แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - parple1199

หน้า: 1 2 [3]
37

ประโยชน์ของไคโตซาน

  • ด้านอาหาร ไคโตซานมีคุณสมบัติในการต่อต้านจุลินทรีย์และเชื้อราบางชนิด  โดยมีกลไกคือไคโตซานมีประจุบวก  และจับกับเซลล์เมมเบรนของจุลินทรีย์ที่มีประจุลบได้  ทำให้เกิดการรั่วไหลของโปรตีนและสารอื่นของเซลล์ ในหลายประเทศได้ขึ้นทะเบียนไคตินและไคโตซานให้เป็นสารที่ใช้เติมในอาหารได้ โดยนำไปใช้เป็นสารกัดบูด  สารช่วยรักษา กลิ่น  รส และสารให้ความข้น  ใช้เป็นสารเคลือบอาหาร  ผัก และผลไม้  เพื่อรักษาความสดหรือผลิตในรูปฟิล์มที่ทาน (edible film) สำหรับบรรจุอาหาร
  • ด้านการแพทย์ ไคตินเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากร่างกาย เนื่องจากไคติน-ไคโตซาน เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติสามารถเข้าได้รับร่างกายมนุษย์ และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ทั้งยังช่วยส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติต่อคนอีก  ใช้ส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียในลำไส้ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ  ต่อต้านมะเร็ง ช่วยลดสารพิษและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่เป็นอันตราย และจากการศึกษาในต่างประเทศ  พบว่าอาจย่อยสลายได้ภายในสัตว์  เนื่องจากมีเอนไซม์หลายชนิดสามารถย่อยสลายได้ นอกจากนี้ ไคติน - ไคโตซานยังสามารถยับยั้งการเจริญของจุลชีพบางชนิดด้วย
  • ด้าน[^_^] ไคโตซานช่วยลดคอเลสเตอรอส  และไขมันในเส้นเลือด  โดยไคโตซานไปจับกับคอเลสเตอรอส ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้หรือดูดซึมได้น้อยลง
  • คุณสมบัติอื่น ที่เป็นคุณสมบัติต่อการ[^_^]ตัวของไคโตซานก็คือ ความสามารถในการดูดน้ำได้ดีทำให้ผู้บริโภครู้สึกอิ่ม  และความสามารถในการเกาะกับน้ำดีซึ่งถือเป็นตัวขนย้ายไขมันตัวหนึ่ง  ทำให้ง่ายต่อการขับไขมันออกจากร่างกาย  โดยไม่มีกาย่อยเกิดขึ้น  เพราะเอนไซม์ในร่างกายของคนเราไม่อาจย่อยไคโตซานได้  เรายังพบอีกว่าไคโตซานช่วยในการลดคอเลสเตอรอสในเลือด  ซึ่งเกี่ยวข้องกับประโยชน์ในการจับกับน้ำดีของไคโตซาน  เป็นหลักฐานอย่างดีในการค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของไคโตซานในโรคหัวใจ  แม้ว่าไคโตซานจะรบกวยการย่อยและการดูดซึมโปรตีนเลย  ไคโตซานถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการต่อไปนี้
  • อ้วน
  • โรคหัวใจ
  • คอเลสเตอรอสสูง
  • ป้องกันมะเร็ง
กลไกการทำงานของไคโตซาน  ในร่างกายมนุษย์ของไคโตซาน มีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่มากทำให้ไม่ถูกดูดซึม แต่จะถูกขับถ่ายออกมาก นอกจากการจับไขมันแล้ว ไคโตซานยังมีคุณสมบัติที่ช่วยจับพวกโลหะหนัก  ซึ่งมากจากฝุ่นไอเสียรถยนต์ ยาฆ่าแมลง และ สีผสมอาหาร ได้เป็นอย่างดี วงการเภสัชกรรมจึงได้ใช้คุณประโยชน์ในการดักจับไขมันในทางเดินอาหารของไคโตซาน มาใช้ในการทานเพื่อ[^_^]  คอเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์อย่างได้ผล
            ไขมันที่จับตัวกับไคโตซาน จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต  แต่จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ  แล้วซึ่งหมายความว่า ไขมันในอาหารมื้ออร่อยปากที่เรารับประทานเข้าไป จะถูกดักจับเสียก่อน โดยไม่มีการดูดซึมเข้าร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับไขมันจากอาหารน้อยลง
ไคโตซานช่วยดักจับไขมันและช่วย[^_^] ไคโตซานไม่ถูกย่อย เช่นเดียวกับเส้นใยทั้งหลาย จึงไม่ให้แคลอรี่ แต่ที่ต่างจากเส้นใยจากพืชทั่วไป คือ ไคโตซานสามารถดักจับไขมันได้สูง ประมาณ 8 - 10 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง กลายเป็นเหมือนก้อนวุ้นไขมันในทางเดินอาหาร และ ถูกขับถ่ายออกในที่สุด
 
แหล่งที่มา / แหล่งอาหารที่มีไคโตซาน
          แหล่งอาหาร  เปลือกกุ้งขนาดกลางและเล็ก  กุ้งก้ามกราม  และปู  รวมทั้งแพลงตอนและผนังเซลล์ของเชื้อรา ผลิตภัณฑ์ของไคโตซานชนิดรับประทานที่พบในท้องตลาดจะอยู่ไปรูปยาตอกเม็ดแคปซูลปลอกแข็ง  แคปซูลนิ่มเจลาติน  และบางครั้งพบอยู่ในรูปส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการ[^_^]
แหล่งที่พบ ในธรรมชาติเราพบไคติน - ไคโตซาน มีปริมาณมากเป็นดับสองรองจากเซลลูโลส แต่ไม่พบเป็นโครง สร้างหลักเดี่ยวๆ ในสิ่งมีชีวิต โดยพบในรูปที่เป็นสารประกอบปะปนอยู่กับสารอื่นๆเช่น  อยู่ร่วมกับหินปูน หรือแคลเซียม และโปรตีน ในรูปสารประกอบเชิงซ้อน และแหล่งวัตถุดิบสําคัญของไคติน - ไคโตซาน ดังแสดงในตาราง
 

