แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 24
217
ช่วงนี้อากาศก็ค่อนข้างมีความแปรปรวน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่เราก็ยังต้องเตรียมพร้อมไปทำงานแบบสวยๆ ค่ะ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศแบบไหน
ถ้าเป็นไปได้เราก็ยังคงคอนเซปต์ ' สวยทุกช็อต ' ไว้!

ซึ่งถ้าใครอยากแต่งตัวไปทำงาน ลุคสาวหวาน ที่ดูเริ่ดแบบมีคลาส

คือใส่แล้วดูสวยสมาร์ท ไม่ดูเป็นเด็กจนเขาไม่เชื่อถือ

วันนี้ทางเราก็มีไอเดียการแต่งตัวไปทำงานลุค ' Sweet Smart Working '
ลุคแต่งตัวไปทำงานแบบหวานๆ ที่มีความหรูสมาร์ท แบบมีสไตล์มาเป็นไอเดียกัน น่ารักแบบไม่หวานเกินเลยจ้า จะมีไอเดียไหนบ้าง ตามมาดูเล้ยยย!

สวยน่ารักหวานๆ แต่สมาร์ท กับเสื้อแขนพองสีขาว คู่กระโปรงทรง Middle Skirt สีส้มอมชมพู สวมรองเท้าส้นสูงสีขาว ไว้ผมยาวดัดลอนคลาย

สวยหวานน่ารัก มีความละมุน กับเสื้อคอปกแขนยาวสีเหลืองอ่อน คู่กระโปรงสั้นสีเหลืองอ่อน สวมเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ ให้ลุคสาวผมสั้นดูน่าเอ็นดู แต่งหน้าโทนสีพีชจะเข้ากว่าจ้า

แต่งเสื้อแขนพองสีส้มอ่อน คู่กระโปรงสั้นสีส้มแดง แต่งระบายที่ปลายกระโปรง แมทช์กับลุคแต่งหน้าโทนสีพีช ดูหวานละมุน

จัดชุดสวยแบบเท่ๆ มีคลาส ด้วยเดรสคอปกสไตล์เบลเซอร์ ดีไซน์คาดเข็มขัดสีเบจ สวมรองเท้าคัทชู หรือรองเท้า Oxford ก็เข้าจ้า

แมทช์เสื้อยืด หรือสายเดี่ยวสีขาว คู่เสื้อเบลเซอร์แขนยาวสีเทาอ่อน สวมกางเกงขายาวเอวสูงสีเหลืองอ่อน รองเท้าส้นสูงสีขาว รวบผมหางม้ามัดต่ำดูเริ่ดๆ

จัดเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ คู่เสื้อเบลเซอร์แขนยาวสีดำ สวมยีนส์ยาวเอวสูงทรงกระบอก รองเท้าคัทชูสีดำ แต่งหน้าโทนสีพีช หรือสีส้ม ช่วยให้ดูสดใสมากยิ่งขึ้น

ซิสป้ายยาที่น่าสนใจ

แต่งเสื้อยืดสีดำเรียบๆ คู่กางเกงขายาวตัวหลวมทสีขาว สวมเสื้อเบลเซอร์ Oversize สีขาวเข้าชุด รองเท้าผ้าใบสีดำ ไว้ผมสั้นม้วนปลายผมให้ลอนเล็กน้อย ได้วอลลุ่มสวย

จัดเสื้อแขนยาวลายดอกไม้สีอ่อน คู่กระโปรงยาวเอวสูงสีเบจ สวมรองเท้าส้นสูงสีเบจ ไว้ผมยาวตรง แต่งหน้าโทนสีพีช หรือสีชมพู

สวยน่ารัก ด้วยเสื้อคอปกแขนพองสีฟ้าอ่อน สวมเดรสกระโปรงยาวสีดำ ใส่รองเท้าส้นสูงสีดำ รวบผมหางม้ามัดต่ำให้ลุคดูทะมัดทะแมงมากยิ่งขึ้น

แต่งสายเดี่ยวสีขาว คู่เสื้อเบลเซอร์แขนยาวสีเขียวเข้ม คู่กางเกงขายาวตัวหลวมสีเบจ สวมรองเท้า Loafer Mule ก็ดูเท่น้า แต่งหน้าโทนสีซอฟต์ๆ

จัดเสื้อยืดสีขาว คู่เสื้อเบลเซอร์แขนยาวลายทางสีดำแดง คู่กางเกงขายาวลายเดียวกัน สะพายกระเป๋าคาดสีน้ำตาลเข้ม สวมรองเท้า Mule สีขาว สวยเท่เริ่ดๆ

จัดลุคซอฟต์ มีคลาสแบบหวานๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเหลืองอ่อน คู่กระโปรงยาวเอวสูงสีทอง สวมรองเท้าคัทชูสีเบจ

คุมโทนสีสุภาพ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาอ่อน คู่กระโปรงทรงสอบเอวสูงสีน้ำตาล หรือสีเขียวเข้ม สวมรองเท้าคัทชูสีนู้ด ไว้ผมยาวดัดลอนคลายๆ ให้ลุคดูหวาน

สวยละมุน กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเหลืองอ่อน คู่กระโปรงยาวลายลูกไม้ทรงเมอร์เมดสีเบจ สวมรองเท้าคัทชูสีเบจ ได้ลุคสวยหวาน เรียบร้อย เหมาะกับลุคแต่งหน้าสีพีช เพิ่มความสดใส

จัดเสื้อแขนสั้นสีฟ้าอ่อน คู่กระโปรงยาวลายลูกไม้สีขาว สวมรองเท้าส้นสูงสีขาว สวยหวานแบบเจ้าหญิง รวบผมหางม้าก็ดูทะมัดะทะแมง หรือปล่อยผมยาวดัดลอนคลายก็เริ่ดจ้า

จัดเสื้อสีเหลืองอ่อน คู่เสื้อเบลเซอร์แขนยาวสีขาว สวมกางเกงยีนส์ขายาวทรงกระบอกสีฟ้าอ่อน คาดกระเป๋าสีดำที่เอว

แต่งเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเบจ คู่กระโปรงยาวทรงกระบอกสีขาว สวมรองเท้าคัทชู หรือรองเท้าส้นเตี้ยก็เวิร์คจ้า เพิ่มความทะมัดทะแมงด้วยการรวบผม

สวยหวาน ละมุนซอฟต์ๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว คู่กระโปรงสั้นเอวสูงสีเหลืองอ่อน พาดไหล่ด้วยเสื้อคลุมแขนยาวสีเหลือง เหมาะกับลุคแต่งหน้าโทนสีพีชมากๆ

จัดเสื้อคาร์ดิแกนแขนยาวสีส้มสดใส คู่กระโปรงยาวแต่งระบายพลิ้วๆ สีขาว สวมรองเท้าคัทชูสีเบจ ไว้ผมยาวดัดลอนคลายสำหรับลุคหวาน หรือผมหางม้าเวลาที่ต้องการดูทะมัดทะแมงมากขึ้น

จัดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเบจ หรือสีเงิน คู่กางเกงขายาวสีเทาอ่อน ดีไซน์จับจีบหน้า สวมรองเท้าคัทชูสีเบจ รวบผมหางม้าต่ำก็เริ่ดจ้า

เป็นไงบ้างคะสาวๆ การแต่งตัวไปทำงานให้ดูสมาร์ท แต่มีความหวานนั้น เราแนะนำด้วยไอเทมกระโปรงสีเรียบ หรือกระโปรงลายลูกไม้เลยจ้า โดยอาจจะเลือกแมทช์กับเสื้อเบลเซอร์ที่มีความเรียบหรู เลือกโทนสีที่เหมาะกับตัวกางเกง หรือกระโปรงที่ใส่ก็ช่วยให้ลุคดูสมาร์ทมากขึ้นเลย!

ลองไปแมทช์ดูนะคะ วันนี้ต้องขอตัวไปก่อน แล้วพบกันใหม่เน้อออ!


ชุดออฟฟิต ชุดทำงาน ของสาวออฟฟิศ สวยมีคลาส ทำงานแบบมีสไตล์ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://uniformdeluxe.com/

218
ระบบน้ำประปาภายในบ้าน เรื่องสำคัญควรเข้าใจ

: เลือกปั๊มน้ำให้ดี มีแต่คุ้ม

การเลือกใช้ “ปั๊มน้ำ” นอกจากการเลือกใช้ให้ถูกประเภทแล้ว ยังควรเลือกขนาดให้เหมาะสมด้วย แนวทางง่าย ๆ ต่อไปนี้จะช่วยให้เจ้าของบ้านเลือกใช้ “ปั๊มน้ำ” ให้เหมาะสมกับการใช้งาน


   “ปั๊มน้ำ” เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำในเส้นท่อให้มีมากขึ้น เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการใช้น้ำภายในบ้านในเวลาเดียวกันหลายจุด เพื่อให้ทุกจุดมีความแรงของน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ไหลอ่อนจนเกินไป และต้องใช้ร่วมกับถังเก็บน้ำภายในบ้านเท่านั้นไม่สามารถต่อตรงกับท่อประปาสาธารณะได้ เพราะนอกจากจะเป็นการส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำของส่วนรวมแล้ว ยังผิดกฏหมายอีกด้วยค่ะ

ไม่ติดตั้งปั๊มน้ำได้หรือไม่
       บางท่านสงสัยว่าหากเราไม่ติดตั้งปั๊มน้ำจะสามารถใช้น้ำได้อย่างปกติหรือไม่ ขอตอบดังนี้ค่ะ ตามปกติแล้วท่อประปามีแรงดันในเส้นท่อที่สามารถจ่ายน้ำในบ้านพักอาศัย 2 ชั้นได้สบาย ๆ แต่หากมีการเปิดน้ำภายในบ้านพร้อมกันหลายจุดเกินไป อาจเกิดกรณีน้ำบางจุดไหลอ่อนบ้างแรงบ้าง ไม่สม่ำเสมออันเนื่องมาจากน้ำในเส้นท่อมีแรงดันไม่เพียงพอ ปั๊มน้ำจึงกลายมาเป็นอุปกรณ์สำคัญภายในบ้านพักอาศัย เพื่อให้ใช้น้ำได้สะดวกขึ้น ซึ่งที่เรารู้จักกันทั่วไป คือ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ ที่แบ่งได้หลัก ๆ เป็น 2 ประเภท คือ ปั๊มชนิดถังแรงดัน และปั๊มชนิดแรงดันคงที่
 

ปั๊มแบบถังแรงดัน (ทรงกระบอก)
       
ปั๊มชนิดนี้ทำงานโดยใช้หลักการให้น้ำไปแทนที่อากาศ เพื่อใช้แรงดันของอากาศในการปั๊มน้ำออกไปใช้งานในส่วนต่างๆ ของอาคาร มีราคาย่อมเยาว์ ดูแลรักษาง่าย ทนทาน  ให้แรงดันน้ำสูงกว่าปั๊มชนิดแรงดันคงที่เมื่อเทียบในกำลังวัตต์ที่เท่ากัน แต่มีข้อเสียคือให้แรงดันน้ำไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากต้องใช้แรงดันของอากาศเพื่อดันน้ำออกไป ดังนั้นหากเปิดใช้พร้อมกันหลายๆจุดอาจทำให้ความแรงของน้ำแต่ละจุดมีปริมาณไม่เท่ากันได้ นอกจากนี้ในปั๊มบางรุ่นมีการใช้วัสดุในการผลิตตัวถังเป็นเหล็กชนิดบาง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเสียงดังได้  ข้อควรระวังสำหรับปั๊มน้ำชนิดนี้คือ การที่วัสดุตัวถังทำด้วยเหล็กและเคลือบกันสนิมภายใน  เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดสนิมบริเวณตัวถังขึ้นได้ เนื่องจากวัสดุเคลือบกันสนิมหมดอายุ จึงควรวางในพื้นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง นอกจากนี้ในปัจจุบันเจ้าของบ้านยังสามารถเลือกใช้เป็นถังที่ผลิตจากสเตนเลสที่มีความทนทานมากกว่า
 

ปั๊มแบบแรงดันคงที่หรือแบบอินเวิร์ทเตอร์ (ทรงเหลี่ยม)
       
ปั๊มแรงดันคงที่เป็นปั๊มน้ำที่ให้แรงดันน้ำสม่ำเสมอ เหมาะกับบ้านที่มีการใช้น้ำหลายจุดและอุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันน้ำที่คงที่ อาทิเช่น เครื่องทำน้ำอุ่น  ข้อดีของปั๊มชนิดนี้คือ มีการทำงานโดยใช้ตัวช่วยในการเพิ่มแรงดัน อาทิ แก๊สไนโตรเจน  ทำให้มีรอบในการอัดอากาศคงที่  ส่งผลให้การจ่ายน้ำมีปริมาณสม่ำเสมอ เช่น ถ้าเจ้าของบ้านใช้น้ำพร้อมกันทั้ง 3 จุด ปริมาณแรงดันน้ำก็จะมีปริมาณเท่ากันทั้ง 3 จุด เป็นต้น ปั๊มชนิดนี้มีเสียงเบาและขนาดที่ย่อมเยาว์กว่า แต่มีราคาสูงกว่าชนิดแบบถังแรงดัน (ทรงกระบอก)  ส่วนข้อจำกัดของปั๊มชนิดนี้คือ เมื่อเกิดปัญหารั่วซึมของถังความดัน จะไม่สามารถดำเนินการแก้ไขเติมก๊าซเองได้ ต้องถอดเปลี่ยนเท่านั้น แต่ปัจจุบันเริ่มมีชนิดที่ใช้อากาศเป็นตัวช่วยในการเพิ่มแรงดันบ้างแล้ว ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้  ชิ้นส่วนวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแข็ง จึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสนิมมากนัก แต่ก็ไม่ควรตั้งปั๊มชนิดนี้ไว้กลางแจ้งโดยไม่มีหลังคาคลุม เพราะอาจทำให้ปั๊มน้ำมีอายุสั้นลงกว่าที่ควร


ปั๊มน้ำขนาดไหนดี
       
ผู้ผลิตปั๊มน้ำแต่ละรายมักมีแนวทางง่าย ๆ ที่จะให้เจ้าของบ้านเลือกปั๊มแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งานภายในบ้านอยู่แล้ว อาทิเช่น บ้าน  1 ชั้นควรใช้ปั๊มน้ำประมาณ 150 w  บ้าน 2 ชั้น 250 w และ บ้าน 3-4 ชั้น 400 w เป็นต้น  ซึ่งข้อมูลที่ผู้ผลิตแต่ละรายนำมาเป็นแนวทางนั้น ก็มาจากการประมาณอัตราการใช้น้ำของอาคารแต่ละประเภท ประกอบกับความสูงของตัวอาคารนั่นเองค่ะ

       
ปัจจุบันตามท้องตลาดทั่วไปเรามักจะเรียกชื่อปั๊มน้ำตามขนาดของมอเตอร์(กำลังวัตต์)ที่ใช้งาน แต่ขนาดมอเตอร์ดังกล่าวไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการไหลของน้ำแต่อย่างใด ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกขนาดของปั๊มน้ำ เจ้าของบ้านสามารถคำนวณหาขนาดของปั๊มน้ำที่เหมาะสมกับบ้านของตนเองเบื้องต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจ โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังนี้
       
1. จุดจ่ายน้ำและปริมาณน้ำที่ต้องการใช้พร้อมกันภายในบ้านทั้งหมด ว่ามีปริมาณกี่ลิตร/นาที โดยพิจารณาร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้าน ซึ่งอุปกรณ์แต่ละชนิดก็จะมีความต้องการในการจ่ายน้ำที่ไม่เท่ากัน
       
2. จำนวนคนที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน เพื่อให้ทราบว่าจะมีปริมาณน้ำที่ต้องการใช้เท่าไหร่ เพื่อเลือกใช้ปั๊มน้ำได้อย่างเหมาะสม
       
3. บริเวณความสูงที่สุดของจุดจ่ายน้ำภายในบ้าน เพื่อนำมาพิจารณากับปั๊มแต่ละชนิดว่ามีประสิทธิภาพในการจ่ายน้ำได้ตามความสูงที่ต้องการหรือไม่


ตัวอย่างการพิจารณาเลือกขนาดปั๊มน้ำ
       
บ้านเดี่ยว 2 ชั้น (ความสูงถึงจุดที่ต้องการจ่ายน้ำประมาณ  7  เมตร) มีจำนวนก๊อกน้ำภายในบ้านทั้งหมด 6 จุด แต่มีโอกาสใช้พร้อมกันทั้งหมด 3 จุด หลักการในการเลือกปั๊มน้ำมีดังนี้
       
1. ระยะส่งของปั๊มน้ำ ในกรณีนี้เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น (ความสูงถึงจุดที่ต้องการจ่ายน้ำประมาณ 7 เมตร) ควรเผื่อค่าแรงเสียดทานที่อาจเกิดขึ้นในท่ออีกประมาณ 30% ดังนั้นควรเลือกปั๊มน้ำที่มีระยะส่งไม่น้อยกว่า 9 เมตร
       
2. ปริมาณน้ำ (ลิตร/นาที) กรณีนี้ให้พิจารณาจากช่วงเวลาที่มีโอกาสใช้น้ำพร้อมกันทั้งบ้าน สำหรับบ้านหลังนี้มีโอกาสใช้น้ำพร้อมกันทั้งหมด 3 จุด ซึ่งตามปกติก๊อกน้ำมีอัตราการจ่ายน้ำประมาณ 9 ลิตร/นาที (โดยปริมาณน้ำดังกล่าวที่คำนวนมานี้อาจเป็นเพียงแค่ค่าประมาณเท่านั้น หากต้องการความแม่นยำมากขึ้นอาจจะต้องทำการพิจารณาเป็นเฉพาะอุปกรณ์ เนื่องจากอาจจะมีอุปกรณ์บางชนิดที่มีอัตราจ่ายน้ำมากกว่าค่ามาตรฐาน อาทิเช่น ฟลัชวาล์ว หรือ Rain shower เป็นต้น ซึ่งสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จากฉลากที่ติดมากับตัวอุปกรณ์) ดังนั้นปริมาณน้ำขั้นต่ำที่บ้านหลังนี้ต้องการใช้ในระยะเวลาเดียวกันคือ 27 ลิตร/นาที หากตารางผลิตภัณฑ์มีระบุจำนวนก๊อกน้ำ อาจใช้ข้อมูลดังกล่าวร่วมด้วยเพื่อช่วยในการตัดสินใจ       

ปัจจุบันปั๊มน้ำกลายเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับเจ้าของบ้านอย่างเรา ๆ มากทีเดียว เนื่องด้วยจำนวนผู้อยู่อาศัยที่มากขึ้นส่งผลให้อุปกรณ์ในการใช้น้ำก็ต้องมีมากขึ้นไปโดยปริยาย รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ช่างทันสมัยและต้องการแรงดันน้ำที่มากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นหากเรามีหลักการในการเลือกใช้ปั๊มน้ำอย่างเหมาะสม เจ้าของบ้านจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องแรงดันน้ำที่ไม่เพียงพออีกต่อไป ทั้งสบายใจและสบายกระเป๋าเลยล่ะค่ะ


