แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - kdidd

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 9
46
กวาวเครืองแดง
            "กวาวเครือแดง" สมุนไพรที่มีประวัติและที่มาอย่างยาวนานหลายสิบปี  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน "กวาวเครือแดง" ได้ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ บำรุงเลือด เช่นเดียวกับ กำลังพญาเสือโคร่ง โดยถูกใช้สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น  จนถึงปัจจุบันจึงมีงานวิจัยใหม่ๆ มาแปรรูปสมุนไพรชนิดนี้ มีการทดสอบ การวิจัยต่างๆ และผลการทดสอบและวิจัยเหล่านั้น บ่งบอกและชี้ชัดว่า กวาวเครือแดง เป็นสุดยอดสมุนไพรสำหรับท่านชายอย่างไม่มีข้อกังขา โดยหากพูดถึงสรรพคุณของกวาวเครือแดงนั้นมีมากมายหลายประการและทุกส่วนสามารถนำมาใช้ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น หัว , ราก , เปลือกเถา โดยสรรพคุณหลักๆ ของ "กวาวเครือแดง" คือ บำรุงธาตุ , บำรุงเลือด , เป็นยาอายุวัฒนะ , บำรุงผิวให้เต่งตึง , ถอนพิษไข้ , แก้พิษงู ฯลฯ แต่สรรพคุณของกวาวเครือแดงที่จะขาดไม่ได้สำหรับท่านชาย คือ เพิ่มจำนวนอสุจิ , เพิ่มสมรรถนะทางเพศ  ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องนี้ "มโน" ไปเอง กล่าวคือ สำหรับเรื่องสรรพคุณ|ประโยชน์}ของกวาวเครือแดง ต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ มีการวิจัยต่างๆ อย่างมากมาย ทั้งในคนและสัตว์ทดลอง โดยมีผลการทดลองในคนชิ้นหนึ่ง ที่จะเห็นได้ชัดว่า กวาวเครือแดง มีสรรพคุณในด้านนี้ คือ ทดลองกับผู้ชายอายุ 30 - 70 ปี 17 คน ที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มาให้กิน "กวาวเครือแดง" 250 มก/แคปซูล โดยให้กินวันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นกว่า 80% ของผู้ทดลอง และในส่วนของความปลอดภัยในการใช้ กวาวเครือแดง นั้น ทาง อย.ของไทย ได้ออกมาระบุไว้ว่าสามารถใช้ กวาวเครือแดง ได้ ต่อวัน ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คือหากคนที่ใช้มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม สามารถใช้กวาวเครือแดง ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน) และในตำรับยาไทยได้กล่าวไว้ว่า กวาวเครือแดง มีฤทธิ์เหมือนกวาวเครือขาว แต่มีฤทธิ์แรงว่า
            จากที่พูดมา แสดงให้เห็นถึง สรรพคุณและประโยชน์ของ กวาวเครือแดง โดยเฉพาะสรรพคุณสำหรับท่านชาย และยังเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย. ว่าหากใช้ไม่เกินที่กำหนดก็ไม่เกิดผลเสียกับร่างกาย กวาวเครือแดงจึงเป็นสมุนไพรที่มาแรงแซงทางโค้ง ในทศวรรษนี้เลยก็ว่าได้.

Tags : กวาวเครือแดง,กวาวเครือ,หัวกวาวเครือ

52
1.กระชายดำฤทธิ์ป้องกันอักเสบ สาร 5,7 - ได้เมธอกซีฟลาโวน (5,7-DMF) ที่แยกได้จากหัวในดินของกระชายดำ มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบเทียบได้กับยามาตรฐานหลายชนิด คือ แอสไพริน , อินโดเมธาซิน , ไฮไดรคอร์ติโซน และเพรดนิโซโลน จากการศึกษาฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ พบว่าสาร 5,7-DMF สามารถป้องกันการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีกว่าแบบเรื้อรัง โดยกระชายดำแสดงฤทธิ์ยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารคาราจีนแนน และเคโอลินได้ดีกว่าฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ พบว่า สาร 5,7-DMF ของกระชายดำยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด exudation และการสร้างสาร prostaglandin อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
2.กระชายดำฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone และ 5,7,3' ,4' -tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Plasmodium falciparum  ที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone และ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Candida albicans และแสดงฤทธิ์ป้องกันเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
3.กระชายดำพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดสอบผลของฟลาโวนอยด์ 9 ชนิดของกระชายดำต่อเซลล์มะเร็ง เช่น KB , BC หรือ  NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดทำให้เกิดพิษต่อเซลล์มะเร็งที่ทดสอบ (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
4.กระชายดำฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง มีรายงานการศึกษาว่า สารสกัดกระชายดำด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ละลดการหดเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว และยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)

Tags : กระชายดำ,กระชาย

53

งานวิจัยต้านฤทธิ์ทางยา ของมะรุม
            แม้ว่าในอดีตนั้นผู้คนจะใช้มะรุมมาทำเป็นยาสมุนไพรป้องกัน และบำบัดรักษาโรคต่างๆมาเนินนานและยังใช้ได้ผลดีมาตลอดจนถึงปัจจุบันนั้น แต่เมื่อมีการพัฒนาทางด้านวิทยาการสมัยใหม่ในด้านต่างๆ ในยุคปัจจุบันแล้ว จึงจำเป็นจะต้องมีการค้นคว้าและลองเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีและมีการรับรองคุณภาพและมาตรฐานในสรรพคุณของมะรุม อันเป็นการสร้างความปลอดภัยต่อผู้รับประทานรวมถึงยกระดับความน่าเชื่อถือของสมุนไพรไทยในระดับสากล สำหรับงานทดลองและงานวิจัยของมะรุมนั้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นงานงานวิจัยในสัตว์ทดลอง ส่วนงานวิจัยในมนุษย์นั้นมีเพียงชิ้นเดียวและยังเป็นเพียงงานวิจัยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยงานทดสอบทางด้านฤทธิ์ทางยาของมะรุมที่น่าสนใจมีดังนี้ 1.งานวิจัยในสัตว์ทดลอง  งานวิจัยฤทธิ์ในการลดระดับคลอเรสเตอรอล มีการวิจัยให้กระต่ายกินฝักมะรุมวันละ 200 กรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว)นาน 120 วัน โดยเปรียบเทียบกับกระต่ายกลุ่มที่ให้ทานอาหารไขมันมากและกินยา โลวาสเตทิน 6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว)ต่อวัน พบว่ามีผลทำให้ระดับคลอเรสเตอรอล ฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL  LDL ลดลง ทั้งสองกลุ่ม จึงเชื่อได้ว่า มะรุมสามารถลดระดับคลอเรสเตอรอลได้เช่นเดียวกับยาโลวาสเตทิน  ฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็ง มีการวิจัยในหนูโดยให้หนูที่ถูกกระตุ้นโดยสาร ฟอบอลเอสเทอร์แล้วแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้อุปโภคมะรุมเป็นอาหาร อีกกลุ่มกินอาหารตามปกติเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทดลอง พบว่าหนูกลุ่มที่รับประทานมะรุมเป็นอาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มที่ทานอาหารปกติ โดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้องกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง จากการทดสอบนี้คณะผู้ทดสอบ เชื่อว่าสารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่ง และสารไนอาซิไมชิน จากมะรุมเป็นสาระสำคัญที่สามารถต้านการเกิดมะเร็งจากการกระตุ้นได้ ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด มีงานวิจัยในหนูทดลองว่า ผงใบแห้งและสารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้นสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งหนูทดลองที่ปกติและหนูทดลองที่เป็นเบาหวาน ฤทธิ์ป้องกันตับถูกทำลาย มีการวิจัยในหนูทดลองโดยให้ยาไรแฟนไพซิน แล้วแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้สารสกัดแอลกอฮอลล์ของใบมะรุม กลุ่มที่สองให้สารซิลิมารีน (พบได้ในชาเขียว โกจิเบอร์รี่) กลุ่มที่สามไม่ให้ยาใดๆเลย เมื่อจบการทดลองและดูผลจากการตรวจชิ้นเนื้อตับทั้ง 3 กลุ่มพบว่า กลุ่มที่ให้สารสกัดมะรุม และกลุ่มที่ให้สารซิลิมารีน มีผลช่วยในการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาได้ 2.งานวิจัยในคน สำหรับงานลองในคนของมะรุมมีเพียงชิ้นเดียวคือ งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ยา Septillin เป็นยาที่สกัดจากพืช 6 คุณสมบัติ คือ มะรุม บอระเพ็ด มะขามป้อม ชะเอมเทศ Balsamoderdron.mukul (สมุนไพรอินเดีย) และเปลือกหอยสังข์ ซึ่งยา Septillin มีคุณสมบัติที่ดี ในเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และการติดเชื้อที่ผิวหนัง จะเห็นได้ว่ามะรุมเป็นพืชผักที่มีประโยชน์มากมายนานับประการ แต่โดยส่วนมากคือการทดลองในสัตว์ทดลองดังนั้นหากอย่าได้ประโยชน์ของมะรุมควรกินในชนิดการนำไปประกอบอาหารจะดีกว่า และหากมีการศึกษาทดลองในมนุษย์มากขึ้นและมีการรับรองผลที่แน่ชัดจึงค่อยหันมาใช้มะรุมในแบบอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

Tags : มะรุม

54

ส้มแขกในตำรายาแผนไทย
            ในการใช้สมุนไพรต่างๆของไทยในอดีตนั้น มีการใช้กันมาเนิ่นนานตกทองกันมาหลายรุ่นจนเกิดการพัฒนาขึ้นเป็นแบบแผนและได้มีการเขียนเป็นตำรับตำรายาสมุนไพร(ปัจจุบันเรียกว่าตำรับยาแผนไทย โดยหมายรวมถึงตำรายาพื้นบ้านในทุกภาคด้วย) ที่ใช้รักษาโรคต่างๆทั้งโดยการใช้สมุนไพรชนิดเดียวโดดๆ เพื่อใช้เยียวยา เช่น ขมิ้นชัน ใช้เหง้าตำให้ละเอียดผสมกับน้ำดื่ม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจตมูลเพลิงแดง นำรากมาอบให้แห้งแล้วต้มกันน้ำดื่มกินเยียวยาโรคทางเดินปัสสาวะ รักษาอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร แก้ธาตุพิการ ฯลฯ และใช้ผสมกันหลายชนิด เช่น มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ใช้รวมกันเป็นพิกัดตรีผลา ช่วยในการล้างพิษออกจากร่างกาย แก้ปิตตะ  วาตะ  เสมหะ ในกายธาตุกองฤดู กองอายุ กองสมุฎฐาน ฯลฯ และได้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน และในขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมให้การใช้ยาสมุนไพรนั้นเป็นทางเลือกในการบำบัดเยียวยาโรคต่างๆ ตามภูมิปัญญาไทย โดยเข้ามาให้ความรู้แก่ผู้ใช้และผู้ผลิต รวมถึงแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตที่จะยังคงคุณภาพของสารออกฤทธิ์ในสมุนไพรจำพวกนั้นๆไว้ได้อย่างมีสมรรถนะ ซึ่งในบรรดาสมุนไพรในตำรับยาแผนไทยทั้งหมดทั้งมวลนั้น "ส้มแขก" ก็เป็นสมุนไพรที่การระบุไว้ในตำราดังกล่าวเช่นกัน โดย ส้มแขกนั้นได้มีการระบุประโยชน์ไว้ในตำราพื้นบ้านดังนี้ ใช้บรรเทาอาการปวดท้องในผู้หญิง มีครรภ์  ช่วยในการรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้ดอกตัวผู้ของส้มแขกที่แห้งแล้ว 7 ดอกมาต้มกับน้ำ 1 ลิตร แล้วนำมาดื่มแก้กษัยและรักษานิ่วด้วยการนำรากส้มแขกมาตากแห้งมาต้มกับรากมังคุดและรากจูบูนำใบสดของส้มแขกคั้นเอาน้ำมาทานแก้อาการท้องผูก รวมถึงในตำรายาไทย ก็ยังระบุคุณสมบัติไว้อีกว่าส้มแขกสามารถใช้บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ลดความดัน ฟอกโลหิต รวมถึงส้มแขกยังเป็นยาระบายที่มีฤทธิ์อ่อนๆ นอกจากนี้ ส้มแขกยังสามารถนำมาใช้ในเรื่องการประกอบอาหารได้อีก เช่น นำผลของส้มแขกมาทำเป็นเครื่องปรุงรสในอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติเปรี้ยว หรือ นำใบอ่อนของส้มแขกมารองในการนึ่งปลา รวมถึงใบแก่ของส้มแขกยังสามารถนำมาทำใบชาได้อีกด้วย(แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะมีกลิ่นเหม็นเขียว) ส่วนต้นของส้มแขกที่แก่เต็มที่แล้วยังสามารถนำมาทำเครื่องใช้ไม้สอย ทำโต๊ะเก้าอี้หรือเครื่องเรือนอื่นๆได้ จะเห็นได้ว่าประโยชน์ทางยาตามตำรายาแผนไทยของส้มแขกนั้นไม่ได้เป็นรองสมุนไพรประเภทอื่นๆเลย รวมถึงยังสามารถนำส่วนต่างๆ มาใช่คุณสมบัติในด้านอื่นที่ไม่ใช้สมุนไพรได้อีกด้วย แต่ในระยะ 4 - 5 ปีมานี้ส้มแขกได้รับความนิยมและได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอันมาก ในเรื่อง" ประโยชน์ที่ช่วยลดความอ้วน" และยังได้มีผลิตภัณฑ์[^_^] ลดความอ้วนจากส้มแขกหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น แบบผง แบบเผ็ด ชาส้มแขก ส้มแขกแคปซูล หรือสารสกัดส้มแขก มาวางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจเลือกใช้ และยังได้รับกาตอบรับจากผู้กินอย่างล้นหลาม เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีความปลอดภัยสูง ส่วนในรายละเอียดและกลไกของสารออกฤทธิ์ที่มีผลทำให้ส้มแขกอาจลดความอ้วนได้นั้น ผู้เขียนจะของอธิบายในบทความหน้าครับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ส้มเเขก

Tags : ส้มแขก

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 9