แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - deam205

หน้า: 1 ... 1098 1099 [1100] 1101 1102 ... 1122
19784


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงทุกส่วนราชการได้พิจารณานำมติของที่ประชุม ครม. ครั้งล่าสุดเกี่ยวกับแนวทางการนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ราชการ ไปปฏิบัติ เพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการใช้พลังงานทดแทนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จำเป็นต้องให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันแก้ไข

สำหรับแนวทางการดำเนินการนั้น ที่ผ่านมา ครม.ได้เห็นชอบในหลักการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ที่ขบเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือรถยนต์อีวี มาใช้ในราชการแทนรถยนต์เดิมที่หมดอายุการใช้งานหรือจะต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่ เพื่อรองรับภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยงานนั้น หรือนำมาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ โดยในระยะแรกให้เริ่มจากหน่วยงานสำคัญที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นก่อน โดยเฉพาะให้ส่วนราชการที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ถือปฏิบัติตามแนวทางนี้อย่างเคร่งครัดก่อนหน่วยงานอื่น


ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. ยังได้มีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยให้กระทรวงพลังงาน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่น ๆ ติดตามและประเมินผลการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นระยะ อย่างต่อเนื่อง จากนั้นให้รายงานผลการประเมินมาให้กับที่ประชุมครม. รับทราบโดยเร็ว เพื่อจะพิจารณาขยายผลการดำเนินการตามความเหมาะสมไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป

สำหรับแนวทางการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ถือเป้นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่พยายามหาทางส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ และจัดเตรียมสิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ไว้รองรับการลงทุนการผลิต โดยตั้งเป้าหมายในปี68ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่30%จากสัดส่วนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งตามนโยบายรัฐบาลได้หาทางส่งเสริมและนำร่องการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในส่วนราชการก่อน เพื่อทำให้เกิดตัวอย่างและเกิดความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น

19785
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา

19786


พวกหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯยังคงมีความเห็นแตกแยกกันในเรื่องต้นตอที่มาของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ทั้งหมดต่างเชื่อว่าทางผู้นำจีนไม่ได้รู้เรื่องไวรัสมรณะนี้ ก่อนการเริ่มต้นของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ทั้งนี้เป็นผลการศึกษาทบทวนแบบลงลึกยิ่งขึ้นที่สั่งการโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อ 3 เดือนก่อน และเวอร์ชั่นซึ่งไม่ถูกจัดเป็นความลับ ได้มีการนำออกเผยแพร่ในวันศุกร์ (27 ส.ค.) ที่ผ่านมา

บทคัดย่อแบบที่ไม่ถูกจัดชั้นความลับของรายงานผลการศึกษาทบทวนฉบับนี้ระบุว่า ใน 18 องค์กรสมาชิกของประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ มีอยู่ 4 รายบอกว่ามีความมั่นใจในระดับต่ำ ว่าไวรัสนี้เบื้องต้นทีเดียวเป็นการติดต่อจากสัตว์มาสู่มนุษย์ ขณะที่องค์กรข่าวกรองรายที่ 5 บอกว่าเชื่อด้วยความมั่นใจระดับปานกลางว่าการติดเชื้อของมนุษย์รายแรกมีความเกี่ยวข้องกับแล็บทดลอง นอกจากนั้นพวกนักวิเคราะห์เผยว่ามีอีก 3 องค์กรซึ่งไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปออกมาได้ อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์ของหน่วยข่าวกรองเหล่านี้ต่างไม่เชื่อว่า ไวรัสนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ รวมทั้งพวกเขาแทบทั้งหมดยังเชื่อว่าไวรัสนี้ไม่ได้ผ่านการตัดแต่งทางพันธุกรรม

ขณะเดียวกัน สำนักงานของผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุในคำแถลงที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ (27) ว่า จีน “ยังคงขัดขวางการสืบสวนสอบสวนของทั่วโลก, ต่อต้านไม่แลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร, และมุ่งประณามประเทศอื่นๆ รวมทั้งสหรัฐฯ” สำนักงานซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานของประชาคมข่าวกรองอเมริกันแห่งนี้ย้ำว่า การที่จะมีข้อสรุปเกี่ยวกับต้นตอที่มาของไวรัสนี้ได้ น่าจะจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากจีน

ถึงแม้โรคโควิด-19 มีการระบาดไปทั่วโลกมากว่า 1 ปีครึ่งแล้ว แต่สหรัฐฯยืนยันว่าการสืบสาวหาที่มาของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงเป็นเรื่องเร่งด่วนทางสาธารณสุข และเป็นข้อห่วงใยด้านความมั่นคงปลอดภัยของทั่วโลก ในสหรัฐฯนั้น พวกอนุรักษนิยมจำนวนมากเที่ยวกล่าวหาเรื่อยมาว่านักวิทยาศาสตร์จีนเป็นผู้พัฒนาโควิด-19 ในห้องแล็บ และปล่อยให้มันรั่วไหลออกสู่ภายนอก พวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงขั้นจัดทำเป็นเอกสารแผ่นปลิวข้อเท็จจริง โดยมุ่งชี้ไปที่การวิจัยเรื่องไวรัสโคโรนาในสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ซึ่งตั้งอยู่ในนครของจีนที่ทราบกันว่าเกิดการระบาดใหญ่ขึ้นมาเป็นแห่งแรก

