แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - wm5398

หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 27
415
ผลลัพธ์ SEO 50 Keyword ติดหน้า 1 ชนะ Lazada, Shopee ใน 10 เดือน


ผลลัพธ์ SEO ทำ SEO ให้เว็บขายของออนไลน์ เป้าหมายหลักคือ ทำอันดับให้แซง Lazada , Shopee และอยู่อันดับ 1-5 ในหน้าแรกกูเกิล ผลลัพธ์SEO

ผลลัพธ์และข้อมูลน่าสนใจ
      - ใช้เวลา 10 เดือน ทำ SEO 50 Keyword ติดหน้า 1
      - Keyword ทั้งหมดอยู่อันดับ 1-5
      - อันดับชนะ Lazada, Shopee เป็นส่วนใหญ่กว่า 70%     

ที่ทำได้เพราะนักรบพยายามควบคุมปัจจัยที่สำคัญเกี่ยวกับการทำ SEO 2 ข้อใหญ่ๆ คือ
       1. Content โดย นักรบมีทีมที่ทำ Content เองเพื่อให้แน่ใจว่าสู้คู่แข่งได้ สร้างทีมงานผลิตคอนเทนต์ พัฒนาฝีมือได้ด้วยการทำงานจริง หากยังไม่มีทีมให้ลองสร้างเตรียมไว้ครับ
        2. Technical SEO โดยนักรบดูแลส่วนนี้เป็นหลัก

รายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับการทำเว็บและคอนเทนต์ขายของออนไลน์ เขียนไว้แล้ว ขายของออนไลน์ ด้วย Website, SEO & Digital Marketing

การทำ SEO ต้องมองหลายด้านประกอบกัน และพยายามควบคุมปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำ SEO ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถทำได้

โดยนักรบจะฝึกทีมงานเพื่อทำ Content และ มี Web Programmer Support ด้าน Coding อีกด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถชนกับทีมงานคู่แข่งที่เก่งๆได้

ถึงแม้ว่ายังมีอีกหลายส่วนที่ต้องพัฒนาต่อ สำหรับผลลัพธ์ด้านการทำ SEO ณ ตอนนี้ ถือว่าโอเคเลย

ประวัตินักรบ
อดีตพนักงานประจำทำเว็บไซต์ ผันตัวมาทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) และรับทำ Digital Marketing อ่านต่อ ประวัติวิทยากร SEO & Digital Marketing

อุดมการณ์นักรบ
นักรบมีวันนี้ได้ เพราะการพัฒนาตัวเองและมีครูบาอาจารย์สอนด้านการทำธุรกิจ และ Digital Marketing จึงมีความมุ่งมั่นที่จะสอนและแชร์ประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังที่มีพื้นฐานคล้ายๆกัน ได้มีโอกาสของชีวิตที่มากขึ้นครับ รายได้จากการขายคอร์สจะกลับมาลงทุนเพื่อทดสอบเทคนิคใหม่ๆ  อัปเดตความรู้ให้ผู้เรียนเก่าผ่านวีดีโอคอร์สออนไลน์ฟรี
https://warrior.in.th/seo-goal/seo-result-50keywords/

416
Startup เริ่มต้นให้ดี วางแผนการเงินให้เป็น


การเริ่มต้นเรียนรู้แนวเบสิคการทำบัญชีของ Startup เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควร “พลาด” เพราะหากกิจการที่เราทำนั้นเป็นกิจการที่ดีมีอนาคตสดใส แต่เรากลับมาพลาดกับเรื่องที่ไม่ควรจะพลาดอย่างการวางแผนการเงิน และการทำบัญชี… คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสุดๆ เลยทีเดียวครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า Startup เริ่มต้นให้ดี วางแผนการเงินให้เป็นต้องทำอย่างไรกันบ้าง

ประการแรก… วางแผนสภาพคล่องของธุรกิจ
ธุรกิจดีๆ หลายธุรกิจอาจถึงขั้นล้มละลายได้ถ้าขาดสภาพคล่อง สภาพคล่องคือ การบริหารรายจ่ายให้สัมพันธ์กับรายรับของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทเรามีรายจ่ายประจำเดือนๆ ละ 1 ล้านบาท ถ้าเรามีรายรับในรอบเดือน 1 ล้านเท่ากับรายจ่าย แบบนี้ถือว่าเราเริ่มตึงมือแล้วครับ เมื่อไรสภาพคล่องเราต่ำกว่า 1 เท่านั่นเป็นสัญญาณอันตรายของธุรกิจ กิจการที่ดีควรมีสภาพคล่องสูงกว่า 1 เท่าขึ้นไปจึงจะดี และปลอดภัย

ประการที่สอง… วางแผนกระแสเงินสดของกิจการ
กิจการที่ดีควรมีกระแสเงินสดไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินสดก็คือ การนำรายรับไปหักออกจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กระแสเงินสดที่ดีควรสูงกว่ากำไรสุทธิที่บริษัททำได้ ยิ่งมากยิ่งดี เพราะกว่าจะหักค่าใช้จ่ายจนกลายเป็นกำไรสุทธินั้น จะต้องหักภาษี และดอกเบี้ยจ่ายออกไปอีก… หากกระแสเงินสดดีอย่างต่อเนื่อง แถมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือสัญญาณที่ดีในการทำกิจการ ในทางกลับกันหากกระแสเงินสดของกิจการลดลง และไม่เติบโต นั่นเป็นสัญญาณที่ไม่ดี แต่มีข้อยกเว้นในกรณีที่กิจการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินสดของกิจการอาจจะติดลบได้ แต่ควรเป็นสภาวะชั่วคราว และควรจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตนะครับ

ประการที่สาม… เรียนรู้งบดุล
งบดุลถือเป็นตัววัดสุขภาพทางการเงินของบริษัท งบดุลประกอบด้วย สินทรัพย์ หนี้สิน และทุน เมื่อเรานำสินทรัพย์มาหักลบกับหนี้สิน ส่วนที่เหลือคือทุน หรือที่เราจะเรียกว่าเป็นส่วนของเจ้าของนั่นเองครับ บริษัทที่ดีควรมีงบดุลที่แข็งแรง มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน และมีส่วนของเจ้าของ หรือทุนที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการทำงบดุลของกิจการ ในทางกลับกันหากงบดุลไม่ดี ส่วนของทุนจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงขึ้น “กินทุน” ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีของการทำธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ Startup อย่าลืมตรวจสอบ และเรียนรู้งบดุลเพื่อสุขภาพทางกาเงินที่ดีของกิจการของเราด้วยนะครับ

ประการที่สี่… ตรวจติดตามงบกำไร-ขาดทุน
งบกำไร-ขาดทุน ถือเป็นงบการเงินทางบัญชีที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะกิจการที่ดีควรทำแล้วมีกำไร แม้ในระยะแรกของกิจการที่อาจต้องลงทุนสูงๆ จะทำให้ขาดทุนไปบ้าง แต่เจ้าของธุรกิจควรมีแผนการที่ชัดเจนที่จะทำให้บริษัทพลิกกลับมากำไรในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ การตรวจติดตามผลการดำเนินงานเราสามารถติดตามได้จาก งบกำไร-ขาดทุน ของกิจการของเราครับ หากกิจการของเรามีแนวโน้มที่จะกำไร และเป็นกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน นั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า… กิจการของเรากำลังดีขึ้น เราเดินมาถูกทาง

ประการสุดท้าย… ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การบัญชี
แน่นอนที่สุดว่าไม่มีใครเก่งไปเสียหมดทุกเรื่อง เรื่องการทำธุรกิจนั้นเจ้าของกิจการต้องเก่งที่สุด แต่ถ้าเป็นเรื่องของการเงิน การบัญชี เราอาจไม่ได้เก่งที่สุด ดังนั้นเราควรมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การบัญชี ที่จะมาช่วยเรา ช่วยกิจการของเราให้ราบรื่น เพราะตัวเราเองนั้นไม่สามารถทำทุกอย่างได้หมด การที่เรามองหามืออาชีพมาช่วยงาน จะทำให้เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องที่เราไม่ถนัด ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญทำงานที่เราไม่ถนัด ทำให้เรามีเวลามาต่อยอดธุรกิจ Startup ของเราจะดีกว่าครับ อย่าลืมนะครับ… Startup เริ่มต้นให้ดี วางแผนการเงินให้เป็น อนาคตก้าวไกลอย่างแน่นอน  บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก www.krungsri.com
https://warrior.in.th/freelance-seo/startup-startup-financial-planning-is/

417
วิธีค้นหา Niche Keyword & Long Tail Keyword


วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะเจ
นาทีที่ 0 – 2.04 การใช้โปรแกรม Keyword tool ที่ช่วยในการค้นหา keyword การเริ่มต้นสำหรับใครที่ทำธุรกิจออนไลน์ โดยอยู่บนพื้นฐานของเว็บไซต์และเรียกคนจากโลกออนไลน์ ผมแนะนำว่าต้องเริ่มที่ keyword ก่อนเพราะเราจะได้รู้ว่าคนในโลกออนไลน์เขาค้นหาอะไรกัน มาโยงใยเกี่ยวกับในเนื้อหาเว็บไซต์หรือคลิปวิดีโอของท่าน เพื่อดึง traffic จากคนหรือจากโลกออนไลน์ ซึ่ง search engine เข้ามา นี้คือเส้นทางที่คนทั่วโลกทำกันแบบนี้ การเริ่มต้นสำหรับคนที่ใช้เครื่องมือ Google Adwords แล้ว ก็สามารถใช้ได้ อีกตัวหนึ่งที่ผมจะแนะนำคือ Keyword tool ไปที่ Google >> search คำว่า “Keyword tool” ในอินเตอร์เน็ตมีเกี่ยวกับ Keyword tool เยอะมาก แต่จะรองรับภาษาไทยได้แค่ไม่กี่ตัว หาก search ไปประมาณ 10 ตัว ผมตัดออกไปได้ 8-9 ตัว เหลืออยู่แค่ 1-2 ตัวเท่านั้น โดยตัวที่ผมแนะนำคือ  Keyword tool.io คลิกเข้าไปดูได้

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

วิธีการใช้ ง่ายมากๆเพราะมันจะเช็คว่าเราอยู่ประเทศอะไร แล้วใส่ Keyword ของเราเข้าไป โดยตัวอย่างของผม ผมจะใส่ Keyword คำว่า ธุรกิจ โดย Keyword tool มันใช้วิเคราะห์ Keyword แบบ Niche (ระบุความเฉพาะเจาะจง) เข้าไป ลองเข้าไปดูโดยพิมพ์ keyword ใน google โดยพิมพ์คำว่า ธุรกิจ มันจะมีคำ guideline ของ google เข้ามาประมาณ 4 แถวคำเหล่านี้เราจะเรียกว่า “long-tell-keyword หรือว่า niche keyword ”ก็ได้ เป็นการ search คำที่เฉพาะเจาะจงเข้าไปอีก โดย google จะนำทางให้เราว่า เราสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม หรือว่าคำที่คุณกำลังค้นหาอยู่   นาทีที่ 2.05 – 4.05 ซึ่งน้อยมากอาจจะมีแค่ 4 แถว ส่วนข้างล่างอาจจะมีนิดหน่อยที่โผล่มาเป็น Limited Keyword ซึ่งมีน้อยเกินไป เวลาที่เราใช้เพื่อดึง traffic จากโลกออนไลน์ เราต้องรู้ Keyword มากกว่านี้ ซึ่งฝรั่งเค้าจัดทำโปรแกรมนี้ขึ้นมา โดยหนึ่งในนั้นเขาจะเรียกว่า “Keyword tool” เทคนิคง่ายๆ เราใส่ Keyword ของเราเข้าไปก่อน มันจะ generate long-tell-keyword มาให้เรา อย่างโปรแกรมตัวนี้ ผมพิมพ์ keyword คำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” มันมาประมาณ 151 unique keywordsสังเกตดูคือ วิธีการง่ายๆ มันจะเอา keyword ของเรา ตามด้วยพยัญชนะภาษาไทยแล้วก็ไล่อักขระไปเรื่อยๆ เพื่อหา keyword ที่มีคนค้นหา เราก็จะได้ไอเดียของการค้นหาคำมากขึ้น

เปรียบเทียบโปรแกรม Keyword Tool กับ Google Adwords ดังตัวอย่าง โปรแกรม keyword tool เน้นการค้นหาแบบ niche เรียบเรียงตามพยัญชนะและอักขระ :

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

โปรแกรม Google Adwords เน้นกลุ่มคำที่เกี่ยวข้องมากกว่า ไม่ใช่เป็นคำแบบ Niche keyword

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

คำถามคือ ทำไมเราต้องรู้เรื่อง Niche Keyword เพราะในต่างประเทศมีการแข่งขันทางด้าน Google SEO แบบเข้มข้นมาก บางธุรกิจที่ต้องการมีจุดยืน เขาเลือกแนวคิดอีกอย่างคือ ระบุ Keyword ที่เป็นเฉพาะเจาะจงให้เข้ากับธุรกิจที่เป็นแบบเฉพาะเจาะจงของเขามากขึ้น โดยใช้คำค้นหาที่ยาวมากขึ้น เป็น Niche keyword หรือ Long-tell-keyword แบบนั้นแทน เพื่อที่จะสร้าง traffic จากคำพวกนี้เพิ่มมาอีกช่องทางหนึ่ง   นาทีที่ 4.06 – 5.23 หลังจากที่เราได้คำเรียบร้อยแล้ว ใน keyword tool เราจะนำ keyword พวกนี้ไปใช้ต่อ เนื่องจากโปรแกรมจะไม่ได้จำนวนของการค้นหาว่ามีเท่าไร เราจะต้องเสียเงิน แต่ถ้าเราไม่อยากเสียเงิน เราก็ทำการเลือก keyword ทั้งหมด และ copy เท่านั้นเอง และไปที่เครื่องมือคำหลัก(Google Adwords) นำไปวาง ซึ่งเครื่องมือคำหลักจะทดสอบได้ครั้งละ 200 keyword จากที่ค้นหาเรียบร้อยแล้ว เราจะได้การค้นหาแบบรายเดือนต่างๆ ซึ่งจะเป็นไอเดียในการสร้างเว็บไซต์,บทความและวิดีโอต่างๆ เพื่อเรียก traffic บนโลกออนไลน์ผ่าน Search Engine ได้อย่างดีเรย เราจะได้ไปต้องคิดเองว่าคำไหนคนค้นหา สังเกตว่าข้อมูลเฉลี่ยเรียบร้อยแล้ว เป็นที่น่าสนใจ มีข้อมูลที่ให้มีเป็นหลักร้อยคำ เวลาที่ผมใส่ keyword คำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” ซึ่งมีคน search 22,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งมันจะ Generate มาให้เพิ่มขึ้น 100 กว่าคำ มีความรวดเร็วมาก เป็นไอเดียในการสร้างเนื้อหาเว็บไซต์ บทความ และเป็นทำการตลาดทางด้าน Google SEO ต่อไป นาทีที่ 5.24 – 8.03 ตัวอย่าง ในเมืองไทย เราไม่สามารถในใช้ Niche keyword ได้เสมอไป ธุรกิจออนไลน์ยังมีอีกหลายเว็บไซต์ที่ใช้การทำการตลาดแบบ SEO อย่างไม่เต็มที่ ฉะนั้น Keyword บางคำ หากเราประเมินคู่แข่งว่า เขายังไม่เก่ง SEO เต็มที่ เราก็สามารถใช้ Mass Keyword ได้ ตัวอย่างเช่น คำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” จะมีคน search ประมาณ 22,000 ครั้ง/เดือน ซึ่งไม่ใช่ Niche keyword แต่ค่อนข้างเป็น Mass Keyword คู่แข่งค่อนข้างเยอะและก็เก่ง แต่ถ้าเรารู้หลัก SEO จะทำให้เราไต่อันดับได้ง่ายและก็ดีมากขึ้น 

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

เรากดใช้ รูปโลกในการค้นหาที่เป็นกลาง สังเกตอันดับเว็บไซต์ของผมจะอยู่ในหน้าสอง ภายใน 3-4 เดือน อยู่หน้าแรกภายในเวลา 6-7 เดือน โดยเว็บไซต์พึ่งสร้างขึ้นไม่นานราว 7-8 เดือน และค่อยๆไต่อันดับมา เมื่อเข้าเว็บไซต์มีคนเข้ามาดูประมาณ 4,000กว่าวิว แต่ด้าน Social Media จะมีคนวิวค่อนข้างน้อย เพราะมีการรีเซ็ทข้อมูลใหม่ และเปลี่ยนแปลง domain ใหม่ทำให้มีผลทางด้าน Social Media ทำให้วิวหายไป เพื่อทดสอบ SEO แต่พอติดอันดับแล้ว ก็จะมีคนเข้ามาเว็บไซต์ของเราเป็นหลักพันคนและมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงเฉียด 10,000 คนได้เลย นี้คือตัวอย่างของการใช้ Keyword tool เป็นการหา Niche keyword หรือ Long-tell-keyword เป็นหา Keyword ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เพื่อเป็นไอเดียในการสร้างเนื้อหาบทความและวิดีโอ สร้าง Content Marketing ในการดึง traffic จากโลกอินเตอร์เน็ต และใช้ควบคู่กับเครื่องคำหลัก(Google Adwords) เพราะ Google Adwords ไม่ได้บอกทุกอย่าง สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรม Keyword tool สามารถซึ้อแพคเกจกับทางเว็บไซต์ ผมมีรายละเอียดไว้ให้แล้ว
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/keywords/how-to-find-niche-n-longtail-keywords/

418
บอกลานมแข็งเป็นหิน เสริมหน้าอกใหม่กับหมอหลุยส์ | Jarem clinic

สวัสดีค่ะ ชื่อปอนด์นะคะ วันนี้จะมา รีวิวการแก้ไขหน้าอกที่ Jarem Clinic ค่ะ

ปัญหาหลังทำครั้งแรกค่ะ ก็คือเป็นบล็อกค่ะแล้วก็หน้าอกแตกลายค่ะ ประมาณ 3 ปีที่แล้วค่ะ ข้างนึง 325 ข้าง 350 cc ค่ะ เพราะว่าหมอท่านเดิมบอกว่ามันไม่เท่ากันอะค่ะ ทำไม่กี่ปีแล้วก็แข็งค่ะ

แล้วก็มันเริ่มที่จะแข็งหลังจากทำมาประมาณไม่ถึงปีอะค่ะ ไม่เป็นทรงด้วยค่ะแล้วก็ไม่เท่ากันค่ะ เป็นพังผืดอะค่ะ รู้สึกผิดหวังค่ะ แล้วก็จิตตก ใส่เสื้อผ้าไม่มั่นใจค่ะ

ก็ครั้งแรกนะคะที่เสริมคือเป็นการเสริมที่ใช้ยาเบลออะค่ะ ไม่ใช่ยาสลบค่ะ แล้วก็รู้สึกว่ามันทรมานค่ะ คือเรารู้สึกตัวแต่ว่าแบบเราไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

หาคลินิกใหม่เพื่อแก้หน้าอกครั้งนี้ดูจาก Youtube ค่ะแล้วก็เพื่อนแนะนำมาด้วยค่ะ แล้วก็ดูรีวิวแล้วเห็นว่าทรงสวยดีค่ะ ก็เลยน่าสนใจ ก็เลยแบบเข้ามาดูค่ะ


แล้วดูคุณหมอที่เป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางแล้วก็เห็นว่าเป็นติดอันดับค่ะ แล้วก็คุณหมอหลุยส์ไม่มีเคสหลุดด้วยค่ะ แล้วก็เห็นว่าคลินิกนี้มีวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางค่ะ แล้วก็รู้สึกปลอดภัยอะค่ะ

ก็คือหนูเป็นพังผืดระดับที่ 3 แล้วค่ะ คือมันมีทั้งหมด 4 ระดับค่ะ คือระดับที่ 3 ก็คือมันจะเริ่มรู้สึกแข็งค่ะ เป็นหินอย่างเงี้ยค่ะ ก็คือจะแก้ด้วยการเลาะพังผืดเดิมออกค่ะ แล้วก็ใส่ซิลิโคนใหม่ค่ะ แล้วก็แก้จากเหนือกล้ามเนื้อเป็นใต้กล้ามเหนืออะค่ะ
คุณหมอหลุยส์บอกว่าให้ใส่ซิลิโคนได้ 355 cc เท่ากันทั้งสองข้างค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ


ค่ะ ก็หลังจากที่เสริมที่นี่นะคะ รู้สึกว่าฟื้นตัวเร็วกว่าเดิมค่ะ มากกว่ารอบแรกค่ะ คือดีกว่าที่คิดอะค่ะ รู้สึกชิลล์แบบไม่กี่วันก็สามารถเดินห้างได้เลยอะค่ะ
ก็คือความแตกต่างนะคะ จากที่แรกค่ะ รู้สึกว่าพี่แอดมินไม่ค่อยมีความใส่ใจเราอะค่ะ ไปพบคุณหมอที่นั่นได้ตรวจ เจอคุณหมอแค่รอบเดียวค่ะ หลังจากนั้นก็คือมีแต่พี่พนักงานที่ดูแล

มาที่ Jarem พี่แอดมินเค้าใส่ใจดูแลดีมากค่ะ เจอคุณหมอทุกรอบค่ะ แล้วก็ถามเราละเอียดค่ะ แบบใส่ใจรายละเอียด คอยถามตลอดว่าเออ เป็นอย่างไรบ้างอะไรแบบนี้ค่ะ คอยแนะนำถามไถ่เราแล้วก็ห้ามกินอะไรอะไรแบบนี้ค่ะ อย่างเช่น ห้ามกินแอลกอฮอล์ ห้ามกินของหมักดอง แล้วก็ห้ามยกของหนักค่ะ

ค่ะ ฝากถึงทุกคนที่ กำลังหาคลินิกเสริมหน้าอกหรือว่าแก้ไขหน้าอกนะคะ แนะนำที่ Jarem Clinic ค่ะ เพราะว่าคุณหมอและพี่แอดมินมีความใส่ใจค่ะ รับรองไม่ผิดหวังค่ะ
https://jarem.co.th/reviews-breast-augmentation-26/

419
สิ่งที่ควรกิน และอาหารต้องห้ามหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก


หน้าอก นอกจากเป็นสัญลักษณ์ส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงความเป็นเพศหญิง ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังต้องการมีรูปร่างที่สมส่วน ศัลยกรรมเสริมหน้าอกให้มีขนาดตามที่ต้องการ จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เชื่อว่าช่วยให้มีรูปร่างสมส่วน เซ็กซี่ ดูดี และสร้างความมั่นใจในการแต่งตัว เมื่อศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ในบทความนี้เรามาดูกันว่าหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรดูแลตจนเองอย่างไร อะไรควรกิน และอาหารต้องห้ามมีอะไรบ้าง

ศัลยกรรมเสริมหน้าอก และการดูแลตนเอง
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะให้คำแนะนำในหลาย ๆ ด้าน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายหรือส่งผลให้หน้าอกที่เสริมเข้าไปไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการ การดูแลด้านโภชนาการคือการดูแลสุขภาพหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าควรกินอะไร และอาหารอะไรที่ต้องห้าม ดังนี้'
1.อาหารที่ควรกินหลังศัลยกรรมหน้าอก
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการศัลยกรรมหน้าอกก็คือแผลผ่าตัด การกินอาหารที่มีประโยชน์จึงนอกจากช่วยฟื้นฟูบำรุงร่างกายแล้ว ยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โอกาสในการติดเชื้อก็น้อยลง ช่วยให้เห็นผลลัพธ์จากการศัลยกรรมได้เร็ว ทำให้มีรูปร่างที่สมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่งตัวได้ง่ายและเพิ่มความมั่นใจในบุคลิกภาพของตนเองมากขึ้น อาหารที่ควรกินหลังศัลยกรรมหน้าอก ได้แก่
        - อาหารอ่อน ๆ : หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ช่วงระยะพักฟื้น 1-3 วันแรก ควรกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊กอาหารประเภทตุ๋น หรือนึ่ง จะช่วยให้ง่ายต่อการกลืนและย่อยง่าย สามารถฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกได้เป็นอย่างดี
        - การทานไข่ : ไข่ เป็นเมนูอาหารที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารต้องห้ามสำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกหรือผ่าตัดอื่น ๆ เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูนขึ้นมา ที่เรียกว่า แผลคีลอยด์หรือทำให้แผลหายยาก แต่ในความเป็นจริงไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีส่วนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหลังการผ่าตัด และจำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื่อและผิวหนังใหม่ที่ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น การกินไข่หลังศัลยกรรมหน้าอก จึงเป็นการเสริมโปรตีนให้กับร่างกาย
        - เนื้อสัตว์ : เมนูอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู ไก่ ปลา และอาหารทะเล อุดมไปด้วยโปรตีนสารอาหารที่ช่วยช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สมานแผล ช่วยสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อใหม่ให้แข็งแร
        - นม และผลิตภัณฑ์จากนม : นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมพร่องมันเนย โยเกิร์ต หรือนมขาดมันเนย มีโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์และเอนไซม์ ในระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลติดเชื้อ และยังช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
        - อาหารที่มีไฟเบอร์สูง : อาหารที่มีไฟเบอร์ หรือมีกากใยอาหารสูง มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ช่วยป้องกันอาการท้องผูกที่อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด และยังจำเป็นต่อการรักษาแผลผ่าตัด รวมทั้งช่วยในการฟื้นตัวจากการผ่าตัด แหล่งอาหารที่มีไฟเบอร์ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต รำข้าวโพด ผักต่าง ๆ ถั่วงอก กระหล่ำปลี มะเขือเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เมล็ดถั่วเปลือกแข็ง เผือก มัน และขนมปังโฮลวีท ผักบุ้งไทย ใบกุยช่าย ใบชะพลู สะเดา กระเจี๊ยบเขียว ผักหวาน แครอท ถั่วเขียว ฝรั่ง แอปเปิล ถั่วลิสง งา เมล็ดทานตะวัน และอื่น ๆ
        - ผลไม้ที่ให้วิตามินซี : ผลไม้โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวิตามินซีสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยให้เซลล์เนื้อเยื่อมีการเจริญเติบโตเชื่อมต่อผสานกันได้ดี ลดอาการบวมช้ำ และมีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น
                   - แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่นอกจากมีวิตามินซีสูง กินแล้วช่วยลดอาการอักเสบและสมานแผลผ่าตัดให้หายเร็วขึ้น ยังมีเส้นใยอาหารอยู่จำนวนมาก ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายลดปัญหาท้องผูกได้เป็นอย่างดี
                   - ส้ม ผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว นอกจากกินแล้วช่วยให้รู้สึกสดชื่น ยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและวิตามินซี ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก รวมทั้งมีแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ซึ่งช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น มีสารต้านอนุมูลอิสระและสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรกินส้มวันละ 2-4 ผล โดยกินสลับกับผลไม้ชนิดอื่นด้วย
                   - สตรอว์เบอร์รี่และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงโดยวิตามินซีในสตรอเบอรี่และผลไม้ตระกูลนี้ มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งทำให้ผิวเกิดการยืดหยุ่น และแผลเกิดการสมานกันได้ดีมากขึ้น
                   - ทับทิม ผลไม้ที่นอกจากทานสด ๆ แล้วยังสามารถนำไปคั้นเป็นน้ำผลไม้ช่วยลดการอักเสบของแผลผ่าตัดได้ดี แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
                   - มะละกอสุก ผลไม้ที่หาง่ายและราคาไม่แพง แต่คุณประโยชน์มากมายมีทั้งวิตามินซีและวิตามินเอสูงมาก กินแล้วจะทำให้แผลผ่าตัดหายเร็ว ช่วยกระตุ้นการแบ่งเซลล์ในกระบวนการสร้างผิวหนังใหม่ และยังช่วยป้องกันแผลติดเชื้อได้อีกด้วย

2.อาหารต้องห้ามหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
การผ่าตัดใด ๆ รวมทั้งการศัลยกรรมเสริมหน้าอก สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือรอยแผลเป็นซึ่งพฤติกรรมการบริโภคมีผลต่อการดูแลรักษาแผลหลังศัลยกรรม เนื่องจากอาหารหลายชนิดเป็นสิ่งต้องห้ามหรือควรหลีกเลี่ยง เพราะมีผลต่อภาวะแทรกซ้อนหรือทำให้แผลเกิดการอักเสบและหายยาก เช่น
         1. ผลไม้ที่มีรสหวาน : ผลไม้ แม้จะมีเส้นใยและวิตามินที่เป็นประโยยชน์ต่อสุขภาพ แต่ผลไม้หลายชนิดที่มีรสหวาน ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหรือเป็นผลไม้ต้องห้ามสำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก เช่น
                   - ขนุน นอกจากเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัดแล้ว ยังถือเป็นอาหารแสลงสำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากกินแล้วอาจทำให้ท้องอืด เพราะแม้จะมีเส้นใยจำนวนมากแต่ย่อยยาก
                   - น้อยหน่า ผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะนอกจากมีรสหวานจัดแล้ว ยังส่งผลทำให้เซลล์ผิวสมานได้ยาก ทำให้แผลหายยากและเสี่ยงต่อการอักเสบได้ง่าย
         2. ผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนใน : หลังผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก ในช่วงระยะพักฟื้นควรดูแลร่างกายให้แข็งแรงป้องกันอาการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ การรับประทานผลไม้บางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อนใน แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการผ่าตัดเสริมหน้าอก แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาการร้อนในจากการทานผลไม้อาจทำให้ป่วยไข้ได้ เช่น
                   - ทุเรียน ผลไม้ยอดนิยมนอกจากมีฤทธิ์ร้อนแล้ว ยังมีธาตุอาหารสูง การกินผลไม้ชนิดนี้ใรระยะพักฟื้นอาจทำให้เจ็บป่วยจากภาวะร้อนในได้
                   - ลำไย นอกจากเป็นผลไม้รสหวานจัดแล้ว ยังทราบกันดีว่าเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน บางคนกินเพียงเล็กน้อยก็ทำให้มีอาการร้อนใน และอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้
                   - ละมุด เป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด แต่คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนด้วย การกินผลไม้ชนิดนีอาจทำให้มีอาการร้อนในและเป็นสาเหตุทำให้มีอาการเจ็บป่วยได้
         3. ผลไม้แปรรูปและของหมักดอง : ผลไม้แปรรูป เช่น ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม และของหมักดองต่าง ๆ นอกจากมีความเค็มทำให้แผลมีอาการบวมได้แล้ว หากขั้นตอนการทำไม่สะอาดอาจส่งผลให้แผลผ่าตัดติดเชื้อได้ ช่วงระยะพักฟื้นและแผลยังไม่หายดีควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยงไปก่อนอาหารรสจัด :                    - อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด หรือเป็นเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของเครื่องเทศสมุนไพร ที่ให้รสชาติร้อนแรง เมื่อกินแล้วความเผ็ดร้อนจะไปกระตุ้นร่างกายให้มีการหลั่งเหงื่อ และ น้ำมูก ออกมาซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะไปปนเปื้อนกับเชื้อโรคต่าง ๆ และสัมผัสกับบริเวณบาดแผลจนทำให้แผลอักเสบได้
                   - ส้มตำและอาหารประเภทยำ : ส้มตำและอาหารประเภทยำ เป็นเมนูอาหารเรียกน้ำย่อยหรืออาหารรสแซบที่มีส่วนประกอบของความเผ็ด ความเค็ม และความเปรี้ยว รวมไปถึง ปลาร้า หรือน้ำปลาร้า ควรหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นไปก่อน เพราะการกินอาหารรสจัดอาจทำให้เกิดการคั่งของสารน้ำภายในร่างกาย ส่งผลให้แผลบวมและเสี่ยงต่อการอักเสบได้
                   - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถือเป็นสิ่งที่ควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยง เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แผลหายช้า และทำให้เกิดอาการบวมเขียวช้ำได้ง่าย

3.คำถามเกี่ยวกับการกินและข้อห้ามที่พบได้บ่อย
สำหรับสิ่งที่ควรกินและอาหารต้องห้ามหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในช่วงพักฟื้นหรือจนกว่าแผลผ่าตัดจะหายแล้ว ยังมีคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับการกินและข้อห้ามที่แพทย์หรือคลินิกความงามมักจะต้องให้คำแนะนำแก่ผู้เข้ารับกับการผ่าตัดเสมอ ๆ ก็คือ
         1. หลังเสริมหน้าอกสามารถกิน[^_^]ได้ไหม
                   - ปกติการกิน[^_^]ใด ๆ ศัลยแพทย์มักจะแนะนำให้หยุดกินก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอก เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากวิตามินและ[^_^]บางตัวจะมีผลกับการผ่าตัดเสริมหน้าอก เช่น ทำให้การปิดบาดแผลของระบบเลือดทำงานได้ช้าลง ส่งผลให้เลือดไม่ยอมแข็งตัว ซึ่งอาจเกิดอาการบวมช้ำนานกว่าคนอื่น ๆ
                   - สำหรับการกิน[^_^]ต่าง ๆ เช่น วิตามิน แปะก๊วย โสม น้ำมันปลา วิตามินอี หรือวิตามินบำรุงผิวพรรณ หรือ[^_^]ประเภทพืชสมุนไพร หากหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกไปแล้วก็สามารถกินได้ตามปกติ
                   - ส่วนคอลลาเจล ซึ่งถือเป็น[^_^]ชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย มีบางรายงานทางการแพทย์ระบุว่า การกินคอลลาเจลหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกมีส่วนทำให้เกิดพังผืด แม้ข้อมลจะยังไม่แน่ชัด แต่ก็ควรงดไปเลยหรือรอกินคอลาเจลหลังจากผ่าตัด 3 เดือน ขึ้นไป
         2. หลังเสริมหน้าอกสามารถกินยา[^_^]ได้ไหม
                   - ยา[^_^] ถือเป็น[^_^]ชนิดหนึ่งแต่มีหลายรูปแบบและหลายประเภท สำหรับคำถามหลังเสริมหน้าอกสามารถกินยา[^_^]ได้ไหม ในทางปฏิบัติ[^_^]มีข้อห้ามว่าควรงดเว้นช่วงก่อนผ่าตัดเท่านั้น เนื่องจากอาจมีผลทำให้เลือกแข็งตัวช้า ส่วนหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกแล้ว ก็สามารถกิน[^_^]ได้ตามปกติ ยาลดความอ้วนก็ถือเป็น[^_^]ชนิดหนึ่ง แต่น้ำหนักตัวที่ลดและเพิ่มขึ้นก็สามารถส่งผลกระทบกับหน้าอกคู่ใหม่ได้ สิ่งที่ผู้ผ่าตัดเสริมหน้าอกควรพิจารณาประกอบว่าควรกินหรือไม่กิน มี 3 ข้อ ดังนี้
อ่านเพิ่มเติม  https://jarem.co.th/eat-after-breast-augmentation/

420
4 ข้อ ควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก

เชื่อว่าทุกคนที่สนใจและมีการวางแผนผ่าตัดเสริมหน้าอก ก่อนศัลยกรรมจะต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ มาแล้วเป็นอย่างดีทั้งการเลือกคลินิกที่ให้บริการ ขนาดหน้าอก ประเภทของซิลิโคน ค่าใช้จ่าย และการดูแลตนเองให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งนอกจากศึกษาข้อมูลด้วยตนเองแล้วยังขอรับคำแนะนำจากคลินิกหรือศัลยแพทย์ได้ด้วย ส่วนในบทความนี้เรามี 4 ข้อควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก มาแนะนำให้เป็นความรู้ค่ะ

4 ข้อ ควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลตนเอง แต่อาการและปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป การดูแลก็จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามอาการและตามปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากศัลยกรรมหน้าอก ดังนี้

อาการหลังเสริมหน้าอก 1 เดือน
หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก ในระยะแรก ๆ อาการและการดูแลตนเอง อาจเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น อาการปวด บวม ช้ำ หรือเลือดซึม การดูแลตนเองอย่างดีตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งใช้เวลาพักฟื้น 1-2 เดือน อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นจนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนอาการของแต่ละบุคคลหลังเสริมหน้าอก 1 เดือนอาจจะแตกต่างกันไป โดยปกติแล้วอาการหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกในแต่ละช่วง อาจมีอาการ ดังนี้
1. อาการหลังการผ่าตัดจนได้รับอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
           - การศัลยกรรมเสริมหน้าอก เป็นการผ่าตัดที่ต้องวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ หลังจากผ่าตัดควรพักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน หากไม่มีอาการผิดปกติและผู้ที่ผ่าตัดไม่สะดวกที่จะนอนพักฟื้นในโรงพยาบาล หลังผ่าตัดแล้วควรพักไม่น้อยกว่า 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นศัลยแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
2. อาการช่วงพักฟื้นระยะ 3-5 วันแรก
           - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอกและกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ระยะ 3-5 วันแรกจะยังมีอาการปวด บวม ช้ำ และรู้สึกระคายเคืองมาก เนื่องจากร่างกายยังไม่ชินกับสภาพใหม่ของเต้านม ในบางคนอาจมีเลือดซึมออกจากแผลเป็นระยะทำให้รู้สึกปวด หากมีเลือดออกมากผิดปกติ ควรพบแพทย์หรือปรึกษาแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด สำหรับการดูแลตนเองต้องกินยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวมาก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดกระทบกระเทือน
3. อาการหลังจากผ่าตัดได้ 1 สัปดาห์
           - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอกได้ 1 สัปดาห์ อาการปวด บวม ช้ำ และอาการระคายเคืองจะเริ่มลดลง แม้จะจะยังมีอาการปวดบวมอยู่บ้าง แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรระมัดระวังไม่ทำกิจกรรมหนักๆ ที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวมาก ๆ อย่างน้อย 3 สัปดาห์
4. อาการหลังจากผ่าตัดได้ 1 เดือน
           - โดยทั่วไปอาการหลังผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกจะเริ่มเป็นปกติหรือเกือบปกติ เมื่อร่างกายได้ฟื้นฟูเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการดูแลตนเองของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นภายใน 2-3 เดือนร่างกายและเต้านมจะเริ่มเข้าที่และใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ควรตรวจเช็กความผิดปกติอย่างสม่ำเสมอจนกว่าซิลิโคนจะหมดอายุการใช้งาน

ปัญหาที่พบได้หลังเสริมหน้าอก
ศัลยกรรมหน้าอกนอกจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ ยังเป็นการศัลยกรรมเพื่อนำซิลิโคนหรือเต้านมเทียมใส่เข้าไปในร่างกาย ปัญหาที่พบหลังเสริมหน้าอกจึงเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบและหลายลักษณะมีทั้งอาการผิดปกติที่ต้องรีบพบแพทย์และความผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ ถือเป็นเรื่องปกติของการศัลยกรรมหน้าอก ดังนี้

1. อาการผิดปกติหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ต้องพบแพทย์
          - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก หรือระยะพักฟื้นมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือหายใจหอบถี่
          - อาการบวมไม่ลดลง มีอาการแสบร้อนและมีรอยแดงบริเวณเต้านม รวมทั้งมีไข้สูงอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
          - อาการปวดผลผ่าตัดที่เกิดขึ้นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ หรือแผลหายสนิทแล้วแต่ยังคงรู้สึกปวดอยู่
          - ปวดหลังและไหล่อย่างรุนแรง รอยแผลเขียวช้ำและมีเลือดคั่งผิดปกติ
          - สังเกตความผิดปกติของซิลิโคนที่อาจเคลื่อนหรือหมุนจนได้ หรือเต้านมแข็งผิดปกติ
          - มีตุ่มหรือก้อนแข็งบริเวณเต้านม หรือหน้าอก อาจเกิดจากซิลิโคนรั่ว
          - บริเวณใต้รักแร้มีก้อนแข็ง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติของต่อมน้ำเหลือง

2. อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังเสริมหน้าอกและหายได้เอง
          - ปัญหาปวดแผลหลังผ่าตัด เป็นอาการปกติของทุกคนที่ศัลยกรรมเสริมหน้าอก โดยจะมีอาการประมาณ 3 – 4 สัปดาห์แรกหลังการศัลยกรรม ซึ่งเป็นช่วงพักฟื้น จากนั้นอาการจะเริ่มเป็นปกติ
          - รู้สึกปวดร้าวไปถึงหัวไหล่และหลัง โดยเฉพาะแผลผ่าตัดที่ใต้รักแร้มักปวดมากกว่า และหายช้ากว่าแผลที่หัวนมหรือใต้ราวนม เนื่องจากมีการเสียดสีของซิลิโคนที่เสริมเข้าไปมีขนาดใหญ่
          - รู้สึกคันรอบ ๆ เต้านมหรือคันบริเวณแผลผ่าตัด ถือเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากการเสริมซิลิโคนเข้าไป ทำให้ผิวหนังบริเวณเต้านมตึงและมีอาการคัน โดยอาการคันจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1 – 2 สัปดาห์
          - อาการชาที่เต้านมหลังศัลยกรรม เป็นอาการชาที่เกิดขึ้นและหายได้เองภายใน 1 เดือน ส่วนในคนผ่าตัดเสริมซิลิโคนขนาดใหญ่เกินไป ถุงซิลิโคนก็อาจไปกดทับเส้นประสาททั้งหมดจนทำให้สูญเสียความรู้สึกและมีอาการชาซึ่งอาจเป็นไปตลอดระยะเวลาในการเสริมหน้าอก

หลังเสริมหน้าอกควรนอนท่าไหนดี
ปัญหาที่หลาย ๆ คนสงสัยหรือมักมีคำถามหลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกมาแล้วก็คือ หลังเสริมหน้าอกควรนอนท่าไหนดี สามารถนอนในท่าปกติที่เคยนอน เช่น นอนคว่ำ นอนตะแคง หรือนอนหงาย ได้หรือไม่ สำหรับท่านอนที่เหมาะสมของคนที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก ศัลยแพทย์จะให้คำแนะนำ ดังนี้
          - ในช่วงอาทิตย์แรกหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ท่านอนที่เหมาะสมคือการนอนหงาย ควรนอนให้ลำตัวส่วนบนสูงประมาณ 30-45 องศา โดยใช้หมอนรองหลัง 2-3 ใบ เพื่อให้ถุงเต้านมอยู่กับที่และรักษาแผลผ่าตัดให้หายได้เร็ว สามารถลุกนั่งได้ง่ายช่วยป้องกันแผลเกิดภาวะตึงหรือว่าเกิด Stretch ที่แผลทำให้เกิดการอักเสบได้ นอกจากนั้นการนอนให้หัวสูงจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และช่วยให้อาการบวมที่หน้าอกลดลง
          - ระยะพักฟื้นระหว่าง 7- 30 วันขึ้นไป ควรนอนหงาย เนื่องจากการนอนตะแคงหากหน้าอกยังไม่เข้าที่ นอกจากทำให้มีอาการเจ็บแล้ว หากนอนตะแคงนาน ๆ จะทำให้เกิดแรงดันต่อซิลิโคน ทำให้ซิลิโคนพลิกได้
          - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก จึงควรสวมใส่ Post-op Bra ล็อกนมไว้ตลอดการนอน โดยเฉพาะในช่วง1-2 เดือนแรก และควรใส่ Post-opบราไว้ตลอดแม้ในช่วงเวลาปกติด้วย

หลังเสริมหน้าอกกี่วัน ถึงจะนอนตะแคงได้
หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก การดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกให้ดีที่สุดก็คือการรักษารูปทรงของหน้าอกโดยการนอนในท่าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ซิลิโคนเคลื่อนตัว สำหรับการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ทำได้ ดังนี้
          - หากเป็นการผ่าตัดเสริมหน้าอกทางราวนม ช่วง 3 เดือนซึ่งเป็นระยะพักฟื้นไม่ควรนอนคว่ำ เพราะอาจเป็นอันตรายทำให้ไหมละลายที่เย็บไว้หลุดก่อนกำหนดหรือทำให้เกิดแผลกดทับได้
          - ส่วนการนอนตะแคง กรณีผ่าตัดเสริมหน้าอกทางรักแร้ หลังผ่าตัด 3 สัปดาห์หากไม่มีอาการเจ็บแผลก็สามารถนอนตะแคงได้
          - การนอนคว่ำ ต้องรอให้อาการอักเสบของกล้ามเนื้อลดลงก่อน อาจใช้เวลาหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 2 เดือน

ศัลยกรรมเสริมหน้าอก ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่นอกจากต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดเป็นอย่างดีแล้ว การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกก็สำคัญและจำเป็น โดยเฉพาะคนที่ใช้วิธีการผ่าตัดเสริมซิลิโคนศัลยแพทย์จะให้ดมยาสลบก่อนผ่าตัด แต่หากเป็นการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมัน ศัลยแพทย์อาจใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยวิธีการใด ทั้ง 4 ข้อควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก คือแนวทางการรักษาตัวเองหลังทำศัลยกรรมหน้าอกให้ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนและได้รูปทรงหน้าอกที่สวยเป็นธรรมชาติตามที่ต้องการ
https://jarem.co.th/know-after-breast-augmentation/

421
2 ข้อ ควรรู้ให้จริง ก่อนศัลยกรรม เสริมหน้าอก


“หน้าอก หรือทรวงอก” เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่นิยมทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกันมาก เพราะหน้าอกคืออวัยวะส่วนที่แสดงความเป็นตัวตนของเพศหญิงได้อย่างชัด รวมทั้งการมีรูปร่างได้สัดส่วนมีส่วนเว้าส่วนโค้งสวยสมส่วน นอกจากทำให้ง่ายต่อการแต่งตัวแล้วยังเป็นการเสริมบุคลิกภาพให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ส่วนใครที่กำลังคิดจะเสริมหน้าอกแต่ยังกล้าๆ กลัว ๆ บทความนี้มี 2 ข้อ ควรรู้เกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมหน้าอก มาแนะนำค่ะ

2 ข้อ ควรรู้ให้จริง ก่อนศัลยกรรม เสริมหน้าอก


การผ่าตัดเสริมเต้านม เป็นศัลยกรรมเกี่ยวกับความสวยความงามที่คนนิยมทำอยู่ในอันดับต้น ๆ และไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องการเสริมหน้าอกโดยมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละบุคคล สาวประเภทสองหรือเพศที่สามที่มีรูปร่างเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิงก็นิยมผ่าตัดเสริมหน้าอก เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของเพศหญิง ทำให้ปัจจุบันมีคลินิกศัลยกรรมเสริมหน้าอกเปิดให้บริการอยู่มากมาย แต่การศัลยกรรมที่จะเสริมสร้างความมั่นใจทั้งในเรื่องความปลอดภัย และความสวยงามของหน้าอก มีสิ่งที่ต้องรู้ให้จริงก่อนศัลยกรรม ดังนี้

1.การเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก และการตรวจร่างกาย
เมื่อตัดสินใจหรือเริ่มวางแผนผ่าตัดเสริมหน้าอก หลาย ๆ คนอาจเตรียมความพร้อมของตัวเองเป็น
อย่างดี ทั้งการเตรียมร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง การศึกษาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งวิธีดูแลตนเองหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกมาแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องแต่เพื่อให้การเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เราแบ่งการเตรียมตัวออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของตนเองก่อนการศัลยกรรม และการเตรียมความพร้อมตามคำแนะนำของแพทย์
      1. การเตรียมความพร้อมของตนเองก่อนการศัลยกรรมเสริมหน้าอก
              - เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ การเตรียมใจก่อนศัลยกรรมหน้าอก ได้แก่เตรียมใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่จะเกิดขึ้นหลังการศัลยกรรมหน้าอก ลดหรือควบคุมจิตใจไม่ให้วิตกกังวล และไม่เครียด โดยเฉพาะก่อนการทำศัลยกรรม ความเครียดอาจส่งผลให้ความดันสูง จนไม่สามารถทำการศัลยกรรมหน้าอกได้
              - เตรียมความพร้อมด้านร่างกาย ศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องเตรียมร่างกายและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมทั้งรู้ความต้องการรู้จุดประสงค์ของตนเองก่อนเป็นสิ่งแรก เช่น ต้องการศัลยกรรมเสริมขนาดหน้าอกเพื่อเสริมบุคลิกภาพ ศัลยกรรมเสริมหน้าอกเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน ศัลยกรรมเพื่อประโยชน์สำหรับการทำงานที่ต้องเน้นรูปร่างและการแต่งกาย หรือศัลยกรรมหน้าอกเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติของหน้าอก
              - เตรียมความพร้อมด้านข้อมูลข่าวสาร การผ่าตัดเสริมหน้าอกแม้จะมีคลินิกหรือสถานเสริมความงามให้บริการอยู่มากมาย แต่ความปลอดภัยและการศัลยกรรมที่ผลลัพธ์ออกมาดี ได้ขนาดหน้าอกที่เหมาะสมกับรูปร่าง หรือแก้ปัญหาความผิดปกติของหน้าอกได้ตามความต้องการ การเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลข่าวสารสำคัญมาก เช่น ข้อมูลของสถานเสริมความงามหรือคลินิกที่ให้บริการ ขนาดที่ต้องการเสริมให้เหมาะกับโครงสร้างของร่างกาย ประเภทและความแตกต่างของซิลิโคนแต่ละประเภท เป็นต้น
              - เตรียมความพร้อมด้านค่าใช้จ่าย หัวใจสำคัญของการผ่าตัดเสริมหน้าอก นอกจากการเตรียมพร้อมด้านค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการผ่าตัดซึ่งก็ไม่ยุ่งยาก เพราะคลินิกส่วนใหญ่มีเรทราคาที่เป็นมาตรฐานให้ลูกค้าได้เลือกอยู่แล้ว แต่ส่วนที่หลายคนอาจไม่ได้จัดเตรียมหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดูแลตนเองหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากต้องหยุดงานหรือหยุดการทำธุรกิจเพื่อพักฟื้น
      2. การเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอกตามคำแนะนำของแพทย์ตรวจร่างกาย ขนาดทรวงอก และลักษณะเต้านมทั้งสองข้าง
              - ตรวจเลือด ต้องไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอันตรายกับการผ่าตัด
              - เอกซเรย์ปอด
              - ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตามเกณฑ์
              - งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอก อย่างน้อย 1 สัปดาห์
              - ก่อนผ้าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ให้งดสูบบุหรี่ หรือหยุดกินยาที่มีส่งผลกระทบต่อโรคความดันโลหิต เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
              - หยุดกินวิตามินอี น้ำมันตับปลา สมุนไพร และ[^_^]ทุกชนิดก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 1 สัปดาห์
              - วันที่แพทย์นัดก่อนผ่าตัดต้องงดน้ำและอาหาร 12 ชั่วโมง
              - กรณีกำลังจะมีประจำเดือนในช่วงที่ต้องผ่าตัด ควรกินยาเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากการผ่าตัดหน้าอกมีการเสียเลือดมาก
              - วันที่แพทย์นัดผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรอาบน้ำ สระผมมาให้เรียบร้อย
              - ในวันผ่าตัดและออกจากโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด ควรสวมเสื้อที่มีกระดุมหน้าแบบหลวม ๆ เพื่อให้สวมใส่ได้สะดวกโดยไม่ต้องยกแขน และควรจัดเตรียมไว้สวมใส่ขณะพักฟื้นด้วย
              - ก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรเตรียมลูกอม หรือสิ่งของที่มีรสเปรี้ยว เนื่องจากคนที่แพ้ยาชาหรือยาสลบ หลังการผ่าตัดอาจมีอาการคลื้นไส้ และอาเจียน การอมลูกอมหรือของเปรี้ยวช่วยลดอาการได้ และยังช่วยให้ไม่กระทบกระเทือนแผลผ่าตัดอีกด้วย

2.วิธีดูแลตัวเองหลังทำนมหรือผ่าตัดเสริมหน้าอก
ในการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะมีหลายเทคนิควิธีซึ่งแต่ละวิธีก็ยังขึ้นอยู่กับขนาดของซิลิโคน ประเภทของซิลิโคน ตำแหน่งในการวางซิลิโคนหน้าอก และปัจจัยส่วนบุคคลซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ทำให้การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกมีแนวทางแตกต่างกันออกไปด้วย ตัวอย่างเช่น แพทย์เลือกใช้เทคนิคผ่าตัดที่เสียเลือดน้อย เวลาในการพักฟื้นก็จะไม่นาน ส่วนการดูแลตนเองหลังทำนมหรือผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ควรรู้ มีดังนี้
      1. การดูแลแผลผ่าตัด
              - ภายในสัปดาห์แรกหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรระมัดระวังและป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ
              - ระยะพักฟื้นควรสวมเสื้อติดกระดุมหน้าทรงหลวม ๆ เพื่อช่วยให้สวมใส่ง่ายและไม่ต้องยกแขน ช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ดี
              - หากมีอาการปวดแผล ให้กินยาลดอาการปวด เช่น กินยาแก้ปวดทุก 6 ชม. กินยาต่อเนื่อง 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า-กลางวัน-เย็น หรือกินตามคำแนะนำของศัลยแพทย์
              - การดูแลแผลผ่าตัดที่ยังมีอาการปวด ให้นอนศีรษะสูงเพื่อช่วยลดอาการบวมแน่น
              - หลีกเลี่ยงการใช้แขนหรือออกแรงมาก เนื่องจากบริเวณหน้าอกจะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้แขนการออกแรงมากจะยิ่งทำให้แผลหายช้า และแผลผ่าตัดมีโอกาสอักเสบได้
              - หลังผ่าตัดวันแรก สามารถประคบเย็นได้ตั้งแต่กลับถึงบ้านและประคบได้นาน 7-10 วัน ข้อดีได้แก่ ช่วยลดอาการตึงของหน้าอก บรรเทาอาการปวด ลดความเขียวช้ำ และช่วยให้อาการบวมยุบได้เร็ว
              - การผ่าตัดเสริมหน้าอก ไหมที่เย็บแผลแพทย์จะใช้เป็นไหมละลายซึ่งต้องใช้เวลาในการสลายตัวประมาณหกถึงแปดสัปดาห์ หากหลังจากนั้นยังพบว่ามีไหมโผล่อย่าพยายามดึงออกเอง ควรโทรนัดหรือปรึกษาแพทย์เพื่อสะกิดเอาไหมออก
              - พบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเช็คแผลผ่าตัด โดยทั่วไปแพทย์จะนัดเพื่อเปิดดูแผลประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังผ่าตัด
      2. การดูแลหน้าอกหลังใส่ซิลิโคนหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกควรนอนให้ถูกท่า โดยช่วง 3 วันแรกนอนหงายรองศีรษะให้สูง เพื่อช่วยลดอาการบวม ช่วง 7 วัน ถึง 6 สัปดาห์ ให้นอนหงายห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำหน้า เพราะอาจจะทำให้หน้าอกบิดเบี้ยวผิดรูปทรงได้
              - หลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกแพทย์จะพันผ้าไว้ และให้สวมซัพพอร์ตบรา ควรเลือกซัพพอร์ตบราที่ออกแบบมาสำหรับเคสที่เสริมหน้าอกเท่านั้น เพื่อพยุงให้หน้าอกอยุ่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และช่วยป้องกันซิลิโคนลอย
              - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อในที่มีโครงอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับหรือกระแทกบริเวณหน้าอก
              - นวดหน้าอกตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการนวดหน้าอกจะช่วยให้หน้าอกนิ่ม ไม่แข็ง ไม่ทำให้เกิดพังผืด เมื่อสัมผัสมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
              - การดูแลในระยะยาวหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรหมั่นตรวจเช็กหน้าอกด้วยตัวเองและตรวจแมมโมแกรมตามกำหนด
      3. การดูแลอื่น ๆ หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
              - การพักฟื้นอยู่บ้านควรมีเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยตลอดเวลา เพื่อช่วยเหลือรวมทั้งเฝ้าดูอาการหลังการผ่าตัด
              - 1-2 วันแรกหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ให้ดื่มน้ำดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ให้มาก ๆ ควรหลีกเลี่ยงหรืองดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากจะทำให้ฟื้นตัวช้า
              - เลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือ หรือมีรสเค็มในช่วงสัปดาห์แรกเพราะอาจทำให้มีอาการบวมมากขึ้น
              - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ช่วงพักฟื้นควรพักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
              - ช่วงสัปดาห์แรก งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสูดควันบุหรี่จากคนอื่นเช่นกัน
      4. ภาวะหรือผลข้างเคียงหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ต้องรีบไปพบแพทย์
              - หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก เมื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้วยังมีไข้สูงไม่ลด ควรรีบไปพบแพทย์เพราะอาจอักเสบหรือแผลติดเชื้อ
              - หลังกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ยังมีเลือดสดออกมากที่บริเวณแผลผ่าตัด
              - แผลผ่าตัดมีอาการบวมแดงอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัด ปวดแผลมากขึ้นทานยาแก้ปวดแล้วอาการไม่ลดลง
              - หลังผ่าตัดหรือช่วงพักฟื้น มีของเหลวจากร่างกายออกมาตามแนวแผลผ่าตัด
อ่านเพิ่มเติม  https://jarem.co.th/know-before-breast-augmentation/

422
ข้อคิดตกผลึกชีวิตฟรีแลนซ์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน


อัตลักษณ์แบบนักรบ อธิบายถึงวิธิคิด สิ่งแวดล้อม ทั้งการงาน การเงิน ต้นทุนชีวิต ทักษะอาชีพและเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่จะเรียนรู้เข้าใจและนำไปปรับใช้กับตัวผู้เรียนได้

ต้นทุนชีวิตไม่ได้ร่ำรวย เป็นลูกคนที่ 2 ที่เกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่ทำงานก่อสร้างตั้งแต่ยังเด็ก แต่ส่งเสียให้เรียนจบปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นต้นทุนเพียงอย่างเดียว คือ ความรู้ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ต่อยอดอาชีพและธุรกิจในปัจจุบัน

สิ่งที่ตกผลึกจากที่ผ่านมา หลอมรวมเป็นอัตลักษณ์
         - เวลา คือ ต้นทุนวัตถุดิบแลกเงินตรา ในโลกของ Freelance ค่าจ้างเวลาทำงาน Man-hour ของแต่ละคนไม่ได้เท่ากัน คิดอยู่เสมอว่า จะเพิ่มราคาจ้างต่อชั่วโมงได้อย่างไร คำตอบ คือ ต้องเก่งและเป็นที่รู้จักในสายที่ตลาดต้องการ
ความล้มเหลวในการแข่งขันต่างๆ ในช่วงวัยเรียนย่ำเตือนได้ดี ว่าต้องมุ่งมั่นทำจริงถึงจะไม่เสียดายเวลาในอดีตที่ล้มเหลว ปัจจุบันยังระลึกถึงเพื่อปรับใช้กับการทำงาน
         - หนังสือพัฒนาความคิดและการพูด ช่วงเริ่มต้นสร้างตัว อ่านหนังสือพัฒนาตัวเองทุกวัน โดยเฉพาะจิตวิทยาเพื่อความสำเร็จ นิสัยรักการอ่านช่วยเรื่องการทำการตลาดได้มาก เพราะจะสามารถสื่อสารที่มัดใจลูกค้าได้ง่ายขึ้น อีกท้งยังใช้เป็นทักษะการพูดในตอนเป็นวิทยากรการตลาด SEO ได้อีกด้วย
         - พี่เลี้ยงดี พัฒนาไว ได้หัวหน้างานดี สอนให้เราเก่งได้ไว
         - คิดเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่เก่ง รางวัลมีสำหรับคนเก่งที่อยู่บนยอดพีระมิดเสมอๆ ทุกการทำงานจะจินตนาการถึงคู่ต่อสู้ที่เก่งในสายงาน
         - ค้นหาจุดเด่น เพื่อสร้างจุดยืนในใจลูกค้า เมื่อทะเลการแข่งขันแดงเดือด การสร้างจุดแตกต่างด้วยจุดเด่นที่มีตลาดรองรับเป็นเรื่องที่ต้องทำในเวลาที่หมาะสม
         - คนเก่งเจอกัน จะชนะกันที่ความแข็งแรงของทีม ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็มี 2 มือและ 24 ชม. เหมือนกัน ถ้าฝีมือเฉือนกันไม่มาก จะชนะกันที่ความเก่งของคนในทีมแทน
         - เปลี่ยนคู่แข่งเป็นมิตร เป็นคู่แข่งกับทุกคนมันเหนื่อย ควรสร้างมิตรบ้างเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ สุดท้ายเรา คือมนุษย์ที่ควรช่วยเหลือกันในสังคมอยู่ดี
         - ความสำเร็จไม่เพียงพอ คนไม่ฟัง ในการเขียน Blog ถ้าไม่มีผลงานรองรับ แล้วเปอร์เซ็นต์ที่คนจะเชื่อจะลดต่ำลง ฉะนั้นเลย จึงต้องสร้างผลงานด้วย เช่น เก็บเงินจากการรับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress, สร้างยอดขายหลัก 1.2 ล้าน/ปีด้วยอาชีพ SEO Freelance, ทำเว็บขายของออนไลน์ส่งเสริมยอดขาย 15 ล้าน/ปี, สร้าง Small SEO Agency ยอดขาย 2 ล้าน/ปี แบบนี้ถึงจะมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าได้ผลจริง
         - เห็นแก่เงิน อาจเดินทางผิด ถ้าเห็นแต่เงินอย่างเดียว อาจผันตัวไปทำ SEO & Digital Marketing ให้ธุรกิจพนันได้ เพราะวงการณ์นี้เงินหมุนเวียนเยอะ แต่ผิดกฎหมาย ทำลายชีวิตคนอื่น ฉะนั้นจึงไม่สอนและสนับสนุนการทำเอสอีโอให้ธุรกิจการพนันทุกชนิด
         - รักษาระดับผลงาน รักษาความเป็นมืออาชีพ เมื่อถึงจุดจุดหนึงจะพบว่าการรักษาระดับผลงานแบบมืออาชีพ จะสร้างความมั่นคงให้อาชีพนี้ได้ และควรระวังเรื่อง Comfort zone ที่เหนี่ยวรั้งหยุดเราพัฒนา
         - มีเป้าหมายเพื่อพัฒนา เพื่อประสบความสำเร็จระดับหนึง การมีเป้าหมายต่อไป จะช่วยกระตุ้นตัวเองได้ดี

สิ่งต่างๆเหล่านี้เขียนไว้เพื่อเป็นแรงบรรดาลใจ เอาไปปรับใช้กับผู้เรียนที่จะศึกษาการพัฒนาตัวเองครับ วู้ๆ!!!
https://warrior.in.th/warrior-life/identity/

423
ฟรีแลนซ์ ซื้อรถในนามบริษัทดีอย่างไร ?


ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Digital Marketing Freelance เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงในสายตาของธนาคาร ฉะนั้นการขอสินเชื่อจะทำได้ยากกว่า ถ้ามีรายได้ 30k ต่อเดือน อาจโดนธนาคารตีรายได้แค่ 40% ของสามหมื่นแทน อีกทั่งการซื้อรถในนามบุคคลธรรมดาไม่ได้ช่วยเรื่องประหยัดภาษีเลย

จริงๆแล้วเป็นเรื่องดี ที่ธนาคารตีรายได้ของฟรีแลนซ์ต่ำกว่ายอดรับจริง เพราะมันจะช่วยทำให้เราผลักดันตัวเองให้มี Statement ที่ดีขึ้นในอนาคต และไม่สร้างหนี้เร็วเกินไป

วิธีนำมาเป็นค่าใช้จ่าย คือ ต้องจดบริษัทและซื้อรถในนามบริษัทแทน จึงนำค่าบำรุงรักษารถ ค่าน้ำมัน ค่าเสื่อมราคา มาเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทแทนได้ แต่นักรบไม่แนะนำให้ฟรีแลนซ์จดบริษัทเร็วเกินไป เพราะจะมีเนื้องานด้านเอกสารและค่าปิดบัญชีเพิ่มอีกประมาณ 15-20k/ปี (ฟรีแลนซ์ควรมองเรื่องการจดบริษัทหลังจากมีรายได้เกิน 800k/ปี)

ค่าเสื่อมราคารถได้ 200k/ปี และค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำมันมาเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทฟรีแลนซ์ได้หมด ซึ่งเป็นข้อดีมากๆ ทำให้เราประหยัดภาษีได้อีกด้วย

มีอีกวิธีหนึงที่อ่านมา แต่ยังไม่มีประสบการณ์คือ ในกรณีที่ไม่ได้ซื้อรถในนามบริษัทแล้วอยากเอาค่าน้ำมันมาเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท ต้องทำเรื่องให้บริษัทยืมรถใช้งานอีก ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากหน่อย หากใครสนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมดูครับ

แชร์ประสบการณ์ฟรีแลนซ์ด้านการเงิน โดยนักรบ
ฟรีแลนซ์รับทำ SEO
https://warrior.in.th/freelance-seo/income/freelance-buy-car/

424
เทคนิคการใช้ Keyword Finder Tool : kwfinder.com


นาทีที่ 0:01 – 3:45 วิดีโอจะเป็นการสาธิต การใช้งานเว็บไซต์ keyword finder tool เว็บไซต์ตัวนี้จะเป็นการค้นหาแบบ Long tail, การให้คะแนนวิเคราะห์เกี่ยวกับคู่แข่ง,ราคาการคลิก,เกี่ยวกับ Adwords และคะแนนความยากง่ายของ SEO ต้องขอเน้นตรงคำว่า “คะแนนความยากง่ายของ SEOของคำนั้นๆ” ซึ่งใน Google Adwords ไม่ได้บอกตรงนี้ จะบอกเพียงการแข่งขันคำโฆษณาของ Google Adwords วิธีการใช้งาน – เข้าไปเว็บไซต์ kwfinder.com(ที่ผมแนะนำเพราะเป็นเว็บไซต์ขั้นพื้นฐาน) – จากนั้น Log in user e-mail ของเราก่อน (เนื่องจากใช้งานฟรี จะมีข้อจำกัดเรื่อง พิมพ์ได้ 5 ครั้งต่อวัน และมีคำค้นหาเพียง 50 คำ แต่หากคุณชอบเว็บไซต์นี้ คุณสามารถซื้อใช้ได้) – จากนั้นพิมพ์คำที่ต้องการในช่องว่าง เลือกประเทศและภาษา จากนั้นกดคำว่า analyze ตัวอย่างที่ผมค้นหาคำว่า “ธุรกิจ” ซึ่งจะปรากฏคำที่เราค้นหาเยอะมาก จากการค้นหาจะขึ้นมาแค่ 50 ตัวเท่านั้น (หมายความว่า คุณต้องอัปเกรตแพ็คเก็ตของคุณ) คำว่า ธุรกิจ มีคนค้นหา 14,000 ครั้งต่อเดือน มี CPC (Cost per Click) คือราคาในการคลิก ซึ่งเวลาเราทำจริง ราคาต่อ $1 มันน้อยมาก มันจะขึ้นอยู่กับการทำโฆษณา Google Adwords มากกว่า แต่คนที่ทำ SEO ผมอยากให้โฟกัสไปที่ การ Search volume(การค้นหาต่อเดือนและกี่ครั้ง) และโปรแกรมนี้ที่เพิ่มเข้ามาคือ คะแนนความยากง่ายของ SEOของคำนั้นๆเวลาที่เราจะทำอันดับนั้นเอง ถ้าตัวเลขเยอะแปลว่า มีความยากในการไต่อันดับ เราทำอันดับขึ้นได้แต่เพียงต้องใช้เวลา แต่ถ้าตัวเลขน้อย เราจะทำการไต่อันดับได้เร็ว เช่น ถ้าเปรียบเทียบคำว่า ธุรกิจร้านกาแฟคะแนน SEO มี 5 คะแนน ซึ่งมีจำนวนน้อย เราสามารถไต่อันดับได้เร็ว หากเปรียบกับคำว่า ธุรกิจ มันมีความหมายกว้าง คะแนน SEO มี 22 คะแนน คุณต้องใช้เวลาในการไต่อันดับ แต่ไม่ได้แปลว่า คำที่ยากจะทำไม่ได้ เพียงแต่ใช้เวลานานขึ้นและต้องใช้ความรู้แบบ SEO ในเชิงลึกมากกว่า

นาทีที่ 3:46 – 5:32 สำหรับเบื้องต้น คนที่มีพื้นฐาน SEO และเว็บไซต์ เราสามารถเอา keyword มาวิเคราะห์และนำทางว่า เราจะใช้ keyword ตัวไหนก่อน เมื่อค้นหา keyword ได้แล้ว จะมีการแสดง 10 อันดับแรกใน Google ให้ด้วย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Google SERP แต่หากอยากดูอันดับเพิ่มให้คลิกคำว่า More โดยตัวที่อยากให้ดู คือการที่โปรแกรมนี้เก็บข้อมูลของเว็บไซต์ทั่วโลก นำมาวิเคราะห์และประมวลผลตรง Rank สิ่งที่แสดงคือ เว็บไซต์ตัวไหนที่มีคะแนน Rank สูง แสดงว่า ทำมานานและมีความเชี่ยวชาญทางด้านการทำการตลาด SEO แต่ไม่หมายความว่า Rank สูงจะขึ้นเป็นอันดับต้นๆ เพราะ การทำการตลาด SEO มีหลายปัจจัย อีกอย่างเว็บไซต์นี้ไม่สามารถประเมินได้อย่างครบถ้วน อย่างเช่น ปัจจัยที่ผู้ใช้อ่านเว็บไซต์นานแค่ไหน โปรแกรมนี้ส่วนใหญ่ประมวลผลข้อมูลแค่บางส่วนอย่างเช่น blacklink หรือจำนวน traffic

นาทีที่ 5:33 – 7:35 เราสามารถลองหา Keyword แบบง่ายๆ ผมยกตัวอย่าง เช่นคำว่า “ทำธุรกิจอะไรดี” มีคะแนน SEO แค่ 1 เท่านั้น หมายความว่า คู่แข่งน้อย ทำให้เรามีโอกาสไต่อันดับขึ้นมาอยู่หน้าแรกได้ง่ายๆ โดยคะแนนพวกนี้เป็นการนำทาง เพื่อให้เราเห็นภาพเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ขึ้นอยู่กับการอัพเดตของเว็บไซต์นี้ด้วย แต่จากที่ดูคราวๆและผลการค้นหา ถ้าเราใช้ Keyword คำว่า “ทำธุรกิจอะไรดี” เราก็สามารถไต่อันดับขึ้นมาอันดับได้เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญ คนที่ทำ SEO ช่วงแรกๆ เค้าไม่รู้ว่าจะเริ่มใช้ Keywordอะไรก่อนดี แต่เมื่อมีโปรแกรมนี้ช่วยนำทาง เค้าสามารถรู้ได้ว่า จะใช้ keyword อะไรเพื่อไต่อันดับเว็บไซต์ ส่วนคนที่รู้เรื่องการใช้การทำการตลาดแบบ SEO อย่างชำนาญแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านนี้ก็ได้ เพราะ เค้าจะทำหมดเรยทุก Keyword สำหรับคนที่มีเวลาน้อยหรือเพิ่งเริ่มต้น อยากจะค้นหา keyword โปรแกรมนี้สามารถช่วยคุณได้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของโปรแกรมนี้

นาทีที่ 8:00 – 8:40 นอกเหนือจากนี้ ยังมี PR (page rank) ซึ่งมีการอัพเดตช้า และ social media พวก Facebook, IG, TW, G+ และประมวลผลมาเป็น Rank หากอยากดูข้อมูลมากกว่านี้ ก็ต้องซื้อโปรแกรมนี้ นี้คือตัวอย่างเว็บไซต์ Kwfinder.com เป็นเว็บไซต์การวิเคราะห์ keyword นั้นเองว่ามันยากง่ายหรือไม่ 
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/keywords/how-to-use-keywords-finder-tool/

425
3 เส้นทางทำเงินธุรกิจการสอนออนไลน์ SEO&Training


ก่อนจะทำธุรกิจการสอน SEO และให้คำปรึกษา เริ่มต้นต้องมี Website และ Facebook  ในการโปรโมทก่อนครับ ในต่างประเทศเรียกธุรกิจการสอนว่าเป็นอาชีพ Infopreneur ขายสินค้าความรู้อยู่ในรูปแบบ Digital Products

วิธีการโปรโมทธุรกิจการสอนออนไลน์ที่ดีที่สุดวิธีหนึง คือการเขียน Blog และให้ความรู้ฟรีเบื้องต้นสม่ำเสมอ อย่างน้อย 10 เนื้อหา/เดือนหรือมากกว่า ทั้งในเว็บไซต์ และ  Fanpage หลังจากมี Blog Website และ Facebook  Fanpage ที่มีการให้ความรู้ฟรีอย่างต่อเนื่องแล้ว จึงสร้าง 3 ช่องทางทำเงินธุรกิจการสอน SEO

เส้นทางที่ 1 : ขายสินค้าที่คนเข้าถึงได้ง่าย ราคาไม่สูง
สินค้าราคาไม่สูง สินค้าที่คนเข้าถึงได้ง่าย ไม่ได้แปลว่าเป็นของไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่านี้คือ ด่านแรกที่คุณสามารถหยิบยื่นให้ลูกค้าได้ง่าย และลูกค้าก็เข้าถึงคุณได้ง่ายเช่นกัน เสมือนว่า ถ้าสินค้านี้ดี และเป็นประโยชน์กับเขาจริง เขาจะยินดีซื้อสินค้าที่ราคาสูงขึ้น เพื่อได้ประโยชน์สูงขึ้นนั่นเอง สินค้าประเภทนี้ คือ : E-Book และ Audio CD ครับ

ในเมืองไทยมีหลายท่านที่ขายเพียง E-Book อย่างเดียว โดยฝากขายกับ Ookbee, Se-ed, Naiin ก็สามารถทำเป็น[^_^]สร้างเงินให้แบบ กึ่ง Passive Income ได้ตลอดทั้งเดือน จนมองเห็นโอกาสในการทำ Infopreneur เต็มตัวในเวลาต่อมา

ทำไมต้องเป็น E-Book
ข้อดีของ E-Book
         1. ลูกค้าซื้อได้ง่าย ไม่แพง และใช้อ่านเพื่อเรียนรู้เบื้องต้นด้วย
         2. E-Book ดาวน์โหลดได้เร็ว เพราะ File จะเล็กมากเมื่อเทียบกับ DVD Video หรือ คอร์สออนไลน์
         3. E-Book เข้าถึงได้ง่าย และ ฝากขายผ่านตัวแทนได้ง่าย เช่น Ookbee, Se-ed, Naiin หรือ ผ่านนายหน้าออนไลน์ (Affiliate)
         4. E-Book ต่อยอดสู่การทำหนังสือเล่ม สร้าง Personal Brand ได้
         5. สามารถหยิบเนื้อหาใน Blog ทีเขียนฟรีมาปรับแต่ง เป็นหัวข้อ และเติมรายละเอียดให้เข้าใจง่าย และลึกมากขึ้น แล้วนำมาเขียน E-Book ได้
         6. เมื่อเขียน E-Book จะได้ไอเดียใหม่ๆ ที่ต่อยอดไปเขียนใน Blog สร้างเนื้อหาใหม่ๆได้ ไม่มีวันหมด และสร้างฐานผู้อ่านใหม่ได้ผ่าน Google และ Facebook
         7. E-Book เป็นสินค้าแบบ กึ่ง Passive Income ทำเสร็จ ฝากขายได้หลายเดือนและหลายปี มีเวลาเหลือไปเขียน E-Book เล่มใหม่ต่อ

ข้อเด่นชัด คือ การเขียน E-Book มีผลต่อทักษะการเขียน Blog และ Google SEO โดยตรง ช่วยการตลาดได้ดีเยี่ยม ตัวอย่างราคา :  E-BOOK จะอยู่ในช่วง 100-500 บาท อุปกรณ์ที่ต้องมี
         1. โปรแกรมพิมพ์งาน เช่น Word, Google Doc
         2. ภาพประกอบ E-Book

นักรบแชร์
นักรบเคยทำ E-Book อยู่ครั้งหนึงแต่ผลลัพธ์ไม่ดีมากพอ อาจเป็นเพราะเราไม่สะดวกในการขายอะไรยาวๆ ดูมันใช้เวลามากเกินไป ไม่คุ้มการทำ จึงเน้นทำวีดีโอคอร์สที่สั้น กระชับ เห็นภาพการทำงานทันทีดีกว่าครับ เป็นการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว แต่ละคนอาจไม่เหมือนกันครับ

ทำไมต้องเป็น Audio CD
         1. Audio CD ราคาไม่แพง ลูกค้าซื้อได้ง่าย ถ้าลูกค้าชอบ จะซื้อสินค้าที่แพงขึ้นและมีเนื้อหาเข้มข้นขึ้นไปอีก
         2. Audio CD ฟังได้แม้เดินทางบนรถ ซึ่งสินค้าแบบอื่นมักจะทำไม่ได้
         3. การอัดเสียงใน Audio CD จะฝึกทักษะการพูดได้ดี และต่อยอดสู่การพูดใน Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ได้
         4. การอัดเสียงใน Audio CD จะต่อยอดการเป็น วิทยากร และการจัดสัมมนาได้ เพราะได้ฝึกการพูดไปในตัวแล้ว
         5. Audio CD เป็นสินค้า ที่สามารถฝากขายผ่านตัวแทนได้
ข้อเด่นชัด : Audio CD มีผลต่อทักษะการจัดสัมมนา และวิทยากรโดยตรง ช่วยต่อยอดทักษะการพูดได้ดีเยี่ยม
ตัวอย่าง ราคา : Audio CD จะอยู่ในช่วง 100-500 บาท

เส้นทางที่ 2 : ขายสินค้าราคาปานกลาง ให้ประโยชน์และละเอียดมากขึ้น
สินค้าราคาปานกลาง ที่ให้ประโยชน์ ช่วยให้เห็นภาพและขั้นตอนได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มักจะเป็น Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ โดยสินค้าชนิดนี้ จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น และประหยัดเวลาเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น  สินค้าประเภทนี้ มักจะเป็น Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ (Online Courses) สอนวิธีการ (How To)

ทำไมต้องเป็น Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์
วีดีโอจะทำให้ผู้เรียนเห็นภาพ และขั้นตอนการทำได้เข้าใจง่ายกว่า การอ่านและการฟังเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนประหยัดเวลาเรียนรู้ได้เร็วกว่าเดิมมาก และได้รับประสบการณ์การเรียนแบบเห็นหน้า และฟังเสียงจากผู้สอน เพิ่มความสะดวกและเป็นมิตรระหว่างผู้เรียนและผู้สอนได้ดียิ่งขึ้น ข้อดีของ Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์
         1. ผู้เรียนเห็นขั้นตอนชัดเจน รวดเร็วผ่าน ภาพ เสียง และท่าทางผู้สอน
         2. ผู้เรียนสามารถชมวีดีโอทีไหน ก็ได้ ผ่านคอร์สออนไลน์
         3. การทำ Video จะต่อยอดสู่การจัดสัมมนาได้ เพราะจะเป็นการฝึกพูดและแสดงท่าทางไปในตัวของ Infopreneur
         4. Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ จะมีราคาที่สูงกว่า E-Book และ Audio CD เพราะมีขั้นตอนจัดทำและใช้ทักษะที่เพิ่มเข้ามาเช่น การแสดงท่าทางหรืออัดภาพเคลื่อนไหวประกอบ รวมทั้งลิขสิทธิ์ต่างๆที่ปรากฏบนวีดีโอ
         5. Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ ฝากขายผ่านตัวแทนได้
         6. Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ เป็นสินค้าแบบ กึ่ง Passive Income
ข้อเด่นชัด คือ การทำ Video DVD และ คอร์สออนไลน์  จะฝึกทักษะการพูด และแสดงท่าทาง เพื่อต่อยอดสู่การเป็นวิทยากรและจัดสัมมนาได้ ตัวอย่างราคา :  Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์  จะอยู่ในช่วง 500-3,000 บาท Tips :  จุดเด่นสูงสุดข้อหนึงของ Infopreneur คือ สินค้าความรู้ แบบ E-Book, Audio CD, Video DVD และ คอร์สออนไลน์ จะเป็นแบบกึ่ง Passive Income ทำจบขายได้ซ้ำ และมีเวลาเหลือในการสร้างสินค้าต่อ ราคาจะไม่สูงมาก แต่จะทำให้มีเวลาและชีวิตที่ออกแบบได้ แบบ Infopreneur

เส้นทางที่ 3 : สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อย, ที่ปรึกษา และโค้ชชิ่ง ให้ประโยชน์และละเอียดสูงสุด
ลูกค้าสามารถสอบถาม และพูดคุยกับผู้สอนได้โดยตรง อีกทั้งได้ Connection ใหม่ๆจากผู้เรียน ได้ทันที ซึ่งเป็นข้อเด่นของงานประเภทนี้ สินค้าประเภทนี้ คือ : สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อยๆ , ออกค่าย, โค้ชชิ่ง

ทำไมต้องเป็น สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อยๆ , ออกค่าย, โค้ชชิ่ง
การจัดงานเป็นการแบ่งปัน และถ่ายทอดความรู้แบบคลาสเรียน ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมักจะจัดในสถานที่ที่สะดวกสบายต่อการสอน และการพบปะระหว่างผู้เรียนและผู้สอน  ซึ่งเป็นก้าวถัดมาของผู้เรียนที่ต้องการได้เจอตัวผู้สอน และสอบถามโดยตรงมากยิ่งขึ้น ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้

ข้อดี สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อยๆ , ออกค่าย, โค้ชชิ่ง
         1. ผู้เรียนจะได้สอบถามปัญหาที่ต้องการ และเรียนรู้กับผู้สอนได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีที่เด่นชัดที่สุดข้อหนึง
         2. ผู้เรียนจะได้ Connection ใหม่ภายในงาน
         3. ผู้สอนสามารถสร้าง Personal Brand ทั้งภาพภายในงานและวีดีโอเพื่อจัดทำการตลาดต่อไป
         4. ผู้สอนสามารถสร้าง Connection ใหม่ๆ โดยการเชิญผู้สอนท่านๆอื่นร่วมงาน เพื่อแบ่งปันความรู้ได้อีกด้วย
         5. การจัดสัมมนาจะช่วยเสริมภาพลักษณ์และการสร้าง Brand ต่อยอดสู่การเขียนหนังสือ, ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ และสื่อต่างๆได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ข้อเด่นชัดที่มีผล คือ จะช่วยสร้าง Personal Brand ที่เห็นชัดที่สุด ถึงความเป็นมืออาชีพและชื่อเสียง อีกทั้งรายได้จากการจัดต่อครั้งจะสูงอีกด้วย ตัวอย่างราคา :  ราคา 3,000 – 20,000 บาท

ปัญหาของธุรกิจการสอน
         1. สร้างเนื้อหาฟรี ใน Blog Website และ Fanpage น้อยเกินไป และไม่ทำสม่ำเสมอ ทำให้ขายสินค้าความรู้ได้ยาก
         2. ไม่พัฒนาตัวเองเพิ่ม ทำให้มีความรู้น้อยเกินไปที่จะขาย
         3. ไม่ฝึกการเขียน ทั้งใน Blog, E-Book และ Fanpage ทำให้ไม่มีหนังสือและ E-Book ขาย
         4. ไม่ฝึกการอัดเสียงลง Audio CD ทำให้ไม่มีสินค้าชนิดนี้
         5. ไม่ฝึกการอัด Video ทำให้ไม่มีสินค้าชนิดนี้
         6. ไม่ฝึกการทำเว็บไซต์ และการตลาดออนไลน์ ทำให้ไม่มีช่องทางการขาย
Tips : ทุกอาชีพมีปัญหา และการแก้ไขปัญหาธุรกิจนี้  คือ การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการให้และแบ่งปันความรู้ คุณต้องเริ่มต้นด้วยการให้ความรู้ผู้คนก่อน แล้วจึงค่อยเปลี่ยนความรู้นั้น ที่ละเอียดและมีคุณประโยชน์มากขึ้นเป็นสินค้าเพื่อขายในภายหลัง

ประโยชน์ของ Digital Products
Digital Products คือ สินค้าดิจิทัลที่อยู่ในรูป Audio,Video หรือคอร์สออนไลน์
         1. สินค้าความรู้แบบกึ่ง Passive Income จะทำที่ไหน และเวลาใดก็ได้
         2. E-Book, หนังสือเล่ม, Audio CD, Video DVD และ คอร์สออนไลน์ เป็นสินค้าแบบกึ่ง Passive Income ทำเสร็จขายซ้ำได้ มีเวลาเหลือสร้างสินค้าใหม่ เพิ่มรายได้มากขึ้น
Tips : สินค้าความรู้ (Info Products) ของธุรกิจการสอน ไม่ต้องมีมากหมายหลายร้อยชิ้น คุณอาจมีเพียง E-Book, Audio CD, Video DVD / คอร์สออนไลน์ และ จัดงาน ก็เพียงพอต่อการทำธุรกิจการสอนแบบ Infopreneur แล้วครับ

สรุป
นี้เป็นการสรุปเกี่ยวกับอาชีพธุรกิจการสอนออนไลน์ Infopreneur และจากประสบการณ์ที่นักรบทำธุรกิจการสอน SEO ออนไลน์มา ก็พอจะเล่ามาได้ประมาณนี้ครับ หวังว่าอ่านแล้วจะได้ไอเดียกลับไปครับ
https://warrior.in.th/entrepreneur/infopreneur-income-way/

426
9 ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์


เจ้าของธุรกิจหลายคนจะรู้สึกเหมือนกันว่าการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และเข้าใจยาก หลายต่อหลายครั้งที่เขาจ่ายเงินทำโฆษณาออนไลน์ไป แต่กลับไม่ได้ลูกค้ามากขึ้นดังที่ใจคิด อีกทางหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจจะทำ คือ การจ้างนักการตลาดออนไลน์เป็นที่ปรึกษา ดูแลการตลาดออนไลน์ให้แทน แต่ถ้าหากยังไม่ได้ผล ทำไมเจ้าของธุรกิจถึงไม่ลองทดสอบและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างล่ะ ? ซึ่งอาจจะพบวิธีทำการตลาดออนไลน์และได้ลูกค้าใหม่ๆมาก็เป็นได้ บทความนี้ ” 9 ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์ ” จะเป็นการแนะนำ วิธีการทำการตลาดออนไลน์ด้วยตัวเอง ซึ่งนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะลองลงทุนเรียนรู้ และหาหนทางในการทำการตลาดออนไลน์ด้วยมือของคุณเองครับ

1. เริ่มต้นที่ Social Media
Social Media คือ เครือข่ายผู้บริโภคขนาดใหญ่ สถานที่ที่สามารถสร้างการรับรู้ (Awareness) และการ PR เป็นอย่างดี เพราะด้วยความสามารถในการกดชอบ (like), แสดงความคิดเห็น (Comment) และการแชร์ (Share) ล้วนส่งผลดีแทบทั้งสิ้น สามารถสร้าง Facebook Fanpage ได้ที่ คลิ๊กสร้าง Fanpage

2. เริ่มต้นเขียนบล็อก (Blog)
อย่าเพิ่งปฏิเสธการเขียน Blog เพราะ การเขียนบทความ (Articles) ใน Blog นั้นมีคุณค่ากับธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง เช่น การสร้างการรับรู้ (Awareness), ความน่าเชื่อถือ (Credibility) และ ความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจ (Authority) Tip : การเขียน Blog จะไม่เหมือนการเขียนงานเรียงความในมหาลัย (ซึ่งนั้นอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านเขียน) โปรดใช้เทคนิคการเขียนที่ง่ายต่อการอ่านแบบสแกน และย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย โดยเนื้อหาใจความโดยรวมไม่หลุดประเด็นไปจากหัวข้อหลัก

3. สร้างความสำพันธ์ ผ่านช่องทางสื่อ
สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มจำนวนการเข้าถึงของคนเข้าชมใหม่ๆ ถ้าที่ปรึกษาหรือทีมงาน ไม่ได้สร้างสายสำพันธ์กับนักเขียน หรือ Bloggers ไว้เลย มันคงน่าเสียดายมาก เพราะผู้เข้าชมส่วนใหญ่จะอยากติดต่อและพูดคุย สอบถามกับธุรกิจนั้นๆที่เขาสนใจ Tip : ติดตามนักเขียน ในช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Twitter ในกลุ่มธุรกิจของท่าน เพื่อที่จะแบ่งปันเนื้อหา แสดงความคิดเห็น เพื่อทราบทิศทางร่วมกันในอนาคต เวลาที่จะต้องนำเสนอข่าวสารร่วมกัน

4. นำเสนอเนื้อหาที่คนเข้าชมต้องการ
เชื่อมกับลูกค้าคนสำคัญได้ง่ายดายผ่านเนื้อหาที่ปรับแต่งเพื่อให้ใช้งานง่าย ในทางข้อมูล 61% ของลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจาก Brand ที่นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน Tip : ใส่ใจปัญหาผู้ฟังเป็นหัวข้อสำคัญในการทำเนื้อหาที่จะนำเสนอ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเนื้อหา และพัฒนารายงาน, eBooks, คู่มือ และ โพสบล็อก ที่ให้คุณค่ากับลูกค้าของท่าน

5. ใส่ใจการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ (Analytics)
มันง่ายดายที่จะรู้ว่าช่องทางสื่อออนไลน์ไหน ที่สร้างจำนวนคนเข้าชมได้มากมายผ่านเครื่องมือสถิติ เช่น Google Analytics เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ท่านไม่ควรทิ้งมัน หากแต่จะช่วยทำให้โฟกัสการทำงานได้มากยิ่งขึ้นในสื่อนั้นๆ Tip : ติดตั้ง Google Analytics ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อที่จะเช็คว่า กลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ ผ่านช่องทางไหนที่ได้ผลที่สุด

6. เช็คให้แน่ใจว่า E-Mail Marketing ยังสื่อสารถึงคนอ่านอยู่เสมอ
หากพูดถึงทุกวิธีทำการตลาด E-Mail Marketing ยังคงใช้ได้ผลอยู่เสมอ เป็นหนทางที่จะส่งเนื้อหาไปถึงผู้อ่านได้โดยตรง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าที่จะซื้อของจากท่าน และยิ่งท่านมีฐานสมาชิก E-Mail List มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประสบความสำเร็จในการเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้น Tip : โปรดใช้เวลาและใส่ใจกับหัวข้อใน E-Mail ให้มากหน่อย เพราะ 64% ของผู้รับจะเปิด eMail หลังจากที่เขาอ่านหัวข้อแล้วสนใจ เวลาที่ท่านใช้ไปกับการสร้างสรรค์หัวข้อ E-Mail จะช่วยการันตีถึงจำนวนการเปิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น

7. ปรับแต่งเว็บไซต์ (SEO) ให้ดีเยี่ยม
เช็คให้แน่ใจว่า Keywords บทเว็บไซต์ของท่าน เป็นสิ่งที่คนอ่านกำลังค้นหาอยู่จริงๆ ด้วยเครื่องมือวางแผนคำหลัก (Keyword Planner Tools) ของ Google ใน Adwords หากในเว็บไซต์ของท่านไม่มีเนื้อหา หรือ Keywords ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นไปได้สูงที่คนจะออกจากเว็บไซต์ของท่านทันที ส่งผลให้อัตราการออก (Bounce rate) ใน Google Analytics สูงขึ้น และ การตอบสนองจากผู้อ่านจะลดน้อยลงไป Tip : หากธุรกิจของท่านมีคำค้นหา (keywords) ที่หลากหลาย โปรดอย่ามองข้ามคำค้นหาที่เป็นภาษาพูด เพราะคำเหล่านี้ผู้อ่านมักจะใช้พิมพ์คําค้นหาใน Google ท่านสามารถใส่คำภาษาพูดที่เข้าใจง่ายในหน้า Blog ของท่านได้ครับ

8. จัดเวลาเป็น นักเขียน Blog รับเชิญบ้าง (Guest Blogging)
ท่านสามารถเข้าถึงคนอ่านได้มากมายผ่าน Blog ของท่าน แต่ท่านก็สามารถเพิ่มจำนวนคนอ่านใน Blog อื่นๆที่มีชื่อเสียงได้ผ่านการเป็นนักเขียน Blog รับเชิญ ซึ่งมีหลายๆ Blog ก็ยินดีต้อนรับ Guest Blogging Tip: การเขียน Guest Blogging ควรเขียนในเนื้อหาที่มีเป็นประโยชน์กับคนอ่านของเจ้าของ Blog เป็นสำคัญ เพื่อที่เนื้อหาที่เขียนนั้น สอดคล้องกับเนื้อหาเดิมใน Blog ก่อนหน้านี้

9. เช็คให้แน่ใจว่า ขั้นตอนการทำงานทั้งหมด รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
ทุกขั้นตอนสามารถทำได้สำเร็จได้ แต่ควรเช็คให้แน่ใจว่าทุกขั้นตอนนั้นทำงานสอดคล้องกันเพื่อให้ถึงเป้าหมายหลัก (Goal) ที่วางไว้ของธุรกิจของท่าน Tip : ก่อนที่จะทำการตลาดออนไลน์ ควรกำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้วว่าคืออะไร ? เช่น ต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Website Traffic), เพิ่มยอดขาย 200% หรือต้องการจะโปรโมทสินค้าตัวใหม่ โดยทุกๆขั้นตอนควรพุ่งประเด็นไปที่เป้าหมายของท่าน

การลงมือทำ ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์  จะได้ผลลัพธ์ที่วิเศษ
ถ้าท่านต้องการเงินในระยะสั้น การจ้างนักการตลาดออนไลน์เพื่อเป็นที่ปรึกษา อาจจะช่วยให้ท่านได้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ แต่ในธุรกิจขนาดเล็ก (SME) การขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาด โดยการลงมือทำด้วยตัวเอง จะทำให้เข้าใจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นอันส่งผลต่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด แบ่งเวลาที่ท่านมี เพื่อศึกษาขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์บ้าง และเทคนิคที่เผยแพร่ในบทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ท่านสามารถทดลอง เรียนรู้ และลงมือทำได้ทันที

พื้นฐานที่ควรมี (จาก Wikipedia)
การตลาดออนไลน์ ((Online Marketing) หรือ การตลาดบนอินเทอร์เน็ต ( Internet marketing)  คือ อะไร ? หรืออาจใช้ว่า i-marketing, web-marketing, Digital Marketing, การตลาดออนไลน์ (online-marketing) หรือ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
         1. เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market)
         2. เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication)
         3. เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถกำหนดรูปแบบ  สินค้าและบริการได้ตามความต้อง การของตนเอง
         4. มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer)
         5. เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours)
         6. สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response)
         7. มีต้นทุนต่ำแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที (Low Cost and Efficiency)
         8. มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing)
         9. มีการตัดสินใจในการซื้อจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ (Purchase by Information)

บทความนี้เป็นการฝึกแปลบทความจาก Ref : https://marketingland.com/9-steps-implementing-online-marketing-campaign-98393 Ref : https://th.wikipedia.org/wiki/การตลาดบนอินเทอร์เน็ต เรียบเรียงโดย นักรบสอนการตลาดออนไลน์
https://warrior.in.th/freelance-seo/nine-step-online-marketing/

427
SEO พื้นฐาน สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME


เจ้าของธุรกิจออนไลน์จะมองว่า SEO เป็นการทำการตลาดที่ซับซ้อน และมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้การทำ SEO เป็นเรื่องยาก สำหรับเจ้าของธุรกิจเสมอๆ ไม่เพียงแต่เจ้าของธุรกิจเท่านั้นที่จะมึนงงไปกับเทคนิค SEO ที่มากมาย เหล่านักการตลาดออนไลน์ทั้งใหม่และเก่า ต่างก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้หลายชั่วโมงเพื่อให้เข้าใจพื้นฐานการทำ SEO ได้ วันนี้

ผมนักรบจะช่วยไขปัญหาและอธิบายให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้นสำหรับคนที่สนใจการตลาดออนไลน์ผ่าน Google SEO เป็นหลัก ผ่านบทความ ” สอน SEO : เรียนวิธีการทำ SEO พื้นฐาน และเทคนิคการตลาดออนไลน์ สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME ” Tip : SEO สามารถต่อยอดสู่ Adwords ได้อย่างดีเยี่ยมในอนาคต แต่นักรบขอพูดถึงในโอกาสต่อไปครับ

SEO คืออะไร ?
SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ปรากฏในตำแหน่งที่ดีที่สุด  ในหน้าผลการค้นหาของ Google (SERP) หลังจากที่คนพิมพ์คำค้นหา (Keyword) ในธุรกิจของท่านเรียบร้อยแล้ว การทำ SEO ที่ดีจะทำให้หน้าเว็บไซต์ของท่านอยู่ในหน้าแรกของ Google อันดับ 1-10 ท่านจะมีคนเข้าเว็บไซต์เฉลี่ย 10-30% โดยเฉลี่ยของจำนวนยอดการค้นหาในแต่ละเดือน

ตัวอย่างเช่น
คำค้นหา (keyword) = เริ่มต้นธุรกิจ จำนวนการค้นหา = 1600 ครั้ง/เดือน (จาก เครื่องมือวางแผนคำหลัก Google keyword planner tools )

หลังจากพิมพ์คำค้นหา ” เริ่มต้นธุรกิจ ” ใน Google แล้วเว็บไซต์ของท่านอยู่ในอันดับ 1-10 ท่านจะมียอดคนเข้าเว็บไซต์อย่างน้อย 160-480 ครั้ง/เดือน โดยไม่เสียเงินค่าโฆษณา Adwords (อัตราเข้าชมเฉลี่ย 10-30% X 1,600) จะช่วยประหยัดเงินโฆษณา Google Adwords ได้สูงถึง 800-2,400 บาท/เดือนทีเดียว (ขอกำหนดราคาต่อคลิ๊กโดยเฉลี่ยที่ 5 บาท/คลิ๊ก)

การทำ SEO นั้นมีวิธีหลากหลาย และมีบทความสอน SEO ฟรีมากมาย แต่หากว่าบทความเหล่านั้นไม่ได้อัพเดทตามยุคตามสมัยของ Google ละก็ แทนที่จะเป็นผลดีให้เว็บไซต์ อาจส่งผลร้ายกับอันดับเว็บไซต์ของท่านก็เป็นได้ ฉะนั้นหากท่านไม่ทราบแน่ชัดว่า เทคนิค SEO ที่ท่านอ่านและเรียนรู้มา จะส่งผลดีหรือผลร้ายกับเว็บไซต์ของท่านกันแน่ โปรดอย่าทำตามเทคนิค SEO ทันที

โปรดศึกษาเทคนิคที่เรียนรู้มาให้แน่ชัด หากเป็นเทคนิควิธีการทำ SEO แบบสายมึด (Black Hat SEO) ท่านโปรดอย่าทำเป็นเด็ดขาด เพราะจะส่งผลเสียกับเว็บไซต์ของท่านในระยะยาว แต่หากพบว่าเทคนิควิธีการทำ SEO นั้นเป็นสายคุณภาพ (White Hat SEO) ท่านสามารถเดินหน้าลุยต่อได้เต็มกำลังครับ

เกี่ยวกับ Black-hat และ White-hat SEO
        1. Black Hat จะเน้นที่การขึ้นอันดับเร็ว ด้วยการสร้าง Black Link จำนวนมาก, การสร้างเครือข่าย Blog ส่วนตัวไม่มีคุณภาพ, การ Spam Keyword เป็นต้น
        2. White Hat จะเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่ดี และเกิดการบอกต่อเป็นธรรมชาติ มีสถิติผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ดี สม่ำเสมอ ทั้งในเว็บไซต์และสื่อออนไลน์อื่นๆ

ข้อแนะนำพิเศษ  โดยนักรบ
หากท่านไม่ทราบแน่ชัดถึงวิธีการทำ SEO ที่ได้ผลอย่างยั่งยืนในระยะยาว ขอให้ท่านมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่ดี และเป็นประโยชน์กับคนเข้าเว็บไซต์ (Quality Content) เป็นอันดับแรกก่อน  หลักจากศึกษาเทคนิคการทำ SEO จนค้นพบวิธีที่แน่ใจว่าได้ผล หลังจากนั้นค่อยนำมาใช้กับเนื้อหาดีอีกมากมายที่รอให้ท่านปรับแต่งได้อย่างเต็มกำลัง จนส่งผลดีกับเว็บไซต์ของท่านในระยะยาวครับ
https://warrior.in.th/entrepreneur/how-to-wordpress-seo/

428
Google Algorithm Update : Product Reviews วันที่ 8 เมษายน 2564



กูเกิล เสิร์ช มักจะแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่เสมอๆผ่านการทดสอบ, ทดลองและกระบวนการทบทวนต่างๆ จากขั้นตอนเหล่านั้นทำให้เรารู้ว่าคนชื่นชอบรีวิวสินค้าที่ละเอียด หาข้อมูลเชิงลึก มากกว่าสรุปเนื้อสั้นๆในกลุ่มสินค้านั้นๆ นี้คือเหตุผลว่า ทำไมพวกเราถึงแชร์การปรับปรุง Ranking systems ที่เรียกกว่า Product review update มันถูกออกแบบมาเพื่อให้รางวัลกับคอนเทนต์ที่ดีเหล่านั้น
 
การอัพเดทครั้งนี้ได้ถูกใช้งานกับภาษาอังกฤษก่อนเท่านั้น พวกเราเชื่อว่านี้จะช่วยส่งเสริมให้การผลิตคอนเทนต์รีวิวสินค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
 
ถึงแม้ว่าการอัพเดทครั้งนี้จะแยกออกจาก Core update เราก็มีคำแนะนำในการผลิตคอนเทนต์ดีๆที่เกี่ยวข้องนี้ ให้โฟกัสไปที่ภาพรวมของการนำเสนอคอนเทนต์เชิงลึก มีการค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างดีกับผู้อ่าน และเนื้อหาต่างๆนั้นถูกเขียนโดยผู้ที่ชำนาญหรือผู้ที่ชื่นชอบประเด็นนี้อย่างดี
 
สำหรับการผลิตคอนเทนต์เหล่านั้น นี้เป็นคำถามเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์เพื่อพิจารณาในแบบของการรีวิวสินค้า
        - แสดงความรู้อย่างผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินค้าอย่างเหมาะสมไหม ?
        - แสดงลักษณภายนอกสินค้า หรือวิธีใช้งาน มีคอนเทนต์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำหรือมากว่าเนื้อหาเดิมที่จัดเตรียมจากผู้ผลิตไหม ?
        - นำเสนอการวัดเชิงปริมาณ เช่น ความกว้าง ยาว สูง น้ำหนัก เกี่ยวกับสินค้าในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพไหม ?
        - อธิบายได้ว่าจุดเด่นของสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่งคืออะไร ?
        - การแสดงข้อมูลเปรียบเทียบสินค้า หรืออธิบายว่าสินค้าไหน อาจจะดีที่สุดกับผู้ใช้หรือตามแต่สถาณการณ์ไหม ?
        - แสดงความคิดเห็นในข้อดีและข้อเสียของสินค้า โดยมีพื้นฐานจากข้อมูลที่ค้นหามาแล้วไหม ?
        - อธิบายได้ว่าสินค้านี้เกี่ยวข้องกับสินค้าเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้อย่างไร หรือเปิดเผยข้อมูลในการปรับปรุงประเด็นสำคัญ เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจซื้อไหม ?
        - ระบุปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจสำหรับหมวดหมู่สินค้าต่างๆเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น การรีวิวรถ ควรบอกอัตาการกินน้ำมัน, ความปลอดภัย, การควบคุมรถ เหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญในการตัดสินใจในกลุ่มสินค้านี้ไหม ?
        - อธิบายถึงทางเลือกที่สำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์และผลกระทบต่อผู้ใช้นอกเหนือจากที่ผู้ผลิตกล่าวไว้ไหม ?
 
พวกเราหวังว่าการนำเสนอข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ
แปลและเรียบเรียงโดยนักรบ
ที่มา https://developers.google.com/search/blog/2021/04/product-reviews-update

https://warrior.in.th/freelance-seo/job/google-algorithm-update/search-algorithm-product-reviews/

429
รวมนักทำ SEO ฟรีแลนซ์คนไทย (Thai Freelance Specialist)


รวม Blog ของฟรีแลน์เอสอีโอชาวไทย (Thai Freelance Specialist) ที่นักรบอ่านผ่านตามาแล้วบ้าง และยอมรับว่าควรแนะนำบอกต่อ ** นักรบดูแต่ส่วนของ Free Knowledge นะครับ ฉะนั้นหากผู้อ่านสนใจ Paid Service ต่างๆของผู้สอนแต่ละท่าน ควรรีเช็คให้แน่ใจว่าเหมาะกับตัวเองไหม และสอบถามไปกับผู้สอนโดยตรงครับ

Thai Freelance SEO Specialist Blog ที่น่าติดตาม
นักรบรวมแต่ฟรีแลนซ์นะครับ เพราะส่วนตัวจะชอบอ่านบทความที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจนในการทำเอสอีโอของฟรีแลนซ์ครับ
       - Padveewebschool.com สอนการทำ SEO & WordPress ฉบับพัดวี
       - Chalakornberg.com สอนการทำ SEO สไตล์โบ๊ะบ๊ะ ฉบับคุณเม
       - Funnel.in.th สอนการทำ SEO เน้นกลุ่ม Business ฉบับคุณเจ
       - Rungwat.com สอนการทำ SEO เป็นภาษากันเองเข้าใจง่าย ฉบับคุณนิว
       - Papayiw.com สอนการทำ SEO ประสบการณ์ Agency ต่างประเทศ ฉบับคุณยิว
       - Thewhitemarketing.com สอนการทำ SEO และ Digital Marketing ด้านอื่นๆ

หากไม่มีเวบอื่นในนี้ แปลว่าผมยังไม่เห็นผลงานที่นานเพียงพอครับ ขอให้ทำสอนฟรีไปเรื่อยๆจนกว่าผมจะเห็นครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/thai-freelance-specialist/

430
SEO Agency vs In-House SEO Team แบบไหนดีกว่ากัน


สำหรับการทำธุรกิจในปัจจุบัน การทำตามตัวอย่างที่ได้ผลแล้ว มีส่วนช่วยเพิ่มความสำเร็จเป็นอย่างมาก เช่น การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อได้รับอันดับที่ดีในกูเกิลเสิร์ช การมีคีย์เวิร์ดสำคัญๆที่ติดหน้าแรกกูเกิล ส่งผลต่อจำนวนทราพฟิคที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย แต่ใครล่ะจะเป็นคนทำ SEO ได้ดี ระหว่างการสร้าง SEO In-house Team หรือจ้าง SEO agency มาช่วย

ในบทความนี้จะพูดถึงเรื่อง…
        - In-house SEO และ SEO Agency คือ อะไร ?
        - ความแตกต่างระหว่างทั้งสองและข้อดีข้อเสียต่างๆ
        - แบบไหนที่เหมาะกับเรา

SEO In-house Team คือ…
SEO in-house team คือ การสร้างทีมการตลาดเอสอีโอขึ้นมาเองภายในหน่วยงาน อาจจะคัดคนที่น่าสนใจ มีพื้นฐาน หรือมีหน่วยก้านดีพอที่จะฝึกฝนและพัฒนาต่อไปเป็นตำแหน่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
สมาชิกในทีม In-house SEO จะมีตำแหน่งเรียกเช่น
        - SEO Specialist
        - SEO Manager
        - SEO Director
จำนวนสมาชิกในทีมและชื่อเรียกตำแหน่ง จะขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัทที่จัดตั้งทีม


ความแตกต่างระหว่าง In-house SEO และ SEO Agency
ความแตกต่างสามารถมองได้หลายแบบ เช่น ความรวดเร็วในการทำงาน ทักษะความถนัดในสายงาน ราคา และความคุ้มค่าการลงทุน
โดยทั่วไปแล้ว การจ้างทำจะได้มืออาชีพมาทำงาน ปรับเปลี่ยนเอเจนซี่หลังหมดสัญญาได้ง่ายกว่าการสร้างทีมเอง และเริ่มต้นทำงานได้เร็วกกว่าสร้างทีมเอง
ถึงจุดนี้คุณอาจจะเลือกไม่ถูกว่าจะสร้างทีมเองหรือจ้างเอเจนซี่ดี ลองมาดูข้อดีและข้อเสียของแต่ละแบบด้านล่างนี้ ไว้ประกอบการตัดสินใจครับ

ข้อดี-ข้อเสียของการสร้าง In-house SEO Team
ข้อดี :
        - สามารถมองเห็นเนื้องานที่คืบหน้าได้ชัดเจนกว่า และสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็วกว่า
        - ทีมงานรับผิดชอบเกี่ยวกับเว็บไซต์ของบริษัทตัวเองเท่านั้น
        - ทีมงานภายในบริษัท มีความเข้าใจวัฒนธรรม คุณค่าและภาพรวมของกิจการได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
        - ทีมงานจะประสานงานกับทีมอื่นได้ เพราะมีความคุ้นเคยกับทีมงานอื่นๆ เช่น ทีม PR, ทีม Web Dev, ทีมขาย และทีมโซเชียลมีเดีย
ข้อเสีย :
        - ใช้เวลาฝึกฝนทีมงานนาน เพราะอาจจะต้องเริ่มสอนตั้งแต่พื้นฐาน
        - แบกรับค่าใช้จ่ายของทีมงานประจำทั้งทีม และค่าชดเชยต่างๆกรณีให้ออกจากงาน
        - ทีมงานอาจไม่มีเวลาจัดการทำเอสอีโอเต็มที่ เพราะอาจมีงานเดิมที่ดูแลอยู่แล้ว
        - เนื้องานและผลงานการทำเอสอีโออาจช้าหรือน้อยเกินไป เพราะไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้ เนื่องจากขาดประสบการณ์


ข้อดี-ข้อเสียของการจ้าง SEO Agency
ข้อดี :
        - การจ้าง SEO Agency จะสามารถมีคนทำงานที่มีประสบการณ์พร้อมทำงานได้เลย เร่ิมต้นได้เร็วกว่า
        - การปรับเปลี่ยนเอเจนซี่หลังหมดสัญญาได้ง่ายกว่าการเปลี่ยนทีมภายหน่วยงาน
        - โดยส่วนใหญ่ Agency จะมีการติดตามและอับเดทความรู้ในแวดวงเอสอีโอได้ดีกว่าทีมงานภายในหน่วยงาน
ข้อเสีย :
        - เอเจนซี่อาจรับงานมากเกินไป ทำให้ดูแลลูกค้าไม่เต็มที่
        - การติดต่อประสานงานกัน จะทำได้ช้ากว่า
        - การค้นหาเอเจซี่ที่เหมาะกับกิจการของตัวเองทำได้ยาก และต้องใช้เวลา
        - มีราคาสูงกว่าเพราะต้องจ่าย 2 ต่อ ให้กับทีมงานและส่วนต่างกำไรของเอเจนซี่

เลือกแบบไหนดี
การเลือก SEO Agency หรือ In-house team อยู่บนพื้นฐานของหลายปัจจัยที่แตกต่างกัน และปัจจัยหลักที่มีผลมาก คือขนาดของกิจการและการแข่งขัน

หากคุณเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ การเลือกตัวเองหรือหุ้นส่วนหลัก ดูแลการตลาดดิจิทัลก่อนเป็นเรื่องดีที่ และสามารถต่อยอดไปยังการสร้างทีม หรือจะประสานงานกับเอเจนซี่ก็สามารถทำได้ เพราะมีประสบการณ์อยู่บ้าง จะช่วยประหยัดและลดความเสี่ยงได้อย่างหลายด้าน

หากคุณเป็นเจ้าของกิจการขนาดกลาง-ใหญ่ การเลือกจ้างเอเจนซี่จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่า เพราะการทำงานของมืออาชีพจะช่วยขัดเกลาทีมงานภายในองค์กรไปพร้อมๆกัน และเริ่มทำการตลาดได้ทันที หลังจากนั้นทีมภายในหน่วยงานได้เรียนรู้จากเอเจนซี่ ก็สามารถสร้างทีมภายในขึ้นมาทีหลังได้
https://warrior.in.th/entrepreneur/seo-agency-vs-inhouse-seo-team/

431
ทำ SEO เวบขายของออนไลน์
ประสบการณ์ทำ SEO ให้เวบไซต์ตัวเอง ส่งเสริมการขายของออนไลน์ ยอดขายเกินล้านใน 6 เดือนแรก โดยใช้เงินลงทุน Google Ads และ Facebook Ads เพียง 3,000 บาท / เดือน ลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 60 % มาจากช่องทาง Organic Search ที่ทำ SEO ไว้

ทำ SEO เว็บขายของของตัวเอง
ทำ SEO ให้เวบไซต์ตัวเอง ส่งเสริมการขายของออนไลน์ สร้างยอดขาย โดยใช้เงินลงทุน Google Ads และ Facebook Ads เพียง 3,000 บาทต่อเดือน เป็นตัวอย่างให้กับธุรกิจขนาดเล็ก

SEO Agency Team ให้กับบริษัทขนาดใหญ่
รับทำ SEO ให้บริษัทขนาดใหญ่ ดูแลครบวงจรในส่วนของ Search Marketing เช่น สร้างเว็บไซต์ Shopping Cart, Website Development, Content Marketing, Social Media , SEO, PPC และอื่นๆ

รับทำ SEO กับบริษัทนักรบ ดีอย่างไร ?
บริษัทรับทำ SEO ส่วนใหญ่กว่า 99% จะไม่สอนเจ้าของธุรกิจให้ดูแลต่อได้ ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องจ่ายเงินค่าทำการตลาดตลอดไป ซึ่งต่างจากบริษัทนักรบ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลกรในบริษัทของท่าน เพื่อที่จะดูแลการทำ SEO ได้เอง และสร้าง Content ที่รองรับการทำเอสอีโอได้ดี มีความมั่นคงในระยะยาว

บริษัทรับทำ SEO แบบนักรบ มีทีมที่ผ่านการฝึกฝนการทำ SEO มาเป็นอย่างดี ผลงานเว็บ E-Commerce กว่า 90% ล้วนมาจากกูเกิลเสิร์ช จึงมั่นใจได้ว่า ทีมเราคือผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพจริง

ผลลัพธ์การรับทำ SEO ให้ลูกค้า

สนใจทำ SEO ขอคำปรึกษา  https://warrior.in.th/seo-services/

432
ฟรีแลนซ์ รับทําเว็บไซต์ WordPress สร้างรายได้เก็บเงินแสนใน 1 ปี


เปลี่ยนชีวิตจาก Webmaster ใน Office สู่ Freelance Digital Marketer (SEO,SEM,WordPress)

สวัสดีครับ นี้เป็นบทความที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของนักรบ เพื่อเป็นความรู้ให้กับคนรุ่นหลังที่สนใจอาชีพ ” รับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress ” ดูแนวทางนักรบไปปรับใช้กับตัวเองครับ

สามารถสร้างรายได้หลังเลิกงาน จะทำแบบ Fulltime/Partime เป็นธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ไว้เก็บเงินหลักแสนได้ในเวลาไม่นานนัก อีกทั้งยังลงทุนไม่สูงมากด้วยครับ

ฟรีแลนซ์เริ่มต้น รับทําเว็บไซต์ด้วย WordPress  8,000-15,000 ฿

ช่วงเริ่มต้นถ้ายังใช้ WordPress ไม่คล่อง ให้ทำเว็บไซต์ให้คนรู้จักเพื่อฝึกฝีมือและรับทำเว็บไซต์ในราคาเพื่อนๆกัน ที่ 8,000-15,000 บาทก่อน เพื่อฝึกรับมือกับ Requirement ที่สามารถต่อรองได้ และควรเป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลง่ายๆไม่มีระบบอะไรซับซ้อนครับ

ตัวอย่างผลงานด้านบนเป็นเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ใช้เวลาทำงานประมาณ 15-20 วัน ต่อ 1 เว็บไซต์ โดยคิดราคาช่วงเริ่มต้น อยู่ในช่วง 8,000-15,000 ต่อเว็บไซต์ โดยผู้ที่จะสามารถทำได้ ควรรู้พื้นฐานของ WordPress ทั้งหมด และฝึกการใช้งาน Theme WordPress อีก 40-60 ชั่วโมง   โดยประมาณครับ

ฟรีแลนซ์มืออาชีพ รับทําเว็บไซต์ด้วย WordPress 25,000 – 50,000+ ฿
เมื่อเข้าใจและใช้ WordPress ได้อย่างคล่องแคล่ว ก็จะสามารถรับงานระดับมืออาชีพ ที่ราคา 25,000 – 50,000 บาทขั้นไปได้

ตัวอย่างนี้ใช้ Premium Theme ครับ โดยคนที่จะสามารถทำได้จะต้องมีพื้นฐานการใช้งาน WordPress ทั้งหมด รวมทั้งผ่านประสบการณ์การรับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress แบบง่ายๆมาก่อน 2-3 เว็บ

รวมทั้งมีความสามารถในการจัดการ plugin ที่ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้ โดยทักษะเหล่านี้ควรผ่านการทำงานจริงมาแล้ว มากกว่า 100+ ชั่วโมงครับ

Tips :  วิธีการทำการตลาดอาชีพรับทําเว็บไซต์ WordPress
อาชีพรับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress สามารถหางานได้ง่าย หากมี Connection และมีผลงานสม่ำเสมอๆให้คนใกล้ๆชิด หรือคนรู้จักทราบในโลกออนไลน์ โดยวิธีการที่ดีที่สุด คือการให้ความรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ผ่าน Blog + Social Media นั้นเอง

อาชีพรับทำเว็บไซต์ จะต้องเจอกับคู่แข่งที่เป็นบริการ สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปซึ่งบริการเหล่านี้จะฟรี เรามาดูวิธีแก้ไขที่นักรบแนะนำครับ

คนทำรับทำเว็บไซต์หากต้องการความยั่งยืนและประสบความสำเร็จในระยะยาว ควรต่อยอดการรับทำเว็บไซต์แบบเฉพาะทาง  (Niche Market)

การรับทำเว็บไซต์แบบเฉพาะทาง  (Niche Market) เช่น รับทําเว็บไซต์ WordPress โรงแรมโดยเฉพาะ, รับทําเว็บไซต์ WordPress การขายของออนไลน์โดยเฉพาะ, รับทําเว็บไซต์ WordPress สำหรับนักเขียนโดยเฉพาะ เป็นต้นครับ

ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือก และต่อกรกับผู้ให้บริการฟรีเว็บไซต์ได้ เพราะมีระบบเว็บที่เฉพาะกลุ่มลูกค้ามากกว่าครับ

ทําเว็บไซต์ WordPress ได้แล้ว ให้ต่อยอดเรียนรู้เรื่องการตลาดออนไลน์ด้วยล่ะ
เมื่อทำเว็บไซต์เป็นแล้ว ก็อย่าอยู่กับที่ ไม่พัฒนาฝีมือตามยุคตามสมัยล่ะ ก็เพราะเดี๊ยวนี้ เว็บมันทำง่ายขึ้น ระบบเปิดเว็บไซต์ฟรีก็มีมากมาย หากไม่ปรับตัวกัน มีหรือคนทำเว็บไซต์จะอยู่รอด ก็คงไม่พ้นหนีไปทำอาชีพอื่นอยู่ดี

แล้วจะมานั่งบ่นๆเรื่อยๆ ว่าอาชีพนี้ไม่ดีอย่างโง้น อย่างงี้ จริงๆ มันก็เป็นทุกอาชีพนะเหละครับ มันต้องปรับตัวและพัฒนากันทั้งนั้น ถ้าไม่พัฒนาตัวเอง มันก็เหมือนถอยหลังลงคลอง รายได้หดหาย ไม่ใช่เพราะอาชีพไม่ดี แต่ลืมดูตัวเองไป ว่าไม่พัฒนาเองขึ้นเลย ฉะนั้นควรพัฒนาตัวเองด้าน Digital Marketing เพื่อทำการตลาดให้ธุรกิจของตัวเอง หรือจะทำการตลาดให้ลูกค้าก็ยังได้ครับ

สอนสร้างเว็บไซต์ WordPress

วีดีโอสอนพื้นฐาน WordPress แบบจดโดเมนและเช่า Hosting เอง
       - ทำไมต้องใช้ WordPress สร้างเว็บไซต์
       - จดโดเมน & เช่า Hosting
       - ติดตั้ง WordPress ผ่าน Cpanel
       - ติดตั้ง Free Theme สำหรับ Web Blog
       - การตั้งค่า WordPress Setting
       - การตั้งค่าหน้าแรกของเว็บไซต์ และ หน้า Blog
       - สร้างเรื่อง (Post)
       - สร้างหน้า และเมนู (Page & Menu
       - ปรับแต่ง Theme WordPress
       - วิธีติดตั้ง Plugin & ตัวอย่างการติดตั้ง Facebook Fanpage Widget
       - ตัวอย่างเว็บไซต์ ที่ใส่ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว

FAQ : คำถามที่พบบ่อย
อาชีพรับทำเว็บไซต์ เป็นธุรกิจที่ทำเสริมนอกเวลางานประจำได้ ไม่ต้องลงทุนสูงมาก ใช้เพียง Computer, อินเตอร์เนต และความรู้ที่สามารถเรียนได้จากโลกออนไลน์ หรือหนังสือ โดยคนที่ทำได้ต้องมีใจรักในงานนี้ด้วย ก็จะฟั่นฝ่าอุปสรรคไปได้ครับ

1. รับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress เป็นอาชีพเสริมสร้าง[^_^]ที่ทําที่บ้าน ไม่ต้องลงทุนสูงได้อย่างไร ?
อาชีพรับทำเว็บไซต์ เป็นธุรกิจที่ทำเสริมนอกเวลางานประจำได้ ไม่ต้องลงทุนสูงมาก ใช้เพียง Computer, อินเตอร์เนต และความรู้ที่สามารถเรียนได้จากโลกออนไลน์ หรือหนังสือ โดยคนที่ทำได้ต้องมีใจรักในงานนี้ด้วย ก็จะฟั่นฝ่าอุปสรรคไปได้ครับ

2. ทําไงให้มีเงิน จากอาชีพรับทําเว็บไซต์ ?
รับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress สิ ทำได้ง่ายหนังสือและคอร์สเรียนสอนฟรี มีเยอะมาก แต่พอทำได้แล้ว ต้องสร้าง Brand ให้ตัวเองผ่าน Blog ด้วยนะ จะได้มีลูกค้าใหม่แวะเวียนมาเสมอ มี Connection ใหม่ๆ ตลอด จะได้มีรายได้เรื่อยๆทุกเดือน

อาชีพรับทำเว็บไซต์ เป็น ” อาชีพอิสระ (freelance) ได้ แต่จะต้องเก่งและมีวิธีการทำการตลาดออนไลน์ให้ตัวเองจริงๆ ถึงจะทำได้ โดยมีประสบการณ์ และมี Connection ที่มาจาก Blog และเว็บไซต์ได้นั้นเอง

คนเพิ่งเริ่มทำเว็บไซต์ หากไม่มี Blog ไว้โปรโมทผลงานตัวเองที่ใช้หลัก SEO ด้วย อย่าออกไปทำ Freelance เร็วเกินไป เพราะจะหางานไม่ได้นะ

3. ทำช่วงแรกไม่มีงานทำ อยากมีงานทําเว็บไซต์ ทําไงดี ?
เริ่มแรกจากคนรู้จักก่อน โปรโมทตัวเอง Social Media ของตัวเองก่อน เวลาโปรโมทก็ทำให้ดูมืออาชีพนิดหนึง แนบผลงานสวยๆ ราคาและรายละเอียดเบื้องต้นให้ครบ อ๋ออย่างลืมข้อมูลติดต่อกลับด้วยล่ะ ทำเสร็จก็โพสใน Status Facebook ส่วนตัวให้คนรู้จักเห็น นี้เป็นวีธีง่ายๆในการโปรโมทตัวเองเลยนะ อีกวิธีหนึง ก็แวะเวียนไปตามกลุ่ม Facebook หรือ Webboard ที่มีลูกค้าเราอยู่บ้าง ไปอ่านไปตอบไปแชร์ความรู้ให้เขา เวลาแชร์ก็อย่าทำง่ายๆ แค่พิม Comment แต่ให้แชร์เป็น Blog เป็นบทความที่เราเขียนขึ้น หรือวีดีโอที่ทำขึ้นเลยดีกว่า มันเข้าใจง่ายกว่าเยอะ และเป็นการโปรโมทตัวเองไปในตัวด้วย ดีไหมล่ะ ^_^

4. รับทําเว็บไซต์ WordPress ทำนอกเวลางานประจำได้ไหม ?
รับทำเว็บไซต์สามารถนอกเวลางานประจำได้ เพราะติดต่อออนไลน์เป็นหลัก ทั้งรับงาน ส่งงาน อาจจะมีบ้างที่ต้องโทรศัพท์คุยรายละเอียด แต่คุยหลังเลิกงานได้นะ ถ้ารับทำเว็บไซต์งบไม่มาก ไม่ต้องไปพบคนว่าจ้างก็ได้ แต่ถ้าจ้างสูง มีถ่ายรูปสินค้าหน้าร้าน ก็อาจมีนัดคุยรายละเอียดกันไปตามเหมาะสม ตรงนี้ก็อยู่ที่ประสบการณ์ของแต่ละคนแล้วล่ะ ว่าจะจัดสรรเวลาอย่างไร แต่มั่นใจได้ระดับหนึงว่าทำงานเป็นธุรกิจเสริม นอกเหนืองานประจำได้นะ

5. วิธีสร้างรายได้จากการรับทําเว็บไซต์ WordPress นั้นทำอย่างไร ?
มันมีหลายขั้นตอนเหมือนหลายๆอาชีพนั้นเหละ ก่อนจะไปรับงานก็ต้องเล่น Theme WordPress ให้เก่งๆก่อน แนะนำ Theme ที่ Themeforest.net นะ เลือก Theme ดีๆหน่อย มีคนพัฒนาดีๆ และ Support ดีๆบ่อยๆ  พอเล่นคล่องแล้ว ค่อยหางาน และพูดคุยเกี่ยวกับการรับงานต่อไป มันหลายขั้นตอนหน่อย แต่ถ้าทำบ่อยมันจะเป็นอัตโนมัติ
          1. หางานให้ได้ก่อน ตรงนี้สำคัญ ถึงบอกว่าให้เขียน Blog หรือ ทำวีดีโอ แบ่งปันความรู้บ้าง จะได้ดึงดูดลูกค้ามาให้รู้จักเราสม่ำเสมอ
          2. พอมีลูกค้า ก็พูดคุยเนื้องานเว็บไซต์ ตรงนี้ก็สำคัญนะ ถ้าตรงไหนทำได้ก็บอกลูกค้าไปตรงๆ ตรงไหนทำไม่ได้ ก็บอก และให้ลูกค้าจ่ายเงินเฉพาะส่วนที่ทำได้ก็พอ ที่เหลือเก็บไว้พัฒนาต่อได้ ภายหลังจากที่มี Plugin ดีๆมาแล้ว
          3. คุยเสร็จ ต้องมัดจำเงินล่วงหน้าด้วยนะ ถ้าคนกันเอง หรือรับงานครั้งแรก ยังไม่กล้า ก็รับเงินหลังจากส่งงานครั้งแรกก็ได้ แต่ถ้าทำไปสักพัก เก่งแล้ว ก็รับล่วงหน้า 30% ก็ได้จ้า
          4. จบงานให้ได้ตามเนื้อหาที่คุยกับลูกค้าไว้ ตรงไหนทำไม่ได้ก็บอกตรงๆ ส่วนใหญ่เวลาจบงาน ถ้า Theme ที่เลือกมัน Support ความต้องการลูกค้าแล้วมันจะง่าย มันจะจบงานเร็ว แนะนำให้หา Theme ดีๆ มาเล่นก่อน ให้เวลากับมันนิด พอคล่องมันช่วยได้เยอะเวลาทำงาน
          5. เรื่องดูแลบริการหลังการขาย หรือการทำการตลาดออนไลน์ ก็ต้องมีนะ โดยคิดเป็นค่าดูแลรายปีหรือรายเดือนก็ได้ แล้วแต่ตกลง


6. ปัญหาอาชีพรับทําเว็บไซต์ด้วย WordPress นี้มีไหม ?
มันก็มีปัญหากันทุกอาชีพเหละ มีอาชีพไหนบ้างไม่มีปัญหา ถ้าทำแล้วหาเงินงานไม่ได้ ก็ทำ Blog หรือ ทำวีดีโอโปรโมทผลงาน หรือ แบ่งปันความรู้สิ ต่างประเทศทำกันตั้งนานแล้ว ถ้าทำงานแล้วจบงานไม่ได้ ก็ดูสิว่าเพราะอะไร คุยเนื้องานไม่ละเอียดหรือปล่าว เราไปรับงานที่ทำไม่ได้หรือปล่าว ถ้าเอาแบบแนะนำง่ายๆ สำหรับมือใหม่เลยนะ ก็เล่นธีมเวิร์ดเพรสให้คล่องก่อน เลือกธีมดีๆแล้วไปรับงาน อย่าไปรับงานที่มีฟังชั่นเยอะๆอะไรมากมายนัก เอาแค่โชว์ข้อมูลที่ theme ทำได้ก่อน

7. ปัญหาของมืออาชีพ คือ มีงานมากเกินไป
คนที่รับทำเว็บไซต์เก่งๆจะมีงานล้นมือ และรับงานมากเกินไปจนทำไม่ได้ วิธีแก้ไขคือ รู้ลิมิตตัวเองว่า 1 เดือนทำได้กี่เว็บ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 1-3 เว็บไซต์/เดือนเท่านั้น
ฉะนั้นถ้ามีงานเข้ามา ก็ให้แจ้งลูกค้าทันทีว่าจะเริ่มงานได้เดือนไหน ถ้าลูกค้ารอได้ก็ดีเลย อย่ารับงานซ้อนกันเพราะจะทำไม่ทันครับ (หรือบางคนอาจส่งงานต่อให้คนรู้จักและเก็บค่าหัวคิว แต่วิธีการนี้ไม่แนะนำเพราะอาจควบคุมคุณภาพไม่ได้ อีกอย่างลูกค้าอยากให้คุณทำเว็บ ไม่ได้อยากให้คนอื่นทำให้ครับ)

สรุป
เอาละครับถึงตรงนี้ก็พอจะได้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพรับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress ไปไม่มากก็น้อย หวังว่าบทความนี้จะช่วยเพิ่มมุมมองอะไรใหม่ๆ และพัฒนาความคิดให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวสู่เส้นทางนี้ได้ดีขึ้นนะครับ
นักรบ – ลุย !!!
https://warrior.in.th/jobs/wordpress/

หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 27