ผู้เขียน หัวข้อ: เฉลยคำตอบเทคนิคการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้มีคุณภาพ มีความสำคัญขนาดไหน  (อ่าน 1089 ครั้ง)

ออฟไลน์ panda42

  • Flat TV member
  • *
  • กระทู้: 12
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
เฉลยคำตอบเทคนิคการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้มีคุณภาพ มีความสำคัญขนาดไหน

สินค้าแบรนด์เนมราคาถูกหาคำตอบเทคนิคการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้มีคุณภาพ ใครยังไม่เข้าใจอ่านที่นี่ อ่านบทความที่ได้รับความนิยมเกี่ยวกับรับทำ SEOทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้จากบทความนี้ครับ   อย่างที่รู้กันว่ายุคนี้กูเกิลมุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าเดิม การสร้างบทความคุณภาพให้ถูกใจทั้ง Google และ User ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเช่นกันครับ หากผู้ติดตามจะจ้างบริษัทรับทำ SEO เพื่อโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google จะต้องตรวจเช็คคุณภาพของ Article ที่ผู้ให้บริการรับทำ SEO แต่ละราย ว่า เนื้อหาที่สร้างขึ้นมีคุณภาพหรือไม่ อ่านรู้เรื่องหรือไม่ และอ่านแล้วได้ความรู้หรือประโยชน์มากน้อยขนาดไหน สิ่งเหล่านี้สำคัญต่อการดันอันดับเว็บในยุคนี้มากๆ ครับ เพราะบริษัทรับทำ SEO โดยส่วนมาก จะไม่ค่อยมุ่งเน้นที่คุณภาพกันมากนัก เพราะการจะเขียน Content ที่มีคุณภาพ ต้องใช้เวลาเรียนรู้เรื่องนั้นๆ พอสมควร ต้องใช้เวลา อีกทั้ง การเขียนบทความ
คุณภาพเพื่อสร้าง Links กลับไปยังเว็บหลักจะต้องเขียนบทความที่ไม่เหมือนกันด้วยครับ ในแง่ของผู้ให้รับทำ SEO ก็ควรเข้าใจและรับทราบว่าการทำเอสอีโอในปัจจุบันจะทำแบบง่ายๆ ไม่ได้ ต้องทำให้ถูกหลักเกณฑ์ที่ทางกูเกิลกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ประการที่สำคัญให้นึกถึงถึงผลในระยะยาวด้วย ไม่ใช่แค่เพียงมุ่งแต่จะทำให้ติดