลา ซึ่งตอกย้ำต่อเป้าหมายหลักของยูนิลีเวอร์ ที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยในทุกๆ ด้าน เราจึงได้ใช้ประโยชน์จากระบบดิจิทัลในการเพิ่มขีดความสามารถ พร้อมเดินหน้าตามพันธกิจที่ต้องการส่งมอบผลิตภัณฑ์ แบรนด์ และบริการชั้นนำ ที่จะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเหล่าผู้บริโภคได้ในทุกๆ วัน”


“เชื่อ” และ “ใช้” Data สรรหากิจกรรมความบันเทิงกระตุ้นการรับรู้บนโลกออนไลน์


 
อีกหนึ่งแบรนด์ที่ปรับตัวไวและพร้อมเปิดมุมมองการตลาดแบบ 360 องศา และยกระดับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านสู่อีกขั้น นั่นคือ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) นำโดย นายเอกฤทธิ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการ สายบริหารธุรกิจออนไลน์ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) บอกเล่าเรื่องราวการนำพาสินค้าที่มีมูลค่าสูงสู่สมรภูมิอีคอมเมิร์ซให้ฟังว่า “เรามองว่า แพลตฟอร์มนี้เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่นอกจากจะเป็นศูนย์กลางรวบรวมสินค้าทั่วประเทศมาไว้ในจุดเดียวกันแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมเหล่านักช้อปที่กว้างขวางอีกด้วย โดยตั้งแต่ที่เราได้เข้ามาเปิดร้านออฟฟิเชียลสโตร์บน Shopee Mall สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้บริโภคกล้าที่จะซื้อสินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อสูง (High Involvement) ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นจากการที่ Shopee Mall สามารถการันตีผู้ใช้งานว่าจะได้รับสินค้าแท้ 100% จากแบรนด์ดัง ส่งผลให้ผู้ใช้งานเชื่อมั่น ในสินค้าและบริการของเรา” 


“และจากการทำงานร่วมกันกับ ช้อปปี้ เรายังได้นำ Data และ Insights มาปรับรูปแบบการตลาดให้ตอบโจทย์ Personalized Marketing เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคนมากที่สุด รวมไปถึงการใช้เครื่องมือทางการตลาดที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และอยู่ในความสนใจของผู้บริโภค อาทิ Shopee Live, Shopee Feed, และ Shopee Games ที่ช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการช้อปปิ้งออนไลน์จากเดิมที่ เข้ามาซื้อขายแล้วออกไป มาเป็นประสบการณ์การเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัดระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค จนสามารถช่วยผลักดันให้ Index Living Mall สามารถจับกับกระแสการเติบโตบนโลกออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยยอดขาย ที่พุ่งสูงกว่าเดิมถึง 2 เท่า ในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา”

 
เวทีแจ้งเกิดสำหรับโลคอลแบรนด์ เทียบชั้นแบรนด์ระดับโลกได้ด้วยกลยุทธ์เอ็กซ์คลูซีฟ

ต่อด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านโลคอลแบรนด์อย่าง SMARTHOME ที่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในโลคอลแบรนด์ที่ฉายแสงและเติบโตอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดย นายธวัช มานะวงศ์ กรรมการบริหาร บริษัท สเต็ป ฟอร์เวิร์ด กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย SMARTHOME แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตแนวใหม่ กล่าวถึงการเข้ามาทำตลาดและใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซในการสร้างแบรนด์ว่า “จุดขายที่สำคัญของ SMARTHOME ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดก็คือ การเน้นย้ำเรื่องสินค้าที่มีคุณภาพ ที่มาพร้อมกับราคาที่จับต้องได้ และการรับประกันสินค้าถึง 3 ปี ซึ่งนับเป็น pain point สำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านี้สินค้าของแบรนด์ SMARTHOME ยังโดดเด่นด้วยดีไซน์ซึ่งนับเป็นมูลค่าเพิ่มในฐานะเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งภายในบ้าน และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ทันต่อความต้องการ ให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยจิตวิญญาณความกล้าของเราไม่ว่าจะเป็นทีมผู้บริหารไปจนถึงพนักงานทุกคน เราจึงไม่หยุดที่จะพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาช่องทางการขายให้สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่องทางออนไลน์”


 
“โดย Shopee Mall ถือเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ SMARTHOME ได้เริ่มมาทำตลาดออนไลน์อย่างจริงจังเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ซึ่งในขณะนั้นช่องทางออนไลน์ถือเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับผู้บริโภคชาวไทย แต่ด้วยการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทีมงานช้อปปี้ที่มีความรู้ความชำนาญ จึงทำให้ SMARTHOME เป็นที่รู้จักและสามารถเติบโตด้านยอดขายได้อย่างก้าวกระโดด และยิ่งในช่วงสถานการณ์โรคระบาดในช่วง 2 ปีมานี้ ทำให้ช่องทางการขายออนไลน์กลายเป็นช่องทางที่คนเข้าถึงสินค้าของเรามากขึ้น การได้เข้ามามีหน้าร้านบน Shopee Mall เป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขาย และสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างแคมเปญที่แปลกใหม่ และการนำเสนอสินค้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเปิดตัวและจำหน่ายสินค้าโมเดลเอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายเฉพาะที่ Shopee Mall เท่านั้น ซึ่งช่วยสร้างกระแสความนิยมในสินค้าของเราได้เป็นอย่างดี และเกิดเป็นเทรนด์ที่คนให้ความสนใจอย่าง สินค้าในกลุ่มหม้อทอดไร้น้ำมัน ที่เรามีมากกว่า 10 รุ่นที่ขายบน Shopee Mall เท่านั้น ทั้งนี้ในแง่ของยอดขายในปัจจุบันเรามีสัดส่วนยอดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์คิดเป็น 50% ของยอดขายบริษัททั้งหมด โดยหนึ่งในปัจจัยสู่ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือที่มีความเชี่ยวชาญในอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มอย่างช้อปปี้ บน Shopee Mall”

มากกว่าแค่ยอดขาย รวมพลังร่วมสร้าง Digital Mindset ยกระดับองค์กรให้โตอย่างยั่งยืน

ปิดท้ายด้วยแบรนด์ชั้นนำของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในเมืองไทยอย่างเอสบี โดย นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ได้ให้มุมมองต่อการเข้ามาเป็นพันธมิตรกับ Shopee Mall ว่า “เราถือเป็นหนึ่งองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูงและพร้อมในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที การที่เราได้พันธมิตรอย่าง ช้อปปี้ ด้วยการเข้ามาเปิดร้านค้าบน Shopee Mall ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความสมบูรณ์และครบวงจรของ E-Commerce Ecosystem ที่ประกอบด้วยปัจจัยที่มีความหลากหลาย ระบบหลังบ้านของช้อปปี้มีความเพียบพร้อมและมีเครื่องมือที่น่าสนใจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Shopee Chat ที่ทำให้แบรนด์สามารถพูดคุย ตอบข้อสงสัย และยังสามารถให้ข้อมูลสินค้าได้ในทันที และยังรวมไปถึงคำแนะนำของทีมงานที่มีความชำนาญ

19354


เอ็กโก กรุ๊ป ได้รับคัดเลือกเป็น “หุ้นยั่งยืน ปี 2564” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ประเภทกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร สะท้อนภาพองค์กรให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้หลัก ESG พร้อมประกาศเป้าหมายมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050

วันที่ 6 ตุลาคม 2564 บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ได้รับคัดเลือกเป็น “หุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI)” ประจำปี 2564 ประเภทกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าเอ็กโก กรุ๊ป ตระหนักและให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความเติบโตทางธุรกิจ ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โปร่งใส ตรวจสอบได้ ควบคู่กับพันธกิจในการเป็นพลเมืองที่ดีด้วยการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมอย่างเกื้อกูล (Environment, Social and Governance – ESG) เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้ ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า การได้รับคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 สะท้อนให้เห็นว่าเอ็กโก กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 เอ็กโก กรุ๊ป สามารถปรับการทำงานเป็นแบบ New Normal จนดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ ตลอดจนดูแลสุขภาพพนักงานและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ด้านสาธารณสุขของหน่วยงานต่างๆ เพื่อดูแลผู้มีส่วนได้เสียในภาวะวิกฤตอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ประกาศเป้าหมายมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยความใส่ใจที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม

อย่างไรก็ตาม บริษัทในรายชื่อหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2564 แสดงให้เห็นถึงการมีแนวทางการบริหารจัดการภาวะวิกฤตที่ครอบคลุมถึงการรับมือสถานการณ์โควิด-19 อย่างชัดเจน รวมถึงแสดงพัฒนาการด้านสิ่งแวดล้อมที่โดดเด่น ด้วยการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI คัดเลือกจาก บจ. ที่เข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ (รวมบรรษัทภิบาล) สังคม และสิ่งแวดล้อม และตัวชี้วัดตามลักษณะของธุรกิจในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้สอดคล้องกับประเด็นที่ผู้ลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจและเป็นประเด็นที่ภาคธุรกิจสามารถใช้ศักยภาพเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้

นอกจากนี้ รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI จะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์คัดเลือกดัชนี SETTHSI เพื่อส่งเสริมการลงทุนในหุ้นยั่งยืน ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งดัชนี SETTHSI มีการทบทวนทุกครึ่งปี

19355
ขายที่นา [ลาดหลุมแก้ว] 5ไร่ ๆละ800000 บ่อเงิน โทร 083-7124115

19356
ที่บนเขาวิวภูทับเบิก หล่มเก่า (เพชรบูรณ์) ไร่ละ140000 แบ่งขาย โทร 083-7124115

19359


ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตปราการหลังทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ออกโรงเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วถึงการคาดหมายทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ไปครองมากที่สุด

     ก่อนหน้านี้ คอมเมนเตเตอร์คนดังระบุว่า เชลซี มีโอกาสครองแชมป์ลีกเมืองผู้ดีมากกว่าทุกทีมเนื่องจาก โธมัส ทูเคิ่ล นายใหญ่ชาวเมืองไส้กรอกสร้างผลานได้อย่างน่าประทับใจ

     อย่างไรก็ดี หลังจบเกมบิ๊กแมตช์ที่ แมนฯ ซิตี้ บุกไปเสมอกับ ลิเวอร์พูล อย่างสุดมันส์ 2-2 อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษก็จัดแจงเปลี่ยนทีมตัวเต็งซะใหม่ทันทีด้วยมั่นใจว่า เรือใบสีฟ้า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะป้องกันโทรฟี่ได้สำเร็จ

     "สี่จากห้าเกมแรกของซีซั่น ผมนั่งดูและคิดว่า เชลซี เป็นทีมที่ยากแก่การเอาชนะ" ริโอ เฟอร์ดินานด์ เผยมุมมอง

     "ถัดมาในอีกสามจากสี่เกมหลัง ผมคิดว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่ยากแก่การเอาชนะ พวกเขามองดูน่าประทับใจอย่างแรงในการดวลกับทีมยักษ์ใหญ่ด้วยกัน"

     "พวกเขาคุมเกมเหนือ เชลซี ในนัดที่ออกไปเยือนเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว พวกเขาเหนือกว่า ลิเวอร์พูล ในครึ่งแรกของวันอาทิตย์ และน่าจะคว้าชัยชนะออกไปได้"

ADVERTISEMENT


     "พวกเขาผิดหวังกันนิดหน่อยจากผลเสมอ 2-2 แต่พวกเขามองดูน่าประทับใจแบบสุดๆสำหรับผม พวกเขาแลดูน่ายำเกรงมากในตอนนี้"

     "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาครองเกมได้มากถึง 99% ปัญหาคือพวกเขาจะส่ง.เข้าประตูได้หรือเปล่า แต่หากทุกอย่างลงตัว ผมคิดว่าพวกเขาเป็นทีมที่ยากแก่การเอาชนะ"

     อดีตสตาร์ทีม ผีแดง ตบท้ายถึงคู่ปรับร่วมเมืองว่า "แมนฯ ซิตี้ มีประสบการณ์ และมีนักเตะชั้นเชิงสูง ดูเหมือนว่าพวกเขาในทีมทุกคนจะเล่นได้เข้ากันในทุกๆแท็คติก"