ในวงการวิทยาศาสตร์นั้น ยังคงมีฉันทามติกันว่าไวรัสนี้น่าที่จะกระโดดจากสัตว์มาสู่มนุษย์ อย่างที่เรียกกันว่า zoonotic transmission โดยที่เหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นกันอยู่ในธรรมชาติ และไวรัสโคโรนาอย่างน้อยที่สุด 2 ชนิดซึ่งวิวัฒนาการอยู่ในค้างคาว ได้เคยทำให้เกิดโรคระบาดในมนุษย์มาแล้ว อันได้แก่ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS หรือ SARS1) และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS)

ทางด้านประธานาธิบดีไบเดน ก็ได้ออกคำแถลงในโอกาสนี้ โดยโจมตีจีนว่า ขัดขวางความพยายามในการสืบสวนสอบสวนไวรัสมรณะนี้ “ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว”

“โลกสมควรที่จะได้รับทราบคำตอบ และผมก็จะไม่ยอมหยุดยั้งจนกว่าพวกเราจะได้คำตอบ” เขากล่าว “ชาติที่มีความรับผิดชอบทั้งหลาย ไม่ควรละเลยความรับผิดชอบต่อประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเช่นนี้”

อย่างไรก็ดี สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำวอชิงตัน ได้ตอบโต้กลับด้วยคำแถลงอันยาวเหยียด ระบุว่าสหรัฐฯ “เสกสรรปั้นแต่ง” รายงานฉบับดังกล่าวขึ้นมา พร้อมกับอ้างอิงเรื่องที่ประชาคมข่าวกรองอเมริกันเคยผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์มาแล้วในอดีต ในเรื่องที่ยืนกรานก่อนที่สหรัฐฯจะทำสงครามรุกรานอิรักเมื่อปี 2003 ว่า อิรักยุคซัดดัม ฮุสเซน ครอบครองอาวุธทำลายล้างร้ายแรง แล้วก็ไม่เคยพบหลักฐานยืนยันเรื่องนี้เลยภายหลังสหรัฐฯยึดครองอิรักอยู่หลายปี

“รายงานเรื่องนี้ของประชาคมข่าวครอง ยึดโยงอยู่กับการทึกทักเอาไว้ล่วงหน้าว่าฝ่ายจีนนั้นมีความผิด และเป็นเพียงการมุ่งเอาจีนเป็นแพะรับบาปเท่านั้น” สถานเอกอัครราชทูตจีนบอก “การปฏิบัติเช่นนี้มีแต่เป็นการก่อกวนและบ่อนทำลายความร่วมมือระหว่างประเทศในการติดตามค้นหาต้นตอที่มา และในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่คราวนี้ และได้รับการคัดค้านอย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ”

ไบเดนนั้นได้ออกคำสั่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ให้ดำเนินการศึกษาทบทวนอย่างลงลึกมากขึ้นภายในระยะเวลา 90 วัน หลังจากทำเนียบขาวกล่าวว่ารายงานเบื้องต้นที่ประชาคมข่าวกรองเสนอออกมา นำไปสู่ “ฉากทัศน์ที่อาจเป็นไปได้ 2 อย่าง” ด้วยกัน นั่นคือ ไวรัสโคโรนานี้มาจากการถ่ายทอดเชื้อจากสัตว์สู่มนุษย์ หรือไม่ก็เกิดขึ้นเพราะเชื้อรั่วไหลออกจากห้องแล็บ ทำเนียบขาวกล่าวในเวลานั้นว่า มี 2 องค์กรข่าวกรองที่โน้มเอียงไปทางเชื่อข้อสมมุติฐานว่าเชื้อนี้เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดในธรรมชาติ ขณะที่อีกองค์กรหนึ่งโน้มเอียงไปทางเชื่อว่ามันมาจากการรั่วไหลในห้องแล็บ

สำนักงานของผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติไม่ได้ระบุว่าหน่วยงานไหนสนับสนุนข้อสันนิษฐานอะไร แต่ชี้ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) และเหล่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังประสบกับอุปสรรคทำนองเดียวกับสหรัฐฯ นั่นคือ การขาดไร้ตัวอย่างและข้อมูลทางคลินิคจากเคสที่ป่วยเป็นโควิด-19 ในตอนเริ่มแรกที่สุด

ในการศึกษาทบทวนคราวนี้ พวกองค์กรข่าวกรองสหรัฐฯได้ปรึกษาหารือกับบรรดาชาติพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญนอกภาครัฐบาล มีการนำเอานักระบาดวิทยาผู้หนึ่งเข้าไปในสภาข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มของพวกผู้เชี่ยวชาญระดับอาวุโสที่ให้คำปรึกษากับผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ

“ทฤษฎีหลุดจากห้องแล็บ”กำลังเป็นที่เชื่อถือกันน้อยลง

ในตอนที่เกิดโรคระบาดใหญ่กันใหม่ๆ สมมติฐานเรื่องไวรัสโคโรนานี้มีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ --นั่นคือมันมีวิวัฒนาการในค้างคาว แล้ว จากนั้นจึงถูกถ่ายทอดมาสู่มนุษย์ โดยที่น่าจะผ่านสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลาง— เป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