บริหารจัดการอาคาร: การเลือกปั๊มน้ำในบ้านแบบง่ายๆ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/

219
บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ SCB Prime – ที่สุดเหนือทุกเอกสิทธิ์แห่งการเดินทางใดๆ

    รายได้ขั้นต่า  มีเงินฝากหรือเงินลงทุนเฉลี่ย 2,000,000 บาทขึ้นไป
    ดอกเบี้ย 18% ต่อปี
    ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ฟรี !!
    ค่าธรรมเนียมรายปี ฟรี !!
    ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 51 วัน


จุดเด่นของบัตรเครดิต

    เอกสิทธิ์ทางการเงินส่วนบุคคล
        SCB Investment Center เปิดบริการที่
        – เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 5
        – เซ็นทรัล พบาซา พระราม 2 ชั้น G
        – เซ็นทรัล พลาซา นครราชสีมา ชั้น 3
        – เซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น ชั้น 2
        บริการผู้ดูแลบัญชี ช่วยแจ้งเตือนเมื่อเงินลงทุนของผู้ถือบัตรฯ ครบกำหนด ที่มาพร้อมกับบริการให้คำปรึกษา และแนะนำผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน การลงทุนอันหลากหลาย เพื่อประโยชน์สูงสุดทางการเงินของผู้ถือบัตรฯ
        บริการวางแผนการลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล
        – การวางแผนจัดสรรหาการลงทุน
        – การวางแผนเกษียณอายุ
        – การวางแผนการศึกษาบุตร
        – การวางแผนภาษี
        กิจกรรมสัมมนาต่อยอดการลงทุนและธุรกิจ
        บริการข่าวสารข้อมูลทางการเงิน การลงทุนผ่านเว็บไซต์

    เอกสิทธิ์ด้านการบริการ
        บริการด่วนพิเศษในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคาร
        ฟรีค่าธรรมเนียมบริการแจ้งเตือน SMS Alert แบบรายปี สำหรับบัญชีพร้อมเพย์ 1 บัญชีที่ผูกด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
        ฟรีค่าธรรมเนียมจ่ายบิล ผ่านช่องทางออนไลน์ SCB Easy Net หรือ SCB Application 5 ครั้งแรก/ เดือน (รวมทุกประเภทการชำระ)


สิทธิพิเศษ

    บริการที่ปรึกษาการลงทุนด้านหลักทรัพย์ โดย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)*
    เดินทางเหนือระดับแบบ FIRST อัพเกรดชั้นบัตรโดยสารสูงขึ้น 1 ระดับโดยสายการบินไทย ที่สุดเหนือทุกเอกสิทธิ์แห่งการเดินทางใดๆ กับสิทธิ์อัพเกรดชั้นบัตรโดยสารเพื่อให้ท่านได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง เดินทางชั้นประหยัด (Economy Class) สามารถอัพเกรดเพื่อใช้บริการชั้นธุรกิจ (Business Class) หรือเดินทางชั้นธุรกิจ
    บริการห้องรับรองพิเศษชั้นธุรกิจของบริษัทการบินไทยฯ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับท่าน
    ประกันภัยอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง คุ้มครอง และดูแลทุกย่างก้าวของท่านตลอดการเดินทางระหว่างประเทศ เพียงชำระค่าบัตรโดยสารผ่านบัตรเครดิต SCB FIRST
    ใช้ชีวิตเหนือระดับ เต็มที่ทุกไลฟ์สไตล์แบบ FIRST บริการฟิตเนส ณ โรงแรมและฟิตเนสคลับชั้นนำ รับสิทธิ์ใช้บริการฟิตเนสเพื่อสุขภาพได้ทุกวัน ไม่จำกัดเวลา ที่โรงแรมและฟิตเนสคลับชั้นนำในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดฟิตเนสในกรุงเทพฯ
    บริการเลขาส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง
    ศูนย์บริการสมาชิก SCB FIRST ให้บริการท่านโดยเฉพาะในฐานะลูกค้าของ SCB FIRST เพื่อให้บริการข้อมูลด้านการเงินพื้นฐาน สิทธิประโยชน์ต่างๆ ของท่าน


เงื่อนไขการสมัคร
คุณสมบัติของผู้สมัคร

    อายุ 20 ปีขึ้นไป
    มีสัญชาติไทย
    ผู้สมัครจะต้องมีรายได้อย่างน้อย  มีเงินฝากหรือเงินลงทุนเฉลี่ย 2,000,000  บาทขึ้นไป สำหรับพนักงานประจำ และ  มีเงินฝากหรือเงินลงทุนเฉลี่ย  2,000,000  บาทขึ้นไป สำหรับเจ้าของกิจการ
    อายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี สำหรับพนักงานประจำ และดำเนินธุรกิจมาไม่น้อยกว่า 3 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ
    มีหมายเลขโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อได้
    ผ่านการตรวจสอบตามเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคารฯ

เอกสารประกอบการสมัคร

    สำหรับผู้มีรายได้ประจำ

    สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ
    สลิปเงินเดือน หรือ หนังสือรับรองเงินเดือน
    สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 3 เดือน หรือ 6 เดือนสำหรับ อาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน
    หนังสือรับรองเงินเดือน หรือ สลิปเงินเดือน เดือนล่าสุด (ฉบับจริง)
    สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ของผู้สมัคร

    สำหรับเจ้าของกิจการ

    สำเนาบัตรประชาชน
    หนังสือรับรองบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด
    ทะเบียนการค้า หรือ หนังสือบริคณห์สนธิ (คัดสำเนาไม่เกิน 3 เดือนล่าสุดนับจากวันที่ออก)
    สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน ของกิจการหรือของผู้กู้
    สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ของผู้สมัคร



สมัครบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ SCB Prime อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/creditcard/

220
ปัญหาเสียงดังในบ้านจากห้องหนึ่งทะลุไปยังอีกห้องหนึ่ง เสียงดังจากในบ้านทะลุออกไปรบกวนภายนอก ตลอดจนปัญหาเสียงดังจากภายนอก ทะลุดังเข้ามาสร้างความรำคาญใจให้กับสมาชิกในบ้านนั้น อาจเป็นปัญหาที่ดูเหมือนเล็ก แต่จริงๆ แล้วส่งผลต่อความสุขและคุณภาพชีวิตได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ หนึ่งในแนวทางเพื่อการแก้ไขปัญหาเสียงดังที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้น ก็คือการติดตั้ง “ผนังกันเสียง” อย่างเช่นผนังกันเสียง ซึ่งเหตุผลที่ผนังกันเสียงเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ที่สุดในปัจจุบัน ก็เพราะ


1. ผนังกันเสียง มีคุณสมบัติในการกันเสียงได้สูง

เนื่องด้วยผนังกันเสียง เป็นวัสดุอะคูสติกที่มีคุณสมบัติในการเป็นฉนวนกันเสียงได้ดี มีค่าการกันเสียง หรือ ค่า STC ที่สูง จึงทำให้สามารถป้องกันเสียงดังทั้งจากภายในสู่ภายนอก และจากภายนอกสู่ภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันได้มากกว่าการใช้เทปกันเสียงที่ติดบริเวณทางผ่านประตู-หน้าต่าง หรือการเลือกปลูกไม้ยืนต้น สร้างรั้วสูงเพื่อลดความดังของเสียงรบกวน

2. ผนังกันเสียงติดตั้งง่าย ใช้ร่วมได้กับหลากหลายระบบผนัง

ผนังกันเสียง เป็นฉนวนแบบแผ่นแข็งสีเทา ใช้สำหรับการกันเสียงระหว่างผนัง หรือใช้ในส่วนต่อเติมต่างๆ ร่วมกับระบบผนังได้หลายระบบ อาทิ ระบบผนังสมาร์ทบอร์ด ระบบผนังยิปซั่ม ระบบผนังอิฐมวลเบา ระบบผนังอิฐมอญ เป็นต้น ซึ่งสามารถติดตั้งได้ง่าย ทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างผนังด้านนอกของบ้านใหม่ หรือรีโนเวทผนังกั้นระหว่างให้หนาขึ้นจนทำให้เสียพื้นที่ใช้สอยในบ้านไปอย่างน่าเสียดาย

 

3. ผนังกันเสียงคุณภาพดี มีอายุการใช้งานยาวนาน

ผนังกันเสียง เป็นฉนวนแผ่นแข็งที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพ มีความคงทน มีการหุ้มรอบด้วยวัสดุกันความชื้น และมีการใส่สารไม่อุ้มน้ำในเนื้อฉนวน จึงสามารถคงสภาพความเป็นวัสดุอะคูสติกที่ป้องกันเสียงดังได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอายุการใช้งานยาวนาน คุ้มค่ากับการลงทุนติดตั้ง

 

4. ผนังกันเสียงต้องติดตั้งด้วยผู้เชี่ยวชาญ จึงการันตีผลลัพธ์คุณภาพ

ในการติดตั้ง ผนังกันเสียงนั้น จำเป็นจะต้องมีการวางแผน ต้องเข้าไปสำรวจที่หน้างาน แล้วตรวจวัดระดับค่าความดังของเสียง วิเคราะห์ปัญหา ที่มาของเสียงดัง ก่อนจะพิจารณาว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง ใช้ผนังกันเสียงจำนวนเท่าไร จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ทำให้เสียงดังเบาลงได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาเสียงโดยตรง ซึ่งก็การันตีได้ว่า การแก้ไขปัญหาเสียงดังของเรา จะได้ผล และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่เสียงบประมาณบานปลาย ไม่ใช่ว่าทำแล้ว ต้องรื้อทำใหม่ เพราะไม่ได้ผลอย่างที่ใจต้องการ

 
การแก้ไขปัญหาเสียงดังนั้น หากทำอย่างไม่เข้าใจ ไม่ได้รับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยตรง อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ คือ เสียงดังยังคงอยู่ หรือเบาลงน้อยเกินไป ทำให้ต้องแก้ไขใหม่ สูญเสียงบประมาณใหม่จนกลายเปลืองทั้งเงินและเวลา แถมยังเสียความรู้สึกอีกด้วย ดังนั้น ในแนวทางการแก้ไขปัญหาเสียงดังที่ดีที่สุด จึงเป็นการปรึกษาขอคำแนะนำผ่านผู้เชี่ยวชาญ และเลือกใช้ผนังกันเสียงเป็นผลิตภัณฑ์หลักเนื่องจากตอบโจทย์ในการเป็นวัสดุร่วมกับระบบผนังเดิมได้ดี มีคุณภาพ และราคาคุ้มค่า มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน


ฉนวนกันเสียง: เหตุผลสำคัญ ที่ควรใช้ผนังกันเสียงแก้ปัญหาเสียงดัง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://noisecontrol365.com/

221
อยาก[^_^] ใครว่าจะต้องอดอาหารเสมอไป เพราะเราสามารถลดได้แบบไม่ต้องอด รวมถึงยังไม่ต้องออกกำลังกายให้หนักๆ อีกด้วย เหมาะกับสายขี้เกียจและไม่มีเวลาสุดๆ ต้องลองทำตาม 8 วิธี[^_^] แบบไม่อดอาหาร [^_^]แบบไม่ออกกำลังกาย ตามนี้เลย!

 

วิธี[^_^] แบบไม่อดอาหาร [^_^]แบบไม่ออกกำลังกาย

 
1. เคี้ยวให้ละเอียดและช้าลง

     การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะทำให้เรากินช้าลง และกินอาหารน้อยลงตามมา ในขณะเดียวกันก็ยังทำให้เราอิ่มเร็วขึ้นได้อีกด้วย โดยคนที่กินเร็วมักจะมีแนวโน้มอ้วนมากกว่าคนที่กินช้า ดังนั้นแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารให้ค่อยๆ เคี้ยวให้ละเอียดและช้าลงค่ะ

 
2. แบ่งอาหารมื้อใหญ่เป็นมื้อย่อย

     เราควรกินอาหารในปริมาณน้อย ซึ่งแทนที่เราจะกินอาหารมื้อใหญ่ๆ 3 มื้อต่อวัน โดยที่แต่ละมื้อจะมีปริมาณมาก แนะนำให้เปลี่ยนมาเป็นการกินมื้อย่อยๆ โดยให้แบ่งอาหารมื้อใหญ่ออกเป็นมื้อย่อย ก็จะทำให้เรากินอาหารในแต่ละมื้อน้อยลง แถมการทำแบบนี้ยังทำให้เราอิ่มมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งการกินอาหารปริมาณมากถือเป็นการเพิ่มแคลอรี่และเพิ่มน้ำหนักได้นั่นเอง

 
3. ลดอาหารไม่มีต่อสุขภาพ

     อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารแปรรูป อาหารขยะต่างๆ เป็นตัวการที่ทำให้น้ำหนักขึ้น ดังนั้นหากอยาก[^_^]ให้ได้ผล แนะนำให้ลดการกินอาหารประเภทนี้ลง และเพิ่มการกินอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ทริคแนะนำก็คือ อย่าพยายามให้อาหารขยะอยู่ในสายตาบ่อยๆ เพราะจะทำให้เราอยากกิน แนะนำให้เปลี่ยนอาหารในตู้เย็นของเราเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ก็จะค่อยๆ ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของเราได้


 
4. งดอาหารที่มีน้ำตาล

     อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เป็นอีกหนึ่งตัวการที่ทำให้น้ำหนักขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะน้ำอัดลมต่างๆ หรือน้ำผลไม้กล่องบางชนิดที่ฟังดูแล้วอาจจะดีต่อสุขภาพ แต่ก็อาจจะมีน้ำตาลที่สูงได้ ดังนั้นหากไม่อยากน้ำหนักขึ้น อยาก[^_^]ให้ได้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลจะดีกว่าค่ะ


 
5. กินอาหารโปรตีนสูง

     อาหารที่มีโปรตีนสูง กินเข้าไปแล้วจะเป็นการเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดความหิว และช่วยให้เราได้รับแคลอรี่ที่น้อยลงได้ เนื่องจากโปรตีนมีผลต่อฮอร์โมนหลายชนิดซึ่งมีผลต่อความหิวและความอิ่มของเรา ไม่ว่าจะเป็น เกรลิน (ghrelin) หรือ GLP-1 โดยการเพิ่มปริมาณโปรตีนนั้นจะทำให้เราอิ่มนานขึ้น กินน้อยลง ได้รับแคลอรี่น้อยลง และ[^_^]ได้ อีกทั้งโปรตีนยังช่วยเผาผลาญและย่อยนานจึงทำให้เราอิ่มนานขึ้นนั่นเอง

 

6. กินอาหารที่มีไฟเบอร์

     อาหารที่มีไฟเบอร์ ก็มีส่วนช่วย[^_^]ได้ เพราะอาหารที่มีกากใยสูงจะทำให้เราอิ่มนานขึ้น โดยเฉพาะไฟเบอร์ที่กลายเป็นเจลได้ หรือ Viscous Fiber ก็จะยิ่งทำให้เราอิ่มนานขึ้นและ[^_^]ได้ดีขึ้น นอกจากนั้นไฟเบอร์ยังย่อยนาน เพิ่มเวลาในการลำเลียงอาหารและดูดซึมสารอาหารนานขึ้น ทำให้เราอิ่มนานขึ้น แถมยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

 

7. ดื่มน้ำให้มากๆ

     การดื่มน้ำก็มีส่วนช่วยทำให้เรากินน้อยลงและ[^_^]ได้ โดยเฉพาะการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารประมาณ 30 นาที ก็จะช่วยลดความหิวและลดปริมาณแคลอรี่ลงได้ ทำให้เราสามารถ[^_^]ได้มากขึ้น อีกทั้งน้ำยังดีต่อระบบย่อยอาหารและช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ได้อีกด้วยค่ะ


 
8. นอนหลับให้เพียงพอ

     การนอนหลับก็มีผลต่อความอยากอาหารและการ[^_^]ของเราค่ะ ซึ่งการอดนอนนั้นจะไปขัดขวางฮอร์โมนเลปติน (leptin) และเกรลิน (ghrelin) ที่ทำหน้าควบคุมความอยากอาหารได้ ซึ่งหากฮอร์โมนเหล่านี้ถูกรบกวนก็อาจจะเป็นการเพิ่มความหิวและความอยากอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพของเรา ส่งผลให้ได้รับแคลอรีสูงขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ รวมถึงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนได้ นอกจากนั้นการนอนน้อยยังจะไปรบกวนฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ เพิ่มความเสี่ยงของการมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนได้ในที่สุดค่ะ


วิธี[^_^] แบบไม่อดอาหาร [^_^]แบบไม่ออกกำลังกาย ง่ายๆ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.healthyhitech.net/

222
คุณแม่หลายคนอาจจะประสบปัญหาน้ำนมน้อย น้ำนมไม่ไหล และบางทีก็มีความกังวลถึง คุณภาพของน้ำนมที่ให้กับลูก รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย มีแนวทาง ในการเลือกรับประทานอาหาร พร้อมแนะนำ 10 สุดยอดอาหารหลังคลอดที่คุณแม่สามารถเลือกทาน เพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนมและให้น้ำนมมีคุณภาพมาฝากกันค่ะ


1. หัวปลี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี มีสรรพคุณแก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ บำรุงเลือด นอกจากนี้ยังเป็นที่ทราบกันว่าสำหรับคุณแม่ที่พึ่งคลอดลูก การกินหัวปลีบ่อย ๆ จะช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมเลี้ยงลูกมากขึ้นด้วยค่ะ
เมนูแนะนำ : แกงเลียงหัวปลี, ยำหัวปลีกุ้งสด, หัวปลีลวกจิ้มน้ำพริก, ทอดมันหัวปลี


2. ขิง มีวิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งสรรพคุณของขิง จะช่วยขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยไขมันได้ดี ลดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยลดอาการปวดท้องเกร็ง ขับเหงื่อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด นอกจากนั้นขิงยังมีรรพคุณที่จะช่วยทำให้น้ำนมไหลได้ดี และเชื่อว่าเมื่อคุณแม่ได้ทาน ประโยชน์ดี ๆ จากขิงจะผ่านไปทางน้ำนมคุณแม่ไปสู่ลูกน้อย ทำให้ลูกน้อยไม่ปวดท้องอีกด้วยค่ะ

เมนูแนะนำ : ยำปลาทูใส่ขิง, ปลาผัดขิง, ไก่ผัดขิง, มันหรือถั่วเขียวต้มน้ำขิง หรือโจ๊กใส่ขิง


3. กระเทียม มีส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มน้ำนมให้กับคุณแม่หลังคลอดได้ด้วย แต่ควรรับประทานกันในปริมาณที่พอดีเพราะอาจส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของน้ำนมได้


4. ผักใบเขียว เป็นแหล่งอาหารที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินที่มีประโยชน์ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม โฟเลต ที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มน้ำนม เช่น ผักโขม คะน้า ตำลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบกะเพรา ที่นอกจากจะช่วยในการผลิตน้ำนมแล้ว ยังออกฤทธิ์ช่วยในการผ่อนคลายและบำรุงลำไส้ ทำให้คุณแม่รู้สึกอยากทานอาหารมากขึ้น ดังนั้น ในทุกๆ มื้อควรมีผักใบเขียวอย่างน้อยหนึ่งชนิด


