ผู้เขียน หัวข้อ: เคล็ดลับและกรรมวิธีการรักษาโรคหอบหืดควรทำอย่างไร  (อ่าน 1104 ครั้ง)

ออฟไลน์ okok950

  • Flat TV member
  • *
  • กระทู้: 17
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์





 โรคหอบหืดเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีท่าทางหายใจลำบาก หายใจได้ไม่สะดวกและไอมาก เกิดมาจากการหดตัวของหลอดเลือดสัดส่วนเล็ก และน้ำเมือกเสมหะ
อุดกีดทางเดินหายใจ ความรุนแรงของแต่ละคน นั้นจะแตกต่างกัน บางคนมีอาการรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ 
ผู้ที่มีอาการของโรคหอบหืดอยู่บ่อยๆ โรคไต แม้จะไม่ได้มีอาการทุกวัน แต่ควรที่จะได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง เพราะภายในที่ปอดมีการอักเสบเรื้อรัง หากทิ้ง ไว้โดยไม่ได้




รับการรักษาอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง และมีอาการ เหนื่อยง่าย การรักษาในภายหลัง จะยากขึ้นอาจได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผลลัพธ์เลย เพราะปอดมีพังผืดมาก  
-  ปัจจัยหลัก 2 ประการ ที่มีผลต่อการก่อเกิดโรคหอบหืด คือ  
1. กรรมพันธุ์หรือปัจจัยจากผู้ไม่สบายเอง มีการถ่ายทอดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มาจากบิดา หรือมารดาหรือจากทั้งสองท่าน 
2. ปัจจัยจากสภาพแวดล้อมพบว่ามีหลายเหตุที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการพบโรค ตัวอย่างเช่น มลภาวะในอากาศ, สารก่อ ภูมิแพ้ หรือสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ภายในบ้านซึ่งอาจจะ  “สะอาดเกินจำเป็น”  
- วัตถุปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยกระตุ้นอาการหอบหืด โรคภูมิแพ้
1. สารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรขี้ฝุ่น, เชื้อรา, สัตว์เลี้ยง, ละอองเกสรหญ้าหรือวัชพืช 
2. สารก่อความระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ เช่น  บุหรี่, ควัน, มลพิษในอากาศ, กลิ่นจัดๆ ฉุนๆ  
3. อาหารสำหรับผู้ป่วยบางรายอาจทำให้เกิดอาการ เช่น ถั่วลิสง, ไข่, ช็อกโกแล็ต, ของกินทะเล, ไวน์แดง, อัลมอนด์, เฮเซลนัท (แต่ผู้ป่วยบางรายอาจรับประทานอาหารเหล่านี้โดยไม่มีอาการรุนแรง)
4. เกิดอารมณ์ซึ่ง[^_^]มโหด เช่น ดีใจมาก, เสียใจมากหรือกังวลมาก
5. การติดเชื้อในทางเดินหายหฤทัย, เชื้อหวัดหรือไซนัสอักเสบ
6. การออกกำลังกายหักโหมในสภาวะทีไม่เหมาะสม เช่น ร้อนจัด, หนาวจัด
7. เกิดจากยาบางประเภท เช่น ยาลดไข้แก้ปวดพวกแอสไพริน, ยาลดความดันสายเบต้าบล็อคเกอร์
8. โรคกรดในกระเพาะอาหารเอ่อขึ้นมาในหลอดอาหาร อาจทำให้มีการอืดคับท้องหรือแสบท้อง
9. อากาศสับเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
- แนวทางการดูแลรักษาโรคหอบหืด แยกแยะออกได้เป็น 4 หัวข้อ คือ
1. ผู้ป่วยและครอบครัวต้องให้ความสนใจกับโรคของตนเอง โรคไต และพยายามศึกษาจัดหาความรู้ เช่น อ่านหนังสือ ซักถามแพทย์หรือผู้รู้ “ตัวเราย่อมรู้จักตัวเราเองอย่างดีที่สุด”
2. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ควรดูแลรักษาทำความสะอาดบ้านเพื่อลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ 
3. การใช้โอสถรักษา แบ่งออกได้ 2 ประเภท
3.1 ยารักษาโรคหอบหืดและป้องกันอาการโดยตรง เช่น ยาพ่นประเภทสเตียรอยด์ ซึ่งต้องใช้ทุกวันแม้ไม่มีอาการ
3.2 ยารักษาอาการหอบ คือยาเพิ่มปริมาณหลอดลม เช่น  แวนโทลิน, บริคานีล ใช้เมื่อมีอาการแต่บางกรณีอาจต้องใช้ติดต่อกันทุกวันไประยะหนึ่ง
4. ตรวจการกระทำของปอดเป็นระยะเพื่อติดตามดูผลการรักษา โดยใช้เครื่องเป่าปอดเมื่อปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำแล้ว จะดูว่าการรักษานี้ได้ผลเมื่อผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติมากที่สุด มี
อาการหอบน้อยลง มาพบหมอด้วยความฉุกเฉินน้อยลง และใช้ยารักษาอาการ หอบ(ขยายหลอดลม)น้อยลง
- ยาที่ใช้ในหอบหืด โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยต้องพยายามเข้าใจและปลีกชนิดของยาให้ดีว่ายาชนิดไหนควรใช้ในยามฉุกเฉินเมื่อมีอาการ  ยาชนิดไหนควรต้องใช้ทุกวันแม้ไม่มีอาการ แล้วทำไมต้องใช้ยาทุก




