แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - wm5398

หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 27
343
ความเร็วเป็นจุดเด่นของ คนทำธุรกิจส่วนตัว เพียงคนเดียว Solopreneur


ทักษะหนึงที่นักรบใช้สร้างธุรกิจ ชิงความได้เปรียบทั้งในเรื่องการพัฒนาตัวเอง พัฒนาสินค้าและบริการ คือ “ความเร็ว” เริ่มต้นการทำธุรกิจออนไลน์ด้วยตัวคนเดียว (Solopreneur) จะเหมือนเป็น CEO และเป็นเจ้าของบริษัทในคนๆเดียวกัน สิ่งที่เป็นอาวุธวิเศษที่คู่แข่งไม่มี คือความเร็วในการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องการพัฒนาตัวเอง พัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจด้านการตลาด ในขณะที่คู่แข่งขยับ 1 ก้าว ท่านขยับได้เร็วกว่า 3 เท่า นั้นก็เพราะด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่นักรบขอยกตัวอย่างมาเพียง 1 ข้อ คือ คู่แข่งจะจ้างพนักงานประจำทำงานภายใต้เงินเดือนที่กำหนดตายตัว แต่ท่านเป็นเจ้าของธุรกิจและลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่มีเพดานทางรายได้ ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ศักยภาพในตัวของท่าน จะถูกกระตุ้นให้พัฒนาได้แรงและเร็วกว่าปรกติหลายเท่าครับ แต่ก็ไม่ได้ความว่า คนทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว (Solopreneur) จะไม่มีจุดอ่อน


จุดอ่อนของ นักธุรกิจทำด้วยตัวคนเดียว (Solopreneur)
จุดอ่อนที่เด่นชัดที่สุดของ Solopreneur คือ กำลังคนที่จะช่วยท่านสร้างผลงานแบบเดินคู่ขนานไปพร้อมๆกันครับ ซึ่งการสร้างผลงานแบบเดินคู่ขนานไปพร้อมๆกันนั้น ท่านสามารถแก้ไขและลบจุดด้อยนี้ได้ ในวันที่ท่านมีกำลังเงิน และมีพันธมิตรทางธุรกิจ (Partners) มากพอครับ ซึ่งเงินจากมีมากขึ้นและพันธมิตรทางธุรกิจ จะมีมากขึ้นก็หลังจากท่านสร้างชื่อเสียงและผลงานมาแล้วในระดับหนึ่งครับ ในวันหน้าถ้ามีโอกาสนักรบจะพูดถึงเรื่องการสร้าง พันธมิตรทางธุรกิจ (Partners) ให้ครับ เนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องคุณตัน พูดไว้แล้วในคลิปวีดีโอ ” ทำงานช้าแต่รอบคอบ กับ ทำงานเร็วแต่อาจผิดพลาด ” https://www.youtube.com/watch?v=Ab2YHYw2vZU ซึ่งมีส่วนคล้ายกันในเรื่องของวิธีคิดในเรื่องการใส่ใจความเร็วของ SME ครับ
https://warrior.in.th/warrior-life/speed-online-e-commerce/

344
 *90*วิธีใช้งาน Google Keyword Planner Tools โปรแกรมค้นหาคีย์เวิร์ดจากกูเกิล


ค้นหาลูกค้า และโอกาสบนโลกออนไลน์จาก Google Adword
นาทีที่ 0 – 0:04 หลังจากที่เรามีสินค้าที่จะขายแล้วในโลกออนไลน์แล้วนะครับ ขั้นต่อไปเราก็มีวิธีเช็คนะครับ ว่าสินค้าของเราเนี่ยมีคนค้นหา หรือว่ามากน้อยแค่ไหนในโลกออนไลน์ เพื่อดูโอกาสทางธุรกิจของเรานะครับ ว่าสามารถที่จะเติบโต ว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น mass product หรือว่า niche หรือว่ามีจำนวนคนค้นหามากน้อยแค่ไหน วิธีการเช็คนะครับเราจะใช้เครื่องมือของ Adwords ช่วยนะครับ   Adwords ตัวนี้นะครับ Search คำว่า “Adwords” หรือว่าเข้า https://www.google.co.th/adwords/ ได้นะครับ คลิกเข้าไปในเว็บไซต์นะครับ แล้วก็ล็อกอินด้วย User Email ของ Gmail นะครับผม  Log in ไปเรียบร้อยนะครับ

นาทีที่ 0:05 – 01:56 เสร็จแล้วก็เข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องมือหนึ่งครับ เครื่องมือนี้ชื่อว่านะครับ “เครื่องมือวางแผนคำหลัก” ตรงนี้ครับ คลิกหนึ่งครั้ง แล้วใส่ Keywords หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เป็นคำค้นหา, คำพูดติดปาก ที่ลูกค้ามีโอกาสที่จะค้นหาธุรกิจของเรานะครับ อย่างเช่น ธุรกิจของผม warrior นะครับ  จะใช้คำค้นหาประมาณนี้ “ธุรกิจส่วนตัว” นะครับ ถ้ามีหลายคำค้นหาก็คั่นด้วย Comma (,) นะครับ การสร้างเว็บไซต์  พิมพ์คำค้นหาของตัวเองนะครับ ของธุรกิจของตัวเองที่เกี่ยวข้อง อย่างสมมุติว่าสามคำนี้นะครับ เช็คให้แน่ใจนะครับว่าอยู่ในประเทศไทยไหม และเป็นภาษาไทยไหมนะครับ ถ้าทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย แล้วก็กดรับแนวคิด โอเค แล้วก็กดแนวคิดคำหลัก ตรงนี้นะครับ คือตัวเลขของสถิติที่ปรากฏขึ้นนะครับ มันจะเป็นตัวเลขบอกจำนวนครั้งในการค้นหาโดยเฉลี่ยต่อเดือนนะครับ สูตรนี้นะครับ เขาจะคำนวณสถิติย้อนหลังสองเดือนนะครับแล้วเอาตัวเลขของแต่ละเดือนมาเฉลี่ยกัน และได้ตัวเลขนี้ออกมา

นาทีที่ 01:57 – 02:33 อย่างเช่น คำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” นะครับ ย้อนหลังสิบสองเดือนเนี่ย มีคนค้นหาประมาณเฉลี่ยแล้วนะครับ มันจะเป็นอย่างงี้นะครับ ย้อนหลังไปนะครับ หมื่นแปด, สองหมื่นเจ็ด, สามหมื่นสามบ้างล่ะ นู้นนี่นั่น ประมาณเลขไม่เท่ากันนะครับ มันเอาตัวเลขทั้งหมดเนี่ย มาเฉลี่ยจะได้ตัวเลขเป็นประมาณสองหมื่นสองพันครั้งต่อเดือน นะครับ สำหรับคำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” ซึ่งตัวเลขนี้จะช่วยบอกโอกาสในการทำธุรกิจในโลกออนไลน์ได้นะครับ ว่ามีคนค้นหาเยอะมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำธุรกิจอยู่ในด้านนี้นะครับ และเราทำเว็บไซต์ติดอันดับนะครับ เราก็จะมีลูกค้า หรือคนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรานะครับ เยอะทีเดียว

นาทีที่ 02:34 – 03:21 อีกอันคือการตลาด เห็นไหมครับ มันจะตัวเลขขึ้นๆลงๆนะครับ  Keywords บางคำนะครับ ถ้ามีแนวโน้มว่ามันจะลงนะครับ ให้สังเกตได้เลยว่าในอนาคตมันอาจจะน้อยลงไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันอาจจะเป็นคำที่ไม่มีคนค้นหาแล้ว หรือค้นหาแล้วไม่เจอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพนะครับ เขาก็จะเปลี่ยนคำค้นหาไป นี่คือตัวอย่างของการใช้เครื่องมือค้นหาคำหลักนะครับ ในการ Search คำค้นหา ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณนะครับ เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจในโลกออนไลน์ ว่าจะมีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณมากน้อยแค่ไหนนะครับ โดยสัมพันธ์กับกาค้นหาหรือ Keywords นั้นๆของธุรกิจของคุณนะครับ  สำหรับวิธีในการเช็คโอกาสในโลกออนไลน์นะครับ จบแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ.
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/keywords/keywords-tools-planner/

345
ภาพรวมการใช้งาน Conversion ใน Google Ads


ถ้อยคำพูดในวีดีโอ
นาทีที่ 00.00 – 01.27 สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู้ Warrior ทำธุรกิจแบบนักรบ วิดีโอนี้จะพูดถึงเรื่องของ Conversion  แล้วก็ภาพรวม เป็น Conversion ของ Google Adwords  คราวนี้เรามา Start กันที่หน้า Google Adwords กันก่อนเลย  เราน่าจะคุ้นกันอยู่เลยว่า Google Adwords เนี้ยทำงานยังไง สำหรับคนที่เคยใช้ Google Adwords เนี่ย ไม่มีปัญหาเลย แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใช้เลยว่า Google Adwords เนี่ยมันทำงานยังไง ลองศึกษาเพิ่มเติมดู คุ้มค่ามาก สำหรับการเรียนรู้เรื่อง Google Adwords ในการทำโฆษณาให้กับเว็บไซต์ของท่านนั่นเอง เรามาเริ่มต้นกันเลย เข้าถึง Google  Search คำ Keyword ที่ต้องการ อย่างเช่นตัวอย่างนี้ ยกตัวอย่างคำภาษาอังกฤษละกัน “How to start online business” search ปุ๊บเนี่ย มันจะมีส่วนผลการค้นหา ที่เป็นส่วนของ Google Reslut search ปกติ ก็คือพวกนี้ กับกลุ่มที่ทำโฆษณา Google Adwords นั่นเอง สังเกตว่าตรงนี้จะมี Ad แอดอยู่ตรงนี้ด้วย ซึ่งหมายความว่า 4 เว็บไซต์เนี่ยทำโฆษณา Google Adwords เช่นเดียวกันครับเวลาเราทำโฆษณา Google Adwords ก็จะปักหมุดแบบนี้เหมือนกัน โดยเวลาที่เราคลิกเข้าไปทางเราจะต้องคนที่ทำโฆษณาเนี่ยต้องเสียตังค์ต่อคลิกว่างั้นเหอะ เป็น Pay per click พอคลิกเข้าไปแล้ว คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของเราเนี่ย ลูกค้ามาแล้วล่ะ มาจาก Google Adwords แล้วล่ะ มาจากโฆษณาเรียบร้อยแล้วล่ะ ลูกค้าก็จะเล่นในเว็บไซต์เรา ก็จะหาข้อมูลในแบบที่เขาต้องการ ก็ชอบไหม ก็เจออะไรที่ชอบไหม เขาก็จะคลิกไล่อ่านไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ปิดไป ถ้าเขาชอบเขาก็จะกลับมาใหม่ 
นาทีที่ 01.28 – 03.10 ซึ่งเวลาที่เราทำโฆษณาจริงๆเนี่ย เราอยากให้เขาซื้อของเราจริงๆไหม หรือว่าอยากให้เขาแบบสมัครสมาชิกกับเรา อยากให้เขาลงทะเบียนกับเรา อยากให้ฝากอีเมล อะไรก็แล้วแต่เนี่ยที่เราต้องการ เขาโทรหาเรา ซื้อตรงเนี้ยมันจะก่อให้เกิดยอดขาย ก่อให้เกิดสมาชิกเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจ คือไหนๆก็เสียตังค์โฆษณาแล้วอ่ะ เราก็อยากรู้ว่าคนที่เข้ามาเนี่ย เข้ามา Join event เข้ามาซื้อของอะไรกับเราบ้างหรือเปล่า ซึ่งเครื่องมือในการวัด เราจะเรียกว่า Conversion  ครับ  Conversion ใน Google Adwords เนี่ยมันจะเป็นเครื่องมือในการวัดว่าคนที่คลิกโฆษณาจาก Google Adwords มาแล้วเนี่ย มันมาทำอะไรต่อในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งอย่างเช่น เราวัดอะไรบ้าง เราวัดได้ว่าคนเข้าเว็บไซต์เนี่ย คนมาซื้อของเราไหม คนมาสมัครสมาชิกเราไหม คนมาลงทะเบียนแบบฟอร์มเราไหม เห็นไหมครับ แล้วมันก็วัดได้อีกว่า มันมาดาวน์โหลดแอพหรือเปล่า แอพที่เราติดตามอะไรหรือเปล่า หรือว่าคนที่แบบว่าคลิกโฆษณาแล้วเขาโทรหาเราหรือเปล่า เนี่ย หรือสุดท้ายเลยเนี่ยมันสามารถเชื่อมไปได้แบบคนที่คลิกโฆษณาแล้วแบบเขาอาจจะไม่ได้โทร เขาอาจจะไม่ได้เข้าเว็บไซต์เรามาก แต่เขาเดินมาร้านค้าเราอย่างเงี้ย เป็นการติดตาม Conversion  แบบออฟไลน์รึป่าว มันก็สามารถวัดผลการโฆษณาได้อย่างนี้นี่เอง เป็นการบอกความคุ้มค่าในการลงทุนโฆษณานั่นเอง แต่เนื่องจากการจะติดตั้ง Conversion ได้ มันจะต้องติดตั้ง Script ภายในเว็บไซต์ด้วยนะ แล้วเว็บไซต์ต้องรองรับเรา มันก็จะอยู่ในขั้นตอนของการติดตั้งและตรวจสอบการติดตั้งอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ในวิดีโอถัดๆไป
นาทีที่ 03.11 – 05.22 ซึ่งวิดีโอนี้เอาแค่ภาพรวมคร่าวๆก่อนว่ามันทำงานยังไงนะ  มันเป็นการติดตามนั่นเอง ว่าผลจากการที่คนคิดโฆษณามา ถ้าเราไปดูผลลัพธ์นะ ในการค้นหาของ Google Adwords เนี่ย หน้าผลลัพธ์อย่างเงี้ย สมมติว่ามีตัวอย่างเป็นผลลัพธ์ของ Google Adwords นะก็คือว่าเราทำโฆษณาไปแล้วเนี่ย เราจะมีผลลัพธ์ประมาณเนี้ย เราใช้ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่อย่างเงี้ย ตัวนี้ใช้ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ มีแสดงผลเท่าไหร่ใน Google Search เนี่ย เราทำโฆษณาไปแล้วแสดงผลเท่าไหร่ มีคนคลิกเท่าไหร่อย่างเงี้ยเห็นไหม หนึ่งพันกว่าคลิก แล้วตัว  Conversion เนี่ยเป็นตัวบอกว่า เฮ้ย คนคลิกเข้ามาเนี่ย เขาทำอะไรบ้าง อย่างของผมเนี่ยก็เป็นตัวอย่างว่าคนคลิกเข้ามาเนี่ย หยิบของใส่ตะกร้าไหม เห็นป่ะ ดีป่ะ สมมุติว่าคนเข้ามาเนี่ยหยิบของใส่ตะกร้าไหม สมมติว่าคนเข้ามาเนี่ยเข้ามาในเว็บไซต์เนี่ย จาก Google Adwords เนี่ยเข้ามา ปึ้ง ในเว็บไซต์เนี่ย เขาก็ไปเรื่อยของเขาเนี่ย แล้วแต่เขาจะชอบ แล้วอยากรู้ว่าคนที่เข้ามาเนี่ย เขาหยิบของใส่ตะกร้ารึป่าว แล้วแบบจ่าย แล้วก็ Check out ไหม Confirm order ไหมอย่างเงี้ยเราอยากรู้ เพราะว่าเราจะได้วัดค่าการลงทุนได้ว่ามันคุ้มรึป่าว เท่านั้นเอง ซึ่งการวัดค่าตรงนี้นะ Conversion ตรงเนี้ยมันจะต้องเอา Code ไปฝัง โดยขั้นแรก วิธีการเปิด Column ตรงนี้ ถ้าเกิดใครยังเปิดไม่เป็นเนี่ย ก็คืออยู่นี่ คอลัมน์ -> แก้ไขคอลัมน์ อยู่ตรงนี้ ปึ้งนึง โอเค ละเลือกเนี่ย แท็บ Conversion ตรงนี้มันก็จะอยู่ตรงโซนเนี้ยแหละ เพิ่มตรงนี้เข้าไป อยู่ใน Conversion เพิ่มเข้าไป มันก็จะเรียบร้อยล่ะ มันก็จะได้แท็บ Conversion ละ โอเคขอปิดก่อนนะ เป็นอันนี้มันจะต้องเพิ่มเข้ามา เป็นแท็บ เป็นคอลัมน์ Conversion ซึ่ง Conversion เริ่มเลยเราใส่เข้าไปมันจะเป็นศูนย์เพราะว่าเราไม่ได้ฝัง Code การติดตาม แล้วก็วิธีการฝังCodeการติดตามเนี่ยจะเอ่ยในวิดีโอถัดไปละกัน โดยวิดีโอนี้จะเอ่ยถึงภาพรวมเฉยๆ ซึ่งวิธีการฝัง Code การทำติดตามเนี่ยมันก็ทำไม่ยาก ไปคลิกเครื่องมือ แล้วก็เลือก Conversion ตรงนี้ มันจะเป็นเครื่องมือฟรี มันก็จะสู่หน้าตาการฝังโค้ดแล้วก็การติดตั้งเอง ซึ่งจะพูดถึงในวิดีโอถัดไปนะ
นาทีที่ 05.23 – 07.15 ซึ่งพอเราฝังโค้ดการติดตั้งได้เนี่ย เราจะต้องฝังให้ถูกหน้าด้วยนะ เราไปฝังผิดหน้าเนี่ยมันจะทำให้การวัดผล Conversion ในโฆษณา Google Adwords เนี่ย เพี้ยน แล้วจะฝังยังไงอ่ะสมมุติว่าเราต้องการยกตัวอย่างนะ เราจะฝังโค้ด Conversion ติดตามการหยิบของใส่ตะกร้า เราจะต้องฝังไว้หน้าไหนนะ ยกตัวอย่าง เราจะไม่ฝังไว้หน้านี้ หรือฝังไว้หน้านี้นะ หน้านี้เรายังไม่ฝังโค้ดนะ แบบว่าคนหยิบของใส่ตะกร้าแล้วเอ่อใส่ข้อมูลที่อยู่การติดต่อ เรายังไม่ฝังโค้ดนะ เราไปฝังโค้ดที่หน้านี้ครับ หน้าเสร็จสิ้นการสั่งซื้อตัวเนี้ยครับจะเป็นการฝังโค้ด Conversion เพื่อระบุแน่นอนเลยนะว่าตั้งแต่เริ่มต้นเลยเนี่ย คนคลิกเข้า Adword โฆษณา Adwords พวกเนี้ย เข้ามาปุ๊บ เข้ามาหน้าเว็บไซต์ เข้ามาหน้าสินค้า หยิบของใส่ตะกร้า ใส่ข้อมูลที่อยู่อะไรเรียบร้อย แล้วเขาก็กดปุ่ม Check out ปุ่มล่าสุด ปึ้ง! สั่งซื้อเสร็จเรียบร้อย ปึ้ง! เนี่ย คือเสร็จสิ้นกระบวน เกิดหนึ่ง Conversion แล้ว แล้วผลลัพธ์ของมันเนี่ย มันก็จะมาปรากฏที่หน้า Google Adwords ตรงนี้ มันก็จะมาปรากฏตรงนี้เป็น Conversion ตรงนี้ ตัวเลขมันก็จะขึ้นมาตามที่เรากำหนด ซึ่งมันก็จะบอกได้ด้วยนะว่า Conversion เนี่ยหรือว่าผลลัพธ์ที่คนสั่งซื้อเนี่ยมันมาจาก Keyword คำว่าอะไร เห็นป่ะ ดีมะ นั่นหมายความว่าเราจะเอาตัวเลขเนี้ย เป็นการประมวลว่า Keyword ไหนที่แบบใส่ใส่เข้าไปละแบบมีคนคลิกเข้ามาละก็สั่งซื้อเราจริงๆ นั่นหมายความว่าเราจะได้แบบเอาเงินโฆษณาไปทุ่มให้กับ Keyword นั้นๆ มันก็จะได้เกิดยอดสั่งซื้อ ยอดคนเข้า ยอดสมัครสมาชิก ยอดอะไรก็แล้วแต่ที่เราจะต้องการเนี่ย เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
นาทีที่ 07.16 – 07.58 สรุปนะมันก็คือการบริหารงบประมาณให้ถูกต้องกับ Keyword ละก็โฆษณามากยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยมีตัว Conversion ช่วย ในการที่เราบอกเราว่าเราควรจะเอางบโฆษณาเทไปที่ไหน ใช้กับอะไร แล้วมันได้ผล เห็นป่ะ ซึ่งการที่ทำอย่างงี้ได้นะ เรื่องแรกนะคือเว็บไซต์จะต้องรองรับการวาง  Conversion Code เว็บไซต์ต้องรองรับการวาง Conversion Code นะซึ่งนักรบก็ออกแบบวางกลยุทธ์ไว้เรียบร้อยว่าเว็บไซต์ WordPress ที่สอนอยู่เนี่ย มันรองรับการวาง Conversion Code อยู่เพียงแค่มันจะมีรายละเอียดเทคนิคเพิ่มขึ้นในวิดีโอถัดไปละกันว่ามันจะทำยังไง น่ะ มันก็สามารถทำได้
นาทีที่ 07.59 – 10.25 ฉะนั้นเรามาดูตัวอย่างง่ายๆอีกอันหนึ่งก็คือสมมุติยกตัวอย่างนี้ ก็คือ สมมติเราใช้เนี่ย เราใช้ต้นทุนในการโฆษณาไปประมาณสามพันเจ็ด โดยเฉลี่ยประมาณสามพันเจ็ดนี้ เกิด Conversion ห้าครั้งก็คือมีเกิดคนสั่งซื้อสัมมนา SEO เนี่ยห้าครั้ง Conversion สั่งหนึ่งครั้งน่ะมีมูลค่าประมาณสามพันบาท แปลว่าห้าครั้งเนี่ย จะได้ยอดมาหมื่นห้าพันบาท ประมาณนี้  ยอดมันจะหมื่นห้าพันบาท หมายความว่าไง หมายความว่าการโฆษณาครั้งนี้คุ้มมาก ก็คือว่าถ้ามันมีคนสั่ง ใช้เงินทุนไปสามพันเจ็ดโฆษณาปุ้งเนี่ย มันมีคนสั่งซื้อมาตึ้งสักสองครั้ง ก็เกิดจุดคุ้มทุนแล้ว เห็นป่ะ แล้วที่เหลือก็คือกำไรของการโฆษณาครั้งนี้นั่นทำให้เรารู้ว่า อ้อ!การโฆษณาของเราเนี่ย ที่ลูกค้าได้มาจาก Google Adwords เนี่ย เขาคือคนที่สั่งซื้อนะ เพราะว่ามันจะไม่มีปัญหาอย่างงี้เลยอ่ะ สมมุติว่าคนสั่งซื้อคอร์สเราหรือว่าสั่งซื้อสินค้าเราแล้วเราจะมักถามเขาอีกว่า ขอโทษนะคะ รับทราบจากที่ไหน จริงป่ะ? สั่งซื้อรับทราบจากที่ไหน ทราบจากสื่อไหน Facebook หรือว่า Google หรือว่าจะสื่อสิ่งพิมพ์หรือว่าจะออฟไลน์ หรือว่าคนบอกต่อคะ อะไรอย่างเงี้ย ถ้ามันมีลูกค้าแค่สิบกว่าคน มันไม่เป็นไรไง แต่ถ้าเกิดคนมีคนสักห้าสิบคนเนี่ย ถ้าถามทุกคนมันจะยุ่งยากละ และอีกอย่างมันก็จะไม่มีความเที่ยงตรงไง แต่ถ้าเราใช้เครื่องมือช่วย อย่าง Google Adwords Conversion เนี่ยมันจะเที่ยงตรงระดับที่แบบดีขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องถามอะไรอย่างเงี้ย มันจะรู้เลยว่าคนมาจากโฆษณาใน Google Adwords และสั่งซื้อ หยิบของใส่ตะกร้าของเรานั่นเอง นี่แหละคือประโชยน์ของมันว่าถ้าเราโฆษณา แล้วเราไม่รู้ผลลัพธ์การโฆษณาว่ามันได้ไม่ได้นะ มันจะวัดผลยาก มันจะดูได้แค่นี้  ถ้าเราไม่มี Conversion ในนั้น เราจะดูแค่จำนวนคลิก ก็คือคนเข้าเว็บไซต์อย่างเดียว เรารู้คนเข้าพันคนจริง พันครั้งจริง แต่เราไม่รู้ว่าพันครั้งเนี่ย มันมีคนซื้อรึเปล่า จริงมะ มันมีคนสมัครสมาชิกไหม มันมีคนฝากอีเมลไหม มีคนเข้าร่วมกิจกรรมกับเราไหม อย่างเงี้ย เราไม่รู้เลยนะถ้าเราไม่ใช้ Conversion ช่วย เนี่ยคือ Conversion คือส่วนเสริมที่ทำให้เรารู้ว่าการลงทุน ในโฆษณาเราคุ้มค่าไหม และการลงทุนของเราเนี่ยมันมาจากสื่อไหนนั่นเอง ซึ่ง Conversion ไม่ได้มีแค่ Adwords นะ มันก็จะมีในสื่อออนไลน์อย่างอื่น เช่น Facebook ซึ่ง Facebook หรือจะเรียกว่า Facebook pixel เดี๋ยวค่อยพูดกันในวิดีโออื่นละกัน ขณะนี้เราพูดถึงแค่นี้ก่อน
นาทีที่ 10.26 – 11.00 นี่คือภาพรวมทั้งหมดนะในการใช้  Conversion และประโยชน์ของ Conversion เพื่อที่จะรู้ว่าคนเข้ามาเว็บไซต์เราเนี่ย มาจาก Adword ไหม โอเค เท่านี้น่าจะพอเห็นภาพละของการทำ Conversion ละก็ภาพรวม สำหรับวิดีโออื่นนะ วิธีการติดตั้ง วิธีการใช้งาน วิธีการนู้นนี่นั่นอะไรอย่างเงี้ย ไปชมลึกมากขึ้นนะ ก็พบกันวิดีโอถัดไปละกัน สำหรับวิดีโอนี้ ขอเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ. 
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/google-ads/google-adwords-conversion-share-2/