แต่หลังจากเวลาผ่านไป โดยที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถค้นเจอไวรัสในค้างค้าว หรือในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะสำคัญทางพันธุกรรมสอดคล้องกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พวกที่สืบสวนสอบสวนโรคจึงระบุว่าพวกเขาเปิดกว้างมากขึ้นในการพิจารณาทฤษฎีไวรัสรั่วจากห้องแล็บ โดยเฉพาะจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ซึ่งมีการศึกษาวิจัยเรื่องไวรัสโคโรนาในค้างคาว

อย่างไรก็ตาม เอกสารทางวิชาการระยะหลังๆ มานี้ กำลังทำให้การอภิปรายถกเถียงหวนกลับไปเอนเอียงทางข้างเชื่อถือว่ามันมีต้นตอมาจากสัตว์อีกชนิดหนึ่ง

ทั้งนี้คณะนักวิจัยในจีนและของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ในสกอตแลนด์ ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยในวารสาร “ไซแอนซ์” ที่มีข้อสรุปว่า “การถ่ายทอดจากสัตว์สู่มนุษย์ โดยเกี่ยวข้องกับสัตว์มีชีวิตที่ติดเชื้อ เป็นสาเหตุที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดของโรคระบาดใหญ่โควิด-19”

นอกจากนั้น รายงานการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งโดยนักไวรัสวิทยาชั้นนำ 21 คน ในวารสาร “เซลล์” มีข้อสรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในปัจจุบันไม่มีหลักฐานใดๆ เลยว่า SARS-CoV-2 (ชื่อย่ออย่างเป็นทางการของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่) มีต้นกำเนิดจากห้องแล็บ”

(เก็บความจากเรื่อง US intelligence still divided on origins of coronavirus
ของสำนักข่าวเอพี และเรื่อง Biden says China still withholding 'critical' info on Covid origins ของสำนักข่าวเอเอฟพี)

19787


นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)หรือ กพท.ออกประกาศเรื่องแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 5)ว่า 1.ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 3) ประกาศ ณ วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2564 และประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่องแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19)(ฉบับที่ 4) ประกาศ ณ วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2564


2.ประกาศนี้ให้ใช้บังคับแก่เที่ยวบินภายในประเทศ (Domestic Flight) ที่ให้บริการผู้โดยสาร(Passenger Flight) เท่านั้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงเที่ยวบินของอากาศยานส่วนบุคคล

3.ห้ามมิให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศปฏิบัติการบินรับส่งผู้โดยสารออกจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) เว้นแต่เป็นเที่ยวบินดังต่อไปนี้

เป็นเที่ยวบินที่เกี่ยวข้องกับโครงการพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ (Sandbox) หรือ

เป็นเที่ยวบินที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency Landing) หรือขอลงทางเทคนิค (Technical Landing) โดยไม่มีผู้โดยสารลงจากเครื่อง หรือ

เป็นเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารที่มีความจำเป็น โดยผู้โดยสารนั้นจะต้องดำเนินการตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขการเดินทางเข้า/ออกของจังหวัดจุดหมายปลายทาง โดยมีเอกสารการได้รับวัคซีนครบเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และ/หรือ มีเอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดวิธีRT-PCR หรือ Antigen Test Kit (ATK) หรือ เป็นผู้ได้รับการยกเว้นตามมาตรการอื่นของจังหวัดจุดหมายปลายทาง เช่น มีเอกสารรับรองว่าเป็นผู้เคยติดเชื้อมาไม่เกิน 90 วัน หรือ มีเอกสารรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการกักตัวแล้ว หรือมีเอกสารรับรองว่าได้ดำเนินการตามโครงการพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว (Sandbox) แล้ว เป็นต้น

4.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ให้บริการผู้โดยสารในห้วงเวลานี้

โดยจำกัดการปฏิบัติการบินระหว่างช่วงเวลา 21.00-04.00 น. เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้โดยสารในการเดินทางระหว่างสนามบินและที่พัก

ให้มีจำนวนผู้โดยสารได้ไม่เกินร้อยละ 75 ของขีดความสามารถในการรับผู้โดยสารของอากาศยานที่ใช้ในเที่ยวบินนั้นๆ และให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศพิจารณาการจัดที่นั่งในเครื่องบินอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้เกิความหนาแน่นแออัด อันจะมีส่วนช่วย
ในการป้องกันควบคุมโรค ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้โดยสารเดินทางมาด้วยกันสามารถจัดที่นั่งโดยลดการเว้นระยะห่างได้ โดยต้องพิจารณาตามความเหมาะสม

ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบถึงมาตรการเข้า/ออกของจังหวัดปลายทาง รวมถึงการแจ้งความจำเป็นในการเดินทางผ่านเว็บไซต์ https://covid-19.in.th/ ก่อนการเดินทาง

ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศตรวจสอบเอกสารสำคัญของผู้โดยสารตามมาตรการป้องกันโรคของจังหวัดปลายทางอย่างเคร่งครัด ในกรณีการเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว(Sandbox) ไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้โดยสารที่เข้ามาในราชอาณาจักรภายใต้โครงการพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว ให้ตรวจสอบหลักฐานการพำนักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร หรือเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร หากเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ผู้โดยสารอาจถูกปฏิเสธการเดินทางได้ โดยเงื่อนไขการเดินทางเข้า/ออกและมาตรการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัดสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการขอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ที่https://www.moicovid.com/