     อนึ่ง แมนฯ ซิตี้ มีคิวเปิด เอติฮัด สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ เบิร์นลีย์ หลังผ่านพ้นโปรแกรมของทีมชาติ ขณะที่ เชลซี จะทำศึก ลอนดอนดาร์บี้แม็ตช์ ด้วยการบุกไปฟัดกับ เบรนท์ฟอร์ด ส่วน ลิเวอร์พูล จะออกนอกบ้านไปโม่เกือกกับ วัตฟอร์ด

19364
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ครม.เห็นชอบหลักการจ้างงานแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็น รวม 5,000 อัตรา เป็นระยะเวลา 1 ปี กรอบวงเงิน 4,335 ล้านบาท เพื่อช่วยงานโควิด-19 ทั้งการตรวจหาเชื้อ ดูแลรักษาพยาบาล และการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นวาระแห่งชาติ

วันนี้ (5 ต.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามโครงการจ้างแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และสายงานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็น เพื่อรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 5,000 อัตรา ระยะเวลาการจ้างไม่เกิน 1 ปีกรอบวงเงินรวม 4,335 ล้านบาท แบ่งเป็น แพทย์ 504 อัตรา พยาบาลวิชาชีพ 3,945 อัตรา นักวิชาการสาธารณสุขและบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็น รวมกัน 551 อัตรา โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดจำนวนกรอบอัตรากำลังที่จะจ้างงานภายใต้โครงการให้เป็นไปตามความเหมาะสมจำเป็น และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในแต่ละพื้นที่ และใช้ค่าใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การจ้างแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และสายงานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็น เป็นกรณีพิเศษ 1 ปีนี้ เพื่อรองรับภารกิจการดำเนินงานในช่วงโควิด 19 ทั้งการตรวจหาเชื้อโควิด 19 การดูแลรักษา และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ด้วยวัคซีน มีเป้าหมายฉีดครบ 2 เข็มให้ได้ครอบคลุมร้อยละ 70 ในสิ้นปี 2564 ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายได้ นอกจากความพร้อมทั้งสถานที่ วัสดุอุปกรณ์การบริการจัดการที่รวดเร็ว ยังต้องมีความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องปฏิบัติงานทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ ซึ่งเป็นภารกิจนอกเหนือจากการปฏิบัติงานประจำ ต้องใช้บุคลากรจำนวนมากจึงเห็นควรพิจารณาการจ้างงานเพิ่มและจัดหาค่าตอบแทน

19365
ค่าเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 14 เดือน เหตุยอดติดเชื้อโควิดพุ่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 7 เดือนติด

รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าผ่านแนว 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 14 เดือนที่ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาททยอยอ่อนค่าลงท่ามกลางความกังวลต่อการควบคุมสถานการณ์โควิดในประเทศ ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดไทยที่บันทึกยอดขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน 
ขณะที่เงินดอลลาร์ ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ออกมาดีกว่าที่คาด อาทิ ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือน มิ.ย. จนทำให้ปิดตลาดเงินบาทในวันศุกร์ (2 ก.ค.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 31.77 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (25 มิ.ย.)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (5-9 ก.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.90-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 และการฉีดวัคซีนทั้งในและต่างประเทศ 

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนี PMI/ ISM ภาคบริการเดือน มิ.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือน พ.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 15-16 มิ.ย. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคบริการเดือน มิ.ย. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ และตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน  ... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/economic/854022/

19366
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา

19367

“เซ็นทารา” รุกเปิดโรงแรมแบรนด์ “เซ็นทารา มิราจ” แห่งแรกในตะวันออกกลาง “เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ” ชูธีมการผจญภัยในตำนานของไทยและอาหรับ ตั้งอยู่บนเกาะเดียรา พร้อมห้องพักให้บริการจำนวน 607 ห้อง และความบันเทิงสำหรับครอบครัว

นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า เครือเซ็นทารารุกรุกขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ประกาศเปิด “เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 ต.ค.2564 พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกสู่รีสอร์ทหรูริมทะเลที่ได้รับการออกแบบภายใต้ธีมการผจญภัยในตำนานของไทยและอาหรับ มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงสำหรับครอบครัวอย่างเต็มรูปแบบ

เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ เป็นการร่วมทุนระหว่างโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา และนาคีล บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ชั้นนำในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการปาล์ม จูไมราห์ หมู่เกาะมหัศจรรย์รูปทรงต้นปาล์มที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเรื่องโรงแรมหรู ตึกอพาร์ตเมนต์มีระดับ และร้านอาหารนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นบริษัทผู้พัฒนาโครงการเกาะเดียรา ซึ่งเป็นเมืองใหม่ริมชายทะเลอีกด้วยเช่นกัน

รีสอร์ทหรูริมทะเลแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะเดียรา มองเห็นวิวอันสวยงามของอ่าวเปอร์เซียอย่างชัดเจน โดยอยู่ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติดูไบเพียง 30 นาที และอยู่ใกล้กับ Souk Al Marfa ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่เป็นแหล่งรวมร้านค้าปลีกและร้านอาหารชื่อดังมากมาย เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ มีห้องพักและห้องสวีทให้ บริการจำนวน 607 ห้อง เริ่มตั้งแต่ประเภทห้องซูพีเรียร์ ห้องแฟมิลี่ ห้องมิราจ ไปจนถึง ห้องมิราจจูเนียร์ และห้องมิราจสวีทแบบ 2 ห้องนอน โดยมีขนาดห้องให้เลือกสรรอย่างหลายหลาก ตั้งแต่ขนาด 32 ไปจนถึง 95 ตารางเมตร ที่มาพร้อมวิวเมืองดูไบหรือวิวทะเลอันเงียบสงบ

แบรนด์เซ็นทารา มิราจ เป็นแบรนด์ธีมรีสอร์ทสำหรับครอบครัวที่โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์อันเป็นเอกลักษณ์ โดยเซ็นทารา มิราจ เป็นรีสอร์ทที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าครอบครัว และเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใหญ่และเด็กอย่างครบครัน อาทิ สวนน้ำ คิดส์คลับ แคนดี้สปา ซึ่งเป็นสปาในธีมร้านขนมหวานที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ รวมถึงมิราจ แฟมิลี่เลาจน์ และคลับเลาจน์สำหรับทุกครอบครัว โดยห้องพักประเภทต่างๆ ยังได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงกลุ่มลูกค้าครอบครัวเป็นหลักด้วยตัวเลือกเตียงที่หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ เตียง 2 ชั้น สำหรับเด็กนอนได้ 2 คน

“เซ็นทารา” ปักธงดูไบ เปิด “เซ็นทารา มิราจ” แห่งแรกในตะวันออกกลาง

รีสอร์ทริมทะเลสำหรับครอบครัวแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงสำหรับเด็กอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ สวนน้ำที่มาพร้อมสระทะเลสาบจำลอง สระน้ำวนเลซี่ริเวอร์ โซนเครื่องเล่นน้ำสำหรับเด็ก สไลเดอร์ และหน้าผาจำลอง ที่มาพร้อมลานอาบแดดที่รายล้อมไปด้วยต้นปาล์มเรียงราย อีกทั้งยังสามารถเดินเชื่อมไปยังชายหาด เพื่อเล่นน้ำทะเล ชมวิวทะเล และเพลิดเพลินกับกีฬาทางน้ำมากมายได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังสามารถเพลิดเพลินกับความบันเทิงมากมายภายในรีสอร์ทได้อย่างสนุกสนาน อาทิ คิดส์คลับ สำหรับเด็ก 3 ช่วงอายุ โซนเครื่องเล่นกลางแจ้ง และแคนดี้สปา ซึ่งเป็นสปาในธีมร้านขนมหวานที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ก็ยังสามารถผ่อนคลายไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้ อาทิ ห้องฟิตเนส และสปาเซ็นวารี