346
การตลาดออนไลน์ด้วย Content Marketing คือที่สุดของมืออาชีพยุคนี้


ท่ามกลางความแข่งขันของเนื้อหาข้อมูลที่วิ่งผ่านชีวิตคนอย่างมากมายมหาศาล ในยุคข่าวสารข้อมูล (Information age) ยากที่ท่านจะเปิดดูทุกฟีดข่าวได้หมด Facebook จึงนำเสนอแต่ข้อมูลเพื่อน และหน้าเพจที่ท่านให้ความสนใจและปฏิสัมพันธ์ด้วยก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานเฟสบุ๊คของท่าน เจอแต่เรื่องที่ท่านชอบนั่นเอง แล้วคนทำธุรกิจออนไลน์ล่ะ จะทำอย่างไรถึงจะแทรกเนื้อหาของเขาไปยังหน้าเฟสบุ๊คฟีดของคนอ่านคนฟังได้ ก่อนอื่นท่านต้องเรียนรู้พลังพื้นฐาน : ” ถูกใจ แชร์ แทค พลังในมือของผู้อ่านในโลกออนไลน์ “

ถูกใจ แชร์ แทค พลังในมือของผู้อ่านในโลกออนไลน์
พลังของการเผยแพร่อยู่ในมือของคนอ่าน ท่านบังคับคนอ่านให้ติดตาม ถูกใจ หรือแชร์ไม่ได้ ยกเว้นแต่ท่านมีอะไรบางอย่างไปแลก เช่น รางวัลที่หลายๆเพจมักทำกัน, การให้คุณค่าแก่คนอ่านหลังอ่านจบ, ภาพที่สื่อความหมาย หรือ วีดีโอที่เข้าถึงอารมณ์ จนยากที่ผู้ชมจะหยุดใจไม่ให้แชร์ต่อ การเขียนบทความที่ดี, การถ่ายรูปที่สวย, และการทำวีดีโอที่คนชอบ ไม่ใช่ทักษะพื้นฐานที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มันเป็นทักษะที่ฝึกระหว่างทาง หากท่านไม่ใส่ใจตรงจุดนี้ ก็ยากที่จะสร้างเนื้อหาที่ดีให้คนชอบได้ แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อท่านทำได้แล้ว จะสนุกและทำได้ต่อเรื่อยๆไม่จบ จนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในการทำการตลาดผ่าน Content Marketing ที่ทรงคุณค่าทีเดียว เนื้อหาที่ดี มีคนแชร์มากมายใน Social Media ก็มีวันดับตาลกาลเวลา แต่ท่านสามารถชุบชีวิตมันให้ยังคงอยู่ถาวรเป็นอมตะได้ ให้เป็นประโยชน์กับคนอ่านรุ่นต่อๆไปด้วย SEO

เนื้อหาดีจะอยู่เป็นอมตะ ได้ด้วย SEO
เนื้อหาดีมีคนแชร์และบอกต่อ จะสามารถอยู่อย่างยั่งยืนยาวนานนับปี เมื่อนำมาผนวกกับ SEO เสมือนเป็นยาอายุวัฒนะให้เนื้อหาแบบนั้นเลย นั้นก็เพราะ SEO คือการโปรโมทผ่าน Google Search โดยอาศัยหลัก SEO ช่วย หากท่านมีเนื้อหาดีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ผนวกกับ SEO ท่านจะสูญเสียตำแหน่งที่ดีใน Google เนื้อหาข้อมูลที่ดีของท่านจะถูกแชร์และบอกต่อในโลก Social ในช่วงแรกจริง แต่ในระยะยาวเนื้อหาของท่านจะมีคนเข้าชมน้อยลงเรื่อยๆหากไม่ติดอันดับใน Google ครับ และ SEO คือคำตอบของการชุบชีวิตเนื้อหาให้เปร่งประกายทุกยุคสมัยตราบเท่าที่ Google Search ยังคงอยู่ตัวอย่าง

แบรนด์ GTH ที่ใช้ Content Marketing
ตัวอย่างมีมากมายในต่างประเทศและประเทศไทย กระจายอยู่ในทุกๆธุรกิจ นักรบขอยกตัวอย่างธุรกิจในเครือภาพยนตร์อย่าง GTH ที่หยิบการตลาดผ่าน Content มาสร้างเรื่องราวของหนัง  ให้คนชม คนชอบ คนแชร์ใน Social Media ก่อนที่หนังจะฉายจริงเสียอีกครั้ง


การจ่ายโฆษณาเพียงอย่างเดียว ไม่ส่งผลดีกับธุรกิจออนไลน์ SME
ท่านจะสูญเสียเงินมหาศาลไปกับการทำให้คนจดจำและรู้จัก (Awareness) และจะสูญเสียงบโฆษณาไปกับ Facebook Ads และ Adwords มากมาย ท่านจะได้แต่คนเข้าชมในราคาแพง ไม่มีคนซื้อ ไม่มีใครช่วยแชร์เรื่องราวหรือสินค้าของท่านเลย เปรียบได้กับท่านไม่ได้ใช้พลังทวี หรือเครื่องทุนแรงในโลก Social มากนัก เพราะท่านไม่เน้นที่การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) ตั้งแต่แรก Tip: ท่านอาจใช้วิธีการที่เรียกว่า การวัดยอดขาย (Conversion) กับสินค้าของท่าน แต่จะดีกว่าถ้าท่านทดลองตลาดด้วย Adwords และสร้างความน่าเชื่อถือ การจดจำที่ดีก่อนผ่าน Content Marketing

การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing ไม่ต้องใช้คนมาก แค่ท่าน 1 คนก็ทำได้
หมดยุคการแปะสรรพคุณสินค้าลงใน Social Media เพียงอย่างเดียวได้แล้วครับ เพราะแฟนเพจและเว็บไซต์ของท่านจะร้างได้ หากไม่มีเนื้อหาดีๆภายในเว็บไซต์หรือ Fanpage เลย นั้นก็เพราะ ทั้ง Google และ Facebook ต่างเห็นพ้องในทิศทางเดียวกันคือ เขาจะนำเสนอข้อมูลที่ดีให้ถึงคนอ่านเท่านั้น และพยายามกีดกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ค่อยมีประโยชน์ออกไป แต่จะเว้นที่ว่างไว้สำหรับการจ่ายโฆษณา การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing เผยแพร่ผ่าน Blog และ Social Medila สามารถทำได้ด้วยเพียง 1 คน และใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงต่อวันในการสร้างเนื้อหาพร้อมๆกับโปรโมทสินค้าและบริการของท่านไปในตัว ยกตัวอย่างใกล้สุด คือเว็บไซต์นักรบแห่งนี้ครับ


การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing จะช่วยให้หน้าฟีดเฟสบุ๊คของลูกค้า หรือ ตำแหน่งผลการค้นหาของ Google ยังมีที่ว่างอยู่สำหรับธุรกิจท่านครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/online-marketing-n-content-marketing/

347
SEO คือ อะไร , ปัจจัย SEO มีอะไรบ้าง และ SEO ทำอย่างไร


SEO คือ อะไร ?
SEO อ่านว่าเอสอีโอ คือ การปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ติดอันดับการค้นหาในตำแหน่งที่ดีที่สุดใน Search Engine ต่างๆ เช่น Google, Yahoo, Bing โดย SEO ย่อมากจาก Search Engine Optimization.
สร้างเว็บไซต์ให้ติดหน้า Google มี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ การลงโฆษณากับ Google Ads และ SEO

Note : ในที่นี้จะเน้น Google Search เป็นหลักครับ เพราะมีผู้ใช้สูงมากที่สุดกว่า 90%

ปัจจัย SEO ที่นักรบขอแบ่งเป็น  5 ประเภทหลัก
การทำ SEO ให้ได้ผล ควรอ้างอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้ เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลกับเอสอีโอ โดยนักรบอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทให้บริการด้านเอสอีโอระดับโลก ได้ทำการทดลอง 10,000 Keywords กับ 300,000 เว็บไซต์ เพื่อเผยแพร่ผลการทดสอบ (White Paper) โดยปัจจัย SEO ทั้งหมดมี 5 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้ครับ
        1. Website
        2. Content
        3. User Signals
        4. Social Signals
        5. Backlinks
Note : * ปัจจัยกลุ่ม 1-3 คือ การปรับแต่งเอสอีโอภายในเว็บไซต์ (On-Page SEO) * ปัจจัยกลุ่ม 4-5 คือ ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ (Off-Page SEO)


SEO คือ อะไร
1. ปัจจัยด้านเว็บไซต์
เว็บไซต์รองรับมือถือ มีโครงสร้าง HTML ที่เอื้อกับการทำ SEO ในส่วนของ Title, Description, H1, H2, Img Alt เป็นต้น รวมทั้งความเร็วในการเปิดแต่ละหน้าของเว็บไซต์ อีกทั้งความสามารถในการแชร์ไปยัง Social Media ได้สะดวกมากยิ่งขึ้นก็มีส่วนสำคัญครับ ปัจจัยด้าน Website แบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - ความเร็วเว็บไซต์
         - การรองรับมือถือ
         - เว็บไซต์มีโครงสร้าง HTML รองรับ เช่น Title, Description, H1,H2, Img Alt
         - URL Friendly
         - เว็บไซต์ไม่ล่มบ่อย ไม่โดน Hack ไม่ติดมัลแวล์
         - มี Security เช่น https
         - มีระบบรองรับการทำ Blog, News, Faq เป็นต้น

2. ปัจจัยจากเนื้อหาภายในเว็บไซต์ (Content)
ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - Keyword ใน Title, Description, H1, H2, Img Alt
         - Keywords ที่เกี่ยวข้องกัน
         - จำนวนลิงค์ภายในเว็บไซต์
         - จำนวน Keywords ในเนื้อหาเว็บ
         - จำนวนคำ, ความยาวของ HTML, และจำนวนตัวอักษร
         - Keyword ใน Link ภายในเว็บไซต์

3. สัญญาณจาก ผู้ใช้ (User Signals)
ปัจจัยนี้สามารถดูได้จาก Google Analytic ซึ่งมีการเก็บข้อมูลของคนเข้าเว็บไซต์เราเป็นอย่างดี โดยสถิติผู้ใช้จะดี ก็ต่อเมื่อเว็บไซต์ดี โหลดเร็ว ใช้งาน สวยและมีเนื้อหา Content ดีครับ ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - อัตราการคลิ๊กจาก หน้าผลการค้นหา Google
         - เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์
         - สถิติผู้ใช้ เข้า-ออกเว็บไซต์

4. ปัจจัยจาก Social Media
ปัจจัยจาก Social Media อาศัยการ Like, Share, Comment เป็นหลัก ฉะนั้นต้องสร้างเนื้อหา (content) ทีดี มีภาพสวย อ่านเข้าใจง่ายและเป็นประโยชน์จริงๆทั้งแบบข้อความ, ภาพ หรือวีดีโอ แล้วแต่ถนัดครับ
ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - Google Plus
         - Facebook Shares
         - Facebook Comments
         - Pinterest
         - Facebook Likes
         - Tweets

5. ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ (Backlink)
Backlink คือ Link ที่เชื่อมเว็บไซต์อื่นๆ มาหาเว็บเรา เช่น การโพส Link ตามเว็บบอร์ด เว็บประกาศโฆษณาฟรีต่างๆ , การซื้อ Banner, การซื้อบทความลงเว็บไซต์ advertorial เป็นต้น
Backlink อาจเกิดขึ้นเองอัติโนมัต ถ้าเว็บไซต์เราติดหน้าแรกแล้วบ้าง จะมีคนทำ Backlink ให้เองฟรีๆ หรือเราจะสร้างเองหา Backlink ฟรีได้ครับ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Backlink มีดังนี้
         - จำนวน Backlinks
         - Backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง
         - Backlink จากวเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บของเรา
         - Backlink จากโดเมนภาครัฐ หรือการศึกษา เช่น .ac.th, .or.th, .go.th เป็นต้น

ปัจจัยพิเศษ บทลงโทษจาก Search Engine
หากไม่ทำผิดกฏก็ไม่ต้องกำวลเรื่องเหล่านี้ครับ ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - Backlink จากเว็บไซต์ ผิดธรรมชาติ
         - Spam Keywords
         - ลงโฆษณามากเกินไป และมีเนื้อหาสำคัญน้อย
         - หลอกลวง URL และมีการ Redirect ไม่ประสงค์ดี
         - ซ่อน Keywords

เว็บไซต์ที่อันดับดี จะมีปัจจัยทาง SEO หลายข้อทำงานร่วมกัน
เราจะใช้ปัจจัยทาง SEO ไม่กี่ข้อแล้วหวังว่าเว็บเพจจะมีอันดับดีใน Google วิธีคิดแบบนี้อาจจะไม่ส่งผลดีเท่าไหร่นัก เพราะถ้าคู่แข่งมีเว็บเพจที่ดีกับ SEO หลายปัจจัยมากกว่า แล้วเว็บไซต์ของเราก็จะตกอันดับแน่นอน ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้เราต้องใส่ใจทุกรายละเอียดของ SEO ทีเดียว

ทำไม ? การทำ SEO ถึงจำเป็นต่อเว็บไซต์
คนค้นหาข้อมูลทั้งสินค้าและบริการส่วนใหญ่จะมาจากทาง Google แทบทั้งนั้น และ Google ก็อยู่ในชีวิตประจำวันของใครๆหลายๆคนเรียบร้อยแล้ว จะหาอะไรก็ไปกูเกิล ฉะนั้นถ้าอยากให้มีคนเข้าเว็บไซต์เรามากๆ เราจะต้องปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้ดี ติดอันดับ Google แล้วจะมีลูกค้าหน้าใหม่ๆ รวมทั้งลูกค้าเก่าๆแวะเวียนมาที่หน้าร้านออนไลน์ของเราไม่ขาดสายครับ Note : ยอดผู้เข้าชมสามารถเพิ่มขึ้นจาก Social Media ได้ โดยจะพูดถึงในบทความอื่นๆ

Google จะทำอย่างไร ? กับเว็บที่ไม่ทำ SEO
ถึงแม้เว็บไซต์ไม่ได้มีการทำ SEO แต่ถ้ามีข้อมูลที่ดี มีคนเข้าชมเยอะ ค่อยๆเติมโต เว็บไซต์นี้ก็จะอยู่ในอันดับที่ดีของ Google ได้ครับ เพียงแต่ว่าจะเห็นผลช้าหน่อย และอาจจะไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพของ SEO เต็มที่นั้นเอง

ทำ SEO ด้วยตัวเองได้ไหม ?
ทำ SEO ด้วยตัวเองได้ครับ เพียงแต่ว่าคนทำต้องเรียนรู้และทดลองเกี่ยวกับ SEO หลายๆเดือน หรือเป็นปีเลยทีเดียว วิธีง่ายๆในการเรียนรู้เบื้องต้น คือ การค้นหาความรู้ได้ฟรีก่อนใน Internet ขั้นถัดมาคือการซื้อหนังสือที่สอนเกี่ยวกับ SEO และ เข้าสัมมนา Workshop เกี่ยวกับ SEO ครับ หรืออ่านจากบทความ เช่น  สอน SEO ฟรี โดย Rungwat.com  Note : สามารถจ้างบริษัทรับทำ SEO ได้ โดยจะมีราคาแตกต่างกันไปตามความยากง่ายตั้งแต่หลักพัน – หลักหมื่น ต่อ 1 Keyword นักรบแนะนำ : รับทำ SEO โดยนักรบ