ในระหว่างการปฏิบัติการบิน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศติดตามดูแลมิให้ผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็น ลูกเรืออาจพิจารณาจัดน้ำดื่มให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทำในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ให้ผู้ดำเนินการสนามบินจัดระบบการไหลเวียนของผู้โดยสาร (Passenger Flow) และการรับกระเป๋า รวมถึงอำนวยความสะดวกต่อหน่วยงานสาธารณสุจในพื้นที่ เพื่อให้สามารถทำงานได้ตามมาตรการของจังหวัดปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศ จัดให้บุคลากรด่านหน้าที่ให้บริการผู้โดยสารได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และควรให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ทุกสัปดาห

6.ก่อนเข้าพื้นที่ท่าอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการสนามบินทำการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานอย่างเข้มงวด โดยต้องมีการตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า และการตรวขวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact Infrared Thermometer) หากบุคคลนั้นไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หรือวัดอุณภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซีย หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจเช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบให้ปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศบานโดยเด็ดขาด

7.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินควบคุมการดำเนินการตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เช่น มาตรการรักษาระยะห่าง การจัดให้มีแอลกอฮอล์ สำหรับล้างมือไว้ให้บริการอย่างเพียงพอ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคพื้นที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณห้องน้ำ และให้ผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตาม ผู้ดำเนินการสนามบินสามารถให้ผู้ใช้บริการออกจากพื้นที่สนามบินได้

8.กำหนดให้รถลำเลียงผู้โดยสารไป-กลับระหว่างอาคารผู้โดยสารและอากาศยาน (Shuttle bus) สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ไม่เกิน 50 คน ต่อคัน โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน ทั้งนี้ให้ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ

9.ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศเก็บข้อมูลผู้โดยสารไว้อย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้สามารถบ่งชี้ถึงผู้โดยสารที่อาจเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงข้อมูลเพื่อใช้ในการติดต่อ และให้นำส่งข้อมูลเมื่อได้รับการร้องขอจากหน่วยงานสาธารณสุข

10.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินติดตามดูแลให้ผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ท่าอากาศยานปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) โดยเคร่งครัด

11.ในกรณีที่มีการยกเลิกเที่ยวบินและการรวมเที่ยวบิน ให้มีการแจ้งและดูแลผู้โดยสารอย่างเหมาะสม ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทยในเส้นทางบินประจำภายในประเทศ พ.ศ.2553

12.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งเตือนผู้โดยสารกรณีเป็นผู้ป่วยยืนยัน หรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้งดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558

13.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามดูแลให้ประชาชนผู้มาใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการในระเบียนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พ.ศ.2564 ประกาศ ณ วันที่ 9 เมษายน 2564

14.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศจัดเตรียมเอกสารรับรองความจำเป็นให้กับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานขนส่งสาธารณะในสังกัดของตนซึ่งได้รับยกเว้นเพื่อใช้แสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากมีการตรวจสอบในการปฏิบัติงานในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป หรือมีประกาศอื่นใด

19789


เฟซบุ๊ก (Facebook) ฉลองวันครบรอบ 10 ปีให้บริการในเครืออย่างแมสเสนเจอร์ (Messenger) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจัดเต็ม 10 ฟีเจอร์ใหม่ที่เติมรสให้แพลตฟอร์มมีความหลากหลายมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยเฉพาะ "เกมโพลล์" ที่เปิดให้ใช้ในสหรัฐอเมริกาแล้ว

ฟีเจอร์ใหม่สะท้อนว่า Messenger วางเป้าหมายสำหรับทศวรรษต่อไปที่การสร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ลืมการันตีว่าพร้อมมอบความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสข้อมูล ในช่วงเวลาที่ผู้คนหันมาเชื่อมต่อกันทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น

สำหรับประเทศไทย ดินแดนสยามกลายเป็นผู้นำกลุ่มแรกที่เปิดรับเทคโนโลยีส่งข้อความเสียง โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้งานฟีเจอร์ส่งข้อความเสียงสูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่นเดียวกับกัมพูชา บราซิล เม็กซิโก และสหรัฐฯ

คุยเรียลไทม์

Messenger ระบุว่า 10 ปีที่ผ่านมาเป็น 10 ปีแห่งนวัตกรรม การเรียนรู้ และการเติบโตที่มาจากผู้คนที่ให้ความไว้วางใจในการใช้งาน Messenger บริษัทจึงเปิดตัว 10 ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดบนแพลตฟอร์ม ซึ่งล้วนเป็นฟีเจอร์ที่จุดประกายให้เกิดการแชตต่อเนื่องแบบเรียลไทม์มากขึ้น

10 ฟีเจอร์นี้ประกอบด้วยฟีเจอร์ฉลองวันเกิด เช่น เอฟเฟกต์ AR พื้นหลังแบบ 360 องศา และธีมแชท (Birthday AR effects, 360 Background, Chat Theme) การแชร์ข้อมูลการติดต่อ (Contact Sharing) และชุดสติ๊กเกอร์ “ยอดนิยม” (“Greatest Hits” Sticker Pack) ถูกออกแบบขึ้นเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความสนุกสนานให้กับผู้คน ในขณะที่เชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิดบนแพลตฟอร์ม



ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา Messenger มองว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงจนกลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่เปี่ยมไปด้วยฟีเจอร์เพื่อขับเคลื่อนแอปพลิเคชันในเครือของ Facebook โดยรวม ในขณะที่ยังคงสร้างความสุขให้กับผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Messenger อย่างต่อเนื่อง

“ชุมชนบนโลกอินเทอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่การแชทแบบเรียลไทม์เกิดขึ้น และ Messenger ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมากมายนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์และนวัตกรรมรุ่นใหม่ๆ สำหรับการพูดคุยผ่านวิดีโอ และวิธีการอื่นๆ ในการเชื่อมต่อผู้คนขณะที่อยู่ห่างไกลกัน“ Messenger ระบุในแถลงการณ์

Messenger ยกรายงานด้านการตลาดประจำปี พ.ศ. 2564 โดย SimpleTexting ระบุว่า ร้อยละ 78 ของผู้บริโภคกล่าวว่าการเช็ค ส่ง และตอบกลับข้อความ เป็นกิจกรรมที่ทำมากที่สุดในแต่ละวันบนสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานกลุ่มแรกๆ (early adopter) ที่เปิดรับเทคโนโลยีการส่งข้อความด้วยเสียงผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความ โดยได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้นๆ ที่ใช้งานฟีเจอร์การส่งข้อความเสียงมากที่สุด เช่นเดียวกับประเทศกัมพูชา บราซิล เม็กซิโก และสหรัฐฯ



ในภาพรวม Messenger มั่นใจว่าตัวเองได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีความสำคัญต่อภาคธุรกิจและชุมชนในประเทศไทย โดยร้อยละ 92 ของผู้บริโภคชาวไทยได้ติดต่อธุรกิจท้องถิ่นผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความ และ 4 ใน 5 กล่าวว่าการสนทนาผ่านการแชทช่วยให้รู้สึกใกล้ชิดกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น โซลูชันตัวช่วยโฆษณาของธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะ Click-to-Messenger ads ก็เป็นหนึ่งในฟีเจอร์หลักที่ช่วยสร้างให้ธุรกิจเติบโตผ่านการค้นหากลุ่มเป้าหมาย (leads) เพื่อเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้ในที่สุด" Messenger ระบุ

ที่สุดแล้ว Messenger เผยว่าได้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานในอนาคตตามพันธกิจในการช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้ใกล้ชิดกับ “คนที่มีความหมาย” สำหรับทุกคน ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ ของ Messenger แนวทางการดำเนินงานจะเน้นที่การสร้างแพลตฟอร์มด้านการสื่อสารที่สมบูรณ์แบบสำหรับอนาคต ด้วยการพัฒนาสู่การเป็นแพลตฟอร์มเพื่อให้ทั้งครีเอเตอร์และธุรกิจได้เชื่อมต่อกับแฟนๆ และลูกค้า รวมถึงสานต่อความมุ่งมั่นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย พร้อมฉลองและขอบคุณผู้คนที่ให้ความไว้วางใจใช้งาน Messenger

บางฟีเจอร์ใหม่ ใช้ได้เฉพาะในสหรัฐฯ

สำหรับการเปิดตัว 10 ฟีเจอร์ใหม่ที่ Messenger ย้ำว่าเกิดขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนสำหรับการสนับสนุนตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ ชุดสติ๊กเกอร์ “ยอดนิยม” (“Greatest Hits” Sticker Pack) ชุดสติ๊กเกอร์ที่ถูกคัดเลือกจากสติ๊กเกอร์ยอดนิยมตลอดกาลของ Messenger และฟีเจอร์แชร์ข้อมูลการติดต่อ (Contact Sharing) ผู้ใช้งานสามารถแนะนำเพื่อนของเพื่อนให้กันได้แล้วอย่างไร้รอยต่อผ่าน Messenger

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับให้ผู้ใช้ได้ฉลองวันเกิดกับเพื่อนได้ในแบบใหม่ ทั้งเอฟเฟกต์ AR, พื้นหลังแบบ 360 องศา, ธีมแชทวันเกิด และซาวด์โมจิวันเกิดที่มีเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เท่านั้น

ฟีเจอร์ที่มีเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ยังประกอบด้วยเอฟเฟกต์คำ ที่สามารถตั้งค่าอิโมจิสำหรับคำและวลีที่ต้องการ โดยเมื่อคำหรือวลีนั้นถูกส่งในแชทก็จะมีอิโมจิโปรยลงมาบนหน้าจอ ยังมีเอฟเฟกต์ข้อความ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ตกแต่งข้อความด้วยเอฟเฟกต์พิเศษต่างๆ เช่น พลุกระดาษหรือกล่องของขวัญผูกโบว์ ที่สำคัญคือ “เกมส์โพลล์” (Poll Games) ฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างโพลล์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถเล่นเกม “เป็นไปได้มากที่สุดที่จะ” (most likely to) ได้ รวมถึงการจ่ายเงินเป็นของขวัญวันเกิด ให้ผู้ใช้สามารถส่งเงินเป็นของขวัญเพื่อฉลองวันเกิดผ่าน Facebook Pay บน Messenger ได้.