Tags : ไคติน

38

แหล่งกำเนิดไคโตซาน[/url]  [/b]
ไคโตซาน (Chitosan) เป็นสารอนุพันธ์ที่ไม่ละลายน้ำของไคติน ซึ่งอาจสกัดได้จากเปลือกของกุ้งขนาดกลางและเล็ก  กุ้งกร้ามกราม หรือปู
ไคติน (Chitin) เป็นพอลิเมอร์ชีวภาพเกิดในธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตผสม  ประกอบด้วยอนุพันธ์ของน้ำตาลกลูโคสที่มีธาตุไนโตรเจนอยู่ในโครงสร้างทำให้มีคุณสมบัติที่โดดเด่น และหลากหลาย ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นสารที่มีความปลอดภัยในการใช้กับมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม สารไคติน-ไคโตซานนี้มีลักษณะพิเศษในการนำมาใช้ดูดซับและจับตะกอนต่างๆ สารละลาย แล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ซึ่งเป็นการหมุนเวียนตามระบบธรรมชาติ
โครงสร้างทางเคมีของสารไคติน  (Poly (1,4-2-acetamido-2-deoxy--D-glucosamine)) คล้ายคลึงกับเซลลูโลส คือ สารพอลิแซ็กคาไรด์ที่มีกลูโคสเป็นองค์ประกอบหลัก ไคตินที่เกิดในธรรมชาติมีโครงสร้างของผลึกที่แข๊งแรงมีการจัดตัวของรูปแบบของผลึกเป็น 3 ประเภทได้แก่ แอลฟ่าไคติน, บีต้าไคติน, และแกมม่าไคติน ไคตินที่เกิดในเปลือกกุ้งและปู และส่วนใหญ่อยู่ในปลาหมึกพบว่าส่วยใหญ่เป็นบีต้าไคติน และซึ่งทั้งสองชนิดมีความแตกต่างในการจัดเรียงตัวของโครงสร้างตามธรรมชาติ โดยพลว่าแอลฟ่าไคตินมีคุณชนิดของเสถียรภาพทางเคมีสูงกว่าบีต้าไคติน  ดังนั้นจึงมีโอกาสที่บีต้าไคตินอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นแอลฟ่าไคตินได้ในสารละลายของกรดแก่ เช่น กรดเกลือ เป็นต้น  ส่วนแกมม่าไคตินเป็นโครงสร้างผสมระหว่างแอลฟ่าและบีต้าไคติน

ไคติน (Poly (1, 4-2- acetamido-2-deoxy--D-glucosamine)) ไคตินมีสูตรทางเคมีของโมโนเมอร์ คือ C  H  NO ประกอบด้วย C  47.29%   H   6.45%  N 6.89%  และ O  39.37%  พบได้ในเปลือกของสัตว์  เช่น  กุ้ง  ปู  หมึก  แมลง ตัวไหม  หอยมุก  และผนังเซลล์ของพวกรา  ยีสต์ และจุลินทรีย์อีกหลายชนิด  ไคตินในธรรมชาติเป็นของแข็งอันยรูปในทางปฏิบัติไคตินละลายได้ในกรดอนินทรีย์  เช่น  กรดเกลือ  กรดกำมะถัน  และกรดฟอสฟอริกกรดฟอร์มิกที่ปราศจากน้ำ แต่ไม่ละลายในน้ำต่างเจือจาง แอลกอฮอล์  และตัวทำละลายอินทรีย์อื่นๆ โครงสร้างของไคตินแสดงไว้ในรู
ไคโตซาน คือ สารธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีในสัตว์กระดองแข็งและขาเป็นปล้อง เช่น เปลือกกุ้ง กั้ง และกระดองปู ซึ่งเมื่อนำมาสามารถสกัดแยกเอาแคลเซียม และโปรตีน และแร่ธาตุที่ไม่ต้องการออกไป ก็จะได้สารสำคัญที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายเซลลูโลส เรียกว่า "ไคติน" (chi-tin) ไคโตซานถูกค้นพบในปี 1859 โดยศาสตราจารย์ C.Rouget
ไคโตซาน (Poly (1, 4-2- amino-2-deoxy--D-glucosamine))
            ไคโตซานเกิดจากปฏิกิริยาการกำจัดหมู่อะซีติล (Deacetylation) ของไคตินด้วยด่างเข้มข้น ทำให้โครงสร้างของไคตินบางส่วนเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการเปลี่ยนหมู่ฟังก์ชันที่มีหมู่อะเซตามิโด (-NHCOCH)เปลี่ยนไปอยู่ในรูปของหมู่อะมิโน (-NH) ที่ตำแหน่งคาร์บอนตัวที่ 2 สมบัติทางกายภาพและทางเคมีของไคโตซานเป็นโพลิมเมอร์สายยาว มีประจุบวก เนื่องจากเกิดโปรโตเนตหมู่อะมิโน (ในรูป-NH) ปกติไคโตซานละลายได้ดีในกรดอินทรีย์  เช่น กรดอะซีติกกรดโพรพาโนอิก กรดแลคติก เป็นต้น pK ของไคโตซานขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของโพลิเมอร์ขอบเขตของความสะเทินของประจุและค่าระดับการกำจัดหมู่อะซีติล (%DD) ที่มีเศษส่วนโมลเดียวกันกับคู่กรดที่ถูกสะเทิน pK ของไคโตซานมีค่าอยู่ในช่วง 6.2 และ 6.8 สารละลายของไคโตซานมีความเหนียวใส มีพฤติกรรมแบบนอน - นิวโตเนียน (non-newtonian)
 
ไคโตซาน (chitosan) เป็นสารธรรมชาติที่รู้จักกันมานานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่ได้มีการศึกษาเพื่อนำมาใช้ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้มีการรวมตัวกันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อค้นหา|วิจัย|หา|ค้นคว้า}เกี่ยวกับคุณสมบัติของสารตัวนี้ ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานของไคโตซาน ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างค้นหา|วิจัย|หา|ค้นคว้า}ออกมาได้ผลตรงกัน คือ ไคโตซานเป็นสารที่มีประจุบวก จึงสามารถดักจับไขมันต่างๆที่เป็นประจุลบได้ โดยมีการวิจัยใช้สารไคโตซานครั้งแรกในการบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพที่ประเทศญี่ปุ่น และซึ่งหลังจากนั้นไคโตซานก็ได้เข้าไปมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรมหลายสาขา

 