บริการรับทำ SEO ราคาถูกดีไหม ? และควรจ้างทำ SEO หรือ ทำเองดี ?
บริการรับทำ SEO ราคาถูกเกินไป และทำผิดวิธีจะทำให้เว็บไซต์โดน Ban ได้ การจ้างทำ SEO เหมาะกับธุรกิจที่มีเงินลงทุน, ไม่มีเวลา, ไม่มีความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ โดยควรพิจารณาผลงานเป็นสำคัญจากผู้บริการที่น่าเชื่อถือ

นักรบแนะนำ
นักรบแนะนำให้คนนักการตลาดดิจิทัล เรียนรู้การทำ SEO ด้วยตัวเอง โดยเขียนบทความลง Fanpage และ Website ในลักษณะการทำ Content Marketing ที่ช่วยทำให้ SEO ดีขึ้นมากถึงมากที่สุด หากแต่เพียงว่าต้องเรียนรู้การทำ SEO เพิ่มเติมมากขึ้น โดยสามารถเรียนผ่านสัมมนา หรือ คอร์สออนไลน์ของเราได้ครับ เมื่อผลิด Content ได้มากมาย สม่ำเสมอ ผ่านทักษะการเขียนบทความ การสร้าง Content ต่างๆเช่น วีดีโอ, ภาพนิ่ง ที่สอดคล้องกับหลักการทำ SEO แล้ว เว็บไซต์ก็จะติดหน้าแสดงอันดับผลการค้นหาของ Google (SERPs) ได้ง่ายดายขึ้นเป็นทวีคูณ พอจะเข้าใจคร่าวๆแล้วนะครับ

อย่าลืมที่จะพัฒนาตัวเองในทักษะยุคดิจิตอลสำหรับธุรกิจ SME สิ่งที่นักรบพอจะช่วยได้คือ ช่วยเผยแผ่ความรู้ผ่านคอร์สเรียนของเราครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-factor/seo-is/

348
มนุษย์เงินเดือน เช้าทำงานประจำ เย็นทำธุรกิจ จนตั้งบริษัทตัวเองได้


สวัสดีครับ ผมนักรบ เมื่อก่อนเป็นเพียง ” มนุษย์เงินเดือน ” ธรรมดาๆ ฐานะทางบ้านปานกลางค่อนข้างจน พอมีพอกินบ้างแต่ไม่ร่ำรวย ผมมีหนี้สินแค่รถคันเดียวก็ผ่อนกันเหงื่อตกแล้วครับ จนต้องให้ที่บ้านช่วยผ่อนด้วยซ่ำ สมัยเด็กผมเป็นไอ้ขีแพ้ ทั้งเรื่องเรียน, เรื่องกิจกรรม และแม้แต่เรื่องความรัก ตั้งแต่ประถมจนเรียนจบ เคยด่าตัวเองว่า “ไอ้ขี้แพ้” บ่อยๆ
        - สมัยประถม เคยได้รับโอกาสเป็นนักเล่นดนตรี อิเล็กโทน แต่เล่นไม่นานก็เลิก
        - สมัยมัธยม เพื่อนส่งรายชื่อให้ประกวดร้องเพลงคณิตศาตร์ แต่กลับโดนโห่กลางเวที
        - จบ ม. ปลาย เอนท์ไม่ติด เพราะไม่ขยันเรียน การบ้านไม่ส่งเลย
        - มหาลัย ได้เล่นบาส หมดเวลา ชู๊ตลูกโทษตัดสินแพ้-ชนะ 2 ลูก กลับชู๊ตไม่ลงสักลูก ทำให้ทีมแพ้รอบชิงชนะเลิศ เพราะขี้เกียจซ้อมไม่เอาจริง
        - มหาลัย เล่นวงดนตรีประกวด แต่อ่อนซ้อม แพ้ไม่เป็นท่าเพราะผม
        - ทำงาน เคยโดนลดเงินเดือน, โดนขอให้ออก, ทำที่ไหม่ ก็ไม่ผ่าน Pro

ตลอดเกือบ 30 ปี ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเลย ผมไม่เคยทำอะไรจริงจัง และไม่รู้ด้วยว่าอนาคตจะไปได้แค่ไหน  แค่ฝันบางทียังไม่กล้า แต่วันนี้สามารถปลดหนี้รถ, บัตรเครดิต, ออกจากงานประจำ มาเปิดบริษัทเล็กๆได้ พร้อมมีเงินเก็บสำรองใช้ 1 ปี โดยไม่ต้องมีรายได้ก็อยู่ได้ มีเวลาอยู่กับพ่อแม่ทุกวัน และ มุ่งหน้าสร้างบริษัทเล็กๆของตัวเองให้แข่งเกร่ง ถึงแม้จะประสบความสำเร็จเล็กๆ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่ดี วันนี้ผมไม่เรียกตัวเองว่า “ไอ้ขี้แพ้” อีกแล้ว เพราะผมเห็นหนทางของการสร้างแบรนด์ให้ธุรกิจตัวเองด้วยความสามารถและวิสัยทัศน์ ผมทำอย่างไร? มาดูกันครับ

วิสัยทัศน์สำคัญที่สุด
วิสัยทัศน์คือการมองเห็น สิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือมีแนวโน้มที่จะเกิด ยิ่งมองเห็นชัดเท่าไหร่จะยิ่งเกิดความเชื่อมากขึ้นเท่านั้น เมื่อความเชื่อแรงกล้า ทำให้ฟันฝ่าทุกอุปสรรคได้ง่าย และประสบความสำเร็จครับ ผมโชคดีเรื่องหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสเจอกับ พี่หนึ่ง(วรพงศ์) หัวหน้าที่มีวิสัยทัศน์ เขาได้สอนผมหลายเรื่อง ทำให้ผมมีวันนี้ หลังจากที่ลงมือทำมากยิ่งขึ้น ทำให้ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจมากยิ่งขึ้นครับ ถึงแม้ยังเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อย แต่เชื่อว่าแนวทางของผมจะช่วยแก้ไขปัญหามนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ได้ไม่มากก็น้อยครับ

3 หัวใจของการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวควบคู่งานประจำ
เช้าทำงานประจำ เย็นทำธุรกิจตัวเองจนตั้งบริษัท มีหัวใจในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและมีความมั่นใจได้อย่างไรไปดูกันครับ 1. เร็ว : เร็วที่ลงมือทำ เป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดอาวุธแรกที่คนทำธุรกิจตัวเล็กต้องมี – การลงมือทำเร็ว, – คิดเร็ว วางแผนเร็ว – วัดผลหลังทำไปแล้ว ตัดสินใจว่าเวิร์คหรือไม่ได้เร็ว ได้ผลลัพธ์มาใช้เพื่อหาหนทางที่ดีกว่าต่อไป ในช่วงแรกๆของการทำธุรกิจ สมัยนั้นนักรบต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่าง เช่น วิธีเลือกสินค้า, วิธีซื้อสินค้า, วิธีหาแหล่งผลิต, วิธีต่อรองราคาต้นทุน, วิธีนำไปขาย, วิธีการทำการตลาด และวิธีสร้างแบรนด์เยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเรียนกันใหม่ด้วยตัวเอง หากลงมือทำช้า มัวแต่หลอกตัวเอง ก็ไปไม่ถึงไหน ความขี้เกียจจะเข้าครอบงำ วิธีแก้ไขปัญหา ลงมือทำให้เร็ว  เพราะความขี้เกียจและอุปสรรคทางความคิดมีความเร็วของมัน ถ้าช้า มันจะครอบงำให้อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร อีกทั้งการลงมือทำเร็วช่วยให้นักรบเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้เร็วครับ 2. แรง : แรงที่ึความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นและต้องการอย่างแรงกล้า ที่จะทำตามวิสัยทัศน์, ทำสิ่งรักให้ได้ผล มีความสุข และมีเป้าหมายใหญ่ที่จะเป็นอันดับ 1 ของประเทศหรือของโลก บ่อยครั้งที่นักรบ ตะโกนบอกตัวเองว่า “กูคือคนที่เก่งที่สุดในโลก” เพราะความมุ่งมั่นข้างในมันแรงจนล้น เลยต้องพูดออกมา ในโลกเรามีสิ่งดึงดูดให้เสียสมาธิและหลุดโฟกัสมากมาย เพราะในแต่ละวันเราจะเจอผลงานของคนอื่นๆสร้างไว้ผ่านสื่อต่างๆ เช่น TV, วิทยุ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, ป้าย หรือแม่แต่บนโลกออนไลน์เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด นี้ยังไม่รวมทั่งการบอกปากต่อปากจากเพื่อนๆอีกด้วย สิ่งเหล่านี้จูงใจเรา ให้เสียสมาธิและกระตุ้นเราให้ใช้ชีวิตสบาย ใช้เงิน แต่ไม่เคยสอนให้เราหาเงินเลยครับ นั้นคือสาเหตุหลัก หากตกอยู่ในวังวนการใช้เงินไปกับเรื่องไร้สาระ ไม่พาตัวเราไปยังเป้าหมาย เราจะเสียความมุ่งมั่นไปเร็วมาก วิธีป้องกันการสูญเสียความมุ่งมั่น เข้าใจว่าโลกนี้เต็มไปด้วยโฆษณา หลอกให้คุณใช้เงิน และมอมเมาต่างๆนาๆ ฉะนั้นจงเลือกดู ฟัง และอ่านแต่สิ่งๆดีๆเท่านั้น และรักษาวิสัยทัศน์, เป้าหมาย และความมุ่งมั่นอยู่เสมอๆ นักรบเคยเป็นไอ้ขี้แพ้ ตั้งแต่เด็กจนโตอายุ 30 ปี แต่ชีวิตก็พลิกผัน เพราะได้คุยกับหัวหน้าทุกเช้าในเรื่องธุรกิจ หลังจากนั้น 1 ปี นักรบก็พบทางสว่าง เกิดวิสัยทัศน์ มองโลกได้กว้างขึ้น + กับลงมือทำจริงจัง ส่งผลให้ชีวิตดีขึ้น ธุรกิจส่วนตัวได้กำไร หลังจากมีวิสัยทัศน์แล้ว นักรบรู้ทันทีว่าจะต้อง Focus สิ่งที่ทำ โดยยอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ยอมแลกที่จะไม่คบเพื่อนที่ชวนกันไปเมา ยอมแลกทีจะไม่ดูสื่อห่วยๆเลยแม้แต่นิด ทำให้ตัวเองเก่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่แรงกล้าที่จะเก่งที่สุดในโลกในจุดที่ตัวเองทำ เพื่อตอบแทนบุญคุณคนและเลี้ยงดูครอบครัว วิธีสร้างขุมพลังความมุ่งมั่นแบ่งตามจุดกำเนิด
         - พลังจากสิ่งภายนอกร่างกายเรา เช่น คำพูดดีๆจากคนอื่น, หนังสือดีๆสักเล่ม, หนังดีๆสักเรื่อง หรือประสบการณ์ในแต่ละวันเล็กๆน้อยสักครั้งจากสิ่งต่างๆเหล่านั้นสอนให้รู้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีช่วงของการตกต่ำของชีวิต หากคิดได้ ลงมือทำจริงและโดดขึ้นจากหลุมของความล้มเหลวได้ จะยิ่งแข็งแกร่ง นั้นคือเหตุผลทีทำให้อ่านและศึกษาคนเก่งๆเพื่อค้นหาทั้งวิธีคิด และวิธีทำนำมาใช้กับตัวเองครับ
        - พลังจากภายในตัวเอง : สร้างได้จากวิสัยทัศน์ หรือ วิกฤตความล้มเหลวในชีวิต'
        - เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว :  หลังจากลงมือทำเร็วและแรง จะได้ผลลัพธ์ทำให้เปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำในครั้งต่อไปให้ดีขึ้น เพื่อค้นหาวิธีที่ดีที่สุด นักรบใช้ข้อ 1 และ 2 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ละเรื่อง เมื่อมากๆเข้ามันทำให้นักรบ เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั๊ว อีกทั้งนักรบพบว่าวิธีนี้มันได้ผล เพราะปลดหนี้และมีเงินตั้งบริษัทเล็กๆของตัวเองได้ 3หัวใจนี้ เกิดขึ้นทุกๆวัน เพื่อค้นหาวิธีทำธุรกิจของตัวเอง ในทุกขั้นตอนของการทำธุรกิจล้วนเคยผ่านกระบวนนี้มาแล้วทั้งสิ้น

ทุกธุรกิจมีคู่แข่ง
ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร ล้วนมีคนทำมาก่อน หรือคิดได้ก่อนแล้วทั้งนั้น เพราะเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถึงกันได้รวดเร็ว Idea ต่างๆที่เราคิดได้หลังจากที่เราได้ฟัง ได้เห็นบางสิ่งมาแล้ว ก็มีคนอื่นๆคิดได้เช่นกัน และเขาอาจจะคิดได้เร็วกว่าอีกด้วย เพราะประเทศของเราไม่ใช่ผู้นำทางเทคโนโลยีด้าน Internet และด้านอุตสาหกรรม ฉะนั้นหลังจากคิดได้ ต้องทำให้ได้ผลและปรับใช้ให้เข้ากับคนในแต่ละท้องถื่นให้เร็วที่สุด Idea ที่คิดได้เป็นเพียงก้าวเล็กๆเท่านั้น มันต้องผ่านกรรมวิธีในการวางแผน และวางขั้นตอนคร่าวๆเพื่อทดสอบและลงมือในทุกรายละเอียดเพื่อเช็คเบื้องต้นว่า Idea นั้นได้ผลจริงหรือมีแนวโน้มที่จะได้ผลหรือไม่ ? เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการตัดสินใจในการลุยหน้าต่อ หรือกำหนดทิศทางทางธุรกิจอื่นๆ เช่น การหาแหล่งเงินทุน, การวางแผนผลิต, จัดจำหน่าย, หาช่องทางขาย, และการโปรโมทอีกมากมาย รวมทั้งวิธีในการป้องกันการ Copy เลียนแบบ ในทุกกลวิธีที่เรื่องราวในอดีตของวงการธุรกิจได้สอนเรามา

คำแนะนำจากนักรบ
นักรบขอแนะนำ ไม่ควรเสียเวลาวางแผนมากจนเกินไปกับการนั่งอ่านนั่งฟังจากคนอื่นๆโดยเฉพาะเรื่องแรงบันดาลใจที่มีอยู่ล้นตลาด ควรพุ่งเวลาและสมาธิไปที่การลงมือทำจริง โดยใช้เวลา 60-80% ของเวลา เป็นการทำทั้งหมด นั้นก็เพราะแผนงานที่ดีที่สุดจะเกิดก็ต่อเมื่อเราได้ลงมือทำจนชำนาญแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง บ้างครั้ง นักรบไม่เคยวางแผนเลย แต่ใช้วิธีลงมือทำก่อน คิดที่หลัง ให้ได้ประสบการณ์ก่อน และนำผลลัพธ์มาพัฒนาอีกที ตราบใดที่ลงทุนต่ำเราก็สามารถลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ เพราะการลงทุนไม่ได้สร้างรายได้ แต่ประสบการณ์ต่างหากที่สร้างรายได้

วิธีผลิตผลงานให้ดีและเจ๋ง
ผลงานจะดีได้ต้องมีทั้งจำนวนและคุณภาพ ฉะนั้นถ้าอยากทำให้ผลงานดีเหนือใคร ควรทำตามขั้นตอนดังนี้ 2 ขั้นตอน ผลิตผลงานให้ชนะคู่แข่ง
        - ต้องผลิตผลงานได้เร็ว
        - ต้องผลิตผลงานได้ดี

นักรบทำธุรกิจ ควบคู่งานประจำจะ Focus ที่ความเร็วในการผลิตผลงานก่อน เพราะจำนวนครั้งที่ทำจะสร้างความชำนาญ และความชำนาญจะสร้างผลงานที่ดีตามมา โดยหากต้องการประหยัดเวลาสร้างผลงานให้ดี ควรเลือกแหล่งข้อมูล (Outsource) ที่ดีประกอบ ฉะนั้นต้องแบ่งเวลาในการค้นหา Outsource ด้วย Outsource คือ การใช้ทรัพยากรที่ไม่ใช่ของเรา แต่เราสามารถนำมาใช้ได้ เช่น คน หรือ สิ่งของ โดยเราจำเป็นต้องจ่ายเงินทดแทนหรือไม่นั้น แล้วแต่ตามตกลง

มนุษย์เงินเดือน ทำธุรกิจตัวเองมีข้อดีอย่างไร ?
        1. มีมุ่งมั่นของเจ้าของเป็นทุนเดิม : เพราะมีความเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ภายใน
        2. ถ้าทำอาชีพ Infopreneur  เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญในงานประจำ คุณจะมีเวลาสร้างผลงานหรือเรียนรู้ = 8 ชั่วโมงในงานประจำ + 2 ถึง 3 ชั่วโมงหลังเลิกงาน (เฉลี่ยที่ 11 ชั่วโมง/วันทำงาน และ 5-10 ชั่วโมงในวันหยุด ส-อา.)

สรุป โดยนักรบ ถึง มนุษย์เงินเดือน
มนุษย์เงินเดือนทีทำธุรกิจหลังเลิกงานประจำ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในงานประจำมาใช้ด้วย จะได้เปรียบคู่แข่ง เพราะมีเวลาทำงานมากกว่าและมีพลังของความเป็นเจ้าของธุรกิจที่แรงอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น ธุรกิจก็สู้กันที่ สินค้า, ช่องทางการขาย และ การตลาด
         - สร้างสินค้าให้มีเยอะและดี ได้ด้วยการลงมือเร็ว คิดเร็ว วัดผลเร็ว และพัฒนาสินค้าจนมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
         - ช่องทางการตลาด หากเดินกลยุทธ์สร้าง Personal Brand ด้วย Content Marketing + SEO ผ่านระบบเว็บไซต์ จะยิ่งทวีคุณความรุนแรงเข้าไปเท่าตัว
         - การตลาด สอดคล้องกับช่องทางการตลาดที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยการไต่อันดับ Google ด้วย SEO ผ่าน Content ที่มีคุณภาพ และใช้ Facebook Ads ในการสร้างยอดคนเข้าชมและรู้จัก

วิสัยทัศน์สร้างได้จากการลงมือทำ หรือมีที่ปรึกษาส่วนตัว มนุษย์เงินเดือนก็สามารถทำธุรกิจส่วนตัวจนตั้งบริษัทของตัวเองได้ จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปครับ
https://warrior.in.th/warrior-life/salary-man-working-early-morning-to-do-business-to-set-up-their-own-company/