5. กุยช่าย อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี ช่วยในการขับน้ำนม และยังช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม

เมนูแนะนำ : ดอกกุยช่ายผัด ,ผัดไทย ,กุ่ยช่ายทอด


6. มันเทศ แหล่งคาร์โบไฮเดรตและโพแทสเซียมที่จะช่วยให้น้ำนมไหลมากขึ้นและผ่อนคลายความเมื่อยล้าหลังคลอด ช่วยลดไขมันในเลือด ยอดอ่อนสามารถบำรุงน้ำนมแม่


7. เมล็ดขนุน มีทั้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส เหล็ก ช่วยบำรุงน้ำนม ทำให้น้ำนมมีมาก และยังช่วยในการบำรุงประสาท

เมนูแนะนำ : เม็ดขนุนต้มสุก



8. มะละกอ มีธาตุเหล็กและแคลเซียมสูง ฟอสฟอรัส วิตามินเอ บี ซี และมีเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย รวมถึงมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยขับน้ำนม บำรุงเลือด บำรุงกระดูก สายตา ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด

เมนูแนะนำ : กินเนื้อมะละกอแบบสุก หรือนำมาประกอบอาหาร เช่น แกงส้ม



9. พริกไทย ช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้จุกเสียดแน่น ท้องอืดเฟ้อ ขับเหงื่อ ขับน้ำนม พริกไทยใส่ได้ในทุกเมนู


10. น้ำเปล่า น้ำเป็นตัวช่วยสำคัญในการปรับปรุงและเพิ่มการผลิตน้ำนมแม่ ดังนั้น อย่าลืมดื่มน้ำอย่างน้อย 6 ถึง 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน โดยดื่มเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวัน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมให้กับคุณแม่ได้


นอกจากการทานอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำนมแล้ว คุณแม่อย่าลืมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทำสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ควบคู่ไปกับการปั้มนมเพื่อให้มีน้ำนมเพียงพอต่อการเลี้ยงดูลูกน้อย ยังไม่แนะนำให้ทานยาหรือวิตามินกระตุ้นหรือเพิ่มน้ำนม เพราะสิ่งที่คุณแม่ทานเข้าไปจะผ่านไปที่น้ำนมเเละลูกจะได้รับสิ่งที่คุณแม่ทานเข้าไปด้วยค่ะ

 
 

อาหารสุขภาพ คุณแม่หลังคลอด อยากเพิ่มน้ำนมกินอะไรดี อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://thetastefood.com/

223
เด็กหลายคน อาจจะมีปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติมาตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้ปกครองอาจจะสงสัยว่า การ จัดฟัน สามารถทำได้ตั้งแต่เด็กเลยหรือไม่ ควรทำตอนอายุเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม วันนี้เรามาหาคำตอบกันครับ

การจัดฟัน เป็นกระบวนการทางทันตกรรม เพื่อ รักษาความผิดปกติ ของการเรียงฟัน การสบฟัน รวมถึงปัญหา ที่เกี่ยวกับขากรรไกร ที่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับใบหน้า เพื่อให้มีการสบฟันที่ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหาร  ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฟันผุ หรือโรคเหงือก อันเนื่องมาจาก ฟันเรียงตัวผิดปกติ และหลีกเลี่ยง การเกิดรอยสึก ของฟันจากการเรียงฟัน หรือการสบฟันที่ไม่เหมาะสม

 
ลักษณะการสบฟันที่ผิดปกติ

    ฟันซ้อน
    ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง
    ฟันหรือลักษณะขากรรไกร ดูผิดสัดส่วน
    กัดหรือเคี้ยวอาหารได้ละบาก
    เด็กที่ชอบหายใจทางปาก


จัดฟันได้ตอนอายุเท่าไหร่


ผู้ปกครอง หากพบว่าลูกหลานของท่าน มีปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติและอาการอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้น ควรได้รับการตรวจจากทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อทำการรักษาต่อไป โดยความเหมาะสมของอายุในการจัดฟัน ทันตแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยขึ้นอยู่กับว่ามีปัญหาฟันหรือปัญหาขากรรไกร

หากมีปัญหาฟัน สามารถเริ่มแก้ไขได้ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ แม้มีฟันน้ำนมอยู่ก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบก่อน เพราะหากเริ่มแก้ปัญหาฟันตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้เมื่อโครงสร้างฟันได้ดี เมื่อฟันน้ำนมเปลี่ยนไปเป็นฟันแท้จะแก้ไขง่ายมากขึ้น


แต่หากมีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของขากรรไกร ในเคสที่ขากรรไกรล่างยื่น ก็ต้องผ่าตัดขากรรไกรร่วมด้วย บางครั้งอาจต้องผ่าตัดขากรรไกรบนและล่าง พร้อมเสริมคางไปด้วย ผู้ปกครองสามารถเริ่มต้นปรึกษาเรื่องฟันของลูกหลานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะช่วยรักษาและป้องกันการเจริญเติบโตขอขากรรไกรที่ผิดปกติได้ โดยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ 7 ขวบ

 
ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจัดฟัน คือ ช่วงอายุประมาณ 10 -15 ปี เนื่องจาก อยู่ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายกำลังเจริญเติบโตได้ดี และมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้ามากที่สุด ทำให้ฟันมีการเคลื่อนที่ได้ง่าย จึงเป็นประโยชน์ต่อการจัดฟัน การจัดฟันสำหรับเด็ก อาจไม่จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน แต่จะเป็นการดี หากพ่อแม่ผู้ปกครอง พาลูกหลานไปตรวจเช็คฟันตามปกติ

 
การจัดฟัน ตามวัย

-    ในวัยเด็ก  นับตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เป็นระยะที่มีชุดฟันผสม ระหว่างฟันน้ำนมและฟันแท้อยู่ แต่เป็นช่วงที่ฟันหน้า และฟันกรามถาวรซี่แรก ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ควรจัดฟัน เพื่อแก้นิสัยหรือความผิดปกติที่เกิดจากขากรรไกร โดยเครื่องมือชักนำและปรับเปลี่ยนทิศทางการเจริญเติบโตของขากรรไกร
-    ในวัยรุ่น เริ่มตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เป็นช่วงอายุที่ฟันแท้จะขึ้นครบแทนฟันน้ำนมแล้ว จึงเป็นระยะที่เข้าสู่ช่วงฟันถาวรทุกซี่ ยกเว้นฟันกรามซี่ในสุด 4 ซี่สุดท้าย (ซี่ที่3) เป็นระยะที่เหมาะสม ในการจัดฟัน เพื่อแก้ไขตำแหน่งฟันผิดปกติ
-    ในวัยผู้ใหญ่ การจัดฟันแก้ไขได้เฉพาะความผิดปกติของตำแหน่งฟัน

สำหรับผู้ที่สนใจในการจัดฟัน ควรได้รับ การตรวจเช็คปัญหาและลักษณะของฟันจากทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อทำการรักษาเป็นขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจัดฟัน ควรศึกษาหาข้อมูล รูปแบบการจัดฟันประเภทต่าง ๆ ด้วย เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับตนเอง ทั้งความสะดวก การดูแลรักษาเครื่องมือ และค่าใช้จ่ายในการจัดฟันด้วย




ช่วงอายุที่เหมาะสม ในการ จัดฟัน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/

224
รถรับจ้างขนของอุบลราชธานี ย้ายบ้าน รับจ้างขนของทั่วไป 4-6-10ล้อ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดอุบลราชธานี

หากนับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานี คุณจะนึกถึงอะไรแน่นอนว่าจังหวัดอุบลราชธานีนั้นเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของภาคอีสานและมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายถือว่าเป็น unseen thailand อีกจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยวันนี้เราจะมาไล่เรียงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจพร้อมกับตำแหน่งที่ตั้งว่าถ้าเราเดินทางมาที่นี่แล้วจะมา ที่ไหนก่อนเป็นอันดับแรกเรามาเริ่มกันเลย

1 อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เหมาะสำหรับคนที่ชอบใกล้ชิดกับธรรมชาติแต่ไม่มีแรงที่จะเดินป่า ต้องมาที่นี่เลยโดยเฉพาะในช่วง ปลายฝนคือประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคมในช่วงดังกล่าวนี้จะมีดอกไม้ผลิบานสวยงามมากเต็มลานหิน ทำให้ใครที่มาท่องเที่ยวอุทยานแห่งนี้จะรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก แต่ที่สำคัญเสน่ห์ของผาแต้มนั้น คนจะเข้ามาชมภาพเขียนสี เป็นภาพเขียนสีเก่าโบราณ รวมไปจนถึงดูน้ำตก นั่นเอง

2 สามพันโบก เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานีที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดเป็นอย่างมากสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้จะอยู่ที่อำเภอโพธิ์ไทร ส่วนใหญ่เราจะพบเห็นในช่วงหน้าแล้งกลางน้ําโขง ที่สวยงามมากจะมี บางบ่อมีขนาดใหญ่คล้ายสระว่ายน้ำ บางแห่งก็มีขนาดเล็กโดยมีลักษณะแตกต่างกันไป สำหรับคนที่ชอบมาเที่ยวในลักษณะนี้ควรจะมาในช่วงเวลาตอนเช้าและตอนเย็น จะทำให้อากาศดีและเย็นสบาย

3 ผาชะนะได จะตั้งอยู่ที่ป่าดงนาทาม ของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จะเป็นภูเขาสูง ซึ่งจะเป็นจุดมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นจุดแรกของประเทศไทย อยู่ติดกับแม่น้ำโขงเราสามารถที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ เมื่อยืนที่ผาชะนะได จะเห็นประเทศลาวโดยมีภูเขาแดนลาว อยู่ตรงเบื้องหน้า ที่นี่จะมีทั้งทะเลหมอก สำหรับใครที่ต้องการมาท่องเที่ยวท่านสามารถเดินทางมาที่ ตำบลนาโพธิ์กลางหรือสอบถามเส้นทางการท่องเที่ยวก็ได้เช่นเดียวกัน

4 วัดพระธาตุหนองบัว หากท่านใดสนใจที่จะเดินทางมากราบไหว้สักการะหรือทำบุญเหมาะมากสำหรับสถานที่แห่งนี้โดยจะมี ลักษณะของสถาปัตยกรรม ที่น่าสนใจคือพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ โดยสร้างขึ้นในปี 2500 ซึ่งองค์พระธาตุจะมีขนาดใหญ่มากโดยเป็นสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 17 เมตร สูง 56 เมตร

5 หาดหงส์ ถือว่าเป็นหาดทรายที่มีขนาดใหญ่ จะอยู่ใกล้ๆกับสามพันโบกเป็นหาดทราย ที่เกิดขึ้น ของแม่น้ำโขงเป็นการพัดพาตะกอนมาทับถมกัน ซึ่งหาดทรายแห่งนี้ จะมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมากในช่วงตอนเย็น หรือช่วงบ่ายแก่ๆนั่นเอง

ลูกค้าทุกท่านที่ต้องการใช้ รถรับจ้างขนของอุบลราชธานี รถรับจ้าง รถขนของ ทุกชนิดซึ่งเราพร้อมให้บริการ รับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน สินค้าทั่วไปทุกประเภท ของจังหวัดอุบลราชธานี วันนี้เราจะมาอัพเดตถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดอุบลราชธานี รวมไปถึงงานที่ให้บริการ รับจ้างขนของอุบลราชธานี ทุกประเภท เพื่อให้ลูกค้าหรือบุคคลทั่วไปที่เดินทางมายังจังหวัดอุบลราชธานี หรือเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดดังกล่าว ได้มีโอกาสเข้ามาเที่ยวและเข้ามาใช้บริการ รถรับจ้างอุบลราชธานี ของเราซึ่ง ขนส่งเรามีความยินดีต้อนรับทุกท่านที่เดินทางมายังจังหวัดนี้ก่อนอื่น เราต้องบอกก่อนว่า จังหวัดอุบลราชธานีนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต อย่างมากมายในภาคอีสาน ใครที่เข้ามาเที่ยวสิ่งสำคัญคุณต้องไม่พลาดที่จะเช็คอินสถานที่เหล่านี้ในจังหวัดอุบลราชธานี และการเดินทางจะสะดวกมากขึ้น เมื่อคุณเข้ามาใช้บริการ รถรับจ้างขนของอุบลราชธานี ในว่าจะเป็น รถหกล้อรับจ้างอุบลราชธานี รถกระบะรับจ้างอุบลราชธานี รถขนของอุบลราชธานี ขนย้ายบ้าน รถรับจ้างย้ายบ้านอุบลราชธานี รถสิบล้อรับจ้างอุบลราชธานี รถเฮียบรับจ้างอุบลราชธานี ฯลฯอีกมากมาย ซึ่งไม่ว่าคุณต้องการที่จะเดินทางไปที่ไหนจะขนย้ายสินค้าเป็นอะไร หรือต้องการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ใดในจังหวัดอุบลราชธานี รวมไปจนถึงวิ่งไปต่างจังหวัดเราก็มี รถขนของไปต่างจังหวัด ไว้คอยบริการลูกค้าโดยที่ท่านสามารถติดต่อเข้ามาสอบถามข้อมูลขอคำแนะนำและละเอียดในการขนย้าย หรือช่องทางสะดวก ทั้ง Facebook Line เว็บไซต์


รถรับจ้างขนของอุบลราชธานี ย้ายบ้าน รับจ้างขนของทั่วไป 4-6-10ล้อ

เรายังมีจุดบริการ รับจ้างขนของจังหวัดอุบลราชธานี ในหลายๆเขตที่รองรับการขนย้ายของให้กับลูกค้าที่ใกล้บ้านที่สุด ดังนี้

รถขนของอำเภอกุดข้าวปุ้น
รถขนของอำเภอโขงเจียม
รถขนของอำเภอเขมราฐ
รถขนของอำเภอเขื่องใน
รถขนของอำเภอเดชอุดม
รถขนของอำเภอเมืองอุบลราชธานี
รถขนของอำเภอดอนมดแดง
รถขนของอำเภอตาลสุม
รถขนของอำเภอตระการพืชผล
รถขนของอำเภอทุ่งศรีอุดม
รถขนของอำเภอนาจะหลวย
รถขนของอำเภอนาตาล
รถขนของอำเภอนาเยี่ย
รถขนของอำเภอน้ำขุ่น
รถขนของอำเภอน้ำยืน
รถขนของอำเภอบุญฑริก
รถขนของอำเภอโพธิ์ไทร
รถขนของอำเภอพิบูลมังสาหาร
รถขนของอำเภอม่วงสามสิบ
รถขนของอำเภอวารินชำราบ
รถขนของอำเภอศรีเมืองใหม่
รถขนของอำเภอสว่างวีระวงศ์
รถขนของอำเภอสำโรง
รถขนของอำเภอสิรินธร

รถขนของอำเภอเหล่าเสือโก้ก

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานียังมีอีกมากมายนี่เป็นเพียงน้ำจิ้มเล็กๆน้อยๆสำหรับผู้ที่สนใจเข้ามายังจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งทางขนส่งเรายินดีให้บริการข้อมูลทั้งสถานที่ท่องเที่ยวรวมไปจนถึงให้บริการ รถรับจ้าง ในเขตพื้นที่ดังกล่าว ท่านจะสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อมาใช้บริการและขอคำแนะนำจากทีมงานของเราเราบริการงานรับจ้างขนของด้วย รถรับจ้างขนของอุบลราชธานี มาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี เรามีความชำนาญ และ มีความสามารถในการให้บริการรถขนของเป็นอย่างมากเรามีทีมงานที่มีความพร้อมทั้งในเรื่องของคนขับรถที่มีความชำนาญในทุกเส้นทางและพนักงานยกสินค้าที่มีความเก่ง มีความชำนาญและไม่ทำให้สินค้าของคุณต้องแตกเสียหายมั่นใจกับเราได้  ไม่ว่าคุณต้องการที่จะ ขนย้ายบ้าน ย้ายสำนักงาน ย้ายบ้าน ทั่วไป ขนย้ายออฟฟิค ย้ายไซด์งานก่อสร้าง รับขนของทั่วไป โทรมาไก้ตลอด 24 ชม.



รถรับจ้าง อุบลราชธานี บริการเป็นไงบ้าง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.rodrubjang-youservice.com/

225
เมื่อเราต้องเริ่มทำธุรกิจคำถามที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ “จะต้องทำยังไงล่ะ เราถึงจะไม่ไปอยู่ใน 95% นั้น” เริ่มธุรกิจใหม่ยังไงให้ธุรกิจของเราเข้าไปอยู่ใน 5% ที่เหลือ
ตัวผมเองหลายครั้งก็มักจะได้รับคำถามในทำนองนี้เช่นกัน ในบทความนี้ผมเลยขอถือโอกาสมาเล่าเทคนิคการเริ่มทำธุรกิจให้ฟังจากมุมมองของผมว่า จะเริ่มธุรกิจใหม่ยังไง มีอะไรบ้างที่เราควรตระหนักหรือคำนึงถึงเป็นพิเศษบ้าง เริ่มเลยนะครับ

1. ทำการบ้านและศึกษาข้อมูลให้เยอะ (Deep Dive Research)
สิ่งที่ควรทำเมื่ออยากเริ่มธุรกิจนั้น อันดับแรกคุณต้องรู้จักและเข้าใจในธุรกิจที่คุณกำลังจะเข้าไปทำให้ดี รู้ว่าในตลาดที่คุณกำลังลงไปเล่นนั้นเขาแข่งขันกันด้วยอะไร เพราะอะไรลูกค้าถึงต้องซื้อของคุณ คุณสามารถสร้างข้อแตกต่างหรือข้อได้เปรียบอะไรบ้าง และเริ่มวางแผนบนกระดาษก่อนที่จะลงเงินจริง ๆ หนึ่งในเครื่องมือหรือเทคนิคการเริ่มทำธุรกิจที่นิยมใช้กันมากที่สุด ก็คือ Business Model Canvas ที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นเองครับ
ซึ่ง Business Model Canvas นั้นประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 9 ข้อที่สำคัญครอบคลุมการทำธุรกิจทุกประเภท ดังนี้ครับ

    Value Propositions : คุณค่า/จุดแข็ง ของสินค้าหรือบริการของเราคืออะไร
    Customer Segment : กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร สินค้าเราจะขายใคร
    Channels : เราจะสามารถจัดส่งหรือเข้าถึงลูกค้าได้ในช่องทางไหนบ้าง
    Customer Relationships : เรามีวิธีที่จะสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าของเราอย่างไร
    Revenue Streams : เรื่องนี้สำคัญมาก คือ “รายได้ของธุรกิจจะมาจากไหน”
    Key Resource : อะไรคือทรัพยากรหลักในธุรกิจ
    Key Activities : ธุรกิจคุณทำอะไรเป็นหลัก
    Key Partners : พาร์ทเนอร์ที่สำคัญในการทำธุรกิจคือใคร
    Cost Structure : โครงสร้างของค่าใช้จ่าย และต้นทุนในการดำเนินการเป็นอย่างไร

2. ขายในสิ่งที่ “ลูกค้าต้องการ” ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ
ไม่มีเทคนิคการเริ่มทำธุรกิจไหนดีไปกว่าการที่คุณแน่ใจว่าคุณกำลังขายในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ เพราะถ้าสินค้าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ต่อให้คุณตั้งใจทำขนาดไหนก็ยากที่จะมีคนซื้อ เพราะมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใด ๆ ให้กับลูกค้าเลย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าต้องการอะไรจริง ๆ ง่ายที่สุดก็คือ อย่าคิดเองเออเองในห้องประชุมครับ ออกไปคุยกับลูกค้าจริง ๆ ไปเรียนรู้ ไปเข้าใจลูกค้า หาให้เจอครับว่าอะไรที่เป็น Pain Point อะไรที่เขาอยากได้

ซึ่งเทคนิคการเริ่มทำธุรกิจนี้ผมเคยเขียนไว้ที่ Plearn เพลิน by Krungsri GURU ในบทความที่ชื่อว่า “หาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าคุณให้เจอ”
เพราะผมเห็นมานักต่อนักแล้วล่ะครับ คนที่ทำธุรกิจตามฝัน ตาม Passion ถ้า Passion ของคุณเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่แล้วยังไม่มีแผนสำรองก็เตรียมตัวเจ๊ง... ได้เลยครับ
จริงอยู่ว่าการทำตาม Passion นั้นเป็นเรื่องที่ดี
“แต่การทำธุรกิจเรื่องของ Passion อย่างเดียวนั้นคงไม่พอ”


3. เข้าใจคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทุกวันนี้สิ่งต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น การที่คุณมีร้านอาหารอยู่ในละแวกนั้น ไม่ได้แปลว่าคู่แข่งคุณจะต้องอยู่ในละแวกเดียวกันอย่างเดียวเท่านั้น แต่คู่แข่งของคุณอาจจะมาจากร้านที่อยู่ห่างคุณไปอีกเป็น 10 กิโล เพราะโมเดลมันเปลี่ยนไป การเกิดขึ้นของ Platform Food Delivery ทำให้มีร้านเกิดใหม่ที่เป็น Ghost Restaurant (ร้านอาหารที่ไม่มีหน้าร้าน) เกิดขึ้นมากมาย ทำให้คนมีตัวเลือกมากขึ้น
แล้วจะเริ่มธุรกิจใหม่ยังไงดีล่ะ? ถ้าตอนนี้คุณทำธุรกิจร้านอาหาร คู่แข่งทางตรงของคุณอาจจะเป็นร้านใกล้ ๆ คุณ แต่คู่แข่งทางอ้อมอาจจะมาจากที่ไหนก็ได้ ดังนั้น วันนี้หากคุณทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ แล้วจะรู้แค่เรื่องการทำร้านอาหารอาจจะไม่พออีกต่อไป แต่เทคนิคการเริ่มทำธุรกิจที่ดีต้องเข้าใจเรื่องของ Digital Marketing ด้วย


4. จ้างคนที่ควรจ้าง จ่ายในสิ่งที่ควรจ่าย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมพูดบ่อยมาก ๆ ว่าอย่าพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง การทำธุรกิจเราไม่สามารถทำคนเดียวทุกอย่างได้คุณต้องมีทีมที่เก่ง ดังนั้น หากจำเป็นจริง ๆ การจ้างคนอื่นมาทำในสิ่งที่คุณไม่ถนัด หรือทำได้ไม่ดีเป็นสิ่งที่ควรทำเมื่ออยากเริ่มธุรกิจ (ถ้าไม่มีเงินจ้าง ก็อาจจะใช้วิธีหาพาร์ทเนอร์ที่เขามีความถนัดในสิ่งที่เราไม่ถนัดก็ได้ครับ)

ประเด็นนี้ Ben Walker ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Transcription Outsourcing เคยให้คำแนะนำที่น่าสนใจและผมก็คิดว่ามันจริงมาก ๆ โดย Ben Walker บอกไว้ว่าอย่างนี้ครับ
“เทคนิคการเริ่มทำธุรกิจอย่างแรกที่เขาอยากแนะนำให้เจ้าของธุรกิจทำ คือ การหาโค้ชดี ๆ สักคน จ้างบริษัทที่ปรึกษาดี ๆ สักที่ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนหนึ่งจะจัดการได้ทุกแง่มุมของบริษัท แม้ว่าคุณจะเก่งมากแค่ไหนก็ตาม”
และสุดท้ายเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องของระบบ หรือ System ต่าง ๆ ด้วย อะไรที่มันสามารถช่วยให้เรารันธุรกิจได้ง่ายขึ้น เราควรที่จะจ่ายกับสิ่งนั้น แน่นอนเราต้องศึกษาให้ดีด้วยนะครับ เพราะหลายครั้งกลายเป็นว่า “ระบบที่ซื้อมานอกจากจะไม่ช่วยให้คนทำงานสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังเป็นภาระและเพิ่มงานที่ไม่จำเป็นให้กับทีมของคุณอีกต่างหาก”


5. เรื่องเงินเรื่องใหญ่
เรื่องเงินอันนี้เรื่องใหญ่ เพราะการเป็นเจ้าของกิจการจะต้องสามารถอธิบายที่มาที่ไป ครบทุกมิติ และชัดเจน ไม่คลุมเครือ
ไล่ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ แหล่งเงินทุนของเราจะมาจากไหน จำนวนเท่าไหร่ ต้นทุนของเงินคือเท่าไหร่ (ดอกเบี้ย)
หลังจากเริ่มธุรกิจไปแล้ว ก็ควรจะต้องประเมินต่อว่าถ้าเกิด scenario ต่าง ๆ เราจะรับมือหรือบริการจัดการเรื่องเงินอย่างไรต่อ ตามเทคนิคการเริ่มทำธุรกิจที่เรียกว่า Best, worst and average case scenario

    Best Case Scenario | สถานการณ์ของธุรกิจออกมาดีมาก ๆ : อันนี้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากให้เกิดขึ้นล่ะครับ สิ่งที่เราต้องคิดต่อถ้าเกิด Best Case Scenario คือจะต่อยอดอย่างไร แหล่งเงินที่จะใช้มาหมุนเวียน หรือลงทุนเพิ่มจะมาจากที่ไหน เป็นกำไรที่เกิดขึ้น หรือกู้จากแหล่งไหน
    Worst Case Scenario | สถานการณ์ของธุรกิจออกมาแย่! : อันนี้หนักใจสุด ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ประเมิน หรือวางแผนไว้เลย และส่วนใหญ่มันมักจะเป็นอย่างนั้นเสียด้วยน่ะสิครับ เราจะต้องทำอย่างไร เราได้คิดไว้หรือยังว่าถ้าธุรกิจขายไม่ได้ตามเป้า หรือขาดทุน เราจะเติมเงินเข้าไปเพิ่มเท่าไหร่ แล้วจะเอาเงินจากไหนเติม ถ้าเติมจะเติมไปถึงเมื่อไหร่ หรือถ้าหาแหล่งเงินทุนไม่ได้จะรับมืออย่างไร
    Average Case Scenario | สถานการณ์ปกติ : อันนี้ก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ดี เพราะเป็นไปตามแผนที่วางไว้




สอนสร้างธุรกิจ: สิ่งที่ควรทำเมื่ออยากเริ่มธุรกิจ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://businesssmarttools.com/

226
แจกไอเดียการสร้างบ้านโมเดิร์นให้สวยปัง ไม่ซ้ำใคร ซึ่งแบบบ้านที่เรารวบรวมมาเป็นสไตล์ที่คุณคิดไม่ถึง เพราะมีเอกลักษณ์และการตกแต่งที่แปลกจากบ้านปกติแต่ยังให้อารมณ์ของบ้านสไตล์โมเดิร์นที่สวยงาม ทันสมัย และแฝงไปด้วยความอบอุ่นอยู่เช่นเคย ใครที่กำลังมองหามองหาไอเดียการสร้างบ้านให้สวยปัง ไม่ซ้ำใคร ต้องห้ามพลาด! อยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าจะมีแบบบ้านสไตล์ไหน และน่าสนใจเพียงใด ไปดูกันเลย


7 ไอเดียสร้างบ้านให้เรียบหรู โดยบริษัทรับสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์น

 
   
1. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวแบบยกพื้นสูงสไตล์ล้านนา

    บ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง ถือเป็นบ้านในฝันสไตล์ล้านนาสำหรับพักอาศัยในบั้นปลายของคู่รัก เพราะบ้านหลังนี้จะถูกล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติและต้นไม้ และหัวใจของบ้านคือ “ห้องโถง” ที่โปร่งโล่ง โดยจะเน้นการใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก เพื่อให้ความเป็นธรรมชาติที่สุด ทั้งนี้ บริษัทรับสร้างบ้านโมเดิร์น แนะนำให้สร้างบ้านสไตล์โมเดิร์นแบบล้านนาบนพื้นที่สูง เพื่อความสุนทรียภาพในการชมบรรยากาศ ชมวิวภูเขา และธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
   

2. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวทรงกล่อง

    แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงทรงกล่อง หากแต่งตัวบ้านโทนสีขาว มีลานโล่งและสวนหย่อม ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ ภายในตัวบ้านควรเน้นให้มีเพดานสูงโปร่ง เพื่อความสบายตา ตกแต่งเพิ่มด้วยกระจกทรงสูงเพื่อเปิดรับแสงได้เต็มที่ และตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์บิลต์อินผสมเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว มีทั้งโทนสีไม้จริงสลับกับโทนสีขาว จึงช่วยให้บรรยากาศในบ้านอบอุ่นมากขึ้น
   

3. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวสวยร่มรื่น สำหรับครอบครัวเล็กๆ

    ตัวบ้านออกแบบโดยอิงกับทิศทางของลมและแสงแดด เพื่อช่วยลดความร้อนจากแสงแดด และลดการใช้พลังงานไปพร้อมกัน สร้างพื้นที่สีเขียวที่โอบล้อมรอบบ้าน ภายในบ้านประกอบด้วย ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องกินข้าว เน้นตกแต่งไปทางสไตล์มินิมอล ใช้ของน้อยชิ้น แต่แน่นไปด้วยฟังก์ชันการใช้งาน มีสวนหย่อมกลางบ้าน พร้อมชานระเบียงเล็ก ๆ ไว้นั่งเล่น เพียงเท่านี้คุณก็สามารถมีความสุขกับบ้านและครอบครัวเล็ก ๆ ได้อย่างอบอุ่นและทั่วถึง
   

4. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวทรงเหลี่ยมสีขาว

    แบบบ้านชั้นเดียวโมเดิร์นสีขาว หากสร้างในพื้นที่ภูมิภาคสูงจะได้วิวกลางทุ่งนา เน้นปลูกต้นไม้รอบบ้าน ตัวบ้านยังมีการตกแต่งด้วยกระจกบานใหญ่เพื่อช่วยให้มองเห็นวิวธรรมชาติรอบบ้าน ภายในบ้านเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ปูพื้นด้วยไม้ตัดกับผนังสีขาว ทำให้บ้านดูอบอุ่นน่าพักผ่อน ประดับด้วยเฟรมผ้าใบจากรูปวาดของคนในบ้านก็ให้บรรยากาศแสนน่ารักละอบอุ่นได้เช่นกัน
   

5. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวสไตล์ไทยโมเดิร์น มีระเบียงไม้หน้าบ้าน

    แบบบ้านโมเดิร์นที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยประยุกต์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ เพราะการตกแต่งเน้นสีเอิร์ธโทนและไม้เป็นวัสดุหลัก ภายในประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น และห้องรับประทานอาหาร หากได้พื้นที่ใช้สอยประมาณ 102 ตารางเมตร ก็ไม่ได้ดูคับแคบหรืออึดอัด เพราะจัดส่วนกลางแบบ Open Plan ไม่มีผนังกั้นระหว่างห้อง แต่ยังดูเป็นสัดส่วน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นภายนอกได้จากทุกมุมห้องอีกด้วย
   

6. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียว ทำเลริมน้ำ อากาศดี ลมเย็นสบาย

    ใครที่มีที่ดินริมน้ำแล้วอยากสร้างบ้านชั้นเดียวโมเดิร์น แนะนำให้สร้างบ้านที่ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีห้องแต่งตัวและห้องรับแขก ภายในบ้านแต่งผนังด้วยอิฐมอญ มีหน้าต่างบานใหญ่มองออกไปเห็นสวนหย่อมเล็กๆ ภายนอกบ้าน และที่เก๋คือวิวริมน้ำนั่งรับลมเย็นได้ตลอดทั้งวัน ยิ่งตอนกลางคืนบรรยากาศสุดโรแมนติก มานั่งกินข้าวนอกบ้านท่ามกลางแสงเทียนดูสิคะ ฟินสุดๆ
   

7. บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์นลอฟท์

    ใครชื่นชอบบ้านสไตล์ลอฟท์ต้องชอบ แนะนำให้สร้างเป็นบ้านชั้นเดียวโมเดิร์น ผนังปูนเปลือย แต่ซ่อนระบบไฟฟ้าและกล้องวงจรปิดในผนังและบนฝ้าเพดาน ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทั้งเตียงนอน ตู้โชว์ เป็นต้น บางส่วนก่อปูนเปลือยขึ้นมา เช่น ชั้นวางทีวี โต๊ะกินข้าว เป็นต้น ส่วนห้องครัวเป็นครัวปูน ภายนอกมีสนามหญ้า และเทพื้นปูนลานจอดรถ เพียงเท่านี้บ้านสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ก็น่าอยู่ขึ้นมาทันที แถมมีความเย็นภายในบ้านจากปูนเปลือยอีกด้วย


บริษัทรับสร้างบ้านโมเดิร์น แบบไหนที่คุณควรเลือก

บริษัทรับสร้างบ้านโมเดิร์น แบบไหนที่คุณควรเลือกและสามารถเชื่อใจในก่อสร้างบ้านของคุณได้เรารวบรวมสิ่งที่คุณต้องพิจารณาเมื่อต้องการเลือกบริษัทรับสร้างบ้านมาไว้ที่นี่แล้ว ใครอยากได้บ้านที่สร้างออกมาสวยงาม โดนใจ ไปดูกันเลย

   
1. ตรวจประวัติและดูผลงานของบริษัทรับสร้างบ้านโมเดิร์นนั้นๆ

    จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการตามหาบริษัทรับสร้างบ้านที่ดีนั้นคือ การค้นหาและคัดเลือกผู้รับเหมาสร้างบ้านที่มีมาตรฐานและดูน่าไว้วางใจ ด้วยการตรวจประวัติและดูผลงานการก่อสร้างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะลองค้นหาชื่อบริษัทจากในอินเทอร์เน็ต หรือลองสอบถามประสบการณ์จากเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงที่เคยใช้บริการ ก็จะได้ข้อมูลคร่าวๆ ก่อนจะเริ่มพูดคุยรายละเอียดกับผู้รับเหมาที่น่าสนใจและรู้สึกจะเข้าท่าจริงๆ กับบ้านในฝันของคุณ
   

2. ขอใบเสนอราคาในการก่อสร้างบ้าน

    หลังจากหาผู้รับเหมาที่สนใจได้สัก 2-3 รายแล้ว คุณต้องแจ้งรายละเอียดการก่อสร้างและขอใบเสนอราคาจากผู้รับเหมา เพื่อให้ทราบมูลค่าการก่อสร้างทั้งหมดที่ต้องจ่าย ซึ่งอาจรวมถึงรายละเอียดและมาตรฐานของวัสดุที่ใช้ และนำใบเสนอราคาทั้งหมดมาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ซึ่งการเสนอราคาก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการทำงานของผู้รับเหมาได้ และคุณก็จะได้เลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่ดีในราคาที่เหมาะสมจากขั้นตอนนี้เอง
   

3. ต้องมีสัญญาการจ้างที่ชัดเจน

    เมื่อพึงพอใจกับราคาที่ผู้รับเหมาสร้างบ้านเสนอมาแล้ว ก็ได้เวลาของการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยห้ามตกลงงานกันปากเปล่า ซึ่งบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพจะเป็นผู้เสนอสัญญาจ้างให้เองเลยโดยไม่ต้องขอ ในสัญญาต้องมีการระบุถึงระยะเวลาการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ การแบ่งชำระเป็นงวดตามความคืบหน้าของงาน มีเงื่อนไขการรับประกันงานก่อสร้าง และถ้ามีพาร์ตเนอร์ที่รับช่วงต่อในงานที่ผู้รับเหมาไม่ถนัด ก็ต้องระบุในสัญญาด้วย
   

4. มีมาตรฐานในการทำงาน

    แม้ว่าจะพยายามหาผู้รับเหมาก่อสร้างให้ดีอย่างไร สุดท้ายมาตรฐานที่แท้จริงก็จะเห็นได้เมื่อเริ่มงาน โดยผู้รับเหมาที่มีมาตรฐานนั้นต้องวางแผนงานให้ทราบอย่างเป็นระบบ หากเป็นงานใหญ่ต้องส่งวิศวกรหรือสถาปนิกของผู้รับเหมามาให้การดูแลถึงหน้างาน และที่ขาดไม่ได้คือเอกสารค่าใช้จ่ายวัสดุ ที่จะแสดงให้เห็นถึงการใช้วัสดุและค่าใช้จ่ายระหว่างก่อสร้าง ซึ่งถ้าผู้รับเหมาตกมาตรฐานไหนไป คุณต้องเรียกหาทันที
   

5. ควรมีผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจรับงาน

    การตรวจรับงานไม่ใช่แค่การให้ทีมงานของบริษัทรับสร้างบ้านมาเดินตรวจดูบ้านด้วยกัน แต่ควรมีสถาปนิกหรือวิศวกรก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมตรวจงานด้วย ซึ่งคุณจะต้องเป็นผู้หาคนกลางมาเอง แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ควรมีวิศวกรฝั่งผู้รับเหมามาร่วมตรวจงานด้วย โดยบริษัทรับสร้างบ้านต้องมีรายการตรวจรับงานอย่างชัดเจน หากมีอะไรผิดจากที่เคยตกลงกันไว้ต้องพร้อมแก้ไข และเมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าบ้านของคุณสมบูรณ์แบบแล้ว จึงค่อยชำระเงินงวดสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้นการส่งมอบงาน


แจกไอเดียบ้านสวยโมเดิร์นโดย บริษัทรับสร้างบ้านโมเดิร์น อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://luxuryhomesdesigns.com/

227
ถ้าคุณได้ตามเก็บทริป ทั้งที่เที่ยวภูเขาอย่าง 44 ที่เที่ยวเชียงใหม่ เที่ยวไม่หมดไม่กลับบ้าน, 15 ที่เที่ยวเชียงราย เที่ยวสนุก เก็บทุกจุดเช็กอิน หรือจะ ทริปชิลไปง่าย ๆ อย่าง 25 ที่เที่ยวสระบุรี เที่ยวง่ายใกล้กรุงฯ จนครบแล้ว คราวนี้เราไปชิลที่ทะเลกันบ้างดีกว่า ~ กระบี่เป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสวย ที่ใคร ๆ ทั่วโลกต่างก็รู้จัก และยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ และการผจญภัย ...ไม่ขอเกริ่นมากเพราะรู้ว่าคุณอยากไปแล้ว เอาละ ไปกันเลยดีกว่า!


• ถ้าคุณมีรถส่วนตัว สามารถขับจากกรุงเทพฯ ไปกระบี่ได้ 2 เส้นทาง คือ

    ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ไปจนถึงกระบี่ ระยะทางประมาณ 946 กิโลเมตร
    ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) จนถึงจังหวัดชุมพร แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร สู่อำเภอไชยา อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 4035 ถึงอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ แล้ววกเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4 เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ ระยะทางประมาณ 814 กิโลเมตร

• รถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ ทั้งของบริษัท ขนส่ง จำกัดและของเอกชน สายกรุงเทพฯ-กระบี่ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ถึงจะใช้เวลาเดินทางนานหน่อยประมาณ 11-12 ชั่วโมง แต่ก็ได้เอนจอยบรรยากาศระหว่างทาง

• เครื่องบิน สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา การเดินทางโดยเครื่องบินน่าจะสะดวกสบายและเร็วที่สุด โดยลงที่สนามบินกระบี่ได้เลย ใครที่ขยันดูโปรโมชั่นจากสายการบินเป็นระยะ อย่าลืมมองหาเส้นทางนี้นะจ๊ะ
เมืองกระบี่

แน่นอนว่า ถ้าเที่ยวกระบี่ เมืองกระบี่คงเป็นจุดแรกที่เราจะต้องแวะมาเช็กอิน จากตัวเมืองกระบี่ เราสามารถนั่งเรือไปเที่ยวเกาะเล็กเกาะน้อยต่าง ๆ จะค้างคืน หรือจะไปเช้าเย็นกลับก็ได้ โดยในตัวเมืองกระบี่ยังมีเรือโดยสารให้บริการไปยังสถานที่เที่ยวกระบี่ต่าง ๆ เช่น อ่าวไร่เลย์ เกาะพีพี เกาะลันตา ฯลฯ โดยส่วนใหญ่แล้วเรือจะจอดเทียบอยู่ที่ท่าเจ้าฟ้า
เมืองกระบี่

1. เกาะปอดะ

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4036 กระบี่ (นั่งเรือมายังเกาะ เกาะปอดะ)
    เวลาเปิด - ปิด : 24 ชั่วโมง

“เกาะปอดะ” เป็นเกาะของเอกชนที่ยังคงความงดงาม ตั้งอยู่ในทะเลห่างจากอ่าวนางประมาณ 8 กิโลเมตร ถือเป็น 1 ใน 4 เกาะไฮไลต์ของกระบี่ มีหาดทรายขาวละเอียด ทะเลสีฟ้าใส เหมาะกับการมาเล่นน้ำมากกว่าชมปะการัง และมีไฮไลต์คือการมาชมทะเลแหวก ซึ่งควรมาชมในช่วงเวลาน้ำลงต่ำสุดในแต่ละวัน โดยเฉพาะในวันก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ราว 5 วัน โดยช่วงเวลาที่เหมาะกับการเที่ยวทะเลแหวกคือ ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายนถึงต้นพฤษภาคม นอกจากนี้บนเกาะยังมีที่พัก และร้านอาหารมากมาย ที่สำคัญคือแม้จะเป็นเกาะของเอกชนแต่เจ้าของก็ใจดีไม่เก็บค่าขึ้นเกาะ เพราะฉะนั้นเมื่อมาแล้วเราจึงควรช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดนะจ๊ะ


2.ท่าปอม คลองสองน้ำ

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4011 กระบี่ เกาะลันตา
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 24 ชม.
    อัตราค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก 10 บาท

ใครที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Unseen เราขอแนะนำที่นี่เลย “ท่าปอม คลองสองน้ำ” เป็นทั้งแหล่งศึกษาเชิงนิเวศวิทยาเพื่อเรียนรู้ ความสมบูรณ์ของธรรมชาติทั้งในแง่ของทางน้ำใต้ดินและพืชพรรณที่สามารถเติบโตได้ทั้งในน้ำและบนดิน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มหัศจรรย์ ถ้าถามว่ามหัศจรรย์ยังไง คงต้องบอกว่าขอให้ลองไปสัมผัสความใสราวกระจกของสายน้ำที่นี่ดู และถ้าเดินดูจากบนสะพานไม่ถึงใจ ทีนี้ยังมีเรือแคนูให้เช่าพายด้วยนะ


3.เกาะห้อง

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 6024 กระบี่ (เดินทางโดยเรือสปีดโบ๊ทแบบ One Day Trip)
    อัตราค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก 60 บาท

ใครที่ชอบดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น ห้ามพลาด "เกาะห้อง" เกาะอันแสนงามที่ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของ “เกาะห้อง” (ซึ่งได้ชื่อเรียกนี้เพราะลักษณะที่เปรียบเสมือนสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่) คือมีผนังเป็นหน้าผาชันโดยรอบ ลักษณะคล้ายห้อง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว เกาะห้อง มีดีกรีติดอันดับ 1 ใน 10 เกาะที่มีหาดน่าเที่ยวและสะอาดที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการเรือหางยาวนำเที่ยวเกาะต่างๆ ในราคาที่เป็นมิตร


4. ถนนคนเดินกระบี่

    วิธีการเดินทาง : ถนนมหาราช ซอย 8 กระบี่ ใกล้ห้างโวค
    เวลาเปิด - ปิด : ศุกร์ - อาทิตย์ 17.00-22.00 น.

มาเที่ยวกระบี่ ถึงจะยามค่ำคืนก็เที่ยวได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้เวลาท่องเที่ยวของคุณให้คุ้มค่า ด้วยการแวะมาเดิน "ถนนคนเดินกระบี่" ซะหน่อย ถนนคนเดินอยู่ใกล้กับโรตีโวค เจ้าดัง บริเวณด้านหลังในซอย มีของฝาก เสื้อผ้า ของจุกจิกต่างๆ รวมไปถึงอาหารการกินที่หลากหลายให้ได้ชิมกัน และที่สำคัญอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์ด้วย เช่น สี่แยกไฟแดงรูปปั้นมนุษย์โบราณ นกอินทรี ฯลฯ เรียกว่ามาที่เดียวครบ

เป็นอำเภอที่เราอาจไม่ค่อยคุ้นชื่อนัก แต่ถ้าเอ่ยถึง สระมรกต รับรองหลาย ๆ คนต้องร้อง “อ๋อ” กันเลยทีเดียว เพราะเป็นจุดเด่นของที่นี่เลย แถมดังมาก ๆ ในหมู่ชาวต่างชาติ เราคนไทยจึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


5. สระมรกต

    วิธีการเดินทาง : หมู่ที่ 2 ทางหลวงหมายเลข 4038 กระบี่ (คลองท่อม กระบี่)
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 08.00-17.00 น.
    อัตราค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก 10 บาท

“สระมรกต” กำเนิดมาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ เป็นน้ำพุร้อน มีอุณหภูมิประมาณ 30-50 องศาเซลเซียส เป็นสระน้ำสวยใสกลางป่าที่มีน้ำใสเป็นสีเขียวอมฟ้า เปลี่ยนสีไปได้ตามวันเวลาและสภาพแสง ถือว่าเป็นอีกที่ที่ต้องมา อย่าให้แพ้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ระยะทางในการเดินทางมาจากตัวเมืองไม่นานเท่าไหร่ แล้วแต่สภาพการจราจรด้วย ควรไปกันตั้งแต่หัววัน เดี๋ยวจะไม่ทันเล่นน้ำ แล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เพราะเป็นสระที่สวยมาก ๆ เลย


6.น้ำตกร้อยชั้นพันวัง

    วิธีการเดินทาง : ซอยองค์การบริหารส่วนตำบลตรัง กระบี่ (จากตัวเมืองตรังใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านอำเภอห้วยยอด ตรงไปยังอำเภอวังวิเศษ ถึงบ้านคลองชี เลี้ยวขวาเข้าทางบ้านอ่าวตง-บ้านบางคราม อีกประมาณ 29 กิโลเมตร ถึงตัวน้ำตก)

“น้ำตกร้อยชั้นพันวัง” เป็นน้ำตกหินปูน ในบริเวณร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ ธารน้ำตกเป็นชั้นน้ำตกเตี้ยหลายชั้นที่ทอดตัวลดหลั่นกันมาจากเขานอจู้จี้ ด้วยลักษณะเป็นวังน้ำหลาย ๆ วัง จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำตก นอกจากการพักผ่อนเล่นน้ำแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินไต่เขาศึกษาป่าต้นน้ำ และอาจจะได้ยินเสียงนกแต้วแร้วส่งเสียงร้องใสแจ๋วทักทายด้วยนะ เรียกได้ว่าเป็นการพักผ่อนแบบธรรมชาติบำบัดอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องเข้าสปาหรูหราในเมืองกรุง


7. ศูนย์การแพทย์แผนไทยน้ำพุร้อนเค็ม

    วิธีการเดินทาง : ตำบลห้วยน้ำขาว คลองท่อม จังหวัดกระบี่
    เวลาเปิด - ปิด : 07.00-18.00 น.
    อัตราค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก 10 บาท

ใครที่ชื่นชอบการทำสปา วันนี้เราขอแนะนำน้ำพุร้อนเค็มสปาธรรมชาติ เรียกได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เหมาะมากสำหรับการพาผู้ใหญ่มาเที่ยวด้วย หรือจะมาเฮฮากับเพื่อนฝูงก็ยังได้ ใครที่มาที่นี่แล้วคงสัมผัสได้ถึงความน่าตื่นตาตื่นใจจริง ๆ เพราะน้ำพุร้อนเค็ม มีแค่ 2 แห่งเท่านั้นในโลก และไทยก็เป็น 1 ในนั้นเลยเชียวนะ (อีกแห่งอยู่ที่สาธารณรัฐเช็ก) น้ำพุร้อนเค็มเป็นบ่อน้ำผุดมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ ผสมกันระหว่างน้ำร้อนกับน้ำทะเล น้ำใสมากและสะอาด เห็นเป็นสีเขียวมรกต น้ำในบ่อไม่ร้อนมากประมาณ 40 องศา แช่เสร็จพอคลายเหนื่อย ก็อย่าลืมมาใช้บริการนวดแผนไทยดูด้วยนะ จะได้ครบสูตร

ใครที่มีโอกาสแวะมาที่เขาพนม ขอให้ลองสังเกตลักษณะของเทือกเขา ที่ว่ากันว่ามีรูปร่างลักษณะคล้ายผู้หญิงสาว ที่กำลังนอนยาวทอดกายอยู่ ที่นี่เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติพนมเบญจา ที่ใครมา ก็ต้องห้ามพลาดน้ำตกต้นหาร ด้วยประการทั้งปวง


8.น้ำตกต้นหาร

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 1025 กระบี่
    อัตราค่าบริการ : หากค้างคืนมีค่าเช่าเต็นท์ 10 บาท รายละเอียดติดต่ออุทยานแห่งชาติกรมป่าไม้ โทร. 579-7223, 579-5734

“น้ำตกต้นหาร” อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 16 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นน้ำตกที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาพนมเบญจาเช่นเดียวกันกับน้ำตกคลองแหง แต่มีความสูงน้อยกว่า แต่ถึงกระนั้นการจะไปชมก็ไม่ใช่ง่าย ๆ นะจ๊ะ เส้นทางนี้จึงเหมาะกับขาลุย และคนชอบเดินเขา โดยระหว่างเดินทางขึ้นเขาพนมเบญจา เราสามารถไปตั้งเต็นท์ค้างคืนชมความสวยงามแบบเต็มอิ่มของน้ำตกต้นหารได้ แถมที่ได้กลับมา น่าจะเป็นความอิ่มใจ และภูมิใจ ในฐานะผู้พิชิตยอดเขาด้วยนะ


ถ้าเอ่ยถึงกระบี่ อีกหนึ่งสถานที่ที่น่าหลงใหล คงหนีไม่พ้นเกาะลันตา อีกหนึ่งเกาะที่หลบซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ กลางท้องทะเลอันสวยงามของบ้านเรา ด้วยเกาะลันตาค่อนข้างมีระยะทางห่างจากแผ่นดิน จึงยังคงความสวยงามของธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน จากอำเภอเกาะลันตา ยังสามารถนั่งเรือไปยังเกาะน้อยใหญ่มากมาย ใครที่สนใจอยากลองใช้ชีวิตแบบชาวเกาะ ที่นี่ถือว่าเหมาะเจาะสำหรับคุณเลย


9. เกาะลันตา

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4245 กระบี่
    เวลาเปิด - ปิด : 07.00-17.00 น.

“เกาะลันตา” เป็นเกาะที่มีชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นแนะนำให้มาในช่วง Green Season ส่วนที่พัก ชาววงในกระซิบมาว่า ควรอยู่ใกล้ตลาดน่าจะดี เช่นบริเวณหาดคลองดาว หาดพระแอะ เพราะจะอุดมสมบูรณ์หาของทานง่ายกว่าบริเวณอื่น ๆ ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ คือควรเช็กสภาพอากาศให้ถี่ถ้วน เอาให้ดีเช็กกันวันต่อวันไปเลย เพราะถ้ามาช่วงฝนตกจะเดินทางลำบากมาก ถ้ามาช่วงปลายปียิ่งดีใหญ่ เพราะสามารถพักได้ทุกหาด แต่ไหน ๆ มาทั้งที เราขอแนะนำว่าให้ลองไปเซอร์เวย์เกาะต่าง ๆ โดยรอบดูด้วยก็จะดีนะ


10.เกาะไหง

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงชนบทหมายเลข 5036 กระบี่ (นั่งเรือไปยังเกาะที่ท่าเรือ Saladan)

เป็นเกาะที่ว่ากันว่ามีทรายเม็ดละเอียดดั่งแป้ง ทั้งยังมีทะเลที่สวยงามเงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อน และกิจกรรมถ่ายรูป ดำน้ำตื้น เล่นน้ำ เกาะไหงอยู่ที่รอยต่อของกระบี่และตรัง ด้านทิศตะวันออกและด้านทิศใต้เป็นหาดทรายขาวทอดตัวยาว ทางด้านทิศใต้เป็นอ่าว ด้านทิศตะวันตกเป็นภูเขาสูงลาดชัน มีที่พักบนเกาะมากมายให้เลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการ สามารถเดินทางจากท่าเรือปากแมง ที่จังหวัดตรังได้ด้วยนะ


11.ชุมชนเมืองเก่าเกาะลันตา

    วิธีการเดินทาง : นั่งรถมาที่เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา กระบี่ 81150 (อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะลันตาใหญ่)
    เวลาเปิด - ปิด : ห้างร้านแต่ละที่อาจจะมีเวลาเปิด-ปิดที่ต่างกันออกไป จึงควรมาในเวลากลางวัน

มาถึงตรงนี้ใครบางคนอาจบ่นว่าทำไมทริปนี้มีแต่ทะเล้~ทะเล เราเลยขอนำเสนอสถานที่นี้ เผื่อใครอยากพักจากการเล่นน้ำมาเดินชมหมู่บ้านน่ารัก ๆ ที่ชุมชนเมืองเก่าเกาะลันตาหรือที่มีชื่อเรียกว่า ชุมชนศรีรายา รู้จักกันในหมู่ฝรั่งว่า "Lanta Old Town" ชุมชนนี้เป็นชุมชนเก่าแก่โบราณ มีมาตั้งแต่ในยุคสมัยสำเภาจีน อายุมากกว่าร้อยปี เริ่มตั้งแต่ช่วงที่ชาวจีนได้ทำมาค้าขายแถวทะเลอันดามันจนมาตั้งรกรากอยู่ที่เกาะแห่งนี้ ปัจจุบันที่แห่งนี้สะท้อนวิถีชีวิตเรียบง่ายใกล้กับชายทะเล คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีทั้งชาวไทยพุทธ และพี่น้องชาวมุสลิมค่ะ บรรยากาศของ Old Town คล้าย ๆ กับเชียงคาน ต่างกันที่ที่นี่มีบ้านไม้ยื่นไปในทะเล สวยงาม เหมาะกับการถ่ายภาพ และซื้อของที่ระลึก


12.สะพานสิริลันตา

    วิธีการเดินทาง : สะพาน สิริ ลัน ตา 81150, ตำบล ศาลาด่าน อำเภอ เกาะลันตา กระบี่ 81150 ประเทศไทย กระบี่

“สะพานสิริลันตา” เป็นสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อยและเกาะลันตาใหญ่ ถือเป็นความภาคภูมิใจของเกาะลันตา เพราะนอกจากจะมีทัศนียภาพที่สวยงาม แล้วยังเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะลันตาด้วย เพราะเมื่อก่อนการไปเกาะลันตาได้ จะต้องข้ามแพขนานยนต์เท่านั้น แต่ทุกวันนี้การที่เราจะเดินทางไปเที่ยวเกาะลันตานั้นจะต้องผ่านสะพานแห่งนี้ เพราะฉะนั้นอย่ามัวหลับเพลิน เพราะเราสามารถมองเห็นวิวทะเลอันสวยงามได้จากสะพานด้วย สายโฟโต้ห้ามพลาด


13. หาดแหลมโตนด

    วิธีการเดินทาง : ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา กระบี่ ประเทศไทย กระบี่ (อยู่ทางใต้สุดของเกาะลันตา บริเวณประภาคาร)

“แหลมโตนด” อยู่ปลายสุดของเกาะลันตาใหญ่ ในเขตที่ทำการอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา มีหาดทรายสวยงามอยู่ทางด้านหลังเกาะ ลมแรงพัดสบายเย็น ๆ อยู่ใกล้ประภาคารสีขาว ที่มีไว้สำหรับให้สัญญาณไฟแก่นักเดินเรือยามคํ่าคืน ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ประจำเกาะลันตา ถ้าได้มาขอแนะนำให้ขึ้นไปบนประภาคารและมองลงมาด้านล่าง จะเห็นภาพความแตกต่างของอ่าวชายฝั่งทะเลหน้าเกาะ และหลังเกาะลันตาได้อย่างชัดเจน และถ้าได้มาชมวิวตอนพระอาทิตย์ตกดินจะสวยงามโรแมนติกมากเลยล่ะ


14. เกาะหม้อ

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4245 กระบี่

ดูจากภาพแล้วคงพอเดากันได้ว่าทำไมเกาะแห่งนี้ถึงได้ชื่อว่า “เกาะหม้อ” ก็เพราะรูปร่างของเกาะที่เหมือนหม้อที่คว่ำอยู่ ดูคุ้นตาใช่มั้ยล่ะ เกาะหม้อเป็นหนึ่งในสามเกาะที่เชื่อมต่อทะเลแหวก โดยรอบเป็นโขดหิน มีชายหาดอยู่เพียงด้านเดียว คือด้านที่แหวกทะเลเชื่อมกับเกาะทับ กิจกรรมที่แนะนำสำหรับที่นี่คือ ถ่ายรูปและเล่นน้ำ ถ้าอยู่จนถึงเวลาน้ำลด จะเห็นสันทรายสีขาวที่เชื่อมระหว่างเกาะหม้อและเกาะทับที่อยู่ข้าง ๆ ได้อย่างชัดเจน


15. จุดดำน้ำ เกาะลันตา (เกาะไหง)

