ผู้เขียน หัวข้อ: ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงเกือบ 100 จุด ภาวะ inverted yield curve กดดันตลาด  (อ่าน 85 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jenny937

  • Hologram 3D TV member
  • ******
  • กระทู้: 17,374
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงเกือบ 100 จุด ภาวะ inverted yield curve กดดันตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงเกือบ 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ โดยถูกกดดันจากภาวะ inverted yield curve ในตลาดพันธบัตร โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้แนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ณ เวลา 20.07 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 91 จุด หรือ 0.26% สู่ระดับ 34,738 จุด

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นทวิตเตอร์ อิงค์พุ่งขึ้นในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ ขานรับข่าวที่ว่า นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา อิงค์ จะเข้าร่วมบอร์ดบริหารของทวิตเตอร์ หลังจากที่ได้ถือครองหุ้นบริษัทมากกว่า 9%

นายพาราก อากราวัล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัททวิตเตอร์ อิงค์ ประกาศว่า นายมัสก์จะเข้าร่วมบอร์ดบริหารของทวิตเตอร์

"หลังจากที่เราได้มีการสนทนากันในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขาจะนำมูลค่าที่ยิ่งใหญ่มาสู่บอร์ดของเรา โดยเขาเป็นทั้งผู้ที่เชื่อในความหลงใหล และเป็นนักวิจารณ์ตัวยงสำหรับการให้บริการของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการสำหรับทวิตเตอร์ และในบอร์ดบริหาร เพื่อให้เราแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว" นายอากราวัลระบุผ่านข้อความในทวิตเตอร์

ทั้งนี้ นายมัสก์จะเป็นกรรมการในบอร์ดบริหารของทวิตเตอร์ และจะสิ้นสุดวาระในปี 2567 ซึ่งในระหว่างที่เขายังคงดำรงตำแหน่งกรรมการในบอร์ดบริหาร หรือหลังจากพ้นตำแหน่งภายใน 90 วัน นายมัสก์จะไม่สามารถรับผลประโยชน์จากหุ้นสามัญของทวิตเตอร์จำนวนมากกว่า 14.9%

ข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ระบุวานนี้ว่า นายมัสก์ได้ถือครองหุ้นในบริษัททวิตเตอร์จำนวน 73,486,938 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท โดยมีมูลค่าราว 2.89 พันล้านดอลลาร์ ทำให้นายมัสก์กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของทวิตเตอร์ซึ่งไม่ได้เป็นผู้บริหารของบริษัท

นายมัสก์ได้เพิ่มการถือครองหุ้นในทวิตเตอร์ แม้ว่าเขาเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์บริษัทเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ต่อการที่บริษัทละเมิดหลักการพื้นฐานในการแสดงความเห็นอย่างอิสระ

ตลาดพันธบัตรสหรัฐยังคงเกิดภาวะ inverted yield curve ในวันนี้ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมี.ค.ในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.467% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 3 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.653% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.611% โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรดังกล่าวอยู่สูงกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.465% ขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปีอยู่ที่ระดับ 2.524%

ก่อนหน้านี้ ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve เมื่อวันศุกร์ หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานต่ำกว่าคาด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการที่เฟดยังคงเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด

ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปีพุ่งขึ้นสูงกว่าพันธบัตรอายุ 30 ปีได้เกิดขึ้นในปี 2549 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในอีกเพียงไม่กี่ปีถัดมา

ที่ผ่านมา ภาวะ inverted yield curve มักเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนพากันเทขายพันธบัตรระยะสั้น และเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้น