349
ปัจจัยการทำเอสอีโอ SEO Factor


ปัจจัยการทำเอสอีโอ SEO Factor มีมากกว่า 200 ข้อ ทำให้การทำ SEO นั้นก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละครับ เพราะ Google เค้าไม่ค่อยจะบอกอะไรเราสักเท่าไหร่เลยว่าปัจจัยไหนบ้าง ที่จะช่วยให้เราติดหน้าแรกบนเว็บไซต์เค้าได้ ซึ่งหลังจากนักพัฒนาเว็บไซต์ทั้งหลายดำดิ่ง งมเข็มเหล่านี้กันมานาน เค้าก็ได้สังเกตเห็นถึงปัจจัยกว่า 200 อย่างที่ Google ใช้ในการพิจารณาว่าใครจะได้อยู่อันดับไหนบนหน้าค้นหาของเค้า ซึ่งบอกเลยครับว่าถ้าทำได้ครบทั้ง 200 ข้อนี้ล่ะก็ อันดับหนึ่งของผลการค้นหาไม่มีทางหลุดมือไปไหนแน่นอนครับ
1. อายุของ Domain ต้องจดมานาน
2. มี Keyword อยู่ในชื่อ Domain ด้วย
3. Keyword ต้องอยู่คำแรกของชื่อ Domain เลยถึงจะดีที่สุด
4. วันหมดอายุของ Domain ต้องเหลือเยอะ ๆ
5. มี Keyword อยู่ในชื่อ Subdomain ด้วย
6. ประวัติของ Domain ห้ามเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองบ่อย ๆ
7. เล่น Keyword เดียวกันกับชื่อ Domain
8. เปิดเผยข้อมูลในส่วนของ WhoIs
9. ชื่อผู้ถือครอง Domain ใน WhoIs ต้องไม่มีประวัติการกระทำผิดต่อ Google
10. จดทะเบียน Domain ตามประเทศนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย .th
11. มี Keyword ใน Title Tag
12. ใช้ Keyword เป็นคำแรกใน Title Tag
13. มี Keyword ใน Description Tag
14. มี Keyword อยู่ใน H1 Tag
15. Keyword ต้องเยอะกว่าคำอื่น ๆ ในหน้านั้น
16. ความยาวของบทความ 1,000 คำขึ้นไป กำลังดี
17. จำนวน Keyword ในหน้านั้นไม่ควรมากเกินไปจนดูเหมือน Spam
18. มีคำอธิบาย Keyword เพิ่มเติมในบทความ เพื่อไม่ให้ Google สับสน เพราะบางคำมันแปลได้หลายความหมาย
19. มีคำอธิบาย Keyword เพิ่มเติมใน Title และ Description Tags
20. ความเร็วของเว็บไซต์ก็มีผล
21. ถ้ามีบทความซ้ำกันเยอะ จะทำให้อันดับตกได้
22. ใช้ Rel=Canonical เพื่อป้องกัน Google นับหน้าซ้ำ
23. โหลดเว็บไซต์จาก Chrome ได้อย่างรวดเร็ว
24. ใส่ข้อมูลให้รูปด้วย เช่น ชื่อไฟล์ Alt Text, Title, Description และ Caption
25. คอนเทนต์สดใหม่ไม่ซ้ำใคร
26. อัพเดทคอนเทนต์อยู่ตลอด
27. อัพเดทหน้าเพจด้วย
28. มี Keyword อยู่ใน 100 คำแรกของคอนเทนต์
29. มี Keyword อยู่ใน H2, H3 Tag
30. การเรียงคำ Keyword ต้องให้ตรงกับที่คนพิมพ์หา ไม่จำเป็นต้องถูกหลักไวยากรณ์ก็ได้
31. มีลิงก์ออกไปที่เว็บไซต์อื่น
32. ลิงก์ที่ออกไปกับเว็บไซต์นั้นต้องเกี่ยวข้องเป็นโทนเดียวกัน
33. สะกดถูกทุกคำ ตรงตามหลักไวยากรณ์
34. เขียนคอนเทนต์เอง ไม่ได้ลอกใคร
35. คอนเทนต์มีประโยชน์ คนชอบแชร์
36. มีลิงก์ออกไปมากเกินไปก็ไม่ดี
37. ต้องมีรูปภาพ วิดีโอ หรือลูกเล่นต่าง ๆ ด้วย
38. มีลิงก์ภายในวิ่งเข้าหาหน้าที่สำคัญ
39. ถ้าอยากให้หน้าไหนดัง ก็ทำลิงก์ภายในมายังหน้านั้นด้วย
40. อย่าให้มีลิงก์เสียอยู่บนเว็บไซต์
41. คอนเทนต์อ่านง่าย สบายตา
42. ไม่ใส่ลิงก์ Affiliate มากไป
43. อย่าให้มี HTML Error
44. Host ต้องดีด้วย
45. หน้า PR ต้องสูง
46. URL ต้องไม่ยาวเกินไป
47. URL ต้องคล้าย ๆ กับหน้าแรก
48. ใช้คนเขียนเนื้อหา ไม่ใช้โปรแกรม
49. จัดหมวดหมู่ให้เว็บไซต์ช่วยได้
50. ใช้ Tag ด้วย
51. มี Keyword อยู่ใน URL
52. URL ต้องเรียงกัน
53. มีแหล่งอ้างอิงเนื้อหา
54. บทความเป็นข้อ ๆ ดีกว่าบทความยาว
55. ลำดับความสำคัญใน Sitemap
56. ถ้ามีลิงก์ออกไปข้างนอกมากเกินไปจะไม่ดี
57. มี Keyword ที่ติดอันดับดี ๆ เยอะ ในหน้านั้น
58. อายุของหน้านั้น ยิ่งอายุนานแล้วทำการอัพเดทยิ่งดี
59. การจัดวางรูปแบบสบายตากับผู้ใช้งาน
60. ไม่ใช้ Parked Domain
61. คอนเทนต์ต้องมีประโยชน์
62. คอนเทนต์ให้คุณค่าและข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร
63. มี Contact Us ให้คนติดต่อได้
64. มี Domain Trust / TrustRank ที่สูง
65. มีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี
66. อัพเดทเว็บไซต์อยู่เสมอ
67. มีหน้าเว็บหลาย ๆ หน้า
68. มี Sitemap ช่วยให้ง่ายต่อการค้นหา
69. มี Site Uptime ด้วย
70. ที่ตั้งของเซิฟเวอร์ ถ้า Keyword ภาษาไทย เซิฟเวอร์ตั้งที่ประเทศไทยจะดีกว่า
71. มีการรับรองความปลอดภัย SSL
72. มีหน้าข้อตกลงการใช้งาน และนโยบายความเป็นส่วนตัว
73. ข้อมูล Meta ในเว็บไซต์ไม่ควรซ้ำกัน
74. มีเมนูแบบ Breadcrumb
75. รองรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
76. มีวิดีโอจากยูทูปปะปนอยู่บนเว็บไซต์
77. ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก
78. ติดตั้ง Google Analytics และ Google Webmaster Tools
79. มีคนรีวิวดี ๆ ให้บนเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง
80. มีลิงก์มาจากเว็บไซต์ที่เปิดมานาน
81. มีคนอ้างอิงถึงเยอะยิ่งดี
82. มีลิงก์มาจากเว็บที่ IP ต่างกัน
83. จำนวนลิงก์ยิ่งเยอะยิ่งดี
84. ใส่ Alt Text ให้รูปภาพด้วย
85. มีลิงก์จาก Domain ที่น่าเชื่อถือเหล่านี้ .edu, .gov, .go.th, .ac.th
86. สร้างลิงก์กลับจากเว็บที่มีคุณภาพ
87. มีการอ้างอิงจากเจ้าของ Domain ที่มีคุณภาพ
88. มีลิงก์จากคู่แข่ง
89. มีการแชร์บนโลกโซเชียล
90. ห้ามมีลิงก์มาจากเว็บไซต์ที่แย่ ๆ
91. ลิงก์ที่มาจาก Guest Posts ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่
92. มีลิงก์ไปยังหน้าหลักของ Domains อื่น ๆ
93. มีลิงก์ไว้แต่ไม่มีคนคลิกก็ยังดี
94. มีลิงก์จากหลาย ๆ เว็บไซต์
95. ลิงก์ที่ขึ้นว่า Sponsored Link ทำให้คะแนนลด
96. ฝังลิงก์ไว้ในคำของบทความ
97. ไม่ควรมีลิงก์กลับที่มาแบบหลอกที่มา
98. ข้อความที่อยู่ใน Backlink น่าเชื่อถือ
99. ข้อความใน Internal Link ไม่น่าเชื่อถือ
100. ข้อความใน Title ของลิงก์ ต้องดี
101. อ้างอิงจาก Domain .th
102. มีลิงก์อยู่ต้นคอนเทนต์ ไม่ใช่ท้าย
103. มีลิงก์อยู่ในหน้าคอนเทนต์ ดีกว่าอยู่ด้านข้าง
104. มีลิงก์จากเว็บที่เกี่ยวข้องกันดีกว่า
105. มีลิงก์จากหน้าที่เกี่ยวข้องกันดีกว่า
106. ลิงก์ที่กลับมาต้องเป็นคำชมไม่ใช่คำด่า
107. มี Keyword ใน Title
108. ความเร็วในการไปถึงลิงก์นั้น ๆ ก็สำคัญ
109. ยิ่งลิงก์อืดยิ่งลดระดับ
110. มีลิงก์จาก Hub ที่น่าเชื่อถือ
111. มีลิงก์จากเว็บที่ได้รับรองจาก Google
112. มีลิงก์อยู่ใน Wikipedia
113. ข้อความรอบ ๆ ลิงก์ทำให้ Google รู้ว่าเราคือเว็บไซต์อะไร
114. อายุของ Backlink ยิ่งเยอะยิ่งดี
115. มีลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์จริง ๆ
116. มีลิงก์ธรรมชาติจากโปรไฟล์
117. แลกลิงก์กันได้ แต่อย่าเยอะเกิน
118. ผู้ใช้งานสร้างคอนเทนต์ลิงก์ขึ้นมา
119. มีลิงก์จาก 301
120. รองรับ Microformats
121. มีลิงก์จาก DMOZ
122. มีลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
123. มีลิงก์มาจากหน้าที่มีลิงก์น้อย
124. มีลิงก์จาก Forum
125. จำนวนคำของบทความที่ลิงก์นั้นอยู่มีผล ยิ่งคำเยอะ ๆ ยิ่งน่าเชื่อถือ
126. มีลิงก์จากคอนเทนต์คุณภาพ
127. ลิงก์ที่เหมือนกันในทุก ๆ หน้าจะถูกนับเพียงแค่หนึ่งครั้ง
128. มีคนคลิกลิงก์จาก Keyword แบบ Organic เยอะ
129. มีคนคลิกลิงก์จาก Keyword  แบบ Organic หลายคำ
130. Bounce Rate ต่ำ
131. Direct Traffic สูง
132. มีคนเข้าซ้ำเยอะ
133. ไม่ถูกผู้ใช้งาน Block
134. ถูก Bookmark ไว้บน Chrome
135. เข้าเว็บด้วย Google Chrome
136. มีคนคอมเมนท์เยอะ
137. มีคนเข้าเว็บนาน ๆ
138. มีหน้าที่สร้างใหม่
139. แสดงความหลากหลายถ้า Keyword กำกวม
140. มีประวัติการเข้าชมเยอะ
141. มีประวัติการค้นหาเยอะ
142. คนค้นหาในประเทศไหน เว็บไซต์จากประเทศนั้นจะได้อันดับมาก
143. ถ้าเปิด Safe Search บางเว็บไซต์ที่เนื้อหารุนแรงจะไม่แสดงให้เห็น
144. มี Google+ Circles
145. ไม่มีคำร้องเรียน DMCA
146. ต่อให้เว็บไซต์หนึ่งควรติดทุก Keyword แต่ Google ก็จะกระจายให้เว็บไซต์อื่นด้วย
147. เว็บไซต์ซื้อ-ขายจะได้รับอันดับที่สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไป
148. ปักหมุดสถานที่บน Google+
149. จะมีช่อง News สำหรับบาง Keyword
150. Brand ยิ่งดังยิ่งดี
151. สินค้าซื้อ-ขายจะได้อันดับดีกว่าปกติ
152. รูปภาพจะมาอันดับแรก
153. Google มีเกมให้เล่นอยู่ในบาง Keyword ด้วย
154. Domain กับ Keyword ของแบรนด์ต้องเหมือนกัน
155. จำนวน Tweet ของเว็บไซต์ช่วยได้
156. คนที่ Tweet ต้องมี Follower เยอะ
157. คนไลค์ Facebook เยอะ
158. คนแชร์ Facebook เยอะ
159. เนื้อหาที่แชร์หรือไลค์เข้าถึงคนหมู่มากได้
160. มีการปักหมุด Pinterest เยอะ
161. มีคนโหวตบนหน้า Social Sharing เยอะ
162. มีคน +1 บน Google+ เยอะ
163. คนที่ +1 บน Google+ มีคนติดตามเยอะยิ่งดี
164. ข้อความที่แชร์ลงไปดีหรือไม่ดีมีผลด้วย
165. ถ้าข้อมูล คอนเทนต์ ข้อความ ทุกอย่างดี เกี่ยวข้องกัน อันดับจะยิ่งดี
166. เว็บไซต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับโซเชียลเท่าไหร่ยิ่งดี
167. มีชื่อแบรนด์เป็นของตัวเอง
168. มีคนค้นหาชื่อแบรนด์
169. มี Facebook Page
170. มี Twitter
171. มี LinkedIn
172. พนักงานบริษัทมีข้อมูลบน LinkedIn
173. มีการโต้ตอบในแต่ละช่องทาง
174. มีคนพูดถึงชื่อแบรนด์
175. ปักหมุดบน Google Business
176. มีคนติดตาม RSS Subscriber
177. ใส่ที่อยู่ธุรกิจลงบน Google+
178. จ่ายภาษีครบถ้วน
179. คุณภาพเว็บไซต์ต้องดี
180. มีลิงก์จากเว็บไซต์แย่ ๆ จะทำให้เว็บเราแย่ตามไปด้วย
181. ไม่มีการ Redirect
182. ไม่มี Popup หรือ Ad ให้รำคาญตา
183. ไม่ทำ SEO เยอะเกินไปในเว็บไซต์เดียว
184. ไม่ทำ SEO เยอะเกินไปในหน้าเดียว
185. ไม่มี Ad กวนใจ
186. ไม่พยายามซ่อนลิงก์ Affiliate
187. ไม่ทำเว็บเพื่อ Affiliate
188. เขียนบทความเอง ไม่ใช้คอมพิวเตอร์
189. ไม่โกงระบบจัดอันดับ
190. IP Address สะอาดปราศจากมลทิน
191. ไม่ Spam ใน Meta Tag
192. มีลิงก์เข้ามามากเกินไปแบบผิดสังเกต
193. ไม่ถูก Penguin ของ Google คาดโทษ
194. ไม่มีลิงก์จากหน้า Profile ที่ไม่มีคุณภาพ
195. มีลิงก์อยู่บนเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องเยอะเกินไปก็ไม่ได้
196. ไม่ถูกเตือนเรื่องมีลิงก์ผิดธรรมชาติ
197. ลิงก์จาก IP Class C เดียวกันก็ห้าม
198. ห้ามมีคำที่สุ่มเสี่ยงอยู่บนเว็บไซต์เยอะ ๆ
199. ไม่ถูกแบนโดยทีมงาน Google
200. ไม่ซื้อขายลิงก์

เยอะมากจริง ๆ เลยนะครับสำหรับปัจจัย SEO แทบทุกการกระทำบนเว็บไซต์ของเราสามารถส่งผลต่อ SEO ได้หมดเลย แต่ทีนี้ทุกคนก็คงหายสงสัยกันแล้วนะครับว่าต้องทำยังไงถึงจะติด SEO กับเค้าได้บ้าง เพราะถ้าทำตาม Checklist นี้และหมั่นเพิ่มความรู้การทำ SEO อยู่เสมอครับ

บทความเขียนโดย Freelance
โปรดเช็คความรู้จากลิงค์เหล่านี้เพิ่มเติม
      - https://backlinko.com/google-ranking-factors
      - https://support.google.com/webmasters/answer/7451184
      - https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-factor/seo-factors/

350
เคสนี้มาแก้ตาสองชั้น เพราะมีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ตาเคยพังมาจากที่อื่น

สวัสดีครับ ผมชื่อกี้ครับ วันนี้ผมมาที่ Jarem Clinic ครับ วันนี้ผมมาแก้ตาสองชั้นครับผม ที่ต้องแก้เพราะว่า ผมเคยทำตาสองชั้นกับที่คลินิกอื่นมานะครับ แต่ผมยังมีปัญหาในเรื่องของกล้ามเหนือตาอ่อนแรงครับผม

ก็เลยเข้ามาปรึกษากับหมอยุ้ยนั่นเองครับ แล้วที่ผมเลือกที่ Jarem Clinic นี้นะครับ ก็เพราะว่าผมเคยทำจมูกกับหมอหลุยส์มาแล้วครับที่ Jarem Clinic และที่นี่ความมาตรฐานและความปลอดภัยของเค้านี่สุดยอดมากครับ เครื่องไม้เครื่องมือก็สะอาดครับ ปลอดภัยแน่นอน

คำถาม : ความรู้สึกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
คำตอบ : สำหรับตอนนี้นะครับ โอโห! เรียกว่ากลัวก็กลัวครับ แล้วก็กังวลด้วยนะครับ แต่ว่าทำอย่างไรได้ครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ Jarem Clinic นะครับ ยังไงก็มีความปลอดภัยครับผม โดยเฉพาะหมอยุ้ยเองก็เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากๆนะครับ ยังไงแล้วเนี่ยผมว่าอย่ารอเลยดีกว่า ไปดูกันดีกว่าว่าขั้นตอนการทำตาสองชั้นของผมเป็นอย่างไรนะครับ มาชมกันเลย


สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วนะครับ วันนี้ผมได้มาตัดไหมที่ Jarem Clinic ครับผม ก็ครบรอบ 7 วันแล้วนะครับ ความรู้สึกหลังจากที่ผมผ่าตัดไปนะครับ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้นะครับ ก็มีอาการบวมช้ำเล็กๆน้อยๆนะครับ ก็รับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งให้ไปนะครับ ก็ไม่ว่าจะเป็นประคบร้อนหรือว่าประคบเย็นนะครับผมก็ทำตามอย่างเคร่งครัดเลยครับ สำหรับใครนะครับที่สนใจในเรื่องของศัลยกรรมนะครับผม ก็เดินเข้ามาเลยครับที่ Jarem Clinic ครับ อยู่ตรง RCA นี่เองนะครับ ใกล้ๆเอง แถวๆพระรามเก้านะครับ สำหรับวันนี้ผมขอลาไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ



https://jarem.co.th/reviews-ptosis-surgery-13/

351
วิธีเพิ่ม Promo Bar สำหรับสร้างปุ่ม Add Line จากเว็บไซต์


ถ้อยคำในวีดีโอ
ขอสรุปเป็นสูตรสำเร็จการทำการตลาดออนไลน์ของผม คือ
        - รุกหาลูกค้าด้วย Facebook Ads
        - รอลูกค้ามาหาด้วย SEO
        - ปิดการขายใน Line

โพสนี้ขอไม่พูดถึง Facebook Ads, SEO แต่จะพูดถึง Line ว่า การติดตั้งปุ่ม Add Line อย่างไรให้เห็นชัดเจน และง่ายต่อการกดเข้ามาคุย

เมื่อก่อนผมใช้ https://sumo.com/ เพื่อติดตั้ง Smart Bar ไว้แสดงปุ่ม Add Line ส่วนล่างสุดของทุกหน้าเว็บไซต์ (ใช้ดี แต่มีโฆษณาแฝงเยอะไปนิด) ถัดมาเจอสิ่งที่ดีกว่า คือ https://zotabox.com/ ตัวนี้ Function เยอะ แถมน้ำหนักเบา โหลดเร็ว ชอบมาก ส่วนใหญ่ผมจะใช้ติดตั้งปุ่ม Add Line ครับ

พูดง่ายๆ ถ้าไม่มีช่องให้แชทกับลูกค้าสะดวกๆจากเว็บละก้อ ปิดการขายแทบจะไม่ได้เลย แต่เมื่อไหร่ที่มีปุ่มไลน์ให้คุย มันปิดการขายง่ายขึ้นเยอะครับ คนไทยชอบคุยก่อนซื้อจริงๆครับ

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สอนการตลาดแบบออนไลน์ แบบนักรบ
เครื่องมือ Promobar Bar ตัวนี้ช่วยทำให้คนเห็นชัด เห็นทุกสี สามารถปรับแต่งสี ฟอนต์ ขนาดของปุ่ม text และ link ต่างๆแล้วไปคลิ๊กหน้าที่เราต้องการได้ สามารแสดงโปรโมชั่น ส่วนลด หรือว่าแสดงข่าวที่น่าสนใจ เพื่อทำให้คนเห็นชัด

Bar ตัวนี้สามารถวางทั้งข้างบนและข้างล่างได้ เป็นฟังค์ชั่นของเว็บไซต์ info.zotabox.com ซึ่งเป็นบริการของเค้ามีให้เลือกเยอะมาก เป็นเครื่องมือ(Tool)ที่เปลี่ยนคนเข้าให้เป็นคนซื้อ ช่วย support ในเว็บไซต์ แชทกับคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ แชร์เข้าโซเชียลมีเดีย หรือเก็บอีเมล์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำการตลาดเป็นหลัก ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น มีทั้ง social media,contact us,facebook chat เป็น Pop up ที่ให้ใช้ฟรีซะส่วนใหญ่


วันนี้นักรบจะพูดถึงเกี่ยวกับเครื่องมือ Bar ปรับประยุกต์ในเรื่องของการ add friend ใน Line นักรบทำมาสักพักแล้วขอแชร์ประสบการณ์คือ
       - รุกด้วย Facebook Ads
       - รอรับลูกค้าจาก facebook มาหาด้วย SEO
       - ปิดการขายใน Line

จากที่คุยกับบางที่คนจะซื้อของ ต้องคุยก่อนจริงๆช่วยปิดการขายได้ง่ายขึ้น นักรบ test หลายอย่าง ปุ่ม Line และ FB สรุปแล้ว ปุ่ม line เข้าใจง่ายกว่า

วิธีการใช้ Bar
       1. log in สมัครสมาชิกเข้าใช้ก่อน
       2. คลิ๊กปุ่ม Free > Promotion
       3. คลิ๊กปุ่ม Promo Bar นักรบปรับประยุกต์ใช้กับ line โดยคลิ๊ก On(เปิด) และแก้ไขคำเข้าไป เมื่อก่อนเคยใช้ของ SUMO แล้วมีโฆษณาแฝง จึงแนะนำของ info.zotabox.com ใช้งานง่าย น้ำหนักเบากว่า
       4. หลังจากนั้นทำตาม
       5. เปลี่ยนข้อความที่เราต้องการ ใส่ทั้ง text และปุ่มเข้าไปตามตัวอย่าง และมี link ซึ่งเป็น URL ของ Line
       6. ปรับ background color size opacity ตำแน่งที่วางบน-ล่าง เลือกได้ Save เป็นอันใช้ได้เลยเช็คให้แน่ใจว่า เราได้ add เว็บไซต์ เพื่อให้ code ไปอยู่ในเว็บไซต์เรา โดยกด Preview กดที่ Dashboard สามารถเพิ่มเว็บไซต์ได้ทั้งหมด 3 เว็บไซต์ เราเลือกเว็บไซต์ และเลือกฟังก์ชั่นที่เราใช้ด้วย พอเราตั้งค่าเสร็จ จุดเชื่อมไปที่เว็บไซต์ของเราคือ การติดตั้ง code ไปที่ Setting > Embed code เราจะได้ codeมาชุดหนึ่ง และฝังลงในเว็บของเรา พยายามอ่านคำอธิบายในการทำ ฝังในส่วน Body หรือ Google analytic code > reset เว็บไซต์ของตัวเอง(Ctrl+f5) หรือส่ง email devoloper ให้ทำการฝัง code ให้การฝัง code นักรบใช้ wordpress โดยเข้าที่ Google analytic code และฝัง code จากนั้น save ดูหน้าแรก reset เว็บไซต์ของตัวเอง(Ctrl+f5) หากทำถูกต้องจะมี แท็บ Bar ที่เราทำขึ้นมา เนื่องจากตัวแท็บนี้ รองรับเฉพาะมือถือ เพราะสามารถเข้าแชทได้เลย หากเป็นปุ่ม facebook สามารถแชทได้เลย แต่เป็น PC ต้องสแกน QRcode อยู่ นักรบพบว่า Line ดีกว่า หากใครจะประยุกต์ใช้แล้วแต่เลือกเลย

การเช็คสถิติ

คำถามถัดมา มันมีสถิติให้ดูให้ละเอียด โดยนักรบลองทดสอบ 1 อาทิตย์ วิธีการเข้าไปที่หน้าแรก
คลิ๊ก Stats(Last 30 days) เข้าไปดู จะปรากฎ facebook chat ,social mobile bar และ Promo bar แสดงผลว่าเท่าไร ตัวอย่าง Promo bar คือ
Line ของนักรบ สมมุติว่า มีคนเข้าเว็บไซต์ 10,000 คน คนคลิ๊กเข้ามาดู 1.1% เท่ากับหลักร้อย ธุรกิจเดินต่อได้แล้ว สามารถเลือกระยะเวลาสถิติได้ โดยเค้า note ไว้ว่า สถิติอยู่ที่ 1-5 % นี้คือวิธีการที่จะทำให้คนเข้ามาคุยกับเราง่ายขึ้น
https://warrior.in.th/wordpress/how-to-promo-bar-add-line-button/

352
ไปฟังความรู้สึกของคู่รักหลังเสริมหน้าอกกันค่ะ ว่าช่วยเติมเต็มชีวิตคู่ของเขาได้อย่างไร?

วันนี้จะมาสัมภาษณ์ความรู้สึกของคู่รักหลังจากทำศัลยกรรมไป

สวัสดีค่ะ ชื่อเปรี้ยวค่ะอายุ 30 ปีค่ะ เปิดกิจการส่วนตัวค่ะ เปิดร้านนวดอยู่ที่ภูเก็ต ป่าตองค่ะ

คำถาม : วันนี้มาทำอะไรที่คลินิก
คำตอบ : มาตัดไหมค่ะ คุณหมอนัดมาตัดไหม

คำถาม : รู้จักคลินิกได้ยังไง
คำตอบ : อ๋อ เพื่อนแนะนำมาแล้วก็พี่สาวค่ะ

คำถาม : ก่อนทำแฟนว่ายังไงบ้าง ?
คำตอบ : แกโอเค เพราะว่าแกเห็นพี่สาว ทุกอย่างเพอร์เฟคนมนิ่มอะไรแบบนี้

คำถาม : แล้วคุณผู้ชายคิดว่ายังไงบ้าง ?
คำตอบ : ผมไม่คัดค้านอะไร ผมกังวลอย่างเดียว กลัวว่าทำแล้วใหญ่เกินไปมันจะดูไม่สมส่วน ผมเลยนั่งคุยกับคุณหมอ คุณหมอก็เห็นด้วยกับผมซึ่งทำให้ผมสบายใจขึ้นมากเป็นคำแนะนำที่ดีจากคุณหมอและทางคลินิกดูแลเราเป็นอย่างดี ทุกอย่างราบรื่นเราสามารถบินกลับได้เลยหลังจากวันที่ศัลยกรรม เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วเป็นการบริการที่ดีเยี่ยมมาก

คำถาม : แล้วตอนนี้ฉันใส่ไซซ์ 350 cc คุณรู้สึกยังไงบ้าง
คำตอบ : ใช่ ผมพอใจมากกับขนาด 350 cc เป็นขนาดที่พอดีและผมดีใจที่มันไม่ใหญ่กว่านี้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างสมบูรณ์แบบแล้วคุณหมอทำได้เยี่ยมมาก ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น



คำถาม : หมอแนะนำอะไรบ้าง
คำตอบ : คุณหมอบอกว่าเพราะว่าตัวเล็กนะคะ ถ้าจะให้สมส่วนก็ประมาณ 350 cc

คำถาม : ผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง
คำตอบ : ปวดแค่คืนสองคืนแรกค่ะ คืนที่สามก็ลงไปทำงานได้อะไรประมาณนี้

คำถาม : ดูแลตัวเองยังไง ฟื้นตัวเร็วมากเลย
คำตอบ : ก็ทานยาตามคุณหมอบอกแล้วก็มีคนดูแลที่ดีค่ะ คุณอยากเล่าเรื่องการดูแลฉันหลังทำหน่อยไหม
คำตอบ : หลังจากที่เรากลับถึงบ้าน ผมก็รับหน้าที่ดูแล ในช่วงแรกของการฟื้นตัวเราทำตามกฎทุกอย่าง นอนทำมุม 45 องศา ไม่ลุกขึ้นเดิน ผมเป็นคนรับใช้ส่วนเธอเป็นเจ้าหญิง ผมจัดเตรียมอาหารทุกมื้อหรือแม้แต่แต่งตัวให้เธอ เช็ดอาหารที่เลอะริมฝีปาก ดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่ 2-3 วัน และทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

คำถาม : อะไรฝากถึงคุณหมอไหม ?
คำตอบ : ฝากถึงคุณหมอหรอ ขอบคุณมากนะคะสำหรับหน้าอกสวยๆแล้วก็คุณหมอใจดีมากค่ะ คุณมีอะไรอยากฝากถึงคุณหมอไหม
คำตอบ : โอเค มีอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ครั้งนี้ อย่างแรกเลยคือการสื่อสารเยี่ยมมากและรู้สึกดีที่เห็นทางคลินิกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสื่อสาร ในทุกๆวัน ถ้าเธอมีคำถามเธอสามารถถามคุณหมอผ่าน Facebook และเธอก็ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว ดีกว่าใช้วิธีแบบเก่าอย่างส่งผ่านอีเมล บางทีต้องรอคำตอบเป็นวัน เพราะฉะนั้นการสื่อสารถือว่าเยี่ยมมาก ทุกคำถามที่เรามีเราได้คำตอบเสมอ ทุกความกังวลที่เรามีเราจะได้คำตอบอย่างรวดเร็วซึ่งมันดีมาก และขอขอบคุณความเป็นมืออาชีพของทางคลินิกที่ทำให้เราได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นประสบการณ์ครั้งนี้ผมประทับใจมาก

คำถาม : อยากฝากอะไรถึงคนที่ยังลังเลในการศัลยกรรม
คำตอบ : ถ้าคนที่ดูอยู่กำลังคิดอยากจะมาศัลยกรรมที่ Jarem Clinic ผมต้องบอกเลยว่าตอนนี้ผมกับแคนดี้มองหาคลินิก เรากังวลกันมากๆรอยากได้คลินิกที่เป็นมืออาชีพ มีความเชี่ยวชาญแล้วก็มีคุณหมอที่เก่ง สองคนโชคดีที่เจอกับทาง Jarem Clinic เพราะฉะนั้นถ้ามีใครที่ยังไม่ตัดสินใจ ผมกับแคนดี้ขอแนะนำที่นี่เป็นอย่างยิ่งแล้วคุณจะได้ผลลัพธ์อย่างที่หวัง

คำถาม : หลังจากทำไปแล้วชีวิตคู่เป็นอย่างไรบ้าง
คำตอบ : หลังจากที่เธอทำศัลยกรรม ทำให้ผมรู้สึกอยากจะฆ่าเธอ เพราะเธอเอาแต่ใจตลอดเลย แต่โชคดีที่ผมยังยั้งใจได้เพราะฉะนั้นก็หวังว่าจะยั้งได้ต่อไป ผมพูดเล่นนะ ก็ความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับขนาดหน้าอกของแคนดี้ แต่แคนดี้ไม่แฮปปี้กับขนาดหน้าอกของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้ามีการศัลยกรรมที่ทำให้เธอมีความสุขได้ แล้วผมก็บอกได้เลยว่าหลังจากการทำศัลยกรรม เธอมีความสุขมากๆ เธอรู้สึกเป็นผู้หญิงมากขึ้นและมันก็ทำให้ผมมีความสุขไปด้วย แล้วมันก็ดูสวยงามเมื่อได้เห็นอีกด้วย





วันนี้ก็ขอลาไปตัดไหมก่อนนะคะ บ๊ายบาย
Bye Guys
https://jarem.co.th/reviews-breast-augmentation-14/

353
1 เดือนแรก ของการทำธุรกิจส่วนตัว หลังจบชีวิตมนุษย์เงินเดือน


ลาออกจากงานประจำมาแล้ว 2 อาทิตย์ กลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว บริหารบริษัทตัวเองด้วยเงินเก็บจากธุรกิจเดิม ความรู้สึกมันยิ่งกว่าการย้ายงาน จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่นี้ต่างออกไป มันคือการย้ายจากโลกของมนุษย์เงินเดือน ไปสู่โลกของคนทำธุรกิจส่วนตัว ที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นและรุนแรงกว่า

การใช้ 3 หัวใจในการทำธุรกิจแบบนักรบ
นักรบรู้โดยสัญชาตญาณว่า ถ้าพลาดเรื่องเงินหลายครั้งคงเจ๊งแน่ ครั้งนี้จึงตัดสินใจใช้แผนเดิมดูท่าที
       1. เร็ว : ลงมือทำได้เร็ว
       2. แรง : Passion รุนแรง
       3. เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว : พัฒนาตัวเองทุกเรื่อง

อ่านต่อ 3 หัวใจในการทำธุรกิจแบบนักรบ ประโยชน์ของเทคนิคนี้ ช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก  Focus ที่การสร้างผลงานที่ดี โพสลงเว็บไซต์และ Fanpage ค่อยๆสร้างฐานแฟนเพจ และไต่อันดับ Google SEO ด้วยการให้ความรู้ควบคู่กัน

งานวิทยากรได้อะไร ?
งานวิทยากรจะได้ Connection เป็นอันดับแรก จากบริษัทที่เชิญ และจะได้ Connection จากคนเข้าเรียนเป็นลำดับที่ 2 งานวิทยากรไม่ได้มีประจำทุกเดือน ฉะนั้นเรื่องเงินเป็นเพียงสีสันของชีวิต แต่เรื่อง Connection และภาพลักษณ์ คือโอกาสที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามได้ รายได้ : ปานกลาง Connection : ดี ระดับความยาก : ง่าย – ปานกลาง ข้อดี : สร้างชื่อเสียงได้ดีเยี่ยม


จัดงานสัมมนาได้อะไรบ้าง ?
งานสัมมนาจะได้ Profile ผลงาน และ Present Document ที่ใช้ต่อได้ สามารถกำหนดชื่องานสัมมนาและเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง การเตรียมข้อมูลครั้งนี้ จะใช้เป็นข้อมูลในการจัดสัมมนาครั้งต่อๆไปได้ เป็นการทำครั้งเดียวและต่อยอดได้นั้นเอง (แต่ควรปรับปรุงเนื้อหาด้วย) รายได้ : ปานกลาง Connection :  ปานกลาง ระดับความยาก : ปานกลาง – ยาก ข้อดี : เอกสารทำครั้งเดียว ต่อยอดงานสัมนาต่อไปได้ (แต่ควรปรับปรุงเนื้อหาด้วย)

ข้อดี งานประจำ VS ธุรกิจส่วนตัว
ข้อดีของงานประจำ 1 ในทีมงานขอบริษัท ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เองอย่างดี และรับผิดชอบงานตัวเองได้ดีเยี่ยม
       - มั่นคงกว่า และเสี่ยงน้อยกว่า
       - ไม่ต้องกำหนดเป้าหมายระยะยาว เพราะมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารค่อยกำหนดทิศทาง
       - หากพลาด ก็มีทีมงานหรือแผนกอื่นทำให้ธุรกิจไปต่อได้
       - เงินเดือนคาดการณ์ได้
       - มีเวลาวางแผนระยะยาวเรื่องเงินได้ดี

ข้อดีของธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจส่วนตัว ต้องกำหนดทิศทางและวางแผลกลยุทธ์ระยะยาว จะอยู่รอด หรือล้มเหลวก็ขึ้นกับวิสัยทัศน์เป็นสำคัญ
       - รายได้เกิดจากยอดขาย ไม่ใช่ฐานเงินเดือนร่วมกับคนอื่น
       - กำหนดทิศทางทั้งตัวเอง และบริษัทที่รับผิดชอบในระยะยาว
       - มีอำนาจเต็มที่ในการตัดสินใจ ทั้งเรื่องเวลาและเงินทอง
       - มีอิสระภาพในการคิดและการทำได้ 100%
       - ปลุกศักยภาพของตัวเองได้ถึงขีดสุด

การเพิ่มรายได้ ของธุรกิจส่วนตัว จะใช้ความต้องการของตลาดเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรง ต่างจากพนักงานประจำที่ต้องใช้ฐานเงินเดือนของบริษัทเป็นเกณฑ์ เส้นทางของการทำธุรกิจส่วนตัว ต้อง Start ที่เป้าหมายของชีวิต แรงบันดาลใจ, พลังในการขับเคลื่อน และต้องใช้ความเข็มแข็งทางจิตใจที่มากกว่าตอนทำงานประจำมาก เพราะต้องรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่ได้เรียนรู้มาเลยในชิวิตงานประจำและมหาลัย นั้นคือ การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาวที่สามารถทำให้อยู่รอดและเข้มแข็งได้ ในงานประจำ สิ่งที่ต้องสู้ คือการพัฒนาตัวเอง และรับผิดชอบงานให้ลุล่วงด้วยดี ตัวเราเป็นฟันเฟืองหนึงในธุรกิจ หากเราไม่เก่งพอ ก็ยังมีคนในทีมอื่นๆหนุนหลังให้ธุรกิจไปต่อได้ แต่ในหนทางของธุรกิจส่วนตัว เราเป็นแกนกลางของธุรกิจ เราต้องสู้กับคู่แข่งอย่างน้อยๆทั่วประเทศไทย และต่างประเทศในอนาคต ฉะนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองให้ดีเยี่ยมในระดับของประเทศ

เมื่อพลาดในงานประจำ vs ธุรกิจส่วนตัว
ทำธุรกิจส่วนตัวหากพลาดติดต่อกันหลายๆครั้ง รายได้จะหาย ต้นทุนจะเพิ่ม ล้มเหลวถึงขั้นเจ๊งได้ ไม่เหมือนงานประจำ ถ้าพลาดอย่างมากคือโดนด่า หักเงินเดือน มีโอกาสแก้ไขแต่รายได้ไม่หายไป

การรับผิดชอบที่สูงขึ้น จะได้โอกาสและรายได้ที่สูงตาม
นักรบเข้าใจเรื่องนี้ว่า คนที่มีความสามารถในการรับมือกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่, ใช้สติ, การควบคุมอารมณ์ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มักจะได้ทำงานที่ท้าทาย และได้ค่าตอบแทนงดงามกว่างานธรรมดาทั่วไป นั้นก็เพราะเขาเป็นคนกลุ่มน้อยที่ควรค่ากับการได้รับค่าตอบแทนนี้เอง

สรุปโดย นักรบ
เมือทำธุรกิจส่วนตัวเต็มเวลาครั้งแรก ร่างกายยังไม่ปรับตัวให้ชิน และกิจวัตรประจำวันการทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา ไม่มีใครกำกับเวลาเข้างานและออกงาน ชีวิตมีทั้งแบบอิสระและสะเปะสะปะปนไป หากเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายจะไม่สมดุล ส่งผลร้ายในภายหลัง โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ ก็ยังได้รับการปิดเบือน และอาจตามึดบอดมองไม่เห็นอนาคต หนทางข้างหน้าธุรกิจลำบากแน่นอน วิธีแก้ไข ปรับกิจวัตรการทำงาน 8-10 ชั่วโมงให้ครอบคลุมเนื้อหาและเป้าหมาย
         - ช่วงเช้า 2-3 ชั่วโมง : ตอบ Facebook, Email และ คำถามจากผู้เคยเรียนคอร์ส
         - ช่วงบ่าย 4-5 ชั่วโมง : เตรียมเนื้อหาคอร์สเรียน
         - ช่วงค่ำ 3-4 ชั่วโมง : สร้างเนื้อหา ให้ความรู้แฟนเพจนักรบ
https://warrior.in.th/warrior-life/the-first-month-of-doing-business-life-after-death/

354
มนุษย์เงินเดือนใช้ความชำนาญในงานประจำ เป็นต้นทุนทำธุรกิจ

มนุษย์เงินเดือน ใช้ความชำนาญในงานประจำ 7 ชั่วโมง/วัน , 140 ชั่วโมง/เดือน เป็นต้นทุนทำธุรกิจส่วนตัว ทำอาชีพเสริม ใช้จุดเด่นจากงานประจำ เอาทักษะมาเป็นต้นทุนให้ความรู้ และขายความรู้ออนไลน์ ทำธุรกิจ(Info Business) ได้ Connection และเปิดบริษัทเล็กๆได้ จะมีกี่ธุรกิจ ที่ทำเสริมคู่งานประจำ ลงทุน 0 บาท ไม่ต้องลงทุนสินค้า, ไม่มีหน้าร้าน, ไม่ต้องเช่าที่, ไม่ต้องจ้างคนงานให้ปวดหัว แต่ให้เราลองผิดลองถูกจนเก่งก่อน แล้วถ้าได้ดิบได้ดี ก็ออกไปทำธุรกิจเต็มตัว จนตั้งบริษัทเล็กๆได้

ธุรกิจเริ่มต้นที่การสร้างแฟน
ธุรกิจออนไลน์ลงทุน 0 บาท สร้างแฟนก่อนใน Facebook Fanpage รวมคนที่ชอบเหมือนกัน ชีวิตเหมือนกันมาอยู่ในแฟนเพจ  ใช้แฟนเพจแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ เรื่องราวดีๆ มอบให้เขา จะได้เอาไปใช้แล้วดีกับชีวิตเขามากยิ่งขึ้น มันจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ (trust), ความไว้วางใจ, ทำให้คนรู้จักความสามารถของตัวเรา สินค้าของเราคือความรู้ (Info Products) ที่ช่วยให้เขามีความรู้ เราแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ทั้งปัญหา, วิธีแก้ไข , หนทางในการสร้างโอกาส และ สร้าง Connection หากคนนำไปใช้ก็มีโอกาสมากยิ่งขี้นที่จะประสบความสำเร็จดังที่หวัง นักรบเคยทำธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจออนไลน์ มาแล้ว 7 อย่างใน3ปี เจ๊งแล้วเจ๊งอีก เจ๊งจนชิน ทุกครั้งที่เจ๊งมันได้ประสบการณ์มาอย่างน้อย 1 ข้อ ทำไป 7 ตัว ได้มาอย่างน้อย 7 ข้อที่ไม่ควรทำ หรือถ้าแก้ไขมันได้ ธุรกิจก็รอด อยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ นักรบทำธุรกิจอะไรบ้าง อ่านได้ที่ ประวัตินักรบ จนพบธุรกิจสุดท้าย ธุรกิจให้ความรู้เป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในชีวิตจนเก็บเงินมาตั้งบริษัทและออกมาทำเต็มตัวได้