วันแม้ไม่มีอาการ เพราะเป็นโรคซึ่งมีการอักเสบของปอดมากหรือน้อยตลอดเวลา เมื่อเรามีอาการของ หลอดลมตีบ เช่น ไอเสมหะมาก, แน่นหน้าอก, หายใจไม่สะดวก แสดงว่าการอักเสบนั้นได้ลุกลามใหญ่โตแล้ว ซึ่งกว่าที่เราจะสามารถลดการ
อักเสบนี้ต้องใช้ยามาก 
- ยาที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. แผนกยารักษาโรคป้องกันไม่ให้มีอาการต้องใช้ทุกวัน ได้แก่
- ยาพ่นสเตียรอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบกว้างได้ผลดีในโรคหอบหืดถือเป็นยาสำคัญอันดับหนึ่ง ยาสเตียรอยด์แบบพ่นออกฤทธิ์เฉพาะที่ หากถูกดูดซึมเข้าร่างกายจะถูกกำจัดโดยตับอย่างรวดเร็วเกิดมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับคุณ
ประโยชน์แล้วยานี้ยังสมควรที่จะใช้ได้อย่างเหมาะสม  เช่น เชื้อราขึ้นในคอหรือเสียงแห้งสามารถทำให้ลดลงได้ หากพ่นยาอย่างถูกวิธีให้ยาเข้าหลอดลมไม่ใช่ไปตกอยู่แต่ในคอ และให้กลั้วคอบ้วนปากหลังการใช้ยาพ่นสเตียรอยด์ทุกครั้ง  
ตัวอย่างยา เช่น พัลมิคอร์ท (Pulmicort), อินเฟลมมัยด์ (inflammide), ฟลิกโซไทด์ (Flixotide), เซเรไทด์  (Seretide),  เบโคลเมท (Beclomet) เป็นต้น
- ยาอื่นๆ ที่นำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการหอบหืด อาทิเช่น โครโมลิน (cromolynsodium), แอคโคแลท (accolate), ซิงกูแลร์ (singulair) ยา
เหล่านี้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากส่วนใหญ่ใช้เสริมกับยาพ่นสเตียรอยด์ จำเป็นต้องใช้ยานี้ทุกวันอย่างสืบเนื่องเช่นเดียวกับยาพ่นสเตียรอยด์
2. กลุ่มยารักษาอาการโรคหอบหืดใช้เฉพาะช่วงที่มีอาการ ยานี้สำคัญมากยามฉุกเฉินเพราะมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดลมเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง บางท่านมีอาการทุกๆวันอาจจะต้องใช้ยานี้ทุกๆวัน นอกจากนี้ท่านที่มีอาการหอบเวลาออก
กำลังกายก็สามารถใช้ยาพ่นชนิดขยายหลอดลมนี้ครึ่ง ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย จะช่วยทำให้ทนทานต่อการออกกำลังกายได้ดีขึ้น ตัวอย่างในกลุ่มนี้ เช่น เวนโทลิน (Ventolin), บริคานีล (Bricanyl),  บีโรเทค (Berotec),  บีโรดูอัล (Berodual), เมพติน 
(Meptin) เป็นต้น แต่ทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ มีอาการใจสั่น, มือสั่น, ปวดหัว, นอนไม่หลับ ในบางกรณี แพทย์อาจให้ยากลุ่มนี้ในรูปยารับประทานแต่ให้ใช้ทุกวันเป็นเสมอๆ เพราะมีอาการมากหากเป็นสม่ำเสมอในรายที่มีอาการมากหรือไม่
สะดวกที่จะใช้ยาพ่น ท่านควรใช้ยานี้เป็นประจำตามที่แพทย์สั่ง
3. ยากลุ่มแซนธีน เช่น ธีโอฟัยลิน (Theophylline) ชื่อการขาย เช่น ธีโอเดอร์ (Theodur)  ยากลุ่มนี้เป็นยาเก่าแก่ที่ยังนิยมใช้อยู่ เพราะใช้รับประทานจึงง่ายต่อผู้ป่วยบางรายและมีราคาถูก, มีผลขยายหลอดลมและต้านการอักเสบอย่างอ่อน แต่ก็มีผล
ข้างเคียงมาก เช่น ใจสั่น, คลื่นไส้อาเจียน และมี ผลเกี่ยวเนื่องกับยาอื่นๆอีกหลายชนิด ยานี้ต้องใช้ทุกวันเพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้สม่ำเสมอและควรมีการตรวจหาระดับยาในเลือดเป็นระยะๆ
- โดยสรุป ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคไต ต้องพยายามศึกษาให้เข้าใจว่ายาที่ท่านได้รับใช้เมื่อใด, เป็นประจำแค่ใด, นานเท่าไหร่ จึงจะทำให้ใช้ยาได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทำให้การรักษาโรคได้ผลดี