ผู้เขียน หัวข้อ: ถิ่นกำเนิดเเละที่มาสมุนไพรกวาวเครือเเดง  (อ่าน 316 ครั้ง)

ออฟไลน์ surachai3377

  • Flat TV member
  • *
  • กระทู้: 21
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย
ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
 ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
 ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
 ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae
ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง[/url][/size]
พบอยู่มากมายในบริเวณที่ราบเชิงเขา รวมทั้ง เชิงเขาป่าเต็งรัง  ภูเขาหินปูน  ในรอบๆที่มีต้นไม้ยืนต้นไม่หนาแน่นนัก  พบได้ทั่วไปอยู่เป็นกลุ่มๆด้านในป่า  อาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัย  คือ  ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่ระบาดตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มไม้เอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง
กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่คล้ายใบต้นทองกวาว  แม้กระนั้นใบใหญ่กว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่เหมือนดอกแคแสด  แต่เป็นพวงระย้าเหมือนดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง เหมือนเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปรอบๆหลายเมตร
การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเมล็ด โดยการเพาะเม็ดในกระบะเถ้าถ่านแกลบโดยประมาณ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH โดยประมาณ 5.5 เมื่อต้นกล้าเจริญวัยได้ 60 วัน ก็เลยนำลงแปลงปลูกที่โล่งแจ้ง  โดยทำด้วยไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในกระบวนการเกษตร เช่น ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรอยู่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่บรรจุเถ้าถ่านแกลบ  เมื่อเถาแตกรากแล้วก็ยอดแข็งแรงดีแล้ว จึงนำลงแปลงปลูกถัดไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกเป็นต้นใหม่  จำต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามกระบวนการขยายพันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุโดยประมาณ 6 ข้างขึ้นไป  รวมทั้งต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปข้างหลังการเก็บเกี่ยวมาเพาะพันธุ์ได้ หลังการต่อต้นราวๆ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ และก็มีคุณลักษณะเด่นคือสามารถต่อต้นกับหัวข้ามสายพันธุ์ได้
องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง
            ท่อนหัวของกวาวเครือแดงประกอบด้วยสารไฟโตแอนโดรเจน และก็ไอโซฟลาโอ้อวดลิกแนน 2 จำพวก ดังเช่นว่า Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone
แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงสว่างในตอนคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีการเปลี่ยนแปลงสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงแล้วก็เมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีด

สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ


แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงโลหิต  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 จำพวกเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ถอนพิษไข้  สมานไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู
ผลดีกวาวเครือแดง
ฤทธิ์ต่อระบบแพร่พันธุ์  การศึกษาเล่าเรียนในอาสาสมัครเพศชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 - 70 ปี ที่มีลักษณะอาการหย่อนยานสมรรถภาพทางเพศอย่างน้อย 6 เดือน  ให้กินกวาวเครือแดงขนาด 250 มิลลิกรัม/แคปซูล วันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม  แม้กระนั้นผลจาการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดความสามารถทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้ความสามารถทางเพศดีขึ้น  82.4 % โดยเหตุนั้น กวาวเครือแดงจึงช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคเสื่อมสมรรถนะทางเพศได้ และไม่เจอการเกิดพิษ
รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง
องค์การของกินและก็ยาของไทย  ระบุขนาดและวิธีการใช้สำหรับเพื่อการกินกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มก.  ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโล  ต่อวัน
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง
ฤทธิ์ต่อระบบแพร่พันธุ์  การทดสอบป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  และก็สารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และก็ 5 มก./มล.  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 แล้วก็ 5 มก./มิลลิลิตร ตรงเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  และจำนวนสเปิร์มเพิ่มขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ  และหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มก./มิลลิลิตร 21 วัน มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  รวมทั้งความยาวขององคชาติ  ทำให้หนูแรทมีความประพฤติการสิบประเภทมากยิ่งขึ้น  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก แล้วก็ความยาวขององคชาติ  และการกระทำการสืบพันธุ์เยอะขึ้นเรื่อยๆ  แต่หนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  ต่ำลง  การศึกษาผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  รวมทั้งในปริมาณสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทลดลง  แล้วก็ปริมาณโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับสูงขึ้น  ฉะนั้นการรับประทานกวาวเครือแดงมากจนเกินไป อาจก่อให้เกิดพิษต่อตับได้

การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง
การศึกษาพิษกึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 แล้วก็ 200  มิลลิกรัม/กก/วัน  เป็นเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามเพิ่มขึ้น ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alkalinephosphatase (ALP) รวมทั้ง aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มิลลิกรัม/กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวประเภท neutrophil ลดลง ส่วนเม็ดเลือดขาวประเภท eosinophil ระดับ serum creatinine  ลดลงระดับฮอร์โมน testosterone ลดน้อยลง ด้วยเหตุนั้นจึงควรระมัดระวังการใช้ในขนาดสูงเนื่องจากอาจจะส่งผลให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ต่างๆได้
ข้อแนะนำข้อควรระวัง
พืชชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นยา เช่นเดียวกับกวาวเครือขาว แต่ว่ามีพิษมากกว่า  ถ้ารับประทานมากมายบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายได้อาจทำให้มึนเมาอาเจียนคลื่นไส้.และมีพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

Tags : กวาวเครือเเดง,สรรพคุณกวาวเครือเเดง,ประโยชน์กวาวเครือเเดง