จะทำธุรกิจออนไลน์, IT ต้องได้ App ต้องเป็น
แนะนำ Online Tools ที่ดีและใช้ทำธุรกิจได้อีกนาน คือ Google App for Work เป็นเครื่องมือฟรี
      - Google Docs สำหรับพิมงานเอกสาร เหมือนกับ Words
      - Google Sheets สำหรับทำงานตารางคำนวน เหมือนกับ Excel
      - Google Slides สำหรับการนำเสนอข้อมูลและการ Present เหมือนกับ Power Point
      - Google Forms สำหรับการสร้าง Forms รับข้อมูล
สร้างเอกสารออนไลน์ Google Docs และแชร์กับเพื่อนร่วมงาน ทำงานที่ไหนก็ได้แม้ผ่านมือถือ

ธุรกิจน่าสนใจ อะไรดี ? ที่เหมาะมนุษย์เงินเดือน
มนุษย์เงินเดือน มีความเชี่ยวชาญในงานประจำ 7 hr/วัน หรือ 140 hr/เดือน จะได้เปรียบหากเอาเอาจุดเด่นนี้ มาต่อยอดธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) ธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) เป็นธุรกิจส่วนตัว รายได้ดี ต้นทุนต่ำมากๆ หรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีทุนทางวัตถุได้เลย แต่ใช้ต้นทุนทางความรู้ ความสามารถที่สูงแทน เหมาะกับการทำควบคู่งานประจํา เริ่มต้นได้ง่ายมาก ทำหลังงานประจำได้ นักรบทำธุรกิจให้และขายความรู้ (Infopreneur) สมัยเริ่มทำแรกๆ ทำควบคู่งานประจำไปก่อน ขายความรู้ผ่าน Video DVD เป็นหลัก ทำได้ 1 ปี ทำให้มีเงินเก็บมากพอและมีคนรู้จักระดับหนึง จนตัดสินใจออกมาทำเต็มตัว เปิดบริษัทเล็กๆของตัวเองได้ [quote_center]Infopreneur เป็นอาชีพมาแรงในยุคนี้ เพราะข้อมูลความรู้ที่มีมากใน Internet สามารถเปลี่ยนมนุษย์เงินเดือนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และสร้างธุรกิจได้[/quote_center] กำไรจากอาชีพ Infopreneur จะมีมากถึง 2,000 – 7,000 % เลยทีเดียว ถ้าเทียบกับต้นทุนทางวัตถุ

นักธุรกิจความรู้ (Infopreneur) คือ อะไร ?
นักธุรกิจความรู้ Infopreneur คือ อาชีพหนึง ที่ให้ความรู้และขายความรู้เป็นหลัก ในแต่ละวันจะสร้างเนื้อหาที่ดีให้คนอืนผ่าน Fanpage และ Website อีกทั้งยังจำหน่ายสินค้าเป็นความรู้ใน Package ต่างๆ เช่น DVD, คอร์สออนไลน์, สัมมนา, หนังสือ, eBook นักรบเริ่มต้นให้ความรู้ฟรีบ่อยๆ  และจำหน่ายความรู้ในแบบ Video DVD ครับ

จุดเด่นของอาชีพ Infopreneur
ใช้ความเชี่ยวชาญที่ได้จากงานประจำเป็นต้นทุนหลัก 140 hr/เดือน คือเวลาที่มีค่ามาก ประสบการณ์ตรงส่วนนี้สามารถนำมาเผยแพร่ และให้ความรู้ผ่านช่องทางเหล่านี้ได้
       - Facebook Fanpage
       - Website
ยิ่งให้ความรู้ ยิ่งเพิ่มพูนความสามารถ ต่อยอดสู่รายได้เป็นธุรกิจส่วนตัวได้ ความรู้ที่ให้ไป จะมี 2 ประเภทใหญ่แบ่งตามราคา
       1. ความรู้ แบบฟรี ความรู้ทั่วไป เนื้อหากว้าง มีประเด็นสั้นๆและ 1 ใจความที่ดี
       2. ความรู้ แบบเสียเงิน เช่น หนังสือ, eBook, Video DVD, Audio CD, คอร์สออนไลน์, สัมมนา, คลาสเรียน, หรือ ที่ปรึกษา

เริ่มต้นให้ความรู้ฟรีผ่าน เว็บไซต์ และ Youtube โดยแจกฟรีเกือบทุกวัน ผ่านไป 1 เดือน จะมีเนื้อหาที่ให้ความรู้ฟรี 20 วีดีโอ และมากขึ้นเป็น 50 วีดีโอใน 3 เดือน ส่งผลให้ Video DVD ขายดีและมีคนสั่งซื้อ จนมีรายได้ประมาณ 200,000 บาท ในปีแรกที่ทำ อีกหนึ่งสิ่งทีสำคัญกว่า ที่มาพร้อมกับรายได้ คือ มีคนรู้จักนักรบมากยิ่งขึ้น ได้ถูกเชิญเป็นวิทยากร 4 ครั้งใน 1 ปี และเว็บไซต์มีคนเข้าสม่ำเสมอ 4,000 – 5,000 ทุกเดือน

คนเข้าเว็บน้อย 1000 คน/เดือน แต่สินค้าดี ความรู้ดีก็ขายได้
ช่วงเริ่มต้น มีคนเข้าเว็บไซต์เพียง 1,000 – 2,000 คน/เดือน แต่เนื้องจากนักรบให้ความรู้เยอะเพียงพอ ก็ช่วยให้คนอ่านความรู้ฟรีของเรา ตัดสินใจซื้อสินค้า อาจจะสัปดาห์ล่ะ 2-3 คน แต่พอครบ 1 เดือน ก็สามารถทำยอดได้ 2-30,000 หมื่นบาทได้

ทำไมธุรกิจขายความรู้จึงเป็น ธุรกิจน่าสนใจ
ธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) เป็นธุรกิจส่วนตัว ทําที่บ้านที่น่าสนใจตัวหนึง เพราะใช้ความรู้ในงานประจำที่ทำเป็นหลัก ไม่ต้องเข้า Office มีเวลาดูแลครอบครัว ใช้ชีวิตได้ยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถจัดเวลาตัวเอง วางแผนตัวเองได้อย่างมีอิสระได้

อาชีพ นักธุรกิจความรู้ ( Infopreneur )เริ่มต้นอย่างไร ?

เริ่มต้นธุรกิจได้จากการสร้าง Fanpage ของตัวเองก่อน แล้วเขียนบทความ + ภาพประกอบดีๆ โพสลง Fanpage ให้ได้เกือบทุกวัน โดยควรทำโฆษณา Fanpage ด้วย เพื่อสร้างฐานลูกค้าในกลุ่มที่เราสนใจ เพื่อจะเปลี่ยนคนอ่านให้เป็นลูกค้าในอนาคตได้
       1. สร้างแฟนเพจ : โดยตั้งชื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะขาย
       2. ให้ความรู้บ่อยๆ : ทำ PartTime 2-3 ครั้ง/week , ทำ Full Time  4-6 ครั้ง/week
       3. นำความรู้ลงเว็บไซต์

ทำไมต้องให้ความรู้บ่อยๆ
       1. ความรู้บน Fanpage จะช่วยรวมกลุ่มคนที่ชอบ และมีนิสัยเหมือนๆกัน
       2. ความรู้บน Website จะนำคนเข้าเว็บไซต์ผ่าน Google
       3. จำนวนคนใน Fanpage และ Website จะสร้าง Personal Brand ต่อยอดสู่ธุรกิจส่วนตัว ทั้ง วิทยากร, ที่ปรึกษา, เขียนหนังสือ,จัดคอร์สสัมมนา, ขายของออนไลน์ และอื่นๆตามมา

ทักษะของ Infopreneur
ทักษะพื้นฐาน

       1. การใช้งานโปรแกรมพื้นฐาน เช่น Word, Excel
       2. การสร้าง Fanpage และการจัดการ Fanpage
       3. การเขียนบทความ (Writer)
       4. ทำโฆษณาผ่าน Facebook Ads
ทักษะระดับกลาง
       1. อ่านเนื้อหาจากต่างประเทศ และเรียนรู้เพิ่มเติมได้
       2. มีเว็บไซต์ รองรับ SEO และ Social Media ได้ดี
       3. ใช้การตลาดผ่านเนื้อหา Content Marketing + Google SEO
ทักษะระดับสูง
       1. เขียนหนังสือ, eBook, จัดสัมมนา หรือ สร้างคอร์สออนไลน์ ให้เข้าใจและเรียนรู้ง่าย
       2. พัฒนาบุคลิคภาพ และการพูดต่อหน้าคน เพื่อฝึกเป็นวิทยากร
อ่านเพิ่มเติม  https://warrior.in.th/warrior-life/skill-salaryman-do-business/

355
การนวดหน้าอกแบบถูกวิธี หลังเสริมหน้าอก นวดเองได้ง่ายๆ

4 วิธีการนวดหน้าอกอย่างถูกวิธี BY GUS

สวัสดีค่ะ กัสจังเองนะคะ วันนี้กัสจะมาสอนวิธีนวดนมอย่างถูกวิธีนะคะ ท่าแรกเลยนะคะ

ท่าที่ 1
1 2 3 4 5 ค่ะ



และท่าที่ 2 นะคะ
1 2 3 4 5 ค่ะ



ท่าที่ 3 นะคะ
1 2 3 4 5



และท่าสุดท้ายนะคะ
1 2 3 4 5


ค่ะ และนี่คือ 4 ท่าวิธีนวดนมที่ถูกต้องนะคะ อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ บ๊ายบาย
https://jarem.co.th/massage-your-breasts-right-way/


356
วิธีเจาะกลุ่มเป้าหมายใน Facebook ได้ตรงกลุ่ม

วิธีเจาะกลุ่มเป้าหมายใน Facebook ได้ตรงกลุ่ม
วิธีค้นหากลุ่มเป้าหมายใน Google & Facebook เพื่อมองเห็นกลุ่มลูกค้าจริง ช่วยยืนยันได้ว่าธุรกิจของเราจะเติบโตได้มากแค่ไหน ในโลกออนไลน์

วีดีโอนี้เหมาะกับ : นักการตลาดออนไลน์ที่มีประสบการณ์ การใช้งาน Google Keywords Planner และ Facebook Audience

ประโยชน์ : รู้วิธีเช็คขนาดของกลุ่มเป้าหมายธุรกิจตัวเอง ใน Google & Facebook แก้ไขคำผิดในวีดีโอครับ คนซื้อ / คนเข้าชม (Audience) = 350/350,000 = 0.001 เปลียนเป็น % = 0.001 x 100 = 0.1 % ครับ (ขอบคุณ Ekkachai Taimuang ที่แจ้งครับ)   วิธีเช็คกว่ากลุ่มเป้าหมายใน Facebook ตรงกลุ่มจริงๆไหม

คำพูดในวีดีโอ
สวัสดียินดีต้อนรับเข้าสู่วิธีการทำการตลาดออนไลน์แบบนักรบนะ วีดีโอนี้จะพูดถึงเรื่องนะ วิธีหากลุ่มเป้าหมาย Audience ของเรา ใน Google และ Facebook นะ โอ้โห! รวมกันอยู่ในวีดีโอเดียวนะ จริงๆ มันแยกวีดีโอได้เลยนะ   วิธีหากลุ่มเป้าหมายใน Google ก็ตัวนึง วิธีหากลุ่มเป้าหมายใน facebook ก็อีกตัวนึงได้เลย แต่นักรบเอามารวมกันเลย วีดีโอมันจะได้แน่นๆ หน่อยนะ โอเคนะ คราวนี้ มาเกิดตั้งคำถามว่า เฮ้ยทำไมต้องหากลุ่มเป้าหมายด้วย Audience ด้วยนะ เพราะว่าเราจะได้รู้ว่าตอนนี้ ธุรกิจของเรามีคนสนใจเยอะมากแค่ไหนนะ มีคนสนใจจริงรึเปล่า เยอะมากพอที่จะทำเป็นธุรกิจหรือเปล่า ธุรกิจจะเดินต่อไปได้นะ เราจะได้เช็คได้ว่าธุรกิจของเราปีนี้เราโตกี่เปอร์เซ็นต์ ปีนี้หน้าเราโตกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วเราจะโตได้อีกมั้ยอย่างนี้เป็นต้น แล้วเราจะได้รู้วิธีการทำการตลาด วิธีการหากลุ่มเป้าหมายไปด้วยผ่านวีดีโอตัวนี้นะ โอเค คราวนี้มาเริ่มต้นเลยนะ นี่คือเว็บไซต์ WARRIOR ให้เนื้อหาฟรีด้วย Content แบบ Marketing และ SEO ผสมกันไป เพื่อให้คนเข้ามาเจอเว็บไซต์และก็ทำ Youtube ด้วยอะไรด้วยนะ คราวนี้นะ เราจะมาหา Audience ของเรากันนะ เฮ้ย ถ้าเกิดใครไม่รู้จักคำว่า Audience เนี่ย search ใน Google ได้นะ เว็บไซต์ Nuttapatch.com เขียนไว้แล้วนะคับ Audience คืออะไร แปลง่ายๆ ก็คือกลุ่มเป้าหมายแล้วกัน กลุ่มที่สนใจเรื่องที่เราจะบอก ที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเราด้วยนะ สิ่งที่เค้าอยากรู้ด้วยนะ เช่น แบบประโยชน์ วิธีใช้ หรือ ข้อมูลที่เค้าสนใจด้วย กลุ่มที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าของเรานั่นเองนะ  Audience ของเรา
นาทีที่ 1.54 คราวนี้  เราจะหากลุ่ม Audience ใน Google  ได้อย่างไร เราต้องใช้เครื่องมือใน Google Adwords  มันชื่อว่าเครื่องมือวางแผนคำหลัก  เครื่องมือวางแผนคำหลัก ซึ่งนักการตลาดทุกคนจะต้องรู้แล้ว ใน Google Adwords ไม่รู้ไม่ได้แล้วนะ โคตรสำคัญเลย เข้าไปที่ Google Adwords แล้ว Login ด้วย Gmail ของท่านนะ แล้วก็ถ้าเกิดใครเคยซื้อ Adwords แล้วเนี่ยเวลา Report ออกมาตัวนี้ นะ กดผลลัพธ์ออกมาจะเป็นตัวเลขค่าคงที่นะ แต่ถ้าเกิดใครไม่เคยซื้อโฆษณา Adwords เลยจะออกมา มันจะเป็นค่าแบบช่วง Rank คือตั้งแต่ 1 ม. – 1 ส. 1 หมื่น ถึง 1 แสน 1 พ. – 1 ม. 1 พัน ถึง 1 หมื่น อะไรอย่างงี้นะมันจะไม่ใช่ตัวเลขค่าคงที่ แล้วมันจะดูลำบาก เราจะเช็ค Audience เราไม่ได้เลยนะ เราต้องซื้อโฆษณา Adwords กันก่อน คราวนี้มาที่เครื่องมือวางแผนคำหลักตรงนี้ เราจะใช้เครื่องมือตัวนี้นะในการวิเคราะห์กลุ่ม Audience ของเรา ใส่ Keyword ของเราเข้าไป เอาไปตั้งแต่ต้นเลยละกันเดี๋ยวจะงงกัน  เครื่องมือวางแผนคำหลักนะ วีดีโอนี้ค่อนข้างจะเป็นวีดีโอที่เหมาะกับนักการตลาดออนไลน์ที่มีพื้นฐานมาแล้วนะ ที่มีประสบการณ์มาแล้ว ทำการตลาดออนไลน์มาได้สักพักแล้ว สำหรับคนที่แบบเพิ่งเริ่มต้นขอให้ไปแบบอ่านหนังสือ ดูบทความ ดูวีดีโอนะ หรือ Take course ไปก่อนนะสำหรับพื้นฐาน อะโอเค ใส่ keyword ที่เกี่ยวกับธุรกิจของท่านเข้าไป นักรบก็จะยกตัวอย่างธุรกิจตัวเองเลยนะ เพื่อจะได้รู้ว่ามันทำยังไงเลยนะ เช็คให้แน่ใจว่าเป็นประเทศ และภาษาที่ต้องการนะ กดรับแนวคิด  เฮ้ยใส่แค่ keyword คำเดียวเนี่ยมันได้กลุ่ม Audience ตรงนี้ชัดเจนหรือเปล่า นี่คือกลุ่ม Audience ของเราใน keyword ที่เกี่ยวข้อง มันใช่จริงหรือเปล่าและจะต้องเช็คให้แน่ใจว่า Keyword พวกนี้มันใช่จริงหรือเปล่า 3 แสนกว่าครั้งต่อเดือนเนี่ยมั นใช่กลุ่ม Audience ของเราใน Google Search จริงหรือเปล่า วิธีการนะ เลื่อนลงมาลงมาดูข้างล่าง  ขายสินค้าออนไลน์ ขายของออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ มันใช่มั้ยนะ ถ้านักรบรู้สึกว่ามันไม่ใช่ นักรบจะยัดเข้าไปในคำหลักเชิงลบ เพื่อเอาคำพวกนี้ สถิติพวกนี้นะ ไปลบออก ลบออกจากกลุ่ม Audience ทั้งหมด เราจะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับความจริงมากยิ่งขึ้น สมมตินักรบจะสอนนักการตลาดออนไลน์ไม่ได้สอนขายของ ไม่ได้สอน  คิดว่าขายของออนไลน์  อยากสอนการใช้เครื่องมือการแชร์ประสบการณ์มากกว่า ก็เอาคำนี้เป็นคำหลักเชิงลบ ใส่เข้าไป ใส่เพื่ออะไร มันจะได้เอาคำพวกนี้ คำที่เราไม่ต้องการนะ ไปลบในกลุ่ม Audience จะได้ตัวเลขคน search จริงๆ เฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่ เราจะได้ดู Audience ต่อเดือนจริงๆ เท่าไหร่ ลบแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ คำหลักเชิงลบ นี่ลบไปเยอะมาก ลบกันเป็นสิบ บางที 20 – 30 คำเลยนะ เพื่อที่เราจะได้ตัวเลขตรงนี้จริงๆ  ที่มันใช้ได้จริงนะ  นักรบก็ทำประมาณเป็นแบบ 2 – 3 ชั่วโมงนะกว่าจะได้ตัวเลขจริงๆ  อันนี้จริงๆ นะ อยากให้ทำกัน เพราะว่าทำปุ๊บจะได้รู้ audience ของเราจริงๆ  เราจะได้รู้เลยว่า เฮ้ย ข้อมูลมันน่าเชื่อถือได้ กลุ่ม audience ของเราจริงๆ มันใช่จริงๆ แล้วมันจะเกิดความเชื่อมั่น ว่าเออเรามีตลาดรองรับ เรามีตัวเลขที่เราสามารถไปอ้างอิง  สามารถคุยกับเจ้าของธุรกิจ นักการตลาดหรือใครๆ ก็ได้นะ นักรบทำแบบนี้จนวิเคราะห์มาแล้ว keyword ประมาณนี้นะ เสร็จแล้วก็รู้แล้วว่า keyword คือประมาณนี้ ใส่เข้าไปเลยแล้วจะได้รู้ audience จริง ๆ audience ของนักรบอยู่ที่ประมาณ 2 แสนเห็นปะ ตัวเลขประมาณนี้ ประมาณ 2 แสน เฉลี่ยๆ คือ 2 แสนต่อเดือน 2 ล้านต่อปี ว่างั้นเหอะ รวมตัวเลขแล้วโดยเฉลี่ย เราก็จะได้รู้ว่า เฮ้ย 2 แสนต่อเดือน โอเค เว็บไซต์นักรบ มีคนเข้าประมาณหมื่นนิดๆ ต่อเดือน หมายความว่าอะไร หมายความว่า เว็บไซต์ของนักรบนะ สามารถที่จะทำ Google SEO หรือ Adwords เนี่ยดึงให้คนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรานะได้เพิ่มอีกหลายเปอร์เซ็นต์ ได้เพิ่มอีกหลายเท่าเลย นึกออกมั้ย เพราะตอนนี้นักรบมีคนเข้าหมื่นกว่าคนเองนะ ขณะที่ audience คน search เนี่ยอยู่ที่ประมาณ หลักแสนนะ ฉะนั้นโตได้อีกอาจจะเริ่มจากหมื่น โตอีกหมื่น ปีถัดไปโตเป็น 2 หมื่นโตเป็น 3 หมื่น 4 หมื่น ในปีถัดไป ปีที่ 5 โตเป็นคนเข้าเป็น 5 หมื่นนึกออกมั้ย มันก็อาจโตได้อีก เพราะว่ากลุ่ม audience คน search มันมีนึกออกมั้ย 6.12 พอเรารู้ตัวเลขกลุ่ม audience ของเรา เราจะรู้เลยธุรกิจของเราโตได้อีกเท่าไหร่ โหเจ๋งมั้ย นี่คือการหากลุ่ม audience กลุ่มธุรกิจของเรานะ ทุกท่านนะ ต้องหากลุ่ม audience ของตัวเองใน Google Adwords ให้เจอนะ เราจะได้รู้ว่าธุรกิจของเราโตได้อีกหรือเปล่า หรือว่าธุรกิจเราตันแล้วนะ ซึ่งส่วนใหญ่มันโตได้อีกแน่นอนนะ แต่ถ้าเราไม่สามารถใช้คำหลักเชิงลบตัวนี้ได้นะ audience ตรงนี้มันจะใช้ไม่ได้ มันเพี้ยนเลย จริงปะ เพราะว่าเราจะมี keyword อะไรที่มันไม่เกี่ยวข้องแล้วเราเอามาปนกันไปหมดเลยเพราะฉะนั้นเราต้องใช้ keyword คำหลักเชิงลบผสมเข้าไปด้วยนะ เพื่อหากลุ่ม audience คน search จริงๆ ของเรา และเราก็จะได้ตัวเลขตรงนี้เป็นตัวเลขหลักในการดำเนินธุรกิจของเราได้เอง เราจะได้ตัวเลขมา 1 ตัวละ นะ คือ max audience ของเรา สูงสุดของเรานั่นเอง โอเค พอเข้าใจนะ นี่คือวิธีการนะ ในการหากลุ่ม audience ใน Google Adwords คราวนี้หาแล้วได้อะไร สงสัยมะ หาแล้วได้อะไร หาแล้วจะได้รู้ไงว่าคนซื้อของเรากี่เปอร์เซ็นต์ ต่อคนเข้านั่นเอง วิธีการต่อนะ นักรบรู้แล้วตัวเลขตัวนึงนะ ขอยกตัวอย่างเลยนะ audience  โอเค Max Audience ละกันนะ เท่ากับ สอง ตัวนี้เราต้องหัดทำของเราเองนะ ถ้าเราทำเราจะเห็นนะ เห็นการเติบโต เห็นความเชื่อมั่น Max Audience คือ 200,000 ครั้งต่อเดือนนะ แต่คนเข้าจริงนะ เข้าจริงในเว็บ เท่ากับประมาณอยู่ที่ 1 หมื่นครั้งต่อเดือนเอง ยังน้อยอยู่ และก็ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้แล้วนะ แต่เนื่องจากนักรบไม่ได้ทำแค่เว็บอย่างเดียว ทำ Youtube ด้วย แต่ Youtube มันนับที่คนเข้าชมนะ คนชม คน views อยู่ที่ประมาณ 250,000 ครั้ง 250,000 views ประมาณ 25,000 ครั้งต่อเดือน ขอโทษนะตะกี้สองแสน มันต่อปีแล้ว ประมาณนี้ นะ นี่คือต่อเดือนนะ คราวเนี้ย ได้อะไร คราวนี้มาดู ปีที่แล้ว มีคนซื้อนะ ปีที่แล้วคนซื้อ 30 ประมาณ  นักรบคนซื้อน้อย 350 คน  นี่คือปีนะ  ปีทีแล้วคนเข้าเว็บรวม นี่คือปีแล้วนะ รวมกันอยู่ที่ประมาณ ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ละกันมันจะได้เข้าใจง่ายๆ นะ อยู่ที่ประมาณ 100,000 ละกัน อยากให้เป็นตัวเลขกลมๆ ไม่ใช่ไรหรอก จะได้คำนวณง่ายๆ นะ ปีที่แล้วคนชม Youtube นะ อยู่ที่ 250,000 นะ  3 บรรทัดสุดท้ายนี่สื่ออะไร สื่อเราจะได้หาไงว่า เค้าเรียกว่า เปอร์เซ็นต์นะ เปอร์เซ็นต์ละกันคนซื้อหารคนเข้าชม หรือ เค้าเรียกว่า audience ไง เนี่ยมันก็คือนะ 350 หาร หนึ่งแสน บวก สองแสนห้า คนเข้าชม 2 ตัวนี้รวมกัน หารสามห้าศูนย์หนึ่งสองสาม นึกออกมั้ย มันจะเท่ากับ เอาเครื่องคิดเลขมาเลย 350 หาร สามห้าศูนย์ หนึ่ง สอง สาม 0.001 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลข 0.001 เปอร์เซ็นต์เนี่ยมันมาจากคนซื้อหารคนเข้าชม แต่ละธุรกิจไม่เหมือนกันนะ บางธุรกิจอาจจะตัวเลขเยอะกว่าผมด้วยนะ อย่างนี้เป็นต้น เพื่ออะไร เวลาที่เราจะเพิ่มรายได้ธุรกิจนะ เราเพิ่มอะไรดี เราเพิ่มคนซื้อหรือ เพิ่มคนเข้านึกออกมั้ยนะ นักรบรู้เลยว่า Max Audience มันอยู่ที่ 2 แสน  2 แสนครั้งต่อเดือนนะ โอ้ขอโทษนี่ปี  Max Audience อยู่ที่ 2 แสนครั้งต่อเดือนหรือ 2 ล้านครั้งต่อปี นึกออกมั้ย อันนี้คือสรุปเมื่อปีที่แล้ว ถ้าจะเพิ่มนะ ยอดขายง่ายสุดเลยคือเพิ่มคนเข้าเว็บนะ เพราะว่านี่มันคนเข้าเว็บประมาณ 3 แสนครั้งต่อปี ซึ่ง Max มันอยู่ที่ 2 ล้านครั้งต่อปี เห็นมะ Max Audience อยู่ที่ 2 ล้านครั้งต่อปี แต่นักรบเพิ่งเก็บไปแค่ 3 แสนครั้งต่อปีเองมันยังแค่ประมาณแค่ตีเป็น 15เปอร์เซ็นต์แค่นั้นเอง นึกออกมั้ย ฉะนั้นเนี่ย การเพิ่มคนเข้าเว็บเนี่ยมันง่ายกว่าเพราะเรารู้แล้ว เราทำ Youtube ได้แล้วเราทำ SEO and Content Marketing ได้แล้ว ธุรกิจเรายังโตได้อีก เพราะตอนนี้เราเพิ่งเก็บ audience ได้แค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์นั่นเอง นะ เราจะได้รู้ว่าธุรกิจเราโตได้อีก ตรงนี้ต้องดูดีๆ นะเพราะว่ามันค่อนข้างที่จะซับซ้อนแล้วนะ โอเคเป็น concept นะ ใน Google จบแล้ว เราหา Max Audience ต่อเดือนหรือต่อปี เพื่อจะได้รู้ว่าธุรกิจของเรา มันยังโตได้อีกมั้ยนะ แล้วเรามีคนซื้อเท่าไหร่ เราจะได้รู้เปอร์เซ็นต์นั่นเองนะ แล้วเวลาจะเพิ่มยอดขาย ก็คือ เพิ่มคนเข้านั่นเอง ผ่านเว็บและก็ Youtube โดยที่เราสามารถเพิ่มได้อีก อีกหลายเท่าเลยนะ เพราะเรารู้ว่า Max Audience มันกี่ล้านครั้งนั่นเองนะ โอเคพอเห็นภาพละ นี่คือ Google  เราจะเกิดความเชื่อว่าเอ๊ย เดินต่อได้ ธุรกิจเดินต่อได้นะ คราวนี้ใน Facebook  Facebook เช็คแบบนี้ได้มั้ย มันก็เช็คได้นะแต่มันเช็คเป็นตัวเลขอีกแบบนึง นะ มันอยู่ในนี้ อยู่ในกลุ่มเป้าหมายนะ นักรบเช็คแล้วนะ สนใจ Adword WordPress ประมาณ แสนแปด ประมาณนี้นะ วิธีการหากลุ่มเป้าหมายใน Facebook นี่ทำไง ไปที่ ไลบารี่ นะ ไปที่ ข้อมูลเชิงลึกก่อน เวลาเราสร้างกลุ่มเป้าหมาย เราต้องเช็คให้แน่ใจว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราสร้าง มันใช่กลุ่มเป้าหมายจริงๆ หรือเปล่า บางคนสร้างกลุ่มเป้าหมายมาแล้วผิดกลุ่ม โอ้โห ยิงโฆษณาไปก็เปลืองตังค์ เลือกประเทศ เลือกอายุ ประเทศอายุไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เลือกทำกันได้อยู่แล้วจริงมะ ไอ้ตรงความสนใจ interest นี่แหละมีปัญหา interest ความสนใจที่เราเข้าใจกับสิ่งที่ Facebook เข้าใจเนี่ยบางทีคนละเรื่องนะ เวลาใส่ keyword เข้าไปนะ  ทำแบบนี้ก่อนนะ เสร็จแล้ว
https://warrior.in.th/freelance-seo/marketing/how-to-find-audience-in-google-facebook/