Tags : ไคโตซาน,ไคติน

39

การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชของไคโตซาน[/url] [/b]
จากการค้นหาในหนู พบว่า ไคโตซานและไคติน ยังช่วยลดการเพิ่มของน้ำหนักได้ 143% และจากการค้นพบในคนอ้วน โดยให้รับประทานไคโตซาน วันละ 3 กรัม เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าช่วยลดการเพิ่มของน้ำหนักได้ 22%
ในปีค.ศ.2007 และมีการหาเชิงระบาดวิทยากับประชากรกลุ่มใหญ่ เพื่อค้นหาการ[^_^] พบว่ากลุ่มที่ทานไคโตซาน มีน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญเฉลี่ย 1.7 กิโลกรัม และเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานไคโตซาน
มีรายงานการใช้ไคโตซาน ในงานหา[^_^]ที่เมือง Helsinki ประเทศ Finland ในคน 100 คน น้ำหนักตัวเฉลี่ย 80 กิโลกรัมต่อคน พบว่าไคโตซาน อาจลดปริมาณไขมันในร่างกายได้ถึง 8% และ [^_^]เฉลี่ยได้ถึง 8 กิโลกรัม ต่อคน ภายใน 4 สัปดาห์ รวมทั้งลดความดันโลหิตลงด้วย
ที่จริงเรื่องของไคโตซานนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ในประเทศต่างๆ  เช่น ยุโรป และอเมริกา ทำการค้นพบกันมากมาย แต่ศาสตราจารย์ ดร.ชิกิฮิโร่ ฮิราโน่ (Prof. Shigehiro Hirano) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นนักเคมีชาวญี่ปุ่นที่ทำการค้นคว้าเรื่องไคตินไคโตซานอย่างจริงๆจังๆ มานานเกือบตลอดชีวิต กว่า ๒๐๐ งานค้นหา เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไคโตซาน ดร.ฮิราโน่กล่าวว่า ถึงแม้เขาจะทำงานศึกษาเรื่องไคโตซานมามาก แต่สารธรรมชาติชนิดนี้ก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขาอยู่เสมอ เพราะทุกๆครั้งที่ทำการค้นพบ เขาก็จะพบคุณและประโยชน์ใหม่ๆของไคโตซานอยู่เรื่อยๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม
ขนาดรับประทาน / ปริมาณที่ควรรับประทานไคโตซาน
ไคโตซาน ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ช่วยลดความอ้วนได้ โดยขัดขวางการดูดซึมของไขมัน ในขณะที่ผ่านทางเดินอาหาร ไคโตซานจะช่วยดูดซับไขมันได้ 4-6 เท่าของน้ำหนักตัว ส่งผลให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกาย ก่อนที่ร่างกายจะดูดซึมและเก็บไว้เป็นน้ำหนักส่วนเกิน
ขนาดรับประทาน  ในขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดขนาดรับประทาน  หรือปริมาณที่แนะนำต่อวัน (RDA) ของไคโตซานอย่างแน่นอน  แต่จากการค้นคว้าหลายกรณีชี้ให้เห็นว่าไคโตซาน 8 กรัม (ไคโตซานแคปซูล 250 มิลลิกรัมจำนวน 8 เม็ดต่อวัน  หรือขนาดแคปซูลละ 500 มล.จำนวน 4 เม็ดต่อวัน) อาจดูดซับไขมันได้ 10 กรัม  และกำจัดออกจากร่างกายไปกับของเสีย
งานค้นพบทางการแพทย์ พบว่าไคโตซาน  มีความปลอดภัยต่อมนุษย์สูง และ ไม่พบอันตรายจากการใช้  รวมทั้ง US Environmental Protection Agency ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ให้การรับรองว่า ปราศจากสารพิษ  และ สารที่ก่อให้เกิดมลภาวะ
ข้อแนะนำ / ข้อระวังในการใช้ไคโตซาน
ใช้ในผู้ที่แพ้อาหารทะเล เพราะเสมือนว่ารับประทาน  อาหารทะเลเข้าไป จึงทำให้เกิดอาการในผู้ที่แพ้อาหารทะเล รวมทั้งเด็ก หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตรก็ไม่ควรกิน  ไคโตซาน ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาการย่อยผิดปกติ
ไคโตซานจะดูดซับวิตามินที่ละลายในไขมันที่สำคัญอย่าง วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี และวิตามินเค ไปด้วย จึงควรรับประทาน เฉพาะช่วงเวลาที่จำเป็น และไม่ควรรับประทาน  ต่อเนื่องกันนานเกินกว่า 2 อาทิตย์ และหากคุณรับประทาน  ไคโตซาน จึงควรกิน  อาหารที่มีวิตามินที่ละลายในไขมัน และกรดไขมันที่จำเป็นเพิ่มขึ้นด้วย
 

40

ประโยชน์ / สรรพคุณของถั่วขาว
ถั่วขาว มีคุณค่าทางโภชนาการอาหารที่จำเป็น เช่น คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เเละมีกากและเส้นใยอาหารและมีสารช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟ่า-อะไมเลส เเละทำให้ลดการสะสมแป้งในร่างกาย การใช้ประโยชน์ของถั่วขาว ได้ถูกนำมาแปรรูปทางด้านอุตสาหกรรมและอาหารพร้อมบริโภคต่างๆ หลากหลาย เช่น ถั่วขาวในกาแฟและโกโก้ ซุปครีมถั่วขาว ถั่วขาวผสมคอลลาเจน ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ หรือจะเป็นเมล็ดแห้งก็พบเช่นกัน
จากการวิเคราะห์ cooked bean ในประเทศกัวเตมาลา พบว่า มีโปรตีน 24.9 % ไขมัน 0.7% และเส้นใย 2.8%  คุณสมบัติที่นิยมและโดดเด่นที่สุดสำหรับถั่วขาวสกัด คือการเป็น[^_^][^_^]ที่มีประสิทธิภาพ ถั่วขาวขึ้นชื่อว่าเป็น ตัวบล็อคแป้ง (Starch Blocker) มีจุดเด่นในการช่วยให้ร่างกายลดการดูดซึมสารอาหารชนิดแป้งได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เเละจึงส่งผลให้แป้งถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและถูกเก็บเป็นไขมันน้อยลง  เเละเมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากแป้งส่วนหนึ่ง ทำให้ขาดพลังงานได้ ร่างกายจึงเข้าไปดึงไขมันที่สะสมอยู่มาเผาผลาญเปลี่ยนเป็นพลังงานแทน จึงทำให้ไขมันสะสมในร่างกายของเราลดน้อยลงนั่นเอง
ธรรมชาติของร่ายกาย เมื่อรับประทานอาหารจากพวก แป้ง,ข้าว เข้าไป ร่างกายจะหลั่งสารL-amylaseมาย่อย Carbohydrate ให้เป็นหน่วยโมเลกุลเล็ก ๆ คือ น้ำตาล Glucose จากนั้นร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลGlucose ให้เป็นพลังงาน (Energy) เพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมของร่างกายหากรับประทานแป้งมากกินไปเสมือนหนึ่งมีน้ำตาล Glucose มากเกินความต้องการของร่างกาย น้ำตาล Glucose ส่วนเกิน จะไปเป็นไขมัน สะสมใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกายต่อไป ไขมันสะสมทำให้เราอ้วน  และน้ำหนักมากเกินไป
 
