ผู้เขียน หัวข้อ: ขายดีเยี่ยมเป็นกระแสในการช่วยเหลือเกื้อกูลผิวของคุณให้มีผิวขาวสวยปรับสภาพผิวของคุณแบบ  (อ่าน 263 ครั้ง)

ออฟไลน์ adzposter

  • Full LED TV member
  • ****
  • กระทู้: 2,973
    • ดูรายละเอียด
ครีม v2 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีความจำเป็นในการดูแลรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว แม้ผิวมนุษย์เราจะผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เองแต่ปัจจุบันนี้มีสินค้าเพื่อบำรุงรักษาผิวพรรณมากมายกมายที่มีองค์ประกอบไม่เป็นมิตรกับผิว มีฤทธิ์ระคายทำให้ผิวอ่อนแอรวมทั้งผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้ต่ำลง การบำรุงผิวโดยพิจารณาถึงส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ก็เลยมีความสำคัญเช่นกัน บางคนหน้ามันแล้วกลัวว่าหากใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีผลให้ผิวยิ่งมันครีม v2เป็นความรู้ความเข้าใจที่ผิดนัก เนื่องจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์มีหลากหลายชนิดสามารถเลือกใช้ให้ตรงกับภาวการณ์ผิวได้

ต้องการมีผิวสวย โปรดอ่านนี้ก่อน

ผิวหนังชั้นนอกสุด (stratum corneum หรือชั้นคราบไคล) เป็นชั้นที่พวกเราดูเห็นด้วยสายตา ในสายตาคนรอบข้างหรือตอนเราส่งกระจก ผิวเราจะมองแห้ง ขาดเลือดฝาด ไม่สดชื่นหรือสวย ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของชั้นนี้เป็นหลัก ต้องการให้ผิวดูสวยในสายตาผู้ชม ก็จำเป็นต้องมารีบทำให้ผิวชั้นไคลบริบูรณ์กันจ้ะ

ศัพท์ที่จะเจอในบทความนี้

Epidermis : หนังกำพร้าสุด ภาษาไทยเรียกว่าชั้นหนังกำพร้ามี 5 ชั้นย่อย
stratum corneum : ชั้นไคล เป็นชั้นย่อยชั้นนอกสุดชองชั้นหนังกำพร้า
Corneocyte : เซลล์ในชั้นไคล มีการเรียงตัวเป็นชั้นๆคร่าวๆ 25-30 ชั้น บางตำราเรียนเรียก Corneocyte ว่าhorny cell
Brick and Motar Model : แบบจำลองการเรียงตัวเป็นชั้นๆของเซลล์ Corneocyte
Keratinocyte : เป็นคำรวมๆที่ใช้เรียกเซลล์ผิวทั้งสิ้นของชั้นepidermis เพราะเซลล์ผิวในชั้นผิวหนังชั้นนอกจะมี keratinเป็นองค์ประกอบข้างใน ทำให้ทุกเซลล์ในชั้น Epidermis ขึ้นชื่อว่าเป็น keratinocyte ทั้งสิ้น
NMFs : ย่อมาจาก Natural moisturizing factors เป็นสารประกอบหนึ่งที่อยู่ภายในเซลล์ Corneocyteทำหน้าที่เก็บน้ำและก็รักษาความชื้นให้ผิวหนัง ภาษาไทยเรียก NMFsว่า "น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ"
Intercellular lipids : ชั้นไขมันกันระหว่างเซลล์Corneocyteทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันไม่ให้ NMFs ภายในเซลล์ Corneocyte รั่วออกมาข้างนอก บางหนังสือเรียนเรียกIntercellularlipids ว่า intercellular matrix หรือ Lipidbarrier
Sebaceous gland : ต่อมไขมันที่ปฏิบัติภารกิจผลิตน้ำมัน(sebum) มาฉาบผิว
TEWL : ย่อมาจาก Transepidermal Water Loss คือการสูญเสียน้ำผิวผ่านชั้น Epidermis ยิ่ง TEWL มีค่าสูงหมายความว่ายิ่งมีการสูญเสียน้ำมาก

องค์ประกอบผิวหนังชั้นคราบไคล (stratumcorneum)
ชั้น stratum corneum มีการเรียงตัวของเซลล์corneocyte อย่างเรียบร้อยเป็นชั้นๆราว25-30 ชั้น โดยมีintercellular lipidsเป็นตัวประสานล้อม หนังสือเรียนฝรั่งได้เรียกการเรียงหน้าอย่างงี้ว่าBrick and Motar Model ภาพการเรียงตัวของอิฐที่ก่อด้วยปูน Brick and Motar Model
Brickมีความหมายว่าก้อนอิฐ Motarแสดงว่าปูนภาพจำลองการจัดเรียงตัวของเซลล์ corneocyte เป็นชั้นๆโดยมีintercellularlipids เป็นตัวประสานซึ่งมีลักษณะราวกับการเรียงหน้าของอิฐที่ก่อด้วยปูนก็เลยถูกเรียกว่า Brick and Motar Model ก้อนอิฐแต่ละก้อน เปรียบเทียบได้กับเซลล์ corneocyte