357

เครดิตบูโรคืออะไร
บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ  Nation Credit Bureau (NCB) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “บูโร” มีหน้าที่ในฐานะคนกลางในการจัดเก็บรวบรวมประวัติเครดิต สถานะการขอสินเชื่อของบุคคลที่ขอสินเชื่อ กับสถาบันการเงิน หรือไฟแนนซ์ต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก
โดยเก็บข้อมูลสินเชื่อต่าง ๆ บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด, สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น ข้อมูลที่รวบรวมจะเก็บทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติที่ดีหรือไม่ดี โดยสถาบันการเงินต่าง ๆ จะขอข้อมูลจาก NCB เพื่อประเมินความเสี่ยงทุกครั้งที่มีคนมาขอสินเชื่อ

ข้อมูลเครดิตบูโร เก็บอะไรบ้าง
1. ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ระบุตัวตน เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ วันเกิด สถานะภาพการสมรส อาชีพ
2. ประวัติหนี้สินและการชำระ NCB จะเก็บข้อมูลสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติทุกประเภท ประวัติการชำระ ลักษณะการผ่อนชำระ โดยจะเก็บข้อมูลไว้ 36 เดือน (3 ปี)

รหัสเครดิตบูโร หรือ สถานะเครดิตบูโร มีดังนี้
A0 = บัญชีปกติ
D1 = อยู่ในระหว่างการเจรจรให้ชำระหนี้
D3 = มีการประนอมหนี้ หรือ มีข้อตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
D5 = มียอดค้างชำระ
F0 = กำลังตรวจสอบบัตรเครดิต หรือบัตรประจำตัว เนื่องจากถูกฉ้อฉล
F1 = บัตรเครดิต หรือบัตรประจำตัว เคยถูกใช้ฉ้อฉล
L0 = อยู่ในระหว่างกระบวนการทางกฏหมาย
L3 = ศาลพิพากษายกฟ้อง
S0 = บัตรเครดิต ถูกขโมย / หาย
T1 = ขายหนี้ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ นิติบุคคลอื่น
T3 = โอนหนี้ไปยังบัญชีใหม่ หรือบัญชีอื่น
X0 = ปิดบัญชี
X2 = ลูกค้าเสียชีวิต หรือสาบสูญ
X5 = ปิดบัญชี ภายหลังจากการติตดามทวงถาม
X7 = ปิดบัญชีเนื่องจากหนี้สูญ
10 = สถานะปกติ
11 = สถานะปิดบัญชี
12 = พักชำระหนี้ ตามนโยบายรัฐ
20 = มีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน
30 = อยู่ในกระบวนการทางกฏหมาย
31 = อยู่ในระหว่างชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม
32 = ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากขาดอายุความ
33 = ปิดบัญชี เนื่องจากตัดเป็นหนี้สูญ
40 = อยู่ระหว่างชำระสินเชื่อ เพื่อปิดบัญชี
41 = เจ้าของข้อมูลขอตรวจสอบรายการ
42 = โอนหรือขายหนี้

อธิบายสถานะเครดิตบูโรเพิ่มเติม ดังนี้
[ 10 = ปกติ ] ผ่อนชำระตรงทุกงวด ไม่เคยมีค้างชำระเกิน 30 วัน อาจมีการชำระล่าช้าบ้าง ไม่ส่งผลต่อเครดิต ลูกค้าสถานะกลุ่มนี้กู้สินเชื่อได้ง่าย
[ 11 = ปิดบัญชี ] เคยมีประวัติค้างชำระเกิน 30 วัน 90 วัน หรือ 1 ปี หลังจากนั้นเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปิดบัญชี บางธนาคารรับพิจารณา
[ 20 หนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน ] ผ่อนบัตรเครดิตและค้างชำระอยู่ ไม่ว่าจะขอสินเชื่อธนาคารใด ไม่ผ่านแน่นอน เพราะยังมียอดค้างชำระอยู่ ทำให้ธนาคารมองเป็นลูกค้าแบล็กลิสต์
 
ติดบูโรอยู่ ต้องการขอสินเชื่อบ้าน มีวิธีทำอย่างไรได้บ้าง
     1. ซื้อบ้านด้วยเงินสด เนื่องจากมีประวัติค้างชำระในเครดิตบูโร ทำให้สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่นำเสนอสำหรับคนที่ต้องการอยากซื้อบ้านครับ
     2. ติดต่อเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อขอชำระหนี้ส่วนที่ค้างทั้งหมด ซึ่งธนาคารอาจจะขายหนี้ให้กับบริษัทอื่นไปแล้ว จะต้องติดตามเพื่อเจรจาขอชำระหนี้ ซึ่งอาจจะตกลงผ่อนชำระเป็นงวด ๆ หรือชำระหนี้ทั้งหมดในครั้งเดียว และจะต้องสอบถามระยะเวลากับทางเจ้าหนี้ด้วย ว่าใช้ระยะเวลาส่งเรื่องเข้าเครดิตบูโรประมาณเมื่อไร ซึ่งหลังจากที่บริษัทส่งเรื่องไปยังเครดิตบูโรแล้ว อาจจะต้องรอระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ในการยื่นขอสินเชื่อใหม่
     3. เคลียร์หนี้กับสถาบันการเงิน และใช้ใบปิดหนี้ ประกอบการยื่นกู้ กับสถาบันการเงิน โดยส่วนใหญ่จะมีธนาคารของรัฐที่พอจะรับเงื่อนไขส่วนหนี้ได้ แนะนำให้ลองติดต่อกับ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.ออมสิน ถ้าธนาคารยินยอมกับเงื่อนไขได้ ก็มีโอกาสผ่านในการขออนุมัติสินเชื่อ
     4. ตกลงเช่าซื้อบ้านกับผู้ขาย การเช่าซื้อเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการซื้อบ้าน ซึ่งจะต้องตกลงเงื่อนไขการเช่าซื้อกับผู้ขาย ซึ่งมีรายละเอียดที่จะขออธิบายในบทความต่อไปครับ

สำหรับผู้ที่สนใจจะมีบ้านเป็นของตัวเอง แนะนำให้ศึกษาวิธีการยื่นกู้ เงื่อนไขต่าง ๆ และเตรียมความพร้อมในการขอยื่นกู้ ทั้งในเรื่องของเครดิต รายได้ ภาระหนี้สิน และเอกสารต่าง ๆ เป็นอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อให้การขอยื่นกู้นั้น มีความพร้อมและผ่านการอนุมัติได้ง่ายครับ
https://goodhomeasset.com/blogs/เครดิตบูโรคือ

358
กลยุทธ์การตลาด มนุษย์เงินเดือนทำธุรกิจ


นาทีที่ 00:00 – 00:26   สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ warrior นักรบทำธุรกิจ วันนี้ผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำการตลาดของมนุษย์เงินเดือน ก่อนอื่นเนี่ยผมจะให้ดูภาพใหญ่ก่อน เป็น Flowchart ซึ่ง Flowchart ตัวนี้ ผมใช้เวลาทำติดต่อนานประมาณสิบชั่วโมง ตั้งแต่หนึ่งทุ่มยันตีสี่เลย แล้วก็ต่อในวันรุ่งขึ้น ในการอัดวิดีโออีก คาดว่าจะประมาณสองชั่วโมง รวมกันเป็นน่าจะสิบสองชั่วโมงเลย

นาทีที่ 00:27 – 01:22  สำหรับวิดีโอนี้ ในการเตรียมข้อมูล เพราะมันจำเป็นมาก ผมจะถ่ายทอดในมุมมองของการทำการตลาด เพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพรวมของการทำธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจส่วนตัว โดยปัจจัยที่คุณจะต้องเจอ คนเป็นมนุษย์เงินเดือนเนี่ยจะมีเวลาน้อย มีเงินน้อย แต่ขออย่าให้มีความรู้น้อยตาม โดยถ้าเราฝึกที่จะมอง การทำธุรกิจโดยเห็นแบบภาพรวมก่อนเนี่ย เราจะทำให้เราแก้ไขได้ถูกจุด รู้ว่าเวลาที่สินค้าเราขายไม่ได้ เราจะต้องพัฒนาตรงจุดไหน แล้วเป็นจุดไหนที่เราอ่อน จุดไหนที่เราแข็ง ฉะนั้นเราจะได้มองเห็น ถึงทิศทางการทำงานของมัน เริ่มต้นเนี่ย เรามาดูเรื่องของการตลาด ในหัวข้อว่า “การให้ข้อมูล” เนี่ย  มีประโยชน์ยังไง ช่วยคนตัดสินใจง่าย และสร้าง Brand ได้ยังไง เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดกัน

นาทีที่ 01:23 – 01:50  เริ่มต้น ผมอยากจะให้คนที่ฟังอยู่ นึกถึงการตลาดแบบเดิมก่อนที่เราเคยได้ยิน ก็คือการตลาดแบบ 4P นึกออกไหมครับ  P มีอะไรบ้างครับ? เอาเป็นเท้าความก่อน มีตรงนี้แหละครับ Product, Price, Place, Promotion แปลถูก  Product คือ สินค้า, Price คือ ราคา, Place คือ ทำเลสถานที่, Promotion ก็คือ ลด แลก แจก แถม กิจกรรมอะไรก็แล้วแต่'

นาทีที่ 01:51 – 02:31 แต่เนื่องจาก internet  ทำให้พฤติกรรมของคนซื้อเปลี่ยนไป วิธีการซื้อก็เปลี่ยนไป  การตัดสินใจซื้อก็เปลี่ยนไป ในยุคของการทำตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม Niche market   มีการนำเสนอกลยุทธ์ที่เรียกว่า 4C    4C เนี่ยจากหนังสือชื่อ The New Marketing Paradigm โดย ดอนอีซูลทัซ (Don E Schultz) คนนี้ แล้วก็นักเขียนอีกสองสามท่าน  หนังสือเล่มนี้ ขายที่ Amazon ด้วย นี่  แล้วก็นักเขียนอีก นักเขียนอีกสองสามท่านเล่มนี้ New Marketing Paradigm

นาทีที่ 02:32 – 03:40  คราวนี้ New Marketing หนังสือเล่มนี้พูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง เรื่องแรก เขามีการเปลี่ยน แนวคิดในการทำการตลาดแบบ 4P เนี่ย ถ้าคุณจะมาเจาะแบบ Niche market มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยมี internet เนี่ยเป็นตัวแปรสำคัญ คุณต้องใช้ 4C ครับ ลักษณะยังไงครับ เริ่มแรก   Product เนี่ย แทนที่เราจะ Focus เกี่ยวกับเรื่องสินค้าเป็นตัวตั้งตน  เราจะเปลี่ยนไปที่ Focus ของ Customer  คือลูกค้าของเรา ลูกค้าของเรามีความพึงพอใจมากแค่ไหน เขารู้สึกอย่างไร และเขาได้รับข้อมูลจากแหล่งไหนบ้าง ที่ช่วยทำให้เขาตัดสินใจที่จะซื้อ หรือว่าไม่ซื้อสินค้าของเรา  หรือว่าช่างใจ เก็บเป็นตัวเลือก อะไรก็แล้วแต่  อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า เรื่องของ Cost ครับ คือความคุ้มค่า ความถึงพอใจ   Price เป็นส่วนหนึ่งของ Cost   คราวนี้เวลาคนไปซื้อของ มันอาจจะไม่ได้ดูแค่ราคาอย่างเดียว จะดูถึงความคุ้มค่า ความพอใจ  ถ้าของมีราคาสูงจริงแต่เรารู้สึกว่าคุ้มค่า  เขาก็จะซื้อได้