19791


สำรวจการทำธุรกรรมชอร์ตเซล (Short Sale) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ให้นักลงทุนสามารถยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ที่ตนมีบัญชีซื้อขาย เพื่อนำหุ้นดังกล่าวมาขายทำกำไรขาลง และซื้อกลับในราคาที่ถูกกว่าต้นทุนเพื่อคืนหุ้นแก่โบรกเกอร์ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-27 ส.ค.) พบว่า 10 หุ้นที่ถูกขายชอร์ตมากที่สุด ได้แก่

PTT ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 219,529,550 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 2,484 ล้านบาท

KBANK ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 172,429,650 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 5,138 ล้านบาท

CPALL ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 156,970,075 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 2,686 ล้านบาท

INTUCH ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 134,997,800 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 3,318 ล้านบาท

ADVERTISEMENT


CPF ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 124,200,000 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 715 ล้านบาท

ADVANC ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 120,241,150 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 1,786 ล้านบาท

GULF ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 113,732,650 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 1,229 ล้านบาท

BBL ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 79,687,950 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 1,679 ล้านบาท

SCC ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 77,888,800 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 485 ล้านบาท

AOT ปริมาณหุ้นที่ขายซอร์ต 68,742,575 หุ้น มูลค่าการขายชอร์ต 1,205 ล้านบาท

19792
เช่ารถถูกสะอาดปลอดภัย 600ต่อวัน นนทบุรี โทร 083-7124115

19794
 
 ข้าวกล้องอินทรีย์สำหรับคุณแม่ตั้งท้อง 

 ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ตั้งท้อง
 โครงการข้าวอินทรีย์  ส่งออกข้าวอินทรีย์  ส่งเสริม ผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวออร์แกนิคไทยมีราคาแพง

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ …..ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวจังหวัดสุรินทร์)
        การรับประทาน “#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ  ข้าวปลอดสารพิษ ” ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  “#ข้าวกล้องออร์แกนิค”  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวกล้องมะลินิลออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์สุรินทร์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลorganic, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6. ข้าวปะกาอำปึลเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ข้าวกล้องผกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวหอมมะลิแดงสุขภาพ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ “ข้าวกล้องออร์แกนิค”  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ “ข้าวกล้องออร์แกนิก”  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวอินทรีย์หอมมะลิ
2. ข้าวกล้องหอมมะลิเพื่อสุขภาพ
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิค  ข้าวผกาอำปึล(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารสุรินทร์
5. กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์ 6.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค
7.  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 
 

19798
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา

19800


ภาพจาก AFP
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ในขณะที่คนมากมายทั่วโลกต้องการวัคซีนเหลือเกิน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลังเลหรือปฏิเสธวัคซีน ทำให้ความหวังที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นไปได้ยากขึ้น สัปดาห์นี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้คนญี่ปุ่นและคนอเมริกันบางกลุ่มไม่ยอมฉีดวัคซีน และการเลือกเสรีภาพที่จะไม่ฉีดวัคซีนของคนอเมริกันนำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายอย่างไรบ้าง

กลัวผลข้างเคียงจากวัคซีน

หนึ่งในเหตุผลที่คนกังวลเกี่ยวกับวัคซีนมากที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น คนญี่ปุ่นจะกลัวว่าฉีดแล้วอาจเป็นภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลันแบบบางคนที่เห็นในข่าว (ซึ่งที่จริงอาการนี้สามารถเกิดจากการแพ้ยา อาหาร และแมลงสัตว์กัดต่อยได้ด้วย ไม่ใช่จากวัคซีนโควิดเท่านั้น) หรือกลัวว่าอีก 10-20 ปีผลข้างเคียงอาจจะเริ่มส่งผลแบบที่บางคนเจอจากวัคซีนบางตัวในอดีตที่ผ่านมา

นอกจากนี้การพัฒนาวัคซีนโควิดภายในเวลาอันสั้น อีกทั้งวัคซีนที่ใช้ในญี่ปุ่นและอเมริกาส่วนใหญ่เป็นวัคซีน mRNA ซึ่งนำมาใช้กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และยังไม่แน่ว่าจะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาวอย่างไรบ้าง จึงทำให้คนรู้สึกว่าฉีดวัคซีนเสี่ยงอันตรายกว่าเสี่ยงรับเชื้อโควิดเลยไม่อยากฉีด

ไม่เข้าใจการทำงานของวัคซีน

คนจำนวนหนึ่งเข้าใจผิดว่าเมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคใดแล้วจะไม่เป็นโรคนั้น เช่น คิดว่าถ้าฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วก็จะไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือฉีดวัคซีนโควิดแล้วจะไม่ติดโควิด ทำให้บางคนคิดว่าถ้าฉีดวัคซีนแล้วยังติดโรคได้อีกจะฉีดไปทำไม หรือบางคนก็คิดว่าขนาดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่เคยฉีดก็ยังไม่เคยติดไข้หวัดใหญ่เลย จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องฉีดป้องกันโควิดก็ได้