White kidney bean หรือสารสกัดจากถั่วขาว ทำหน้าที่ ยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์ L-amylase ได้ถึงกว่า 50% ซึ่ง นั่นหมายความว่า หากเรารับประทานอาหารจำพวกแป้งเข้าไป 1 จาน แต่ร่างกายเพียงสามารถเปลี่ยนแป้งให้เป็น Glucose และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนต่อไปเป็นไขมัน ได้เพียงครึ่งจานเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งจานจะอยู่ในรูป Carbohydrate ที่ไม่ดูดซึม แล้วขับถ่ายออกมาในรูปของเส้นใย (Fiber) แทน
 
 
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ฟื้นฟูในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน ช่วยระบบขับถ่าย แก้ปัญหาท้องผูก เนื่องจากในถั่วขาวมีใยอาหารในชนิดมาก เเละถั่วขาวอุดมไปด้วยโปรตีนที่มีคุณสมบัติช่วยสร้างและซ่อมแซมเซลล์ เเละช่วยฟื้นฟูเซลล์และอวัยวะที่เสื่อมสภาพ
 

ถิ่นกำเนิด ของถั่วขาว
ถั่วขาว (White Kidneys Beans) เป็นถั่วที่ชาว แอชเทกส์ (Aztecs) นำเข้ามาเพาะในอเมริกากลางลักษณะคล้ายกับถั่วฝักยาว และ ถั่วบอร์ลอตติ (Borlotti bean) มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่สูง ในแถบประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา หลังการ ค้นคว้าทวีปอเมริกาได้กระจายเข้าสู่ทวีปยุโรปและทวีปอื่นๆต้องการอากาศหนาวเย็นในช่วงการเจริญเติบโต และส่วนในประเทศไทยมีการเพาะ ถั่วขาวในพื้นที่โครงการหลวง ได้แก่ พันธุ์ปางตะ 2 ที่อาจเพาะปลูก ได้ดีและให้ผลผลิตสูง
ลักษณะทั่วไปถั่วขาว
ถั่วขาวมีชนิดทางพฤกษศาสตร์เหมือนถั่วแดงหลวง และถั่วแขก กล่าวคือ เป็นพืชล้มลุกฤดูเดียวทรงต้นเป็นพุ่มเตี้ย และทอดยอดเป็นบางพันธุ์ ใบเป็นชุดประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ ชนิดของใบย่อยอาจกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับพันธุ์มีระบบรากแก้วหยั่งลึกลงดิน ดอกออกเป็นช่อ มีลักษณะเช่นเดียวกับดอกถั่วทั่วๆ ไป โดยธรรมชาติเป็นพืชผสมตัวเอง ภายหลังการผสมพันธุ์ฝักจะเจริญออกมายาว ฝักอาจกลมหรือแบนประกอบด้วยเมล็ดหลายเมล็ด เมล็ดมีสีขาว คุณสมบัติกลมมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดถั่วแดงหลวง ถั่วขาวมีจำนวนโครโมโซม 22 โครโมโซม(2n=2x=22) เท่ากันกับถั่วแดงหลวงและถั่วแขก
ถั่วขาวในประเทศไทยจัดเป็นพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศตามต้นกำเนิดของพืช ความเหมาะสมของพื้นที่ที่ใช้เพาะปลูกในประเทศไทยจึงอยู่ในเขตบนที่สูงที่มีอากาศเย็นที่ระดับความสูงประมาณ 800 - 1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และอุณหภูมิในช่วงการเจริญเติบโตควรอยู่ระหว่าง18.3 - 23.9 องศาเซลเซียส อากาศร้อนกว่า 24 องศาเซลเซียส ประเภททำให้การผสมเกสรไม่ดีดอกร่วง อากาศเย็นและชื้น ฝนชุกก็จะทำให้การเติบโตไม่ดี และไม่ทนต่อการเกิดน้ำค้างแข็ง
การขยายพันธุ์ของถั่วขาว
การปลูกถั่วขาว ดินที่ปลูกควรมีความอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดีไม่เป็นกรดจัด ดินที่ใช้เพาะได้ผลผลิตดีควรมีระดับความเป็นกรด (pH) 6.5 - 6.8 ระยะเพาะระหว่างหลุม และระหว่างแถวควรจะอยู่ประมาณ25x50 เซนติเมตร ใช้เมล็ดพันธุ์ดีประมาณ 10 กิโลกรัมไร่โดยหยอดหลุมละ 4 - 5 เมล็ด
โครงการค้นคว้าและพัฒนาถั่วที่สูง มูลนิธิโครงการหลวงได้นำถั่วขาวมาพัฒนาและค้นหาพันธุ์ที่เหมาะสมในการเพาะปลูกบนที่สูง เพื่อทดแทนการเพาะฝิ่น โดยทดลองขยายพันธู์สถานีเกษตรหลวงปางดะและศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองเขียวระหว่างปี 2541 - 2547  พันธุ์ถั่วขาวที่ค้นพบได้แก่ พันธุ์ปางดะ 1 ปางดะ 2 ปางดะ 3 และ ปางดะ 4 จากการค้นหา พบว่า ผลผลิตเฉลี่ยของทั้ง 5 ฤดูเพาะของถั่วขาวแต่ละพันธุ์แตกต่างกันระหว่างพันธุ์ ถั่วขาวพันธุ์ปางดะ 1 ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 238.6 กิโลกรัมต่อไร่รองลงมาคือสายพันธุ์ปางดะ 2 ปางดะ 4 และปางดะ 3แต่ละพันธุ์มีอายุเก็บเกี่ยวเฉลี่ยทั้ง 5 ฤดูปลูก 67-82 วันโดยที่พันธุ์ปางดะ 4 มีอายุเก็บเกี่ยวนานที่สุด รองลงมาได้แก่พันธุ์ปางดะ 1 2 และ3 แต่ในปัจจุบันพันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกคือ ปางดะ 2 และฤดูเพาะปลูกที่เหมาะสมอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนธันวาคม
สารสกัดที่ได้จากการสกัดเมล็ดถั่วขาว[/url][/b]
การนำเมล็ดถั่วขาวมาสกัดด้วยน้ำพบสาร ฟาซิโอลามิน(Phaseolamin) ในส่วนของโปรตีน ที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส(alpha-amylase) ซึ่งมีหน้าที่ย่อยแป้งดิบและแป้งสุกที่ลำไส้เล็ก ทำให้อาหารประเภทแป้งที่เรารับประทานเข้าไปไม่เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาลทั้งหมด  โดยสารฟาซิโอลามินในถั่วขาว เเละมีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการย่อยแป้งเป็นน้ำตาบถึง 66% แป้งที่เราบริโภคเข้าไปจึงไม่ถูกดูดซึมสู่ร่างกายทั้งหมด การสะสมของไขมันที่เกิดจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลจึงลดลงด้วย เเละเมื่อร่างกายได้รับพลังงานลดลงจึงดึงเอาไขมันเก่าที่สะสมไว้มาเผาผลาญทำให้ไขมันในร่างกายลดลงด้วย