นาทีที่ 03:41 – 04:42  ถัดไปก็คือเรื่องของ Place ครับตัวนี้ Place คือ เมื่อก่อนน่ะครับ Place คือทำเล แต่คราวนี้คือจะพูดถึงเรื่องของ Convenience ความสะดวกสบาย เวลาที่ลูกค้าจะซื้อของเนี่ย บางทีเนี่ยเขาไม่จำเป็นต้องขับรถไปซื้ออีกแล้ว หรือไม่ต้องเดินไปซื้อ เข้าห้าง  เราอาจจะสั่งซื้อผ่านออนไลน์ด้วย มีความสะดวกสบายมากขึ้น  ฉะนั้นการทำการตลาดของเรา ถ้าคำนึงถึงความสะดวกสบายเนี่ย ต้องมองดูจุดนี้ด้วย อันสุดท้าย Promotion เนี่ย อ่า..  เขามองว่ามันแคบเกินไปละ Promotion เนี่ยเป็นการจากส่วนลดแลกแจกแถม จากผู้ชาย แต่เรื่อง Communication เนี่ย เป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้น Communication เนี่ยเป็นการโต้ตอบกับลูกค้าในสองทางแล้ว  มีการสื่อสารออกไป  ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, Viral marketing   การทำเนื้อหา Content, การจัดกิจกรรม Event หรือว่าการโต้ตอบ สิ่งที่สื่อออกไปเนี่ย คือ Communication หมด การสร้าง Facebook fanpage ก็เป็นสร้าง Communication ที่ดีมากอย่างหนึ่ง

นาทีที่ 04:43 – 05:30  ในองค์ความรู้ที่ผมจะถ่ายถอดนี้ จะเหมาะกับนักธุรกิจ นักเขียน วิทยากร นักการตลาด เข้าของกิจการ และคนที่สนใจจะสร้าง Brand และขายสินค้าออนไลน์ คราวนี้กลับมาดูว่าถ้าเราจะทำธุรกิจออนไลน์ เราจะต้องมีปัจจัยอะไรที่เราต้องรู้บ้าง เดี๋ยวผมขอ Zoom ไปให้เลยชัดๆ อ่านี่ การทำธุรกิจออนไลน์นี้ ผมจะให้โฟกัสอย่างงี้ 3 ข้อใหญ่ๆ แล้วเราจะใช้ตัวนี้เป็นภาพใหญ่ในการสอนเกือบทั้งหมด อันแรกคือ คุณต้องมีสินค้าก่อน ถัดมาคุณจะต้องมีหน้าร้านออนไลน์ อย่างเช่น เว็บไซต์ หรือ Facebook fan ก็ได้ ใช้เป็นหน้าร้านออนไลน์ แล้วคุณจะทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าจองคุณได้ คุณต้องพึ่งการตลาดออนไลน์ สามส่วนอย่างงี้

นาทีที่ 05:31 – 06:58  โดยสินค้า  สินค้าของเราเนี่ย เวลาที่จะไปปรากฏบนหน้าร้านออนไลน์เนี่ย เราจะต้องทำให้มันดูดี  เราจะเรียกมันว่าการ Pack สินค้า เตรียมขาย หรือว่าเตรียมเนื้อหา Content ที่ปรากฏอยู่ในหน้าร้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือ Facebook fanpage  ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง วิดีโอ โดยมีส่วนของของฟรี แล้วก็ไม่ฟรี ก็แล้วแต่เราจะแจก จะจ่าย จะขายหรือว่าจะสื่อสารเข้าไปผม  โดยเมื่อเราที่ทำการ Pack สินค้าให้ดูดี โดย Pack สินค้าให้ดูดี เตรียมเนื้อหาให้ดูดีเนี่ย ต้องใช้ทักษะของเรื่องการออกแบบเข้าช่วย สำหรับบริษัทขนาดใหญ่เนี่ย ที่มีทีมงานออกแบบเรียบร้อยเนี่ย เขาจะออกแบบ package สินค้า ออกแบบดีไซน์หน้าปก การถ่ายรูป เขียนคำพูด มีวิดีโออะไรต่างๆ ที่ค่อนข้างมีคุณภาพสูง ทำให้ Feedback กลับมาดี แล้วก็ทำให้สินค้าเนี่ยดูมีราคาทันที แล้วก็คุ้มค่าที่จะซื้อ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนเนี่ย คนที่มีเวลาน้อย  เงินทุนน้อย เดี๋ยวผมจะสอดแทรกวิธีคิดแล้วก็วิธีทำอีกที ว่าจะทำยังไงให้ Pack สินค้าของเราดูดี ที่ปรากฏอยู่บนหน้าร้านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ Facebook fanpage  และจะหาแหล่งข้อมูล เอา Source ดีดียังไง เพื่อที่จะทำให้สินค้าดูดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งผมจะพูดในหัวข้ออื่นๆถัดไป  นี่คือให้เห็นภาพรวมก่อน

นาทีที่ 06:59 – 07:57 พอเราทำการ Pack สินค้า เตรียมขาย เก็บอยู่ในหน้าร้านออนไลน์แล้ว มีเนื้อหาอะไรอยู่เว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว สิ่งถัดไปที่เราจะต้องทำ ก็คือการนำไป promote  โดยช่องทางในการ promote เนี่ยผมจะขอโฟกัสหลักๆ แค่สองตัว เพื่อให้เห็นชัด ถ้าเรามีเว็บไซต์ เราจะโปรโมทผ่าน Google  โดย Google เนี่ย เราจะใช้ สองตัวนี้เป็นหลัก คือ SEO และ Adwords    ผมยกตัวอย่างง่ายๆ  นี่คือเว็บไซต์ของ Warrior   เรามีเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว เราทำการเอาข้อมูลมาใส่ในเว็บไซต์ของเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นหน้าร้านออนไลน์ นี่คือข้อมูล และเราทำการเอาสินค้ามาใส่ในเว็บไซต์ของเราแล้ว อย่างเช่น สินค้าของผมเนี่ยจะเป็น Course เรียน อย่างงี้ เห็นไหมครับ  มีระบบ Shopping card อะไรเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ เอามาใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ  มีการดีไซน์แพ็คเกจ การให้ข้อมูล และรายละเอียดต่างๆของสินค้าเรียบร้อยแล้ว

นาทีที่ 07:58 – 08:40 ขั้นต่อไปเนี่ย เราจะนำข้อมูลเหล่าเนี้ยไปปรากฏให้เห็นบนเว็บไซต์  คนอื่น ให้คนอื่นเห็นผ่าน Google   โดยเราจะไปให้ปรากฏบนหน้า Search Engine ของเขา  ซึ่งวิธีการทำการตลาดออนไลน์ให้ไปปรากฏบนหน้า Search Engine ของเขาเนี่ย เราจะมีตำแหน่งสองส่วน ที่เราจะต้องสนใจ นั่นก็คือ เรื่องแรก ก็คือการลงโฆษณา อย่างงี้ เราจะเรียกว่า Google Adwords  จะมีตัว Ads ตรงนี้อยู่ ในกรณีที่เราเว็บไซต์ใหม่ๆเนี่ย เราจะไม่มีเว็บไซต์ขึ้นอันดับดีใน Google  ถ้าเราอยากจะเร่งให้คนเนี่ย เห็นเว็บไซต์เร็วขึ้น เราก็ใช้ Google Adwords ช่วย

นาทีที่ 08:41 – 09:35 โดยการเรียนรู้เรื่องของ Google Adwords  เราต้องเข้าเว็บไซต์ตรงนี้ แล้วก็สามารถที่จะลงชื่อเข้าใช้ แล้วก็ทำโฆษณาได้ ซึ่งกูแอ้ด จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ใหญ่มาก ซึ่งสามารถเปิด Course ได้เลย แต่ผมขอเกริ่นเท่านี้ก่อน โดยเราจะทำการโฆษณาโดยเสียตังค์เมื่อคนคลิก  อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่จะทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับตรงส่วนนี้ ที่เราจะเรียกว่าการทำ SEO  ซึ่งการทำ SEO เนี่ยมันจะมี Course  ของผมเรียบร้อยแล้ว คือ “เพิ่มลูกค้าออนไลน์ด้วย SEO” แล้วก็ Course ตรงนี้ รายละเอียดภายในเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว  คราวนี้กลับมาที่ Facebook กันบ้าง อ่า อันต่อไป ก็คือการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้ Facebook  ช่วย

นาทีที่ 09:36 – 10:54 ขั้นแรก เราจะสร้าง Facebook fanpage ขึ้นมาก่อน นี่คือ Facebook fanpage  เราสามารถสร้างได้ง่ายๆ ไปที่ Account ของเราแล้วก็เลือก สร้างเพจ ตัวนี้ เราก็จะมีหน้า สร้างแฟนเพจ เรียบร้อยแล้ว พอเราสร้างแฟนเพจ ตั้งชื่อแล้ว   เราก็จะมีหน้าเฟสบุคตัวนี้ที่ซึ่งเราไว้สำหรับ ในการโพสเนื้อหา ข้อมูล ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ผมเขียนบทความภายในเว็บไซต์ แล้วก็นำมาโพสใน Facebook fanpage  ก็บทความล่าสุด ที่มีคนตอบรับดีเลย  มีคนเข้าถึง ประมาณหมื่นกว่าคน แล้วก็มีคนแชร์ประมาณร้อยกว่าครั้ง   ถูกใจประมาณสองร้อยกว่าครั้ง แบบนี้ โดยที่ยังไม่ได้ทำโฆษณาเลย  เป็นการบอกต่อๆกันผ่าน Facebook  แล้วก็เป็นการเข้ามามีส่วนร่วมจากสมาชิกในแฟนเพจของผมนั่นเอง ซึ่งมีประมาณหมื่นคนเศษๆ ในกรณีที่เราอยากจะเพิ่มการเข้าถึง ให้คนรู้จัก อ่า โพสของเรา หรือรู้จักเพจของเรามากขึ้นเนี่ยเราต้องเรียนรู้เรื่องการทำโฆษณา Facebook Ads เพิ่ม ซึ่ง Facebook Ads เนี่ย ก็จะเป็นอีกเรื่องนึง ซึ่งสามารถเปิด Course ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่

นาทีที่ 10:55 – 11:24 คราวนี้กลับมาดูภาพรวมอีกครั้ง เริ่มแรก เราจะต้องมีสินค้าของเราก่อน เสร็จแล้ว เราทำการ Pack สินค้า แล้วเตรียมเนื้อหาให้เรียบร้อย ให้อยู่บนหน้าร้านออนไลน์ของเรา ซึ่งหน้าร้านออนไลน์ของเราเนี่ยจะต้องทำให้ดูดี แล้วมีความเป็นมืออาชีพสูง สำหรับระบบเว็บไซต์ที่ทำหน้าร้านออนไลน์เนี่ย สามารถติดต่อทาง Warrior ได้ มีระบบ Newsmag ที่ช่วยในการทำ SEO ได้อย่างดีอยู่

นาทีที่ 16:28 – 17:10 นี่คือภาพรวมทั้งหมด ในการทำธุรกิจออนไลน์ เราจะเห็น ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอย่าง กลยุทธ์ในการทำการตลาดโดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย ซื้อง่าย แล้วก็กลับมาแนะนำ บอกต่อ  สำหรับรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนของสินค้า หน้าร้าน หรือการตลาดอย่างงี้ เดี๋ยวจะพูดถึงโอกาสในวิดีโอถัดไป สำหรับวิดีโอเรื่อง “มนุษย์เงินเดือนทำการตลาด”  โดยใช้เนื้อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย สร้าง Brand  จบเพียงเท่านี้ก่อนครับ  สวัสดีครับ.
https://warrior.in.th/warrior-life/salaryman-statregy/

359
รีวิวหลังผ่าตัดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง Ep.2 by น้องเพ้นท์ หมอยุ้ยจาเรมคลินิก

“ทำตาสองชั้นต้องระวัง! เรื่องกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงด้วย“

คำถาม : เพ้นท์มีนัดกับคุณหมอยุ้ยสุดสวยของเรานะคะ มาดูนะคะว่าตาของเพ้นท์ หมอต้องมา Follow up อะไรยังไงบ้าง เพราะตอนนี้ทำมาก็ครบ 1 เดือนแล้ว ก็จะมีความสวยกว่าเดิม ก็เพราะตอนแรกเราก็สวยอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ก็สวยขึ้นอีกเพราะว่าคุณหมอยุ้ยนะคะ แล้ววันนี้นะคะก็เลยจะมาคุยกับคุณหมอยุ้ยว่าจากที่เราได้ทำมาทั้งหมด เราห้ามทำอะไรบ้าง ทำอะไรได้แล้วบ้าง เพราะว่าทุกวันนี้เพ้นท์ก็ยังไม่กล้าล้างหน้าโดนน้ำอะไรแบบนี้ค่ะ ของเพ้นท์นี่แก้ตรงจุดไหนทำอะไรบ้าง
คำตอบ : ของน้องเพ้นท์ตอนแรกก็มีปัญหาเรื่องของชั้นตาไม่เท่ากัน แล้วก็จะมีในเรื่องของเบ้าตาแห้ง มีในเรื่องของกล้ามเนื้อตาด้วย อันนี้ของที่หมอทำให้ก็คือจะทำสร้างชั้นตาใหม่ แล้วก็ปรับกล้ามเนื้อตาให้โตขึ้นแล้วจัดเรียงไขมันในเพื่อให้ตามันดูสวยขึ้น ดูหลายสิ่งอย่างเนอะ


คำถาม : ใช่ ดูเยอะ เพราะว่าของเพ้นท์ผ่าตัดนานมาก คุณหมอคือผ่าละเอียดมาก ของเพ้นท์ก็คือเช็ดได้ปกติ แต่งหน้าได้ปกติเหมือนเดิม แล้วเรื่องกินอาหารล่ะคะ มีอะไร
คำตอบ : ได้ตามปกติแล้ว

คำถาม : ปกติแล้ว อาหารทะเลอะไรแบบนี้กินได้แล้วค่ะ ถามคุณหมอว่าแล้วเรื่องแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เราจะรู้ได้ยังไงเพราะตอนแรกเพ้นท์ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วเพ้นท์ก็มาปรึกษาหมอ ถึงจะรู้ว่าเรามีปัญหาเกี่ยวกับการเนื้อตาอ่อนแรง
คำตอบ : คือถ้าเกิดเป็นเยอะๆมันก็จะสังเกตได้ง่ายเลย ตามันจะดูปรือๆ ดูง่วงๆ

คำถาม : เหมือนของเพ้นท์ไหม
คำตอบ : ของน้องเพ้นท์เป็นระดับนึงค่ะ ระดับกลางๆ แต่ถ้าเกิดเป็นน้อยจริงๆ บางทีอาจจะสังเกตไม่เห็น อาจจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดูนิดนึงหรือเรา
อาจจะสังเกตได้แค่ว่าชั้นตาเราดูไม่เท่ากันนะ แต่จริงๆแล้วเราไม่รู้ว่าอีกข้างนึง เราเป็นกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอยู่

ก็นั่นแหละค่ะ ถ้าเกิดเพื่อนๆคนไหนนะคะที่สนใจ หรือว่ากำลังสงสัยว่าตัวเองเป็นกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือเปล่าแล้วก็อยากทำตา ทำแบบสองชั้นก็ได้ใช่ไหมคะ ก็ไม่ต้องเป็นแบบแก้ไขกล้ามเนื้อตาอะไรแบบนี้ ก็สามารถติดต่อกับคุณหมอยุ้ยได้นะคะ ผ่าน Facebook Fanpage Jarem Clinic หรือไม่ก็จะโทรเข้ามาก็ได้

สำหรับใครนะคะที่ต้องการจะปรึกษาการทำตานะคะ หรืออยากรู้ว่าของเราเป็นกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือเปล่า ก็สามารถโทรมาสอบถามคิวได้นะคะ เพราะว่าคุณหมอยุ้ยรับปรึกษาฟรีนะคะ ตอนนี้ต้องรีบโทรเข้ามาหน่อยเพราะว่าคิวคุณหมอเนี่ยคิวทองนั่นเอง เริ่มยาวแล้วนะคะ สำหรับใครที่สนใจก็ติดต่อผ่าน Facebook Fanpage Jarem Clinic ได้เลยหรือไม่ก็โทรเข้ามาก็ได้นะคะ เราจะทิ้งลิ้งก์และเบอร์โทรไว้ข้างล่างนี้ค่ะ

www.jarem.co.th
Line Official : https://line.me/R/ti/p/@jaremclinic
INSTAGRAM : https://www.instagram.com/jaremclinic
Facebook : https://th-th.facebook.com/JaremClinic

สำหรับวันนี้คำถามของเพ้นท์กับคุณหมอยุ้ยก็หมดแล้วนะคะ ก็ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็อย่างที่บอกไปนะคะติดต่อผ่าน Jarem Clinic ได้เลย วันนี้ก็ขอบคุณคุณหมอยุ้ยมากนะคะ ขอบคุณค่ะ ใครอยากมีตาสวยแบบนี้ก็อย่าลืมมาเป็นลูกสาวคุณหมอยุ้ยกันเยอะๆนะคะ ไปแล้วค่ะ บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ
https://jarem.co.th/reviews-ptosis-surgery-15/


360
ประกันมนุษย์เงินเดือน ด้วยความรู้และประสบการณ์ คือหนทางที่ดีทีสุดวิธีหนึง


ในชีวิตการทำงาน เราต้องผ่านการเปลี่ยนงานหลายต่อหลายที่ เพื่อค้นหาที่ทำงานที่เหมาะสมกับเราที่สุด สิ่งแวดล้อมของที่ทำงานแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เราจะรู้ได้แน่ชัดเมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึง หรือประมาณ 6 เดือน – 1 ปีนั้นเอง

มนุษย์เงินเดือนกับชีวิต ที่ไม่มีทางเลือก
ในช่วงของการเลือกที่ทำงาน และเข้าทำงาน เราจะรู้เพียงเงินเดือน, สวัสดิการ, งานที่รับผิดชอบ,  และภาพลักษณ์ภายนอกของบริษัท แต่ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดอื่นๆที่ซ่อนอยู่ เช่น กระบวนการทำงาน, นิสัยของเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีความสุขในการทำงานหรือไม่ด้วยครับ หากวันที่รู้ตัวแน่ชัดว่างานที่ทำตอนนี้ไม่ ok อีกต่อไป แต่ก็ไม่สามารถหาที่ทำงานใหม่สำรองดีๆได้ จนต้องอดทนทำงานเพื่อให้ได้เงินเป็นค่าใช้จ่ายครองชีพ เมื่อถึงจุดนี้ละก้อ เราจะตกอยู่ในสภาวะของการไม่มีทางเลือก และส่งผลให้วิธีคิดและวิธีการทำงานของเราตกต่ำลง หรืออยู่ในเกณฑ์แค่พอผ่านไปวันๆครับ

ประกันมนุษย์เงินเดือน ด้วยความรู้และประสบการณ์
ความรู้และประสบการณ์จะช่วยให้เรามีโอกาสและความมั่นใจในการค้นหางานใหม่ ที่เขาพร้อมจะเปิดรับคนที่มีความสามารถ โดยเราต้องแสดงความสามารถให้โดดเด่นในโลกออนไลน์ครับ

เราจะบอกโลกว่าเราเก่งด้านนี้ได้อย่างไร ?
คนเก่งมีมากมาย แต่คนเก่งที่ประกาศตนในโลกออนไลน์ให้คนรู้จัก มักได้งานแบบไม่ต้องเดินหาเสมอ เพราะงานจะเข้ามาหาคนที่ฉายแววประกายเด่นในด้านนี้ในโลกออนไลน์นั้นเอง ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเฟ้นหาคนเก่งๆเพื่อร่วมทีมหรือร่วมโปรเจคของเขา และวิธีหนึงที่เขาใช้คือ การค้นหาบนโลกออนไลน์ จึงไม่แปลก หากว่าเราแสดงตนชัดเจนถึงความถนัดของเราบน Internet จะช่วยให้เขาค้นเจอเราและติดต่อเราได้ไม่ยากครับ

เราจะบอกโลกวาเราเก่งด้านนี้ทางไหนได้บ้าง ?
เริ่มต้น แบ่งเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง/วัน เพื่อสร้างเรื่องราวและบอกเล่าความสามารถของตัวเองผ่านการเขียนบทความ, ภาพ, เสียง หรือ วีดีโอย่างไดอย่างหนึ่งตามถนัด โดยสามารถสร้าง Content เหล่านี้ลง Facebook Fanpage , หรือ Youtube Channel ได้ก่อน เพราะสร้างง่ายที่สุด ในขั้นถัดมา หากมีความชำนาญเรื่องเว็บไซต์ แนะนำเอาความรู้ทีเขียนบน Facebook Fanpage และ Youtube มาลงใน เว็บบล็อกของเราครับ หลังจากที่มีความรู้มากพอ จะช่วยให้โลกรู้จักเรา ผ่านทั้ง Fanpage, Youtube และ เว็บไซต์ เมื่อทำไปสักระยะก็จะเริ่มมีคนสอบถามและติดต่อเข้ามาให้ทำงานให้, พูดคุย หรือ ชมเชยถึงผลงาน ทั้งหมดตรงนี้เหละครับ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างชื่อเสียงของเรา สร้าง Personal Brand ให้กับเราอย่างดีทีเดียว และทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นหลัก “ประกันมนุษย์เงินเดือน” ที่มีค่ามากที่สุดครับ 
https://warrior.in.th/warrior-life/salary-man-protect/

หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 27