แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - kdidd

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
91
พริกไทยดำ อัพเดท

93

ถังเช่าหรือ ตังถังเช่า สุดยอดยาโดปในปัจจุบัน

96
ถังเช่า อัพยาวๆเลยครับ

97
ถังเช่า หรือตังถังเช่า อันเดียวกันครับ

99

ถังเช่าดูต่อคนมากๆ

101

เคล็ด(ไม่)ลับ...กับการปลูกกวาวเครือแดง
            สุดยอดสมุนไพรที่ท่านชายนิยมมาใช้บำรุงร่างกายเป็นอันดับต้นๆ  เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อสมุนไพร "กวาวเครือแดง" เป็นหนึ่งในนั้นแน่ๆ โดยปกติแล้ว "กวาวเครือแดง" มักพบมากในป่า โดยต้นจะพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่ๆ แต่ในระยะหลัง มีการเพาะพันธุ์ "กวาวเครือแดง" มากขึ้น และเริ่มแพร่หลายไปในทุกภาคของประเทศ สาเหตุที่ต้องเพาะพันธุ์ กวาวเครือแดงเองนั้น  เพราะการขยายพันธุ์ในธรรมชาตินั้น ไม่สามารถที่จะควบคุมปัจจัยและสภาวะที่เหมาะสมในการกระจายพันธุ์ของกวาวเครือแดงได้   เพราะหากไม่มีการเพาะพันธุ์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์โดยหวังว่าจะไปหาจากป่าอย่างเดียวก็อาจจะสูญพันธุ์ไป เช่นเดียวกับสมุนไพรหลายๆตัวที่สุ่มเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในขณะนี้ เช่น เถาวัลย์เปรียง  เจตมูลเพลิงแดง  สมอไทย  และสมอพิเภก ส่วนการเพาะ และการขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ที่นิยมทำกันนั้นทุกท่านอยากรู้กันไหมครับ  เอาเป็นว่าอยากรู้ละกันนะครับ (แบบถามเองตอบเอง)  สำหรับการขยายพันธุ์ "กวาวเครือแดงและกวาวเครือขาว" นั้น หลักๆมีอยู่ 3 วิธี ที่นิยมทำและมีอัตราการรอดสูง คือ การเพาะเมล็ด  การปักชำ  และ การแบ่งหัวต่อต้นโดยมีวิธีการต่างๆ ดังนี้ คือ

  • การเพาะเมล็ด ก็คือ การนำเมล็ดกวาวเครือแดงมาเพาะในขี้เถ้าเลย แล้วนำต้นกล้าที่ได้ไปปลูกในถุงเพาะชำ โดยใช้ดิน 2 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ และ เปลือกมะพร้าว อย่างละส่วน พอมีอายุได้ 2 เดือน  จึงนำไปลงแปลงปลูก โดยต้องหาหลักไว้ให้ต้นพันเกาะขึ้นด้วย
  • การปักชำ มีวิธีดังนี้ นำเถาของกวาวเครือแดง ที่มีข้อมาปักชำในวัสดุเพาะเลี้ยง พอแตกรากจึงนำไปปลูกในแปลง
  • การแบ่งหัวต่อต้น คือ นำหัวของกวาวเครือแดง ที่ไม่มีตาจะแตกต้นใหม่ มาเชื่อมต่อตามวิธี ต่อราก เลี้ยงกิ่ง หลังการต่อต้นประมาณ 2 เดือน จึงนำไปปลูกลงแปลงได้


            เห็นไหมละครับ เพียงแค่นี้ การปลูกกวาวเครือแดงก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกท่านอีกต่อไป  "ตามหัวข้อ เคล็ด (ไม่)ลับ...กับการปลูกกวาวเครือแดง" โดย 3  วิธีที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีที่นิยมทำกัน แต่หากท่านใดมีวิธีอื่นที่นอกเหนือจากนี้ นำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังได้นะครับ

105

พริกไทยทั้งอร่อยและรักษาโรค
            พริกไทยสามารถนำมาเป็นเครื่องปรุงให้กับอาหารต่างๆ ทั้งอาหารไทยและอาหารต่างประเทศ หลายหลายเมนู ทั้งอาหาร ไทย , จีน , ฝรั่ง ซึ่งประโยชน์ในข้อนี้ เราทั้งหลายก็ทราบกันมาแล้ว แต่พริกไทยยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์กันมนุษย์เราไม่แพ้การนำมาเป็นเครื่องปรุงอาหารเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็คือมีการนำพริกไทยมาทำสมุนไพรเพื่อรักษาและบำบัดอาการของโรคต่างๆ ด้วยที่ว่า พริกไทยนั้นเป็นพืชประจำถิ่นแถบอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุนี้ชาวพื้นถิ่นในแถบนี้จึงรู้จักนำพริกไทยมาใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพรตั้งแต่โบราณกาล  โดยในจีนนั้น กล่าวถึงพริกไทย ว่ามีคุณสมบัติ อุ่น สามารถวิ่งเส้นลมปราณในร่างกายได้ ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก  ทั้งยังทำให้พลังลงสู่ส่วนล่าง  ขับพลังเย็นอวัยวะจั้งฝู่ ทำให้ย่อยอาหารดี  บำรุงพลังของไต  ฆ่าพิษอาหารจำพวกอาหารทะเล  โดยแพทย์แผนจีน ระบุว่า พริกไทย จัดเป็นพืชที่เป็นหยางเหมาะกับคนที่กระเพาะอาหารเย็นชื้น  ผู้ที่จะใช้พริกไทย  จึงควรเป็นผู้ที่มีภาวะหยางในร่างกายน้อย ส่วนในไทย ตำราแผนโบราณของไทยนั้น  ระบุว่าสรรพคุณที่โดดเด่นของพริกไทย คือ เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น ในตำรายาวิเศษ "ว่าใช้เหงือกปลาหมอ 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ตำเป็นผงละลายน้ำกิน 1 เดือน หายจากโรคทั้งปวง" ส่วนสรรพคุณอื่นๆ ของพริกไทย อาทิเช่น  รากพริกไทยใช้ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ลมวิงเวียน เถาพริกไทย ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการลงแดง เมล็ดพริกไทย ขับเสมหะ  บำรุงธาตุ  ทำให้ผายลมหรือขับปัสสาวะ และพริกไทยยังได้รับการยอมรับในการแพทย์สมัยใหม่ว่า ถ้าเป็นสมุนไพรที่เมื่อนำไปรวมกับสมุนไพรตัวอื่นๆแล้วจะมีฤทธิ์เป็นยา เช่น พิกัดตรีกฎก ซึ่งประกอบด้วย เหง้าขิงแห้ง เมล็ดพริกไทย  ผลดีปลี  ข่วยขับน้ำดีและขับลม  อีกพิกัดหนึ่งคือ  ตรีวาตผล ประกอบด้วย  ลูกสะค้าน  เหง้าข่า  รากพริกไทย  ช่วยแก้ในกองลม  แน่นหน้าอก   ขับเสมหะ  บำรุงไฟธาตุ สำหรับในอินเดีย นั้น ชาวอินเดีย  นิยมใช้พริกไทยเป็นองค์ประกอบในการใช้ แก้หวัด  ปวดท้อง  อาเจียน  ปวดประจำเดือน และที่สำคัญล่าสุดในปัจจุบันนี้ มีการนำพริกไทยไปแปรรูปเป็นพริกไทยดำ  แล้วมีการศึกษาวิจับ พบสารตัวหนึ่งในพริกไทยดำ  ว่ามีสรรพคุณ [^_^]ได้ คุณผู้หญิงในปัจจุบันจึงนิยมใช้สารสกัดจากพริกไทยดำเพื่อ[^_^]กันอย่างแพร่หลาย  ซึ่งในหัวข้อพริกไทยดำกับสรรพคุณการ[^_^]นี้ ขออุบไว้ก่อนโดย จะขอกล่าวถึงในครั้งต่อไป
            แต่อย่างไรก็ตามพริกไทยก็ถือได้ว่าเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์แก่มนุษย์อย่างมาก  เพราะสามารถเป็นทั้งเครื่องปรุงรสชั้นเลิศ  ที่เป็นที่นิยมทั่วโลกในปัจจุบัน  และยังสามารถเป็นสมุนไพร  ที่มีสรรพคุณรักษาและบำบัดโรคได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น จึงขอขนานนามพริกไทยว่า "พริกไทย สมุนไพร 2 IN 1"
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณของพริกไทย

106

กระชายดำ สมุนไพรไทยแท้ ปลูกง่าย ขายคล่อง
            ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ กระแสความนิยมในการหันมาใช้สมุนไพรแทนการใช้ยาแผนปัจจุบันของคนไทยนั้น ถือได้ว่ากระแสแรงเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะมีสาเหตุเนื่องมาจาก  ผู้บริโภคเกิดความตื่นตัว และรับรู้ข้อมูล ผลข้างเคียงของยาแผนปัจจุบันที่มีผลต่อกระบวนการทำงานของไต  และอวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ จนทำเกิดการเจ็บป่วยแบบสะสมในอวัยวะภายในเหล่านั้น และกลายเป็นโรคที่มีจำนวนผู้ป่วยมาก ติด 5 อันดับแรกของการเจ็บป่วยของประเทศ  ดังนั้นคนไทยจึงหันมาใช้สมุนไพรในการดูแล และรักษาโรค รวมถึงใช้เป็น[^_^]กันอย่างแพร่หลาย โดยสมุนไพรที่ใช้นั้นมีทั้งสมุนไพรจีน และสมุนไพรที่เป็นสมุนไพรไทยแท้ เช่น กระชายดำ เถาเอ็นอ่อน มะขามป้อม ฯลฯ แต่ในกระแสสมุนไพรฟีเวอร์ในปัจจุบันนี้ หากจะนับสมุนไพรไทยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เชื่อได้ว่า กระชายดำ คงเป็นชื่อสมุนไพรที่ทุกท่านเคยได้ยินบ่อยๆอย่างแน่นอน สำหรับกระชายดำ เป็นสมุนไพรของไทยแท้ๆ เพราะมีถิ่นกำเนิดในไทย และพบได้ทุกภาคของไทย  โดยจัดเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน และเราใช้เหง้ามาเป็นสมุนไพรและใช้ประโยชน์ในสรรพคุณต่างๆ เหง้าลักษณะ กลมๆ เรียงต่อกัน มีสีน้ำตาล หากหักออกเนื้อในจะเป็นสีม่วงมีกลิ่นหอม ในอดีตการปลูกกระชายดำนั้นไม่ได้ปลูกไว้เพื่อเป็นเศรษฐกิจ หรือการขายแต่อย่างใด แต่จะปลูกไว้ละแวกบ้านหรือในกระถาง เพื่อรักษาโรคและใช้เป็นยาบำรุงในครัวเรือนเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน กระชายดำเป็นที่นิยมในการนำมาทำยาสมุนไพรทั้งในรูปแบบการบริโภคสด หรือการแปรรูปในรูปแบบต่างๆ เพื่อการรักษาโรคและเป็น[^_^] จึงจำเป็นต้องมีการขยายพันธุ์และการปลูกกระชายดำ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด  โดยการขยายพันธุ์กระชายดำนั้น  ทำได้โดยการใช้หัวหรือเหง้าปลูก เช่น ขิง ข่า ขมิ้นชัน เพราะพืชจำพวกนี้ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี  โดยขุดหลุมกว้างประมาณ 1 จอบ ลึก 10 - 15 ซม. แล้วนำแง่งกระชายดำ  ใส่ในหลุมแง่งเล็กใช้ 1 - 2 แง่ง หากแง่งใหญ่สมบูรณ์ใช้แง่งเดียว  เพราะเมื่อกระชายดำโตขึ้น จะแตกหน่อขยายไปเรื่อยๆเอง  ส่วนแง่งที่เราปลูกจะเหี่ยวและแห้งไป โดยให้ระยะปลูก ระหว่างแถบประมาณ 30 ซม. ระหว่างต้น 25 - 30 ซม. ฤดูที่เหมาะสมที่จะปลูกคือ ฤดูฝน ช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง เดือนมิถุนายน ในการปลูกครั้งแรกควรปลูกให้ได้อายุ 1 ปี ค่อยเก็บเกี่ยว หลังจากครั้งแรก ควรปลูกให้ได้อายุประมาณ 10 - 12 เดือน และควรให้ใบและลำต้นเหี่ยวแห้งหลุดออกจึงทำการเก็บเกี่ยว เพราะจำทำให้ได้ กระชายดำที่คุณภาพตัวยาเข้มข้น
            โดยในราคาขายกระชายดำในปัจจุบันนั้น หากในฤดูกาล ราคา 100 - 120 บาท/กิโลกรัม หากเป็นนอกฤดูกาล ราคาอยู่ที่ 150 บาท/กิโลกรัม เลยทีเดียว เมื่ออ่านแล้วทุกท่าน สนใจการปลูกหรือเปล่าครับ ปลูกง่าย ดูแลง่าย ขาดก็คล่อง แถมราคาดีอีก เหมาะสมกับหัวข้อ "กระชายดำ สมุนไพรแท้ ปลูกง่าย ขายคล่อง"

107

ถั่งเช่า  หญ้าหรือหนอนกันแน่ ?
            เมื่อเอ่ยถึงสมุนไพรจีน ผู้เขียนเชื่อว่า  แวบแรกที่ทุกๆ ท่านนึกขึ้นมาได้ต้องมี "ถั่งเช่า" หรือ "ตังถั่งเช่า"  หรือว่า หญ้าหนอน ในภาษาไทย  ติดอันดับ 1 ใน 3 ด้วยแน่ๆ  ด้วยคุณลักษณะทางด้านสัณฐานทั่วไปของสมุนไพร ถั่งเช่านี้ ที่สร้างความพิศวงงงงวย แต่ก็จำได้ง่าย เพราะลักษณะของถั่งเช่านั้น เหมือนตัวหนอน  แต่ดันไปมีชื่อไทยเรียกว่า หญ้าหนอน  แล้วตกลง ถั่งเช่านี้ จะเป็นสัตว์หรือเป็นพืชกันแน่
            ความจริงแล้ว ถั่งเช่าที่ใช้ทำเป็นยานั้น  คือ  ส่วนที่เป็นตัวหนอนและเห็ดที่ออกจากตัวหนอน  กล่าวคือ เดิมที่แรก ถั่งเช่านั้นเป็นตัวหนอนของผีเสื้อชนิด Hepialus armoricanus oberthir โดยมีสปอร์เห็ดชนิดหนึ่งอยู่ตรงหัวของหนอน ในฤดูหนาวหนอนจะจำศีลอยู่ใต้ภูเขาหิมะ  พอหิมะละลายสปอร์จะถูกพัดไปที่พื้นดิน  หนอนก็จะกินสปอร์  เมื่อถึงฤดูร้อน สปอร์เหล่านี้จะงอกออกมาจากส่วนหัวและปากของหนอน  โดยอาศัยดูดแร่ธาตุจากตัวหนอนเป็นอาหาร  และเห็ดที่งอกมาเหล่านี้ ต้องการแสงแดดจึงงอกผุดขึ้นจากดินส่วนหนอนที่ถูกดูดแร่ธาตุนั้นก็จะกลายเป็นหนอนตายซากที่แห้ง  นั้นเอง
โดยการเก็บถั่งเช่ามาทำยานั้น  จะเก็บมาทั้งส่วนที่เป็นเห็ดและเป็นตัวหนอนแห้งๆ เพราะฉะนั้นจึงได้กล่าวได้ว่า ถั่งเช่านั้นเป็นทั้งสัตว์ และพืชได้ แค่ต้องอาศัยกรรมวิธีทางธรรมชาติที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์  ส่วนเจ้าถั่งเช่านี้ ตามธรรมชาติไม่ได้พบทุกๆ ที่ แต่จะพบได้ ในพื้นที่ที่มีระดับความสูง 10000 - 12000 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล  และมีอุณหภูมิหนาว และร้อน  ที่เหมาะสม ในการออกจากสปอร์ด้วย แต่ในปัจจุบัน มีการเพาะเลี้ยงแล้ว ในธิเบต และจีน นั้นก็เพราะว่า ถั่งเช่านี้เป็นสมุนไพรที่ราคาแพง ส่วนในไทย ได้มีการทดลองเพาะเลี้ยงถั่งเช่าอยู่ (แต่อยู่ในขั้นตอนของการทดลองเพาะเลี้ยง) รวมถึงสมุนไพรจีนอีกหลายชนิด เช่น แปะก๊วย , เก๋ากี๋ (โกจิเบอร์รี่) เป็นต้น  โดยราคาของถั่งเช่าเกรดล่างๆ หรือเกรดทั่วไป สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 250,000 บาท ต่อกิโลกรัม หากเป็นเกรดที่มีคุณภาพดีๆ แล้ว ราคาน่าจะอยู่ที่หลักล้านบาท ต่อ กิโลกรัมเลยทีเดียว เห็นอย่างนี้แล้ว ชักอยากจะลอง เพาะถั่งเช่าบ้างแล้วหละครับท่านผู้อ่าน........

108

 
กวาวเครือแดงกับการศึกษาวิจัยสมัยใหม่
            อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า กวาวเครือแดง เป็นสมุนไพรยอดนิยมของไทยในปัจจุบันนี้ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรพื้นถิ่นของไทย ที่มีหลักฐานการใช้มาตั้งแต่ยุคโบราณ  โดยในอดีตนั้นก็ใช้กัน เพื่อเป็นยาอายุวัฒนะแก้ปวดเมื่อย แต่ก็ไม่ได้มีการศึกษาวิจัยกันในสมัยนั้นเพราะวิทยาการต่างๆ และความสนใจของนักวิจัยทั้งหลายที่มีต่อสมุนไพรยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากพอ จนเมื่อประมาณปี 2478 บริษัทเชอริง-คาลบอม ได้นำหัวกวาวเครือขาว ไปทำการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่เบอร์ลิน เพื่อแยกสารออกฤทธิ์เอสโตรเจนิก หลังจากนั้น กวาวเครือขาวก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว  พร้อมกับการค้นพบกวาวเครือแดง  จึงทำให้นักวิจัยทั้งหลายหันมาศึกษากวาวเครือขาวและกวาวเครือแดงกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งนักวิจัยต่างประเทศจดสิทธิบัติของกวาวเครือทั้งสองชนิดนี้ได้ก่อนประเทศไทย (น่าเจ็บใจไหมครับ ของดีอยู่ใต้แผ่นดินไทย แต่ต่างประเทศเป็นเจ้าของสิทธิบัติ) สำหรับกวาวเครือแดงนั้นจากผลการวิจัยสมัยใหม่นี้ ฤทธิ์ทางเภสัชที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือ ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย เช่นเดียวกับโสมคน (โสมเกาหลีที่เรารู้จักกัน) กล่าวคือ มีการทดลองป้อนกวาวเครือแดงผงละลายน้ำแก่หนูทดลองเพศผู้ 5 มก./กก. เป็นเวลา 21 วัน พบว่า หนูมีน้ำหนักและจำนวนอสุจิเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีพฤติกรรมการสืบพันธุ์มากขึ้น           
            ส่วนการศึกษาวิจัยสมัยใหม่ ทางพิษวิทยาของกวาวเครือแดงนั้นได้ ป้อนผงกวาวเครือแดงขนาด 200 มก./กก./วัน เป็นเวลา 90 วัน พบว่า มีเม็ดเลือดขาว ชนิดต่างๆ ลดลง และมีข้อสรุปที่ได้คือ ในการใช้สมุนไพรกวาวเครือขาวนั้น ต้องระมัดระวังในเรื่องของขนาดการใช้และระยะเวลาในการใช้ เพราะอาจทำให้เป็นพิษต่อตับได้
            ทั้งนั้นผู้เขียนยังเชื่ออีกว่ายังมีความลับเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆและสรรพคุณดีๆ ของสมุนไพรกวาวเครือแดงรวมไปถึงสมุนไพรต่างๆ ของไทย ที่ยังรอให้นักวิทยาศาสตร์/นักวิจัย มาทดลองวิจัย เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทยและคนทั้งโลก ที่สำคัญอย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า ของดีๆ ที่อยู่เมืองไทยคนไทยจะได้จดสิทธิบัติให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป ไม่ใช่ให้ต่างชาติที่ไม่มีสมุนไพรเหล่านั้นเป็นเจ้าของสิทธิบัติ ซึ่งฟังดูแล้ว เหมือนเขามาหยิบชิ้นปลามันจากคนไทยเราเลยครับ.

Tags : สมุนไพรกวาวเครือเเดง

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9