ภายในเซลล์ corneocyte มี NMFs ครีม v2ทำหน้าที่รักษาระดับน้ำข้างในเซลล์
NMFs ที่สำคัญๆเป็นAmino acids, PCA แล้วก็น้ำตาลGlucose
NMFs เป็นสารที่เซลล์ชั้นหนังกำพร้าสามารถผลิตขึ้นได้เองเวลาที่มีการเจริญเติบโตเป็นเซลล์เต็มวัย (keratinocytedifferentiation)
แม้มีต้นสายปลายเหตุใดไปรบกวนการเจริญเติบโตของเซลล์keratinocyteก็จะก่อให้ NMFs ถูกทำลดน้อยลง และส่งผลถึงความชุ่มชื้นของชั้น stratumcorneum

ปูนประสาน เปรียบได้กับIntercellular lipids
เป็นตัวยึดเหนี่ยวเซลล์ ให้เรียงกันอย่างแน่นหนารวมทั้งเป็นระเบียบ
Intercellular lipids ประกอบไปด้วยสารชนิดไขมันอาทิเช่น ceramides 47 %, cholesterol 24%, freefatty acids 11 % และ cholesterol esters 18 %

ผิวสวยเริ่มความสมบูรณ์ของชั้น stratum corneum
อยากให้ผิวมองงาม น่าจะหันมาดูแลผิวชั้น stratumcorneum ให้บริบูรณ์โดยการรักษาระดับ NMFs และก็intercellular lipids ให้บริบูรณ์มากที่สุด
การที่ระดับความชื้นในผิวเพียงพอจะช่วยปรับ

เซลล์ผิวมีความยืดหยุ่นดี ถูกรังแกได้ยาก
เสริมหลักการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยในวิธีการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ถ้าผิวขาดความชื้นที่ประจวบเหมาะเอนไซม์กลุ่มนี้จะปฏิบัติการไม่ดีการผลัดเซลล์ผิวก็เลยรวน ผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้ากระ สะสม รูขุมขนตัน เป็นสิว
เกื้อหนุนให้องค์ประกอบมีความแข็งแรงแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่กรองสารที่จะผ่านเข้าออกผิวก้าวหน้าและบริบูรณ์ ถ้าหากผิวขาดความชื้นที่สมควรเซลล์ corneocyte จะลีบแบน การเรียงตัวไม่เรียบร้อยเกิดช่องโหว่ น้ำใต้ผิวระเหยออกง่าย สิ่งเจือปนจากข้างนอกผ่านเข้าไปได้ง่าย ทำให้ผิวหนังอักเสบ มีการติดโรค อื่นๆอีกมากมาย
รักษาระดับ pH ของผิว : ผิวที่มี pH ผิวสมควร จะช่วยปรับให้NMFs ถูกทำรุ่งเรือง
สิวขึ้นลดลง : ผิวที่ขาดความชื้น ทำให้เซลล์ผิวเรียงตัวไร้ระเบียบครีม v2 มีการหลุดลอกเปลี่ยนไปจากปกติและก็ไปตันตามรูขุมขนเมื่อรวมกับน้ำมันที่ระบายออกมิได้ ก็เลยมีการตันเป็นสิวตันสิวอักเสบ เมือผิวชื้นแฉะ การผลัดเซลล์กลับมาธรรมดา การอุดตันเกิดลดลง สิวลดน้อยลง
รูขุมขนกระชับ : ผิวที่เปียกชื้นสมควร เซลล์ corneocyteจะมีความอ้วนอิ่มรวมทั้งขยายตัวแทรกกัน ทำให้รูขุมขนซึ่งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมของเซลล์ corneocyte ถูกบีบอัดให้แคบลงผิวก็เลยมองละเอียดขึ้น ดังนั้นในคนที่ผิวแห้งล้นหลามๆเว้นเสียแต่ผิวจะมองดูไม่สุภาพแล้ว รูขุมขนก็จะกว้างขึ้นด้วย อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่บทความเรื่อง ตาข่ายผิวภาพเปรียบเทียบผิวหนังปกติแล้วก็ผิวหนังที่แห้งผิวปกติ :เซลล์เรียงตัวชิดกัน เรียบร้อย
inter cellular matrix บริบูรณ์
เหนือผิวข้างบนมีน้ำมัน (hydro lipid film) ฉาบอยู่เพียงพอ
น้ำใต้ผิวระเหยออกได้น้อยผิวแห้ง การเรียงตัวของเซลล์ผิวไม่รอบคอบ ไม่มีระเบียบ
intercllular matrix มีน้อย/ไม่มีคุณภาพ
น้ำมันฉาบผิว (hydro lipid film) น้อย
น้ำใต้ผิวระเหยออกได้มาก (TEWL สูง)บักเตรี สิ่งแปลกปลอมไปสู่ผิวได้ง่าย ผิวก็เลยเคืองแล้วก็อักเสบง่ายผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
ผิวแห้งและก็ผิวขาดความชื้นคล้ายคลึงกันแต่ต่างกันคำว่าผิวแห้งเป็นคำใช้แบ่งแยกสภาวะผิวที่ประจำตัวมา อาทิเช่น คนนี้ผิวมัน คนนี้ผิวผสม คนนี้ผิวแห้ง ซึ่งใช้จำนวนน้ำมันที่สร้างขึ้นมาจากต่อมไขมันเป็นตัวแยกเป็นชนิดและประเภท


ผิวแห้ง(dry skin)เป็นผิวที่ขาดน้ำมัน (sebum)ฉาบผิวด้านบนเพราะเหตุว่ามีต่อมน้ำมัน ( sebaceous gland) ใต้ผิวน้อย ก็เลยผลิตน้ำมันได้น้อย เมื่อปริมาณน้ำมันฉาบผิวน้อยก็เลยสูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย ดังนั้นคนที่ผิวแห้งยังคงมีความสมบูรณ์ของ intercllular matrix แล้วก็มีน้ำใต้ผิวที่เพียงพอ ก็แค่ขาดน้ำมันที่ผิว
ผิวมัน (oily skin)เป็นผิวที่มีต่อมไขมันมากมายก่ายกองทั่วทั้งหน้าแล้วก็ผลิตน้ำมันมาฉาบผิวได้มาก ผิวภายนอกก็เลยมองดูมัน การสูญเสียน้ำใต้ผิวก็เลยเกิดขึ้นน้อย
ผิวผสม (mix skin)เป็นผิวที่มีต่อมไขมันบริเวณt-zoneมากมาย, u-zone น้อยทำให้หน้ามันเฉพาะรอบๆt-zoneส่วน u-zone ธรรมดาหรือแห้ง

ส่วน ผิวขาดความชื้น (dehydrated skin) เป็นผิวที่มีน้ำใต้ผิวต่ำ วัดน้ำใต้ผิวได้ < 10% ต้นสายปลายเหตุอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน

1.ปัจจัยภายนอก

การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์มากจนเกินไป : ทำให้ผิวหนังชั้นนอกมีการหมุนเวียนเร็วกว่าธรรมดา ผิวหนังที่มีการหมุนเวียนเร็วจะไม่สามารถที่จะสร้าง NMFsและ intercellular lipids ได้ทัน ก็เลยเสียความรู้ความเข้าใจในการดูแลและรักษาน้ำให้ยังอยู่ในผิวหนัง
การใช้สินค้าชำระล้างที่มีคุณลักษณะกำจัดน้ำมันฉาบผิวมากเกินไปครีม v2 : น้ำมันฉาบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย
รังสี UV : ได้รับรังสี UV เป็นจำนวนมากต่อเนื่องกัน ไม่ทาโลชั่นสำหรับกันแดด รังสี UV จะรบกวนการสร้าง NMFs
ความชุ่มชื้นในอากาศ : ความชื้นในอากาศต่ำกว่า10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ภายนอก ฉะนั้นในห้องปรับอากาศในหน้าหนาว ซึ่งมีความชุ่มชื้นต่ำ สามารถพรากน้ำใต้ผิวได้ตลอดเวลา

2. ปัจจัยภายใน

อายุ : อายุทีมากยิ่งขึ้น การผลิต NMFs รวมทั้ง sebum ลดลง
เชื้อชาติ : ชาวเอเชีย มีปริมาณ NMFs ต่ำลงมากยิ่งกว่าเชื้อชาติอื่น
โรคผิวหนัง: โรคผื่นแพ้พันธุกรรม (atopicdermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) โรคเด็กดักแด้(Ichthyosis) โรคเหล่านี้จะมีการแบ่งตัวของkeratinocyte (keratinization) เร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนมาที่เปลือกอย่างเร็วตัวอย่างเช่น 4 วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังดกเป็นปื้นในขณะขั้นตอนสร้าง NMFs , intercellular lipids ยังเกิดขึ้นไม่สมบูรณ์ เซลล์ผิวหนังก็เลยขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ เซลล์ผิวก็เลยหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย เหมือนเป็นสะเก็ดหรือเกล็ดขึ้นอยู่กับความรุนแรง

รูปแบบของผิวหนังที่ขาดความชุ่มชื้น(dehydrated skin)
- ผิวไม่เรียบ มีขุยไหมมีขุยก็ได้ แต่ถ้ามีขุยเป็นอาการหนักทาแป้งไม่ติด (หน้ามันจำนวนมาก ทาแป้งไม่ติด หน้าแห้งไปก็ทาแป้งไม่ติดเช่นกัน)ครีม v2
- แลเห็น fine line ชัด (ริ้วเล็ก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้ตา มุมปาก
- ผิวแดงง่าย สีผิวไม่บ่อยนัก
- คันแล้วหลังจากนั้นก็กำเนิดผิวหนังอักสบ
- ระคายง่าย แพ้ง่ายครีม v2
การรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ก็เลยจึงควรทำทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นเข้าไปก่อน ด้วยการกินน้ำให้เพียงพอ แล้วก็เลือกใช้มอยพบร์ไรเซอร์จำพวก humectant
กัดกันความชื้นไม่ให้ระเหยออก ด้วยการใช้มอยพบร์ไรเซอร์ประเภทocclusive
เพิ่มความรู้ความเข้าใจในการเก็บกักน้ำใต้ผิวด้วยสินค้าที่มีส่วนประกอบใกล้เคียงกับ NMFs แล้วก็ Intercellular lipids
เลือกมอยพบร์ไรเซอร์เป็น ช่วยอะไรบ้าง?Repairingtheskin barrier : สร้างเสริมเกราะคุ้มครองผิว ผิวแข็งแรงขึ้นเคืองลดลง ไม่แพ้ง่าย
Increasing water content : เพิมจำนวนน้ำใต้ผิว
Reducing TEWL : ลดการสูญเสียน้ำผ่านออกทางผิวหนังชั้นอีพิเดอร์มิส
Restoring the lipid barriers' ability to attract, holdandredistribute water : ซ่อม intercellular lipidsให้สามารถเก็บกักน้ำแล้วก็รักษาสมดุลน้ำใต้ผิว
สารช่วยเพิ่มความชื้น (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) แบ่งออกได้เป็น 2พวกเป็น

1. สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง (Humectant) สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการจับกับน้ำ (water binding)เช่น colloidaloatmeal, Amino acid,Hyaluronic Acid, Sodium PCA, glycerin, น้ำผึ้ง, กรดแลคติค (lactic acid), soduimlactate, propylene glycol,sorbitol, pyrolidonecarboxylic acid (PCA) , gelatin,collagen , lastin,urea

ทั้ง Sodium-PCA รวมถึงhyaluronic acid (HA) จัดเป็นสารจำพวกglycosaminoglycans ในธรรมชาติสารนี้พบแทรกสอดในชั้นหนังแท้ ขึ้นรถ HA จะซับน้ำได้ 1000 เท่า ก็เลยทำให้ผิวหนังเด็กเต่งตึง แม้กระนั้นเมื่อวัยสูงมากขึ้นสาร HA ในชั้นหนังแท้จะลดน้อยลงทั้งสมรรถนะและปริมาณ ผิวหนังก็เลยเหี่ยวย่น ในครีมหรือโลชันผิวแห้งก็เลยนิยมผสมสาร HA ครีมv2เพื่อช่วยซับน้ำในผิวหนังชั้นไคลด้วยเหตุว่าสารในกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มน้ำให้กับผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวเรียบนุ่มเปียกแฉะโดยไม่เพิ่มความมันมอยส์เจอร์ไรเซอร์กลุ่ม Humectant ก็เลยเหมาะสมกับผิวมัน ผิวแห้ง แล้วหลังจากนั้นก็ผิวแพ้ง่าย

2. สารเพื่อปกป้องการระเหยของน้ำจากผิว (occlusivemoisturizers)สินค้าผิวแห้งจะผสมน้ำมันหลายแบบ เมื่อทาน้ำมันฉาบผิวการระเหยของน้ำจากชั้นผิวหนังจะลดลงน้ำมันที่ใช้มีหลายกรุ๊ป เป็น





เครดิต : https://sites.google.com/site/v2centerthailand/

Tags : ครีม v2,ครีมวีทู,ครีม V2 ดีไหม