แต่ในความเป็นจริงวัคซีนโควิดไม่ได้ป้องกันโควิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา จากที่อาจร่อแร่เสี่ยงตายเมื่อติดโควิดก็อาจจะอาการไม่หนักมากนัก อย่างญี่ปุ่นเองก็พบผู้ติดโควิดจำนวนหนึ่งหลังฉีดวัคซีนครบโดสในช่วงเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ไม่มีคนที่อาการหนักเลย ส่วนอเมริกาพบผู้ติดเชื้อปะทุในรัฐที่อัตราการฉีดวัคซีนต่ำ คนที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉินเกือบหมดคือคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน สิ่งเหล่านี้จึงพอบ่งบอกได้ว่าการฉีดวัคซีนน่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้จริง

ข้อมูลลวงโลก

ที่ญี่ปุ่นมีข่าวแพร่สะพัดไปในสื่อสังคมออนไลน์มากมาย อาทิเช่น วัคซีนโควิดจะเปลี่ยนดีเอ็นเอบ้าง ทำให้เป็นหมันบ้าง มีไมโครชิปฝังอยู่บ้าง หรือทำให้ร่างกายมีสภาพเหมือนแม่เหล็กบ้าง เชื่อกันว่าญี่ปุ่นรับข้อมูลเหล่านี้มาจากทางอเมริกาซึ่งมีข่าวลวงลักษณะเดียวกันเป๊ะ และยังมีข้อมูลเท็จอื่น ๆ อีกจำนวนมากทั้งในญี่ปุ่นและอเมริกา

ข้อมูลเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลือกไม่ฉีดวัคซีนของประชาชน เชื่อว่าตัวเองจะไม่ติดหรือติดก็อาการไม่หนัก คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งเห็นว่าคนวัยเดียวกับตนที่ติดโควิดแล้วอาการหนักมีน้อย จึงชะล่าใจว่าตนเองไม่เป็นไร แค่สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เช็ดแอลกอฮอล์ ก็พอแล้ว 

บางคนก็คิดว่าไม่อยากรับสารเคมีอะไรเข้าร่างกาย อยากใช้วิถีธรรมชาติบำบัด กินอาหารมีประโยชน์ ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ก็คงไม่ติดโควิดเอง หรือบางคนแม้จะเห็นข่าวว่าผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่เห็นคนใกล้ตัวติดโควิดขึ้นมา ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าวันหนึ่งตัวเองอาจติดโควิดได้

อีกอย่างที่สำคัญคือ คนประเมินคำว่า “อาการน้อย” กับ “อาการรุนแรง” ต่ำไป ต่อให้มีอาการน้อย คนที่เคยเป็นแล้วก็บอกว่า
“เป็นสภาพที่ทรมานที่สุดในชีวิต” ส่วนอาการรุนแรงหมายถึง “สภาพที่เสี่ยงต่อความเป็นความตาย”

อาจารย์หมอชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งกล่าวว่าจำเป็นต้องให้คนเข้าใจชัดเจนว่าเราฉีดวัคซีนกันไปเพื่ออะไร และต้องให้คนหนุ่มสาวเห็นข้อดีของการฉีดวัคซีนครอบคลุมในวงกว้าง เช่น มาตรการต่าง ๆ จะผ่อนคลายลง สามารถไปดื่มกินตามร้านอาหารได้ ไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลได้ ซึ่งรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญเองก็ต้องวางแผนผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ไปตามอัตราการฉีดวัคซีนด้วย

หายนะที่มาพร้อมเสรีภาพในการไม่ฉีดวัคซีนของคนอเมริกัน

การประท้วงเรียกร้องเสรีภาพที่จะไม่ฉีดวัคซีนเกิดขึ้นหลายแห่งในสหรัฐฯ โดยมองว่าการให้ฉีดวัคซีนหรือบังคับสวมหน้ากากอนามัยเป็นการริดรอนเสรีภาพและเป็นเผด็จการ อีกทั้งผู้นำทางการเมืองในรัฐที่ผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับต้น ๆ ก็ให้การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพที่สวนกระแสกับนโยบายด้านสาธารณสุขเช่นนี้

บางรัฐที่ผู้ติดเชื้อสูงอันดับต้น ๆ อย่างฟลอริดา ถึงกับห้ามโรงเรียนบังคับสวมหน้ากากอนามัย และยังขู่จะตัดงบโรงเรียนซึ่งไม่ยอมทำตามอีกด้วย


น่าเศร้าที่คนอเมริกันส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธวัคซีนหรือยังลังเลที่จะฉีด บัดนี้กำลังเผชิญกับราคาที่ต้องจ่ายเมื่อตนเองหรือคนในครอบครัวติดโควิดขึ้นมาจากการไม่ฉีดวัคซีน อีกทั้งการระบาดก็ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ จนศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐ​ ฯ ถึงกับขนานนามการระบาดครั้งล่าสุดว่าเป็น “การระบาดของกลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีน” เลยทีเดียว