Tags : ประโยชน์ถั่วขาว

41
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่วขาว
สารฟาซิโอลามิน ถูก ค้นหาจากสารสกัดจากถั่วแดงหลวง (kidney bean) ในปีค.ศ. 1975 และในปีค.ศ. 1980 เเละเริ่มมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารสกัดฟาเซโอลามิน โดยกล่าวว่ามีคุณสมบัติเป็นตัวบล็อกแป้ง (starch blockers) เเละเริ่มใช้ในผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นเบาหวาน ปีค.ศ. 2001 มีการ วิจัยผลของสารสกัดจากถั่วขาว (Phase 2TM) ต่อการดูดซับแป้งน้ำหนักของบุคคลที่ กินและ Body fat mass โดย กินในคน 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 30 คน กินสารสกัดจากถั่วขาว (Phase 2TM) 500 มก. ก่อนรับประทานอาหารอีกกลุ่มไม่ได้ กินสารสกัดจากถั่วขาว เป็นเวลา30 วัน ผลการ ค้นคว้า พบว่า กลุ่มที่ รับประทานสารสกัดจากถั่วขาวมีค่า การดูดซับแป้งลดลงถึง 66% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้กิน ซึ่งค่าดูดซับแป้งไม่ลดลงแต่อย่างใด
นอกจากนั้นยังพบว่าหลังจากครบ 30 วัน น้ำหนักเฉลี่ยของกลุ่มที่ ทานสารสกัดจากถั่วขาวลดลง 6.45 ปอนด์(2.93 กก.) เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน ซึ่งไม่มีบุคคลใดน้ำหนักลดลงถึง 1 ปอนด์(0.45 กก.) เลย และยังพบว่ากลุ่มที่ที่ รับประทานสารสกัดจากถั่วขาวมีBody fat mass เเละลดลงมากกว่า 10% และมีขนาดรอบเอวลดลงมากกว่า 3% ด้วยในปีค.ศ. 2004 มีรายงานการ ค้นคว้าของนายแพทย์Jay Udini และคณะยืนยันผลของสารสกัดถั่วขาวในประเภทเดียวกัน ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Alternative Medicine Review2004 :9 :1 ; 36-39. ในหัวเรื่อง "ค้นหาผลของ "Phase 2" ในการยับยั้งการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและ[^_^]"(Blocking Carbohydrate Absorbtion and Weight Loss: A Clinical Trial Using Phase 2 Brand Proprietary  Fractionated White Bean Extract) โดย วิจัยในกลุ่มอาสาสมัครที่เป็นคนอ้วน 50 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธี สุ่มตัวอย่าง กลุ่มแรกให้ ทานPhase 2 1,500 มก.วันละ 2 เวลาพร้อมอาหารส่วนอีกกลุ่มเป็น กลุ่มเปรียบเทียบไม่ได้รับ Phase 2 จากการศึกษาพบว่า Phase 2 สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้และมีผลต่อการ[^_^]และสัดส่วนดังตารางต่อไปนี้
การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่วขาว[/url]
 เเละมีการ ค้นหาด้านความปลอดภัย พบว่าไม่พบอาการข้างเคียงอันตรายแบบเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง แต่เมื่อแป้งส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกย่อย ผ่านเข้าไปสู่ลำไส้ใหญ่ อาจเกิดการหมักจากเชื้อจุลินทรีย์ และก่ออาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้เช่น {เจ็บ|ปวดท้องญ ท้องเสีย อาเจียนได้
รูปแบบขนาดวิธีใช้ของถั่วขาว ปัจจุบันมีข้อมูลว่าการ รับประทานสารสกัดจากถั่วขาวปริมาณ 500-3000 มก.ต่อวัน เเละช่วยให้[^_^]ได้
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง 

  • หาก ทานถั่วขาวสกัดในจำนวนมากเกินควรอาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงเช่น จุกเสียดท้อง ท้องเสีย และท้องอืด ได้ เเละผู้ที่แพ้อาหารประเภทถั่วไม่ควร กินสารสกัดจากถั่วขาว
  • ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อน ทานถั่วขาวสกัด
  • ผู้ที่เป็นโรคตับและโรคไตควรปรึกษาแพทย์ก่อน กินถั่วขาว
  • ผู้ที่กำลัง กินยาลดน้ำตาลอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน กินเช่นกัน เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำเกินไป
  • จุดเด่นของสารสกัดจากถั่งขาว คือ สกัดปริมาณการย่อยอาหารกลุ่ม ข้าวแป้ง จึงเหมาะกับบุคคลที่พบปัญหาการบริโภคอาหารประเภทข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว มากเกินพอดี ผู้ที่อ้วนเพราะชอบอุปโภค ขนมหวาน น้ำตาล หรือ อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน เนื้อสัตว์ ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากถั่วขาว
  • ก่อนซื้อควรอ่านฉลากดูปริมาณของสารสกัดจากถั่วขาวที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ด้วย ไม่ควรหวังผลด้าน[^_^] หากปริมาณที่ได้รับจาการบริโภคต่อวัน น้อยกว่า 500 มิลลิกรัม ซึ่งจะเห็นว่าหลายผลิตภัณฑ์โฆษณาว่ามีสารสกัดจากถั่วขาว แต่จำนวนมีเพียงเล็กน้อย
  • ควรต้องคำนึงถึงช่วงระยะเวลาในการอุปโภคด้วย เเละช่วงที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด ควรอุปโภคก่อนอาหารมื้อหลักพร้อมน้ำ
  • บริโภคก่อนอาหารอย่างน้อย 1 - 2 ชั่วโมง เเละเนื่องจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะผ่านออกจากกระเพาะอาหารใช้เวลาประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง
  • ผู้ที่รับประทานถั่วขาวสกัดเพื่อ[^_^] ควรออกกำลังกายเพิ่มเติมและคุมอาหารประเภทอื่นๆที่นอกจากแป้งร่วมด้วย เนื่องจากการรับประทาน[^_^][^_^]เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เห็นผลเร็วเท่าการดูแลตัวเองร่วมด้วย