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4245 กระบี่
    เวลาเปิด - ปิด : 08.30-16:30 น.
    อัตราค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 40 บาท, เด็ก 20 บาท

“จุดดำน้ำเกาะลันตา” เป็นอีกจุดที่สัตว์น้ำยังเยอะอยู่ ได้ชื่อว่าเป็นจุดดำน้ำลึก และดำผิวน้ำที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศไทยและของโลก สภาพใต้ท้องทะเลที่นี่มีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์มาก สามารถเดินทางมาจากเกาะลันตา หรือจะมาจากจังหวัดตรัง โดยเช่าเรือจากท่าเรือปากเมง จังหวัดตรังก็ได้ ที่เกาะลันตามีอุณหภูมิน้ำที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามฤดูมากนัก และสามารถดำน้ำได้ตลอดทั้งปี ถ้าสนใจเราก็เพียงติดต่อบริษัททัวร์ หรือบริษัทดำน้ำได้ตามสะดวก


16.เกาะม้า

    วิธีการเดินทาง : สามารถซื้อทัวร์ หรือเหมาเรือหางยาวจากเกาะพงัน

ลองทายกันดูสิ ว่าทำไมเกาะนี้ ถึงได้ชื่อว่าเกาะม้า?ใช่แล้ว เพราะว่ารูปร่างหน้าตาของเกาะ ที่เหมือนกับม้านั่นเอง "เกาะม้า" เป็นอีกเกาะในเขตรอยต่อของจังหวัดกระบี่และจังหวัดตรัง เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะกับการดำน้ำลึกเพื่อชมปะการัง แต่ที่นี่จะต่างจากเกาะอื่นตรงที่ไม่มีหาดทราย เมื่อเรือมาจอด จะเทียบท่ากับหน้าผา มีไฮไลต์อยู่ที่เมื่อไปถึงเราจะพบกับค้างคาวมากมาย กิจกรรมพิเศษที่แนะนำ นอกจากดำน้ำชมปะการัง จึงเป็นการชมถ้ำค้างคาว


17น้ำตกคลองจาก

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4245 กระบี่
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 08.30-17.30 น. 08:30 - 17:30

ใครที่คิดว่าเกาะลันตามีแต่เพียงจุดดำน้ำ เราขอให้คุณลองมาดูที่นี่ เพราะนอกจากทะเลสวยงาม เกาะแห่งนี้มีไฮไลต์อยู่ตรงที่มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะด้วย การเดินทางมาน้ำตกคลองจาก ต้องมาจากอ่าวคลองจาก เนื่องจากเป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่กลางป่า จึงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง เราจะต้องเดินตัดผ่านเข้าไปในเส้นทางศึกษาธรรมชาติประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางก็จะเจอถ้ำต่าง ๆ หลายถ้ำ ส่วนความสวยงามของน้ำตกคลองจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณฝนที่ตกในช่วงนั้น ๆ


18. หาดบากันเตียง

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4245 กระบี่
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 24 ชม.

“หาดบากันเตียง” หรืออ่าวบากันเตียง เป็นหาดที่มีลักษณะเป็นรูปโค้งไม่ยาวมาก ตั้งอยู่เกือบปลายสุดของทิศตะวันตกของเกาะลันตาใหญ่ และอยู่ก่อนถึงหาดคลองจาก หาดบากันเตียงสามารถมองเห็นได้จากมุมบนตามร้านอาหารที่อยู่บนเขาที่อยู่ปลายหาด ตัวหาดนั้นมีเม็ดทรายค่อนข้างละเอียด ยามน้ำลดจะปรากฏให้เห็นหมู่กองหินปรากฏขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ ของชายหาด สำหรับกิจกรรมแนะนำคงหนีไม่พ้นการถ่ายรูป, เล่นน้ำ รวมไปถึงการทานอาหารและจิบเครื่องดื่มริมทะเลที่รีสอร์ตสุดชิค

เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด มีเนื้อที่ประมาณ 847 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับกับภูเขาหินปูน โดดเด่นในเรื่องของภาพเขียนสีโบราณสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปตามจุดต่าง ๆ รอบ ๆ อ่าวลึก การเดินทางในบางพื้นที่อาจจะต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทางไปในการชม เพราะอ่าวลึกนั้นมีความสลับซับซ้อน เส้นทางมีความมืดและลึกสมชื่อ แต่รับรองว่าสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจแน่นอน


19. วัดมหาธาตุวชิรมงคล

    วิธีการเดินทาง : ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ กระบี่

“วัดมหาธาตุวชิรมงคล” หรือเรียกง่าย ๆ ว่า วัดบางโทง อยู่ที่ตำบลนาเหนือ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ วัดแห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมของพระมหาธาตุเจดีย์ที่งดงาม ด้วยสไตล์การประดับตกแต่งคล้ายคลึงกับมหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ประเทศอินเดีย โดยทั้งหมดเป็นฝีมือของช่างไทยที่บรรจงสร้างไว้ ถ้าได้แวะมาสักการะ อย่าลืมถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไปอวดคนทางบ้านสักอัลบั้ม


20. อุทยานแห่งชาติโบกขรณี

    วิธีการเดินทาง : ถนนอ่าวลึก-แหลมสัก กระบี่ (จากกระบี่ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ไปอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ถึงสี่แยกอ่าวลึก แล้วเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4039 เป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร)
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 06.00-18:00 น.
    อัตราค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก 30 บาท

“อุทยานแห่งชาติโบกขรณี” มีพื้นที่ทั้งหมด 65,000 ไร่ ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวทางบกและทางทะเล สามารถไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้อย่างสบาย ธารโบกขรณี ตั้งอยู่ในตำบลอ่าวลึกใต้ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เป็นธารน้ำใสมรกตไหลออกมาจากถ้ำลดหลั่นตามหน้าผาหินเป็นชั้น ๆ ลงสู่แอ่งน้ำใสด้านล่าง ซึ่งเหมาะสำหรับมาเล่นน้ำ ชมธรรมชาติ หรือนั่งปิกนิก รวมไปถึงศึกษาเส้นทางธรรมชาติได้อีกด้วย


21. ถ้ำผีหัวโต

    วิธีการเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข 4012 กระบี่ (ในอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี)
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 08.30-16.00 น.
    อัตราค่าบริการ : ถ้าเช่าเรือคายัค ราคาจะตกประมาณ 500 บาท/คน

“ถ้ำผีหัวโต” หรือถ้ำหัวกะโหลก ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ดูลึกลับและน่าสนใจ (แค่ชื่อก็ดูเร้นลับแล้ว) ที่ได้ชื่อว่าผีหัวโต ก็เพราะในสมัยก่อนเคยขุดค้นพบหัวกะโหลกที่มีขนาดใหญ่โตกว่าปกติ ถ้ำผีหัวโตเป็นถ้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนภูเขาเตี้ย ๆ จุดเด่นคือรูปวาดที่ผนังถ้ำเป็นภาพเขียนสีอายุนับพันปีอันมีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ เช่น รูปคน รูปสัตว์ มือ เท้า ฯลฯ ภาพที่เห็นคือภาพคล้ายมนุษย์ต่างดาวทำให้มีข้อสงสัยว่ามีอยู่จริงหรือไม่ นอกจากนั้นก็คือหินงอกหินย้อยที่จัดว่างดงามมาก แค่ฟังเรื่องเล่า ก็ตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยล่ะ

ปลายพระยาเป็นอำเภอเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตอนเหนือของจังหวัดกระบี่ ถึงจะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวกระจุกตัวมากมาย แต่นักท่องเที่ยวหลายคนก็ต่างดั้นด้นมาถึงที่นี่ เพื่อชมความงามของวัดถ้ำนาฬาคิริง วัดที่มีอุโบสถช้างแห่งเดียวในประเทศไทย จะสวยงามแค่ไหนไปดูกัน


22. วัดถ้ำนาฬาคิริง

    วิธีการเดินทาง : ถนน อบต. กบ. 3179 (บ้านเขาง่าม-บ้านน้ำช่ำ) กระบี่
    เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 08.00-17.00 น.

ถ้าใครมาที่นี่ นอกจากชมอุโบถสถช้างแล้ว ด้านหลังของวัดจะมีขุนเขาตั้งตระหง่านอยู่ โดยมีถ้ำปราสาทนาฬาคิริงอยู่ด้านใน ที่แห่งนี้ถูกค้นพบโดย “หลวงพ่อขจิต กมโล” เจ้าอาวาสวัดถ้ำปราสาทนาฬาคิริง เหตุที่หลวงพ่อขจิตตั้งชื่อถ้ำแห่งนี้ว่าถ้ำปราสาทนาฬาคิริงนั้น เพราะถ้ำนี้มีก้อนหิน หินงอกหินย้อย ที่ชวนให้จินตนาการเกี่ยวกับช้างมากมาย โดยชื่อ “นาฬาคิริง” มาจากชื่อ “นาฬาคิรี” ที่เป็นช้างสำคัญเชือกหนึ่งในสมัยพุทธกาล นอกจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับช้างนาฬาคิริงแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับนิมิตของหลวงพ่อเจ้าอาวาสเองก็น่าสนใจ แต่จะเป็นอย่างไร เราอยากให้คุณไปหาคำตอบกันเอาเองที่สถานที่แห่งนี้


23อ่าวนาง

    วิธีการเดินทาง : หาดอ่าวนาง กระบี่ (ถนนริมหาดอ่าวนาง)

“หาดอ่าวนาง” เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ สุดหาดทางด้านซ้ายเป็นภูเขาหินปูนกั้นหาดอ่าวนางกับหาดไร่เลย์ เป็นจุดต่อเรือไปยังเกาะและหาดต่าง ๆ นักท่องเที่ยวนิยมมาพักที่นี่ จึงเต็มไปด้วยแหล่งชอปปิง แต่อย่าชอปเพลินจนลืมหยุดชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินจากที่นี่ เพราะขึ้นชื่อว่าสวยงามมาก

ที่เที่ยวกระบี่ กิน นอน ครบ เที่ยวไม่หมดไม่ต้องกลับบ้าน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ bit.ly/3VfCErf

228
ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30/30 คือ ในปี ค.ศ. 2030 หรือปี พ.ศ. 2573 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศ โดยผลิตประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ 675,000 คัน โดยมีสิทธิพิเศษมากมากมาย ทั้งมาตรการอากรภาษี โดยมีเงินอุดหนุน 18,000-150,000 ทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์

เรียกว่าโปรโดนใจ คนอยากมีรถกันเลยทีเดียว แต่...สิ่งที่คนกำลังมองหารถยนต์ EV สักคัน กลับไม่ใช่เรื่อง มีเรื่องต้อง “ชั่งใจ” หลายเรื่อง ทั้งความมั่นใจในประสิทธิภาพ ความคงทนของยานยนต์ ปั๊มชาร์จ หรือที่เรียกว่า สถานีอัดไฟฟ้าประจุ ที่เวลานี้มีเพิ่มมากขึ้น และทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่คนที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ (BEV) ต้องคิด....

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้พูดคุยกับ รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility & Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เรียกว่าเป็น กูรูรถยนต์ไฟฟ้าอีกคน และใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามามากกว่า 2 ปีแล้ว

เชื่อว่า สิ่งที่คนอยากรู้เลย ว่า ณ ปัจจุบันนี้ พ.ศ. นี้ แนะนำให้ซื้อรถ EV ไหม รศ.ดร.ยศพงษ์ บอกว่า คนส่วนใหญ่ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าขณะนี้ เพราะมีที่ชาร์จ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือคอนโดฯ แต่บางส่วนที่ไม่มีที่ชาร์จ แต่จำเป็นที่บ้านต้องอยู่ใกล้สถานีชาร์จสาธารณะ


1. รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จไฟ 1 ครั้ง วิ่งได้ 200-300 กิโลเมตร

“รถยนต์ไฟฟ้าต่อ 1 การชาร์จ จะอยู่ได้ 200-300 กิโลเมตร ส่วนตู้ชาร์จเร็ว จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงจะเต็ม ฉะนั้น ถามว่าเหมาะสมแค่ไหนที่จะซื้อ คำตอบของผม คิดว่า ถ้าใช้เดินทางในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดที่ไม่ไกลมาก เช่น กทม.-หัวหิน สามารถขับไปได้สบายๆ แต่อาจจะไม่พอขากลับ ต้องหาสถานีชาร์จ”

กูรูด้านรถยนต์ไฟฟ้า บอกว่า เวลานี้สถานีชาร์จ มีมากกว่าเดิม เรียกว่า อาจจะมากกว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าขณะนี้ แต่...สถานีชาร์จ ยังถือว่าไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะบางจังหวัดมีมาก บางจังหวัดมีไม่มาก

ใช้รถยนต์มา 2 ปี มีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงบ้างไหม รศ.ดร.ยศพงษ์ กล่าวว่า ถ้าไม่นับการขับรถยนต์เข้าศูนย์ตามรอบ ก็อาจจะมีค่าทำความสะอาด กรองฝุ่นแอร์ รอบละประมาณ 300 กว่าบาท แบตฯ หากมีปัญหา ถ้ายังอยู่ในประกันเขาก็เปลี่ยนให้ฟรี ซึ่งขับได้ 30,000 กม. โดยผมเสียค่าใช้จ่ายกับรถยนต์ตรงนี้ไม่ถึง 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นรถยนต์น้ำมัน อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น 6 รอบ ดังนั้น หากซื้อในบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีช่างดูแล และมีประกัน เท่าที่ใช้ขณะนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นปัญหา


2. ระยะเวลาในการชาร์จไฟ กับราคาที่ต้องจ่าย

ระยะเวลาการ “การชาร์จไฟ” จะเป็นปัญหาหรือไม่ หากมียานยนต์ไฟฟ้าในท้องถนนมากขึ้น คำถามนี้เป็นข้อคำถามที่คนทั่วไปกังวลกันมาก รศ.ดร.ยศพงษ์ ให้ความเห็นว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่า หากมีการบริหารจัดการที่ดี หากเราเห็นคอนโดฯ ขึ้นเต็มไปหมด แต่ละห้องก็ใช้ไฟจำนวนมาก ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ หมายความว่าการเติบโต ถือเป็นเรื่องปกติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีหน้าที่ทำการซัพพอร์ตให้ทัน

กูรูด้านยานยนต์ไฟฟ้าบอกว่า การชาร์จไฟ ราคาจะแบ่งตามช่วงเวลา เช่น เวลากลางคืน คนใช้ไฟเยอะ โดยเฉพาะช่วง 2 ทุ่ม เราอาจจะต้องจ่ายแพงกว่าช่วงเวลาปกติ แต่ถ้าชาร์จหลัง 4 ทุ่ม ราคาจะถูกกว่า แบบนี้คนก็หันมาชาร์จหลัง 4 ทุ่ม เพราะก็เต็มตอนเช้าเหมือนกัน หรือ ถ้าชาร์จเวลากลางวัน ยิ่งไม่มีปัญหาเลย เพราะมีโซลาร์เซลล์ เพราะมีไฟเหลือ...

รถยนต์ไฟฟ้า อาจจะเป็นตัวช่วยลดค่าใช้จ่าย หากมีการบริหารจัดการที่ดี และเชื่อว่าบริษัทที่เขาทำตู้ชาร์จ เขาก็เริ่มมองความต้องการ ปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่ซื้อไฟฟ้า จากการไฟฟ้านครหลวง ในราคา 2.63 บาท/หน่วย แล้วเขาไปขายในราคาเท่าใดก็ได้ (ปัจจุบันพบว่ามีการขายในราคา 4-6 บาทตามช่วงเวลา) ซึ่งผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้น จึงเชื่อว่าต่อไปจะมีสถานีชาร์จมากขึ้น เพราะตู้ชาร์จ ใครก็ได้


ข้อควรรู้ ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ปั๊มชาร์จ โครงสร้าง ราคา เหมาะกับใคร? อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/?fuel_type=4078&quicksearch_order=306,DESC-326,ASC

229
การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยตรง เพื่อเข้าไปทำการวัดระดับเสียงและแก้ไขปัญหาหรือควบคุมเสียงดังรบกวนภายในโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการต่างๆ นั้น โดยมากไม่ได้รับความนิยม เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นเรื่องที่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย หรือบางรายอาจมองว่าสามารถจัดการเองได้ แต่ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้วนั้น ปฏิบัติการในเรื่องการควบคุมเสียง จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะทาง เพื่อทำให้การทำงานเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่างานด้านการควบคุมเสียงนี้นั้นมีความยากเพียงใด วันนี้เราจะไปพบกับ 6 ปัจจัยที่ทำให้การวัดระดับเสียงอาจผิดเพี้ยน จนทำให้การแก้ไขปัญหาเสียงของเรานั้น ไร้ประสิทธิภาพ


1. อุณหภูมิ

น่าจะมีหลายคนไม่ทราบแน่ๆ ว่า อุณหภูมินั้นมีผลต่อการวัดระดับเสียงด้วย โดยเครื่องวัดเสียงมาตรฐานนั้น ส่วนใหญ่จะได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับอุณหภูมิห้องที่อยู่ในช่วง -7 ถึง 66 องศาเซลเซียส ซึ่งการตรวจวัดเสียงนั้นเราจะทำกันที่อุณหภูมิห้องเป็นสำคัญ ดังนั้น ในการนำเครื่องวัดเสียงไปใช้เราก็จำเป็นต้องวัดอุณหภูมิห้องด้วยว่าว่าเหมาะสมกับเครื่องหรือไม่ ไม่อย่างนั้นแล้วการวัดเสียงในครั้งนั้นๆ ก็จะไม่ค่าที่ไม่มีประสิทธิภาพ


2. ความชื้น

ความชื้นที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดการกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำ ซึ่งเมื่อหยดน้ำจากความชื้นไปเกาะกับไมโครโฟนที่ใช้ทำการวัดระดับเสียงแล้วล่ะก็ จะส่งผลให้การวัดได้ค่าเสียงที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม หรือทำให้เกิดเสียงแทรกได้ ดังนั้น นอกจากจะต้องทำการดูเรื่องความชื้นให้เหมาะสมแล้ว เครื่องวัดระดับเสียงก็จำเป็นจะต้องเป็นเครื่องที่ได้มาตรฐาน สามารถทำงานภายใต้สภาพอากาศที่มีความชื้นสูง
ได้ด้วย


3. ความดันอากาศ

จะส่งผลกระทบต่อเสียงจากเครื่องปรับความถูกต้อง จึงทำให้ในการวัดระดับเสียงทุกครั้ง จำเป็นต้องปรับค่าความดันอากาศตามที่เหมาะสมกับเครื่องเสมอ ซึ่งโดยทั่วไปถ้าระดับของพื้นที่ ที่จะทำการวัดระดับเสียงนั้น อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 10,000 ฟุต ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากความดันอากาศ


4. กระแสลม

อุปกรณ์สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการวัดระดับเสียงนั้นก็คือ ไมโครโฟน ซึ่งแน่นอนว่าเสียงทุกเสียงโดยรอบจะส่งผลต่อไมโครโฟนทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งเสียงลม ที่จะทำให้การอ่านค่าสูงกว่าในความเป็นจริง ดังนั้นในกระบวนการวัดระดับเสียงจึงจำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนที่ดีมีคุณภาพ และสวมเครื่องป้องกันลมให้กับไมโครโฟนด้วย เพื่อให้ค่าที่ออกมาเป็นค่าเสียงที่ถูกต้องจริงๆ


5. ความสั่นสะเทือน

ในพื้นที่ที่มีระดับเสียงดังมากๆ คลื่นเสียงนั้นมีพลังมากพอจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้ ซึ่งแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนั้นก็จะทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ในการวัดระดับเสียง เกิดการสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงแทรกได้เช่นกัน นั่นเองจึงทำให้ในการวางตำแหน่งของไมโครโฟนและอุปกรณ์วัดระดับเสียงต่างๆ ต้องมีการวางเพื่อป้องกันการถูกแรงสั่นสะเทือนด้วย เพื่อให้สามารถวัดค่าเสียงจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ


6. เสียงจากแหล่งอื่นๆ

เราต้องการวัดเสียงจากแหล่งกำเนิดใด ก็จำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เสียงจากแหล่งกำเนิดอื่นที่ไม่ต้องการมารบกวน เพราะหากปล่อยให้เสียงจากแหล่งกำเนิดอื่นมารบกวนมากเกินไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าค่าระดับเสียงที่ได้นั้น ไม่ใช่ค่าความดังที่แท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือเลือกใช้วัสดุอะคูสติก และจัดงบประมาณในการแก้ไขปัญหาเสียงได้อย่างไม่เหมาะสม ดังนั้น ในการวัดระดับเสียงจึงจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและความเชี่ยวชาญที่จะต้องควบคุมเสียงจากแหล่งอื่นๆ หรือ เสียง Background ให้เหมาะสม หรือลบออกไปให้หมด เพื่อให้ได้ค่าเสียงจริงสำหรับนำไปใช้ออกแบบการแก้ไขและควบคุมเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ปัจจัยทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมามีผลทำให้การวัดระดับเสียงนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งแน่นอนว่าหากการวัดนำมาซึ่งค่าที่ไม่ถูกต้อง ก็จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมาะสม นำไปสู่การจัดสรรงบประมาณในการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาด ซึ่งจากรายละเอียดของการวัดเสียงดังกล่าว สะท้อนให้เราเห็นว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถทำการวัดเสียงได้ และยิ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาก็ยิ่งต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างยิ่ง



ฉนวนกันเสียง: วัดระดับเสียงใช่ว่าใครก็วัดได้ 6 ปัจจัยทำลายที่ทำให้การวัดไม่ได้ผล อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://noisecontrol365.com/

230
ไทฟอยด์ (ไข้ไทฟอยด์ ไข้เอนเทอริก ไข้รากสาดน้อย ก็เรียก) พบได้บ่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่า ไข้หัวโกร๋น เพราะสมัยนั้นยังไม่มียารักษา เป็นไข้กันเป็นเดือนจนกระทั่งผมร่วง

พบได้ในทุกอายุ แต่จะพบมากในคนอายุ 10-30 ปี อาจพบว่ามีคนในละแวกใกล้เคียงเคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคนี้ด้วย พบมากในฤดูร้อน แต่ก็พบได้ตลอดทั้งปี

บางครั้งอาจพบระบาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี

ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไทฟอยด์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ซัลโมเนลลาไทฟิ (Salmonella typhi)

โรคนี้สามารถติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระหรือปัสสาวะของผู้ป่วยหรือพาหะ หรือปนเปื้อนเชื้อจากแมลงวันตอม

นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในหมู่ชายรักร่วมเพศ)

เชื้อจะรุกล้ำเข้าไปในเยื่อบุลำไส้เล็กอาศัยอยู่ในกลุ่มเซลล์น้ำเหลือง (Peyer's patch) ทำให้ลำไส้อักเสบหรือเป็นแผล ขณะเดียวกันก็แพร่เข้าตับ ทางเดินน้ำดี และเข้าสู่กระแสเลือดแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด หัวใจ ไต สมอง กระดูก ไขกระดูก เป็นต้น

ระยะฟักตัว ประมาณ 14 วัน (7-21 วัน)


อาการ

ลักษณะโดดเด่น คือ มีไข้สูงลอยแบบเรื้อรัง

อาการจะค่อยเป็นค่อยไป โดยแรกเริ่มจะมีอาการไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีน้ำมูก อาจมีเลือดกำเดาออก บางครั้งอาจมีอาการไอแห้ง ๆ และเจ็บคอเล็กน้อย

มักมีอาการท้องผูก (มักพบในผู้ใหญ่) หรือไม่ก็ถ่ายเหลว (มักพบในเด็ก) ร่วมด้วย

อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดแน่นท้อง ท้องอืด และกดเจ็บเล็กน้อย

ต่อมาไข้จะค่อย ๆ สูงขึ้นทุกวัน และจับไข้ตลอดเวลา ถึงแม้จะกินยาลดไข้ก็อาจไม่ลด ทุกครั้งที่จับไข้จะรู้สึกปวดศีรษะมาก

อาการไข้มักจะเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีไข้สูงอยู่นาน 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ลดลงจนเป็นปกติเมื่อพ้น 4 สัปดาห์ บางรายอาจเป็นไข้อยู่นาน 6 สัปดาห์ก็ได้

บางรายอาจมีอาการหนาวสะท้านเป็นพัก ๆ เพ้อ หรือปวดท้องรุนแรงคล้ายไส้ติ่งอักเสบ หรือถุงน้ำดีอักเสบ

ผู้ป่วยจะซึมและเบื่ออาหารมาก ถ้ามีอาการมากกว่า 5 วันผู้ป่วยจะดูหน้าซีดเซียว แต่เปลือกตาไม่ซีด (เหมือนอย่างผู้ป่วยโลหิตจาง) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคที่เรียกว่า หน้าไทฟอยด์


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่พบบ่อยและเป็นอันตราย ได้แก่ เลือดออกในลำไส้ (ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ อาจถึงช็อกได้) และลำไส้ทะลุ (ท้องอืด ท้องแข็ง) ซึ่งจะพบหลังมีอาการได้ 2-3 สัปดาห์

นอกจากนี้ ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดอักเสบ โลหิตเป็นพิษ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ไตอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis) โรคจิต (psychosis)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย โดยมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจนนอกจากไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าซีดเซียว (แต่เปลือกตาไม่ซีด) ฝ่ามือซีด ริมฝีปากแห้ง บางรายอาจพบอัตราชีพจรไม่สัมพันธ์กับไข้ที่ขึ้นสูง (relative bradycardia) บางรายอาจมีอาการท้องอืด กดเจ็บใต้ชายโครงขวาหรือท้องน้อยข้างขวา อาจพบจุดแดงคล้ายยุงกัด เมื่อดึงหนังให้ตึงจะจางหาย เรียกว่า โรสสปอต (rose spots) ที่หน้าอกหรือหน้าท้อง ซึ่งมักจะขึ้นหลังมีไข้ได้ 5 วัน และอยู่นาน 3-4 วัน

ระยะต่อมาอาจพบม้ามโต ตับโต และบางรายอาจมีอาการดีซ่าน หรือโลหิตจาง (ถ้าเป็นเรื้อรัง)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ทำการทดสอบไวดาล (Widal test) ตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดขาว (มักต่ำกว่า 5‚000 ตัว/ลบ.มม.) นำเลือด อุจจาระ และปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

1. แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มน้ำมาก ๆ นอนพัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้บ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล

2. ให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายชนิด เช่น ไซโพรฟล็อกซาซิน, โอฟล็อกซาซิน, อะม็อกซีซิลลิน, คลอแรมเฟนิคอล, โคไตรม็อกซาโซล เป็นต้น นาน 5-21 วัน ขึ้นกับชนิดของยา

โดยทั่วไปหลังให้ยา 4-7 วัน อาการไข้จะเริ่มลง ถ้าไข้ไม่ลง หรือมีปัญหาเชื้อดื้อยา แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการเพาะเชื้อ และให้ยากลุ่มใหม่ (เช่น อะซิโทรไมซิน, เซฟิไซม์, เซฟทริอะโซน)

3. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก ท้องเดินรุนแรง ท้องอืด เบื่ออาหาร หรือมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ และแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ (เช่น ให้เลือดถ้ามีเลือดออกในลำไส้)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติภายใน 2-3 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจมีอาการกำเริบใหม่ ซึ่งเมื่อให้ยารักษาอีกรอบก็มักจะหายขาดได้ แต่ถ้าปล่อยไว้จนได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงตลอดเวลาทุกวันเกิน 4-7 วัน หรือมีไข้สูงในผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไทฟอยด์ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไทฟอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. กินยาปฏิชีวนะตามขนาดและครบระยะเวลาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

3. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดศีรษะมาก ซึม หรือไม่ค่อยรู้สึกตัว
    ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
    ปวดท้องรุนแรง เจ็บหน้าอกมาก หรือหายใจหอบ
    เบื่ออาหาร ดื่มน้ำได้น้อย หรืออาเจียน 
    ตาเหลืองตัวเหลือง หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว 
    ปวดข้อ ข้ออักเสบ
    กินยาที่แพทย์แนะนำ 4-5 วันแล้วไม่ดีขึ้น หรือหลังจากไข้หายดีแล้วกลับมีไข้กำเริบใหม่
    หลังกินยามีผื่นคัน ตุ่มพุพอง ปากบวม ตาบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ซีด จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีความผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

1. ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันโรคบิดชิเกลลา 

2. สำหรับผู้ป่วยควรแยกสำรับอาหารและเครื่องใช้ส่วนตัว อย่าปะปนกับผู้อื่น อุจจาระควรถ่ายลงในส้วม และควรล้างมือให้สะอาดหลังถ่ายอุจจาระ

3. ควรตรวจเชื้อในอุจจาระของผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหารในร้านอาหารและภัตตาคาร (เช่น คนครัว บริกร เป็นต้น) เป็นครั้งคราว เพื่อค้นหาผู้ที่เป็นพาหะของโรคนี้ที่อาจแพร่เชื้อให้ผู้บริโภคได้ ถ้าพบควรงดประกอบอาหารจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ

4. การป้องกันด้วยวัคซีน ไม่แนะนำให้ใช้กับคนทั่วไป ควรใช้กับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศหรือถิ่นที่มีการระบาดของโรคนี้ และผู้ที่อยู่ร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไทฟอยด์

ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนป้องกันไทฟอยด์ทั้งชนิดกินและชนิดฉีดที่มีผลข้างเคียงน้อย

วัคซีนชนิดกินมีทั้งแบบแคปซูล (ใช้สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป) และแบบน้ำ (สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป) ให้กินครั้งละ 1 แคปซูล หรือ 1 ซอง วันเว้นวัน จำนวน 3 ครั้ง โดยกินร่วมกับน้ำเย็น (ห้ามใช้น้ำร้อน) ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ควรงดการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อยก่อนกินวัคซีนครั้งแรก และ 7 วันหลังกินวัคซีนครั้งสุดท้าย เนื่องจากวัคซีนชนิดกินเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อเป็นแต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง (live-attenuated) อาจถูกยาต้านจุลชีพทำลายได้

วัคซีนชนิดกิน หากจำเป็นสามารถกระตุ้นได้ทุก 5 ปี

ส่วนวัคซีนชนิดฉีดสามารถฉีดเข้ากล้ามหรือใต้ผิวหนังให้เด็กตั้งแต่อายุ 2 ปี ขนาด 0.5 มล. ครั้งเดียว หากจำเป็นสามารถกระตุ้นได้ทุก 2 ปี


ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันพบปัญหาเชื้อดื้อยาบ่อย โดยเฉพาะอย่างยาที่เคยใช้แต่เก่าก่อน (คลอแรมเฟนิคอล อะม็อกซีซิลลิน โคไตรม็อกซาโซล) แม้ยาไซโพรฟล็อกซาซินและโอฟล็อกซาซิน ก็เริ่มมีปัญหาเชื้อดื้อยา ในการรักษาแพทย์อาจจำเป็นต้องทำการเพาะเชื้อและตรวจว่ายาชนิดใดที่ยังไวต่อเชื้อ แล้วเลือกใช้ยานั้นรักษา

2. การกลับเป็นซ้ำ บางรายแม้ว่าจะรักษาจนไข้หายแล้ว อาจมีไข้กำเริบได้ใหม่หลังจากหยุดยาไปประมาณ 2 สัปดาห์ แต่อาการไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก ควรให้ยารักษาซ้ำอีกครั้ง

3. ผู้ป่วยบางรายเมื่อหายแล้วอาจมีเชื้อไทฟอยด์หลบซ่อนอยู่ในถุงน้ำดี โดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด เรียกว่า พาหะ (carrier) ของไข้ไทฟอยด์ ซึ่งมักปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระ แพร่กระจายให้ผู้อื่นต่อไปเรื่อย ๆ แพทย์สามารถตรวจพบโดยการนำอุจจาระไปเพาะเชื้อ และอาจให้การรักษาโดยให้โคไตรม็อกซาโซล หรืออะม็อกซีซิลลิน นาน 3 เดือน หรือไซโพรฟล็อกซาซิน นาน 1 เดือน ถ้ายังพบเชื้อในอุจจาระอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีออก

4. อาการไข้สูงหรือมีไข้นานเกิน 7 วัน นอกจากไทฟอยด์แล้วยังต้องคิดถึงโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไข้เลือดออก สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส เมลิออยโดซิส บรูเซลโลซิส เป็นต้น จึงควรซักประวัติและตรวจร่างกายให้ละเอียด (ตรวจอาการไข้)



ข้อมูลสุขภาพ: ไทฟอยด์/ไข้รากสาดน้อย (Typhoid fever/Enteric fever) อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/expert-scoops

231
เจ็บคอ น้ำมูกไหล ผื่นแพ้ขึ้น อาการนี้มีทุกทีเมื่อฝนมา! แล้วเราจะดูแลและเตรียมตัวรับมือกับอากาศที่แปรปรวนในช่วงฤดูฝน ได้อย่างไร?

10 วิธีวิธีดูแลสุขภาพในฤดูฝน


1. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร
ในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร ควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำอุ่น เพื่อให้รักษาสมดุลของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ควบคุมระดับอุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ น้ำช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่ขาดน้ำ และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้ผิวหนังเพื่อลดโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ไม่เป็นหวัดได้ง่ายอีกด้วย


2. นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
สำหรับวัยผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้น อย่านอนดึก เพราะยิ่งนอนดึกยิ่งลดโอกาสการหลั่งของโกร๊ธฮอร์โมน (ฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์) ลงมากเท่านั้น อีกทั้งการนอนดึกยังทำให้อวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตับ ไต ทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยลง ส่งผลให้มีสารพิษคั่งค้างในร่างกายมาก


3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4ครั้ง เพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายที่แข็งแรงย่อมห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ


4.พกหมวก ร่ม เสื้อกันฝน และรักษาร่างกายให้แห้งเสมอ
อย่าลืมพกพาร่มและเสื้อกันฝนเพื่อไม่ให้ร่างกายเปียกฝน จะสามารถลดการอับชื้นและการสะสมเชื้อราอันเป็นสาเหตุของการไม่สบายตัวและนำไปสู่การเป็นหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ได้ นอกจากนี้แนะนำให้เลือกสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางเบา สามารถระบายอากาศได้ดี เนื้อผ้าไม่หนาจนเกินไปและไม่บางมากจนเกินไปเพราะหากเปียกฝนจะทำให้แห้งง่าย เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ มีภูมิต้านทานได้ดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคปอดบวม โรคทางผิวหนัง อย่างไรก็ดี หลังจากเปียกฝนมาใหม่ๆ ควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออกทันที เช็ดผมให้แห้งเพื่อให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น


5. ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เป็นประจำ
ในวันที่ฝนตก อากาศเย็น ความชื้นสูง ควรเลือกดื่มชาสมุนไพรอุ่นๆ เป็นประจำเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ต้านการอักเสบ แก้หวัด แก้เจ็บคอ ป้องกันการติดเชื้อโรคได้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ชาเขียว ชาตะไคร้หอม ชาน้ำขิงมะนาว


6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่ปรุงสุกใหม่
ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะผักและผลไม้สดที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายแข็งแรง และยับยั้งการเกิดโรคได้ อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนเพื่อเพิ่มความอบุ่นให้ร่างกาย เช่น ขิง ข่า กระเทียม พริกไทย ดอกดีปลี ตะไคร้ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารที่ลำไส้


7.รับประทานวิตามินซีเสริม จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเรา
ในฤดูกาลเช่นนี้ อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายมาก การมีภูมิคุ้มกันที่ดีจะช่วยให้เราป่วยยาก


8.ไม่ควรเข้าไปในพื้นที่ชื้นแฉะและมีน้ำท่วมขัง
ในพื้นที่ที่ชื้นแฉะมีน้ำท่วมขังนับว่าเป็นจุดก่อตัวของปรสิตและเชื้อโรคนานาชนิด ปรสิตที่น่ากลัว เช่น พยาธิปากขอ ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปอยู่ในลำไส้เล็กเพราะดูดกินเลือด และเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคโลหิตจาง พยาธิใบไม้เลือด ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปอยู่ในช่องท้อง ทำให้ปวดท้อง อจจาระเป็นมูกเลือด ตับม้ามโต พยาธิสตรองจีลอยด์ ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปอยู่ในปอด ลำไส้เล็ก ที่น่ากลัวคือสามารถอยู่ในร่างกายได้นานเป็นสิบๆ ปี แพร่พันธุ์ได้ง่าย มีผลต่อร่างกายทำให้อ่อนแอลง ติดเชื้อในกระแสเลือด และเสียชีวิตในที่สุด


9.ป้องกันไม่ให้ยุงกัด
เพราะในช่วงฤดูฝนมีหลายโรคที่ยุงเป็นพาหะออกระบาด เช่น ไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) ซึ่งมียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรค โรคมาลาเรียที่มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค โรคเหล่านี้อาจรุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นจึงทางที่ดีที่สุดควรป้องกันไม่ให้ยุงกัดได้วยการทายา หรือโลชั่นกันยุง นอนกางมุ้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่อับชื้น มืด เพราะยุงชอบ กำจัดแหล่งน้ำขังในบ้านให้หมดเพราะเป็นที่ฟักตัวชั้นดีของยุงชนิดต่างๆ ได้นั่นเอง


10.นั่งสมาธิ เพื่อเตรียมพร้อมด้านจิตใจ พร้อมรับมือกับทุกสภาวะ
คือสิ่งที่ควรปฎิบัติสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยทางกาย หากเรามีสภาวะทางใจที่ดี จะทำให้เราหายป่วยเร็วขึ้น

วิธีวิธีดูแลสุขภาพในฤดูฝน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.healthyhitech.net/

232
ปัจจุบันนี้ในสังคมเต็มไปด้วยความรีบเร่ง โดยเฉพาะในสังคมเมือง ที่เวลาเป็นสิ่งที่ต้องไล่ตามให้ทันอยู่ตลอด ยิ่งเข้ามาสู่วัยทำงานแล้ว ชาวออฟฟิศอย่างเรา ๆ เวลาในการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อยิ่งไม่ค่อยมี ยิ่งเมนู อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ต้องพูดถึง แค่รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมื้อเช้าในบางวันก็ถูกรวบเข้ากับมื้อเที่ยงไปแล้ว

แม้ว่าจะมีอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งมาตอบโจทย์ในเรื่องความเร็วและสะดวก แต่ว่าอาหารเหล่านั้นก็ไม่ดีต่อสุขภาพนักเพราะมีปริมาณโซเดียมและไขมันสูง เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด แค่เห็นชื่อโรคก็น่ากลัวแล้วใช่ไหมคะ? ลำพังตอนนี้แค่เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ปวดบ่า ก็ทุกข์ทรมานมากพอแล้ว ไม่ดีแน่ถ้าจะมีโรคเพิ่มในอนาคต จะดีกว่าไหม? ถ้าเราลดความเสี่ยงโรคเหล่านั้นด้วยการปรับมื้ออาหารง่าย ๆ เป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพด้วย 10 เมนู ไปดูกันเลยว่ามีเมนูอะไรบ้าง


รวมสูตรเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

1. ข้าวไรซ์เบอร์รี่และไข่ต้ม

ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง เป็นไอเทมลูกรักของผู้รักสุขภาพทั่วโลก ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ลดคอเลสเตอรอล และมีสารลูทีนที่ช่วยในการชะลอการเกิดโรคต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่โอกาสสูงในวัยทำงานที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน วิธีการทำเมนูนี้ก็ง่ายมาก แค่นำไข่ต้มผ่าซีกมาวางคู่กับข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือจะนำไข่ต้มมาคลุกกับข้าว เหยาะซอสปรุงรสเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็จะได้ อาหารเพื่อสุขภาพ แล้ว


2. แซนด์วิชขนมปังโฮลวีตผสมธัญพืชกล้วยหอม

สำหรับใครที่ต้องการอาหารว่างระหว่างมื้อ เมนูนี้เหมาะสมมาก ๆ เนื่องจากตัวขนมปังมีกากใยอาหารสูงอิ่มท้องนาน ลดการทานจุบจิบ นอกจากนี้กล้วยยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามินบี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการเกิดโรคมะเร็ง ส่วนกล้วยหอมมีธาตุเหล็กที่ช่วยลดโรคโลหิตจาง และโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต รวมไปถึงช่วยเพิ่มพลังสมอง เหมาะสำหรับชาวออฟฟิศที่ต้องใช้สมองหนักตลอดทั้งวัน ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำเนยถั่วทาเล็กน้อยลงบนแผ่นขนมปังและวางทับด้วยกล้วยหอมฝานเป็นชิ้น นำแผ่นขนมปังมาประกบอีกด้านเป็นอันเสร็จเมนูง่าย ๆ


3. สลัดผักและไข่ต้ม

ในปัจจุบันนี้ถ้าต้องการกินสลัดผัก ไม่ต้องไปหั่นสลัดผักเองให้เมื่อยมือเพราะว่ามีสลัดผักพร้อมรับประทานและสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ โดยจะมีผักในสลัดดังนี้ แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา กะหล่ำปลีม่วงมีวิตามินเคสูงช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซีบำรุงผิว ป้องกันการเกิดริ้วรอย และกรีนโอ๊คมีกากใยสูงช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ต้องการ[^_^]คือ ควรเลือกน้ำสลัดใสหรือลดปริมาณน้ำสลัดครีม โดยสามารถเพิ่มโปรตีนในสลัดง่าย ๆ ด้วยไข่ต้ม แต่ถ้าเบื่อไข่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นอกไก่ต้มได้


4. กราโนล่า

กราโนล่าคืออาหารว่างในดวงใจของเหล่าคนรักสุขภาพ โดยส่วนผสมสำคัญของกราโนล่า คือธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผลไม้อบแห้ง เมล็ดพันธุ์ธัญพืชต่าง ๆ ปรุงรสด้วยน้ำผึ้ง น้ำตาลหรือคาราเมล ขึ้นกับแต่ละสูตร กราโนล่าให้สารอาหารจำพวกใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด โดยสามารถนำกราโนล่ามาประยุกต์ในการรับประทานได้หลายวิธี เช่น เทนมลงในกราโนล่าก็จะได้รสสัมผัสของธัญพืชนุ่ม ๆ ผสมความกรุบกรอบจากผลไม้อบแห้ง หรือจะนำกราโนล่ากินคู่กับโยเกิร์ตก็จะได้รสสัมผัสอีกรูปแบบ เพื่อลดความจำเจของเมนูนี้ ก็สามารถเปลี่ยนจากนมวัวเป็นนมถั่วเหลืองได้


5. อกไก่นุ่มสำเร็จรูปและธัญพืชรวม

การรับประทานธัญพืชรวมไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอีกต่อไป เนื่องจากมีธัญพืชรวมพร้อมรับประทานที่ประกอบไปด้วย ข้าวโพดหวาน ข้าวบาร์เลย์ ถั่วแดง ลูกเดือย งาขาว และงาดำ ซึ่งให้คุณค่าทางสารอาหารสูง กากใยอาหาร โดยจะนำมาทานคู่กับอกไก่โปรตีนตัวเด็ดของสายสุขภาพ เนื่องจากอกไก่ให้โปรตีนสูงแต่ไขมันต่ำ ช่วยคุมน้ำหนักได้ดี ในส่วนของขั้นตอนการทำนั้น เพียงนำอกไก่ฉีกเป็นเส้นคลุกเคล้าให้เข้ากับธัญพืชรวม แต่ถ้าต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น สามารถเพิ่มเกลือและพริกไทยได้ หรือถ้ามีน้ำสลัดใสก็สามารถใส่ได้เช่นกัน


6. อกไก่นุ่มและข้าวไรซ์เบอร์รี่

มาต่อกันด้วยเมนูเอาใจผู้ที่ไม่ชอบผักและผลไม้ นั้นก็คืออกไก่นุ่มและข้าวไรซ์เบอร์รี่ ในส่วนของข้าวไรซ์เบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในการลดความเสี่ยงของเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และช่วยชะลอวัยได้ นอกจากนี้ตัวข้าวยังช่วยในเรื่องควบคุมน้ำตาล ถือเป็นไอเทมเด็ดที่ช่วยคุมน้ำหนักได้ โดยจะนำมารับประทานพร้อมกับอกไก่โปรตีนสุดเฮลตี้ หรือถ้ามีเวลาสักหน่อยก็สามารถฉีกอกไก่เป็นเส้นปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยหรือออริกาโน ก็จะได้ความอร่อยไปอีกรูปแบบ


7. อกไก่ย่างและมันหวานญี่ปุ่นเผา

ในวันที่เบื่อจำพวกข้าวหรือขนมปัง ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นมันหวานญี่ปุ่นเผากลิ่นหอม ๆ เพราะว่ามันหวานให้คาร์โบไฮเดรตได้เช่นเดียวกันกับข้าวและขนมปัง โดยมันหวานญี่ปุ่นจะอุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีสูง ในส่วนของวิตามินเอมีส่วนช่วยในเรื่องการมองเห็นและสุขภาพผิว ส่วนวิตามินซีช่วยในเรื่องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อกินคู่กับอกไก่ย่าง อิ่มอร่อย ได้รับพลังงานสูงพร้อมสู้งานหนักในวันนั้น


8. แซนด์วิชขนมปังโฮลวีตผสมธัญพืชไข่ต้ม

หลังจากที่ได้นำเสนอแซนด์วิชแนวของหวานไปแล้ว ก็ถึงคิวของแซนด์วิชแนวของคาวกันบ้าง นั้นก็คือแซนด์วิชไข่ต้ม ขนมปังโฮลวีตมีส่วนช่วยในเรื่องปรับสมดุลระบบขับถ่าย อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จากธัญพืช ส่วนสำหรับไข่นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นโปรตีนคุณภาพสำหรับทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว วิธีการทำก็ง่ายแสนง่าย เพียงปลอกเปลือกไข่ นำไข่ต้มไปสไลด์ วางบนแผ่นขนมปัง เหยาะซอสปรุงรสที่แถมมากับไข่ต้มเล็กน้อย นำขนมปังอีกแผ่นมาประกบ หรือถ้าอยากกินแค่ขนมปังแผ่นเดียวก็ย่อมได้ อิ่มอร่อยชิล ๆ


9. สลัดผักและทูน่าในน้ำแร่

มาต่อกันที่เมนูจานปลากันบ้าง เป็นที่ทราบกันดีว่าเนื้อปลาทูน่าเป็นโปรตีนเพื่อสุขภาพที่ย่อยง่าย มีสารต้านอนุมูลอิสระ กรดไขมันโอเมก้า 3 และสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ช่วยในการบำรุงหัวใจ บำรุงผิว บำรุงสายตา และยังมีส่วนช่วยในการ[^_^] เมื่อนำมารับประทานคู่กับสลัดผักก็ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก วิธีการทำเมนูนี้ก็ง่ายมาก ๆ เพียงแค่นำเอาเนื้อทูน่าในน้ำแร่มาคลุกเคล้าให้เข้ากับผักสลัด เพิ่มรสชาติด้วยน้ำสลัดเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็จะได้ อาหารเพื่อสุขภาพ พร้อมทานแล้ว


10. โยเกิร์ตและกล้วยหอม

โยเกิร์ตและกล้วย เมนูอาหารเช้าอร่อยง่าย ๆ ในวันที่รีบ ๆ ตัวของโยเกิร์ตให้สารอาหารจำพวกโปรตีน ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้อง มีแคลอรีต่ำจึงมีส่วนช่วยทำให้คุมน้ำหนักได้ดี ควรเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติเนื่องจากมีน้ำตาลไม่สูง เมื่อนำมากินคู่กับกล้วยจะยิ่งทำให้เกิดรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น วิธีทำก็ง่ายสุด ๆ เพียงแค่หั่นกล้วยหอมและใส่ลงไปในโยเกิร์ต เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูง่าย ๆ ที่สารอาหารครบถ้วน หรือถ้ามีกราโนล่าก็สามารถใส่เพิ่มได้ เพื่อทำให้เกิดรสสัมผัสกรุบกรอบมากยิ่งขึ้น



เมนูอาหารสุขภาพสำหรับชาวออฟฟิศ ราคาประหยัด หาซื้อง่าย อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://thetastefood.com/

233
บริการ รับจ้างขนของ ที่เก่งและบริการ รถรับจ้างเขตบางเขน ที่เป็นเลิศ รวมถึงคนยกสินค้าให้ด้วย ต้องที่นี่เลย รถรับจ้าง ขนส่ง กระบะ 4ล้อใหญ่ 6ล้อรับจ้าง พร้อมบริการขนย้ายของทุกวัน เมื่อต้องการอยากที่จะ ขนย้ายหอพัก ย้ายห้อง ขนย้ายของบนคอนโด ย้ายบ้าน ที่บางเขน หรือใกล้ๆ ม.เกษตรศาสตร์ กรุงเทพ สามารถติดต่อ รถรับจ้างขนของบางเขน ทั้ง

1. รถกระบะรับจ้างขนของบางเขน

2. รถ 4 ล้อรับจ้างขนของบางเขน

3. รถ 6 ล้อรับจ้างขนของบางเขน


มีให้บริการทุกวันของการขนย้ายของ ในเขตพื้นที่กรุงเทพและเขตใกล้เคียงที่สามารถขนย้ายของให้คุณไปทั่วประเทศ ด้วยเบอโทรที่สามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว

สอบถามได้ทุกวัน ขนย้ายรวดเร็ว ราคาไม่แพง

บริการรถกระบะรับจ้างราคาถูก

การขนย้ายของในวันนี่

1. ขอบคุณคุณโบว์ เรียกใช้บริการ รถกระบะรับจ้างย้ายหอแถว ม.เกษตร ในโซน โรงแรมมารวย ระยะทาง 3 กม. ขนย้ายเสร็จเรียบร้อยดี

2. ขอบคุณคุณเพียว ย้ายร้านอาหาร มีโต๊ะ เก้าอี้ ตู้กับข้าว มอเตอไซค์ ใช้บริการ รถ 6 ล้อรับจ้างย้ายของ จากหน้ามอ ไปแถว แยกรัชโยธิน บริการงานเสร็จเรียบร้อยดี

3. ขอบคุณคุณเก่ง ขนย้ายบ้านกลับต่างจังหวัด ด้วย รถกระบะรับจ้างขนของแถวบางเขน ย้ายไปที่จังหวัดเชียงใหม่ แถวถนนนิมมาน เชียงใหม่ สินค้ามี ตู้ เตียง ที่นอน เครื่องซักผ้า งานเส็จเรียบร้อย

ขอบคุณลูกค้าทั้ง 3 ท่านที่ใช้บริการ รถรับจ้าง ของเราในวันนี้ สนใจเรียกใช้บริการ รถรับจ้างขนของบางเขน กรุงเทพ เรียกใช้ ขนส่ง กับเราได้เลยทันที



รถรับจ้างเขตบางเขน ย้ายหอแถว ม.เกษตร  อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.rodrubjang-youservice.com/

234
เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะทราบกันดีว่าอาการปวดฟันนั้นเจ็บปวดและทรมานมากขนาดไหน ซึ่งอาการปวดฟันถือว่าเป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายแล้ว เนื่องจากว่าฟันท่านนั้นกำลังเกิดความเสียหายอย่างหนักที่บริเวณเส้นประสาทฟัน จึงทำให้เกิดอาการปวดฟันเสียวฟันได้นั่นเอง ซึ่งสาเหตุของการปวดฟันเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟันคุด ฟันผุ ฟันสึก ฟันแตกหัก โรคเหงือกอักเสบ และอาการปวดจากโรคอื่นๆเป็นต้น

ซึ่งในวันนี้ทางด้าน Clinic คลินิกทันตกรรมโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศและสากล จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ วิธีระงับอาการปวดฟัน เพื่อรอเวลาในการไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาต่อไป แต่ขอบอกก่อนว่าใช้วิธีเหล่านี้และเกิดอาการดีขึ้นหายปวดแล้ว ไม่ไปทำการรักษาโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฟันของท่านก็อาจจะเกิดอาการที่หนักขึ้นและปวดรุนแรงขึ้นอีกระดับ วิธีที่เราจะบอกต่อไปนี้เป็นเพียงแค่ช่วยระงับปวดเบื้องจ้นเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

วิธีระงับปวดฟันเบื้องต้น


1.    ทำความสะอาดเศษอาหาร

ถือว่าเป็นวิธีเบื้องต้นที่ดีที่สุดหากว่าท่านเริ่มมีอาการปวดฟัน ให้ท่านกำจัดเศษอาหารต่างๆที่ติดอยู่ในช่องปากและซอกฟัน โดยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน แต่ควรพยายามเบามือในบริเวณฟันซี่ที่ปวดอยู่ หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยให้บ้วนปากเบาๆด้วยน้ำอุ่นอีกครั้งหนึ่ง


2.    ลดสิ่งกระตุ้น

ไม่ควรรับประทานสิ่งที่กระตุ้นอาการปวด เช่น ไม่ดื่มน้ำเย็นจัด ไม่รับประทานของร้อนจัด และไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความหวานจัดหรือเปรี้ยวจัดอีกด้วย เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นอาการปวดฟัน


3.    ระวังการกระแทก

ต้องระวังให้มาก อย่าให้เกิดการกระทบกระแทกบริเวณที่ปวดฟัน และวิธีที่จะทำให้ฟันเกิดการถูกกระแทกมากที่สุดก็คือการบดเคี้ยวอาหาร วิธีหลีกเลี่ยงก็เพียงแค่พยายามเคี้ยวที่ฟันอีกข้างที่ไม่เกิดการปวด หรือเป็นไปได้ในช่วงนี้ควรรับประทานของที่มีความอ่อนไม่ต้องบดเคี้ยว เช่น ข้าวต้ม หรือโจ๊ก เป็นต้น


4.    บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ

เกลือถือได้ว่ามีฤทธิ์ช่วยกำจัดแบคทีเรียและช่วยให้เหงือกมีความชุ่มชื่นขึ้น เป็นหนึ่งวิธีที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน ช่วยให้ระงับอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี


5.    รับประทานยาแก้ปวด

แนะนำว่าเมื่อมีอาการปวดมากๆให้รับประทานยาพาราเซตามอล แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟ่น โดยรับประทานเมื่อมีอาการปวดมากๆครั้งละ 1-2 เม็ด โดยรับประทานห่างกันครั้งละ 4-6 ชั่วโมง และอย่ารับประทานติดต่อหลายวัน เพราะอาจจะมีผลเสียต่อไตได้


6.    ประคบเย็น

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำกันอย่างแพร่หลายมากๆเมื่อมีอาการปวดฟัน เนื่องจากหากว่าอุณภูมิต่ำลงจะช่วยในเรื่องลดปริมาณการไหลของเลือด เมื่อเลือดไหลน้อยลงอาการปวดก็น้อยลงตามด้วย


7.    ประคบร้อน

เมื่อมีอาการบวมที่เกิดจากการเป็นหนองบริเวณปลายประสาท การใช้ความร้อนประคบบริเวณที่มีอาการจะเป็นการช่วยระบายหนองได้เป็นอย่างดีทำให้อาการบวมและปวดลดลงอีกด้วย


8.    ใช้แอลกอฮอล์

สำหรับวิธีการนี้ขอแนะนำว่าให้ใช้กับผู้ใหญ่ โดยให้ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์แรงๆ เช่น วอดก้า บรั่นดี วิสกี้ หรือเหล่าสี เป็นต้น นำสำลีไปจุ่มที่แอลกอฮอล์เหล่านี้ และนำไปจี้ในบริเวณที่ปวดแบบเบามือ ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ หรืออาจจะใช้วิธีอมแอลกอฮอล์เหล่านี้ซักแปปนึงเพื่อฆ่าเชื้อแล้วจึงทำการบ้วนออกก็สามารถช่วยได้


9.    หากปวดฟันเนื่องจากฟันเริ่มขึ้นในเด็ก

สำหรับการปวดฟันแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้บุตรหลานทรมาน โดยมีวิธีแก้ไขง่ายๆให้บุตรหลานของท่านบ้วนน้ำเกลือบรรเทาอาการปวด หรือรับประทานยาแก้ปวดสำหรับเด็ก ซึ่งอาการจะหายไปเองใน 2-3 วัน
 

ขั้นตอนทั้งหมดเหล่านี้เป็นแค่การช่วยบรรเทาอาการปวดบวม ไม่ได้เป็นการช่วยรักษาแต่อย่างใด ทางที่ดีหากท่านหากจากอาการปวดบวมแล้ว ควรรีบพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุในการปวดบวม เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้องและถูกจุด เพื่อให้อาการปวดบวมเหล่านั้นหายไปอย่างถาวรนั่นเอง



จัดฟันบางนา: วิธีระงับอาการปวดฟันชั่วคราว ก่อนพบทันตแพทย์ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/category/จัดฟันบางนา/

หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 24