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการติดโควิดให้สัมภาษณ์สื่อว่า เธอมัวแต่เชื่อข่าวลือว่ารัฐบาลจะเอาอะไรก็ไม่รู้มาฝังในร่างกายประชาชน หรือไม่ก็คิดว่าวัคซีนนี้ยังมีการศึกษาไม่มากพอ เลยไม่ยอมไปฉีดวัคซีน พอเธอติดโควิดและทรมานจากการที่ร่างกายเหลือออกซิเจนเพียง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ได้คิดว่าตัวเองโง่ที่ไม่ยอมฉีด เพราะถ้าฉีดแล้วเธอก็คงไม่ต้องทรมานอย่างนั้น แล้วครอบครัวก็ไม่ต้องทุกข์ไปกับเธอด้วย แม้ตอนนี้จะรอดตาย แต่เธอยังคงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ที่บ้าน จะเดินไปไหนมาไหนหรืออาบน้ำต้องให้ลูกคอยช่วยเหลือ เธอคนนี้ตั้งใจจะไปฉีดวัคซีน และจะให้ทุกคนในบ้านฉีดด้วย


บางคนไม่ถึงขนาดคิดว่าจะไม่ฉีดวัคซีน เพียงแต่ยังหาเวลาไปฉีดไม่ได้ หรือกลัวว่าถ้าฉีดแล้วไข้ขึ้นหรือปวดแขนขึ้นมาก็ทำให้ต้องลางาน หรือบางคนก็รอดูสถานการณ์ก่อนว่าคนอื่นไปฉีดแล้วปลอดภัยไหม ปรากฏว่าติดโควิดเสียก่อน คุณหมอซึ่งอยู่ในรัฐที่มีผู้ติดโควิดอันดับต้น ๆ ของอเมริกาบอกว่า ได้ยินมาเยอะแล้วที่พอคนไข้มาถึงมือหมอ ก็บ่นเสียใจที่ตัวเองไม่ยอมฉีดวัคซีนแต่เนิ่น ๆ

ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ป่วยมาโรงพยาบาล พอหมอแจ้งว่าติดโควิดก็หาว่าหมอโกหก และบางคนแม้จะอาการหนักอยู่โรงพยาบาลก็ยังบอกว่าจะไม่ฉีดวัคซีนอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าวัคซีนปลอดภัยจริงไหม จะเปลี่ยนดีเอ็นเอหรือทำให้เป็นหมันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ บ้างก็ไม่เชื่อในประสิทธิภาพของวัคซีนว่าจะป้องกันโควิดได้

คุณหมอท่านหนึ่งพูดว่า “ผมหงุดหงิดที่เรามาถึงจุดที่เราให้ค่ากับข่าวลือผิด ๆ ทัดเทียมกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ มันไม่เท่ากันสักหน่อย...และเราก็แพ้ในการสู้รบกับข้อมูลเท็จพวกนี้” ในขณะที่พยาบาลคนหนึ่งบอกว่า “คนเชื่อข้อมูลที่ส่งต่อกันทางโซเชียลง่ายมาก ทั้ง ๆ ที่คนให้ข้อมูลเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์อะไรเลย” หมออีกคนกล่าวว่า “ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่หมอพบว่าวัคซีนเป็นสิ่งที่ใคร ๆ พากันเยาะเย้ยเหยียดหยาม”


ทุกวันนี้การไม่ฉีดวัคซีนของคนกลุ่มหนึ่งกำลังสร้างหายนะให้คนอเมริกันทั้งประเทศ ยิ่งในรัฐที่อัตราคนฉีดวัคซีนน้อย หมอและพยาบาลก็ยิ่งต้องรับมือกับผู้ป่วยโควิดล้นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำงานแทบไม่ได้หยุด ทั้งเครียด ทั้งสงสารคนป่วยและครอบครัว ส่วนผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ก็ไม่สามารถรับการรักษาหรือผ่าตัดที่โรงพยาบาลได้เพราะเตียงล้นไปด้วยผู้ป่วยโควิด อีกทั้งหมอพยาบาลก็ไม่เพียงพอ สาธารณชนพากันตั้งคำถามว่าในเมื่อบางคนเลือกจะไม่ฉีด ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ พอติดโควิดขึ้นมาทำไมจึงมาพึ่งการแพทย์ที่พวกเขาดูถูก ทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อนเช่นนี้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐ ฯ ทำการสำรวจครั้งใหญ่เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าการระบาดของโควิดทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกินครึ่งหนึ่งมีํปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานนานหลายชั่วโมงและไม่สามารถหาเวลาพักผ่อนได้ อาการเหล่านี้ได้แก่ ความเครียด ความกังวล ความคิดฆ่าตัวตาย และโรคเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง

เมื่อต้นสัปดาห์ที่อเมริกาได้เผยแพร่คลิปวีดีโอสั้นชื่อ “Dying in the Name of Vaccine Freedom” (ตายในนามของเสรีภาพเรื่องวัคซีน) โดยสัมภาษณ์คนในเมืองที่มีอัตราฉีดวัคซีนต่ำมาก รวมถึงคนที่อยู่บนเตียงโรงพยาบาลเพราะติดโควิดโดยไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย ฉันรู้สึกโดนใจที่เขาบอกว่า “เสรีภาพของคนคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งความตายของอีกคนหนึ่ง” อยากให้ลองดูกันค่ะ เป็นสารคดีสั้น ๆ ที่สื่อสารได้ดียิ่งว่าเสรีภาพเรื่องวัคซีนนำมาซึ่งอะไรบ้าง และทางออกจะอยู่ที่ใด

หน้า: 1 ... 1098 1099 [1100] 1101 1102 ... 1122