Tags : การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่วขาว

42

สรรพคุณของเจียวกู่หลาน 
สรรพคุณยาจีน  แพทย์แผนจีนใช้ส่วนเหนือดินหรือใบเจียวกู่หลานเป็นยาแก้อักเสบ  แก้ไอ  ขับเสมหะ และแก้หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง  ชาชงเจียวกู่หลานใช้บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย  ช่วยให้เจริญอาหาร  ช่วยให้นอนหลับ  และยังสามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน จีนตอนใต้แถบยูนานไปจนถึงไต้หวันรู้จักเจียวกู่หลานมาเนิ่นนาน  โดยถือเป็นยาอายุวัฒนะ
สรรพคุณยาไทย  ยาพื้นบ้านของขาวเขาเผ่ามูเซอ  ใช้ทั้งต้นเป็นยาพอกเยียวยา  บำรุงกระดูกและอาการเจ็บกระดูก  เจ็บในข้อมือ  ข้อเท้า  และอาการฟกช้ำดำเขียว  ชาวเขาพวกจีนฮ่อใช้ใบกิ่งและลำต้นเจียวกู่หลานมาคั่วทำเป็นชาสำหรับดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง  ยาพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าลาฮู (lahu) ใช้ทั้งต้นเป็นยาพอกรักษาแผล  ช่วยบำรุง อาการกระดูกและอาการเจ็บกระดูก มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด  ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง. ต้านอักเสบ  ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
คุณประโยชน์ของเจียวกู่หลาน

  • ช่วยลดโคเลสเตอรรอลชนิด LDL และ ช่วยบำรุง สมดุลในการเกิดของไขมัน HDL จึงลดสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน ช่วยทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันได้ดี จึงลดไขมัน ไม่ให้สะสมตามผนังหลอดเลือด เนื่องจากในตัวของเจียวกู่หลานมีใยธรรมชาติที่สามารถจะดูดซับไขมันแล้วขับถ่ายออกไปจากร่างกายได้
  • ช่วยปรับความสมดุลของระบบความดันโลหิต เช่น  ช่วยปรับการทำงานของหัวใจในสภาวะเกิดระดับความดันโลหิตต่ำ  และสามารถรักษาการขยายตัวของหลอดเลือด เช่น ช่วยปรับการทำงานของหัวใจในสภาวะเกิดระดับความดันโบหิตต่ำ  และยังช่วยการขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อร่างการมีความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และการเต้นของหัวใจ  รวมทั้งป้องกันการเกิดภาวะอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้
  • เจียวกู่หลานช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และยังสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลิน  และยังยั้งการดูดซึมกลูโคสในทางเดินอาหาร
  • ช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของเซลล์ในร่างกาย เนื่องจากมี Flavonoids, Glycoside ที่มีสรรพคุณในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
  • ช่วยต้านการอักเสบ แก้ปวด ปวดศีรษะไมเกรน  ขับเสมหะ  แก้ไอ
  • ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และลดอาการแพ้
  • เยียวยาแผลในกระเพาะอาหาร
  • ยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง
  • ช่วยการทำงานของระบบกล้ามเนื้อหัวใจและระบบการไหลเวียนของโลหิต
  • เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเซลล์ เสริมสร้างเซลล์ไขกระดูกและเม็ดเลือดขาว
  • ช่วยลดอาการผมหงอก ผมร่วง
  • ช่วยเพิ่มปริมาณเชื้ออสุจิ
  • มีการค้นหาและวิจัยและศึกษาจากสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ว่ามีฤทธิ์ยับยั้ง gnzyme  HIV  protease   ทำให้เชื้อไวรัส HIV ไม่เพิ่มจำนวนขึ้น
  • มีฤทธิ์ในการลดภาวการณ์เกิดพิษเรื้อรังที่ตับ และลดการเกิด fibrosis โดยพบว่า Gypenoside ในเจียวกู่หลานจะลดการเพิ่มขึ้นของ SGOT และ SGPT  ได้สามารถป้องกัน biomembrane จากการเกิด oxidationinjury  ได้
  • ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพต่อการสั่งงานของสมอง ช่วยลดปัญหาความจำเสื่อมได้
  • ช่วยในการบำรุงสายตา


มีสารช่วยบำรุงร่างกาย
 
 
 
 
องค์ประกอบทางเคมีของเจียวกู่หลาน Gypenoside Flavonoids ส่วนประกอบอื่นๆ ที่พบได้เช่นเดียวกับที่พบในโสม 6 ชนิด และเหมือนกันกับที่พบในโสมอีกหลายชนิด เช่น Glycoside, Saponin เป็นต้น แร่ธาตุต่างๆ เช่น ซีลีเนียม แมงกานีส  ทองแดง  เจอมาเนียม เหล็ก แมกนีเซียม โซเดียม  โพแทสเซียม  ซิงค์  แคลเซียม   กรดอะมิโน เช่น Arginine, Cystine, Flycine, Lysine, Phenylanine เป็นต้น  โปรตีน  คาร์โบไฮเดรต  และไขมัน
องค์ประกอบทางเคมีของเจียวกู่หลาน Gypenoside  Flavonoids ส่วนประกอบอื่นๆ ที่พบได้เช่นเดียวกับที่พบในโสม 6 ชนิด และเหมือนกันกับที่พบในโสมอีกหลายชนิด เช่น Glycoside, Saponin เป็นต้น แร่ธาตุต่างๆ เช่น ซีลีเนียม แมงกานีส  ทองแดง  เจอมาเนียม เหล็ก แมกนีเซียม โซเดียม  โพแทสเซียม  ซิงค์  แคลเซียม   กรดอะมิโน เช่น Arginine, Cystine, Flycine, Lysine, Phenylanine เป็นต้น  โปรตีน  คาร์โบไฮเดรต  และไขมัน
 
 
 

43

รูปแบบขนาดวิธีการใช้ของเจียวกู่หลาน
  รูปแบบการใช้เจียวกู่หลานนั้น สามารถใช้ได้ตามตำรับยาต่างๆ ได้ และในปัจจุบันมีการสกัดสารและทำในรูปแบบยาแผนปัจจุบันและชาชงกันอย่างแพร่หลาย และมีขนาดการใช้แตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท ขนาดที่ใช้เป็นยาอายุวัฒนะชะลอความแก่ และให้ใช้ยาเจียวกู่หลานแห้งบดเป็นผงใส่ในแคปซูล  ให้กินครั้งละไม่เกิน 3 กรัม  ตามตำรับยาไทยโบราณ  ใช้เข้ากับตำรายาตามต้องการ
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเจียวกู่หลาน   
.        Dr Osama Tanaka แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮิโรชิมา  ได้ทำการหาจนพบว่า เจียวกู่หลานมีสาร Saponins ที่มีโครงสร้างโมเลกุลเหมือนกับโสม ต่อมา Dr Tsunematsu Takemoto ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่หาประโยชน์ของเจียวกู่หลานมากกว่า 10 ปี ได้พบว่าเจียวกู่หลานมีสาร Saponins อยู่มากถึง 82 ชนิด  หรือที่เรียกว่า Gypenosides และเจียวกู่หลานยังเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยาได้เหมือนกับโสมแต่ดีกว่าโสม  เนื่องจากโสมมีสาร Saponins ที่เรียกว่า Gypenosides อยู่เพียง 28 ชนิด ในขณะที่เจียวกู่หลานนั้นมี Gypenosides อยู่ถึง 82 ชนิด และสาร Gypenosides ที่พบในเจียวกู่หลานจะมีอยู่ 4 ชนิดที่เหมือนกับโสม และมีอีก 17 ชนิด ที่มีชนิดคล้ายกับโสม นอกจากนี้ยังมีปริมาณของGypenosides ที่มีอยู่ในเจียวกู่หลานก็ยังมีมากกว่าและมีคุณชนิดทางยาที่ดีกว่า Gypenosides
ที่พบได้ในโสม  อีกทั้งเจียวกู่หลานยังไม่มีพิษและไม่มีอาการแพ้ที่เกิดขึ้นจากการบริโภคอีกด้วย
.        LIM และคณะ ได้ทำการทดลองนำเจียวกู่หลานแห้งไปสกัดด้วยน้ำ จากนั้นนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูขาวทดลอง พบว่าสามารถต้านการอักเสบลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูได้
.        การให้สารสกัดด้วยน้ำจากส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นเจียวกู่หลาน ในขนาด 1 กรัม ต่อกิโลกรัม (คิดตามน้ำหนักของเจียวกู่หลานที่นำมาสกัด) แก่หนูขาวทดลองโดยการฉีดเข้าทางช่องท้อง พบว่าอาจป้องกันตับจากการเกิดสารพิษจาก CCI และยังมีรายงานว่า Gypenosides มีฤทธิ์ในการรักษาภาวะ การเกิดพิษเรื้อรังที่ตับ ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วย CCI4 และลดการเกิด Fibrosis ด้วย โดยพบว่า Gypenosides จะลดการเพิ่มของ SGOT, SGPT activities ในหนูขาว ซึ่งตับถูกทำลายด้วย CCI4 เป็นเวลานานถึง 8 สัปดาห์ และยังทำให้{ปริมาณ|จำนวน|คุณภาพ|ของคอลลาเจนลดลง 33%
การศึกษาทางพิษวิทยาของเจียวกู่หลาน    ความเป็นพิษได้ทำการทดสอบความเป็นพิษกับหนูขาว โดยให้กินสารสกัดปัญจขันธ์ในขนาด 6, 30 , 150 และ 750 มก./กก./วัน  นาน 6 เดือน ไม่พบอาการผิดปกติใดๆ ค่าชีวเคมีในเลือดปกติ อวัยวะภายในเป็นปกติ ไม่พบพิษหรือผลข้างเคียงใดๆ และมีการทดลองความเป็นพิษกับคน โดยรับประทานสารสกัดเจียวกู่หลาน(ปัญจขันธ์)แคปซูลประกอบด้วยสาร Gypenoside 40 มก./แคปซูล ครั้งละ 2 เม็ดหลังอาหารเช้า - เย็น ติดต่อกันนาน 2 เดือน พบว่า ไม่พบอาการไม่ปกติใดๆ ในอาสาสมัคร อย่างรัย การค้นหาความเป็นพิษของปัญจขันธ์ อาจสรุปได้ว่าค่อนช้างปลอดภัย เพราะไม่พบสารพิษและอาการข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตามควรมีหาทางคลินิกเพิ่มเติม
ข้อควรแนะนำ  ข้อควรระวังของเจียวกู่หลาน
            จากจดหมายข่าวผลิตใบของกรมวิชาการเกษตร ได้เขียนถึงการดื่มชาเจียวกู่หลานไว้ว่า ห้ามดื่มติดต่อกันเกิน 7 วัน เมื่อดื่มครบ 7 วันแล้ว ก็ให้หยุดกินประมาณ 1 - 2 วัน แล้วค่อยเริ่มต้นกินใหม่  และถ้าหากมีอาการไม่ปกติ เช่น ปวดศีรษะ  มึนงง  ตาพร่าลาย ก็ให้หยุดกินช่นกัน  ส่วนขนาดที่รับประทานนั้นให้ดูที่ฉลาก และสามารถชงซ้ำได้ 1 - 2 รอบ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใส่ลงไปหรือจนกว่าน้ำชาและเจือจางลง  เมื่อใช้เสร็จแล้วก็อย่าลืมปิดซองให้สนิท หรือจะใส่ในภาชนะอื่นที่เป็นภาชนะสุญญากาศก็ได้  (ห้ามเก็บในตู้เย็น  เพราะในชาอาจขึ้นราได้) สตรีมีครรภ์ควรงดทาน 1 เดือน ก่อนคลอด และ ให้นมบุตร  ผู้ที่ฟอกไต คนผอมแห้งไม่ควรดื่มชาเจียวกู่หลาน
 