แขกผู้เข้าพักสามารถสัมผัสประสบการณ์อาหารเลิศรสและการพบปะสังสรรค์ได้ที่รีสอร์ทแห่งนี้ ด้วยตัวเลือกห้องอาหารถึง 9 แห่ง อาทิ ห้องอาหารสวนบัว ที่ให้บริการอาหารเอเชียรสชาติดั้งเดิมจานโปรด ห้องอาหารอูโนมาส ที่นำเสนอหลากหลายเมนูอาหารปิ้งย่างสไตล์อาร์เจนติน่า เสริ์ฟพร้อมไวน์ชั้นดี ห้องอาหารแซนด์ ที่ให้บริการอาหารทะเลสดและเนื้อคุณภาพชั้นเยี่ยม รวมถึงเวฟส์พูลบาร์ และคาเฟ่ซิงก์ ที่นำเสนอเครื่องดื่มและอาหารว่างทานง่ายเมนูต่างๆ และห้องอาหารชีชบนชั้นดาดฟ้าที่ให้บริการอาหารปิ้งย่างสไตล์เลบานอน พร้อมเลานจ์ชิชาที่ให้บริการเครื่องดื่มซอฟท์ดริ้งและแอลกอฮอล์ นอกจากนั้น รีสอร์ทแห่งนี้ยังมีพื้นที่ให้ลูกค้าสามารถจัดงานอีเว้นท์ได้ทั้งโซนภายในและภายนอกอีกด้วยเช่นกัน

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวเซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ ในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ พร้อมถ่ายทอดการบริการด้วยไมตรีจิตแบบไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของเซ็นทาราสู่ระดับสากล” นายธีระยุทธกล่าว “แบรนด์เซ็นทารา มิราจ เป็นแบรนด์ธีมรีสอร์ทสำหรับครอบครัวที่มีคอนเซ็ปต์เฉพาะตัวอันโดดเด่น และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้บริโภค การขยายความสำเร็จของแบรนด์เซ็นทารา มิราจ สู่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญทางธุรกิจของเราในปี 2564 ต่อจากการเปิดให้บริการเซ็นทารา มิราจ รีสอร์ท มุยเน่ ในเวียดนาม และเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย ในไทย”

โอมาร์ คูรี (Omar Khoory) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสินทรัพย์ บริษัท นาคีล กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรกับเครือโรงแรมระดับโลกอย่างโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคอนเซ็ปต์การท่องเที่ยวใหม่ในดูไบของบริษัทฯ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่โรงแรมชั้นนำยอดนิยมในไทยอย่างเซ็นทาราเลือกดูไบในการขยายฐานธุรกิจและลงทุนครั้งสำคัญในการพัฒนาเซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ ร่วมกับเราบนเกาะเดียราแห่งนี้

เซบาสเตียน ชีค (Sebastien Scheeg) ผู้จัดการทั่วไป เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ กล่าวว่า เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกสู่รีสอร์ทแห่งการผจญภัยในตำนานของไทยและอาหรับแห่งนี้ ดูไบถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าค้นหา ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบของรีสอร์ทแห่งนี้ที่มีทั้งชายหาดอันสวยงามและสวนน้ำมหัศจรรย์ เราเชื่อว่ารีสอร์ทแห่งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนอันโปรดปรานของทุกครอบครัวที่ได้มาเยือน

ทั้งนี้เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ เป็นโรงแรมแห่งแรกของเซ็นทาราในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโรงแรม แบรนด์เซ็นทารา มิราจ แห่งที่ 3 ของโลก ต่อจากเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ภายใต้ธีมเดอะลอสต์​เวิลด์ ที่ลูกค้าชาวไทยชื่นชอบเป็นอย่างมาก และเซ็นทารา มิราจ รีสอร์ท มุยเน่ ในเวียดนาม ภายใต้ธีมการเดินเรือและการผจญภัยทางท้องทะเล ซึ่งเปิดให้บริการไปเมื่อไม่นานมานี้ในปีนี้

เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ ตั้งอยู่บนเกาะเดียรา ซึ่งเป็นเมืองริมทะเลใกล้ชายฝั่งดูไบแห่งใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อปรับโฉมเขตเดียราเก่าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว การค้า กิจกรรมสันทนาการ และความบันเทิงระดับโลก เกาะเดียราตั้งอยู่บนย่านที่เก่าแก่ที่สุดของดูไบและยังเป็นศูนย์กลางการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของดูไบอีกด้วย โดยเกาะเดียราอยู่ห่างจากดูไบ 40 กิโลเมตร และ 21 กิโลเมตร จากชายฝั่งดูไบ

19368
ขายที่นา [ลาดหลุมแก้ว] 5ไร่ ๆละ800000 บ่อเงิน โทร 083-7124115

หน้า: 1 ... 1074 1075 [1076] 1077 1078 ... 1123