45
ถิ่นกำเนิดเจียวกูหลาน[/url] [/b]
   มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย  ในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาที่มีความสูงระดับ 3 เป็นป่าเขาที่มีความสูงระดับ 300 - 3200 เมตร  จากระดับน้ำทะเล    ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน  และมีการเพาะพันธ์กระจายไปยังประเทศเกาหลี   ญี่ปุ่น    และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้    ในประเทศไทย พบตามธรรมชาติที่ดอยอินทนนท์ และมีการนำมาปลูกทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ปัจจุบันมีเกษตรกรเพาะปลูกเป็นที่จังหวัดเชียงใหม่  เชียงราย  ชัยภูมิ  จันทบุรีและนครราชสีมา

ลักษณะทั่วไปของเจียวกูหลาน
    แบ่งได้เป็น 2 สายพันธุ์  คือ

  • เจียวกู่หลานป่าเป็นพืชที่ขึ้นตามธรรมชาติ รสชาติที่ได้จะมีรสขม
  • เจียวกู่หลานบ้าน คือ  เพาะตามแหล่งปลูกทั่วไป  รสชาติจะมีรสขมปนหวาน

    ต้นเจียวกู่หลาน จัดอยู่พรรณไม้ล้มลุกตระกูลหญ้าแบบเถาเลื้อย  ยาว ประมาณ 1 - 150 เซนติเมตร  มีรากอยู่ใต้ดินเป็นรากเลื้อย เส้นเล็ก  ยาวประมาณ 50 - 100 ซม. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรากประมาณ  1  ซม.  ลำต้นเป็นข้อๆ มีมือเกาะตามข้อ  มีขนบางๆ เล็กน้อย เลื้อยไปตามพื้นดินหรือเลื้อยพันกับพืชชนิดอื่นๆ
    ใบเจียวกู่หลาน ใบออกเรียงสลับ มักเรียบแบบขนนก  กิ่งหนึ่งมีใบประมาณ 3 - 7 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปกลมรีหรือรูปไข่  ปลายใบแหลม  โคนใบกลม  ส่วนขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยเล็กน้อย  ตรงกลางของใบเจียวกู่หลานจะยาวได้ประมาณ 4 - 8ซม.  และกว้างประมาณ   2 - 3 เซนติเมตร  เส้นใบล่างมีขนสั้นปกคลุม ใบ 2 ข้าง มักเรียงคู่กันเล็กกว่าใบตรงกลาง
    ดอกเจียวกู่หลาน ออกดอกเป็นกระจุกมีสีเหลืองเขียว  โดยจะออกตามซอกใบ  ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกัน กลีบดอกเป็นเส้น  ปลายแหลมยาว ได้ประมาณ 1มล. ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน มีเกสรเพศเมีย 3 อัน
    ผลเจียวกู่หลาน  ประเภทของผลเป็นรูปทรงกลม  ผลอ่อนเป็นสีเขียว  ส่วนผลแก่เป็นสีเขียวออกดำ  ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 - 8 มิลลิเมตร ในลูกมีเมล็ด ลักษณะเป็นรูปกลมรี  ยาวได้ประมาณ  4  มิลลิเมตร เมล็ดจะเป็นเส้นย่น
     
    การขยายพันธุ์ของจียวกูหลาน
                พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า

  • พันธุ์อ่างขาง เป็นพันธุ์ที่ขยายพันธู์และเพาะโดยมูลนิธิโครงการหลวงอ่างขาง
  • พันธุ์จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยภาคเอกชนนำมาเพาะปลูกขยายพันธุ์และจำหน่าย
การเตรียมพันธุ์เจียวกูหลาน

  • การเพาะปลูกเมล็ด ใช้วัสดุปลูกเป็นทรายละเอียด โดยโรยเมล็ดในแปลงปลูก จากนั้น 8 - 14 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก  ทำการย้ายกล้าเมื่อมีใบจริง 2 - 3 ใบ ควรเพาะปลูกเมล็ดในช่วงอากาศเย็น แต่ไม่ควรเพาะปลูกเมล็ดในช่วงฝนตกชุก หรือหยอดเมล็ด 2 - 3 ใบ ลงในหลุมเพาะปลูกโดยตรง
  • การปักชำ ใช้เถาที่เจริญเติบโตเต็มที่ ไม่อ่อนหรือไม่แก่เกินไป  ตัดเป็นท่อนๆ ให้มี 3 - 4 ข้อ  ริดใบที่อยู่ 2 ข้อล่างออก  ปักลงพื้นดินให้ลึก 1 - 2 ข้อ โดยปักให้เอียงเล็กน้อย  ทำมุมประมาณ  45  องศา เอนส่วนปลายไปทางทิศตะวันตก  เมื่อรากงอกและยอดยางประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร  ให้ย้ายลงแปลงปลูก  โดยรากจะงอกประมาณ 7 วันหลังปักชำ
  • การขยายพันธุ์โดยใช้ลำต้นใต้พื้นดิน โดยขุดลำต้นใต้พื้นดินขึ้นมา ตัดเป็นท่อนๆ ขนาด 5 ซม. ในแต่ละท่อนมี 1 - 2 ข้อ ขุดหลุมเป็นแนว ใช้ 1 ท่อนพันธุ์ต่อหลุม
  • การเก็บเมล็ดพันธุ์ โดยเก็บเกี่ยวผลแก่จัดที่มีลักษณะสมบูรณ์  ประมาณปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน  นำไปทำให้แห้ง  เอาเปลือกออก  เก็บเมล็ดในที่เย็น แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี
สภาพพื้นที่ปลูก 

  • เจริญเติบโตได้ทั้งบนเขาและที่ราบ ในระดับความสูงจากน้ำทะเล 300 - 3200 เมตร
  • สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม อุณหภูมิ  16 - 28 องศาเซลเซียส  ความชื้นสัมพันธ์ที่เหมาะสมมากกว่าร้อยละ 80
  • ลักษณะพื้นดิน ควรเป็นดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนหรือด่างอ่อน มีการระบายน้ำได้ดี  ความชื้นในดินไม่สูงเกินไป แต่หน้าดินต้องสามารถอุ้มน้ำได้ดี
  • ความต้องการแสง ขอบที่ร่ม  อากาศชื้น  ไม่ทนความแห้งแล้ง  มีปริมาณแสงร้อยละ 40 - 60


 

หน้า: 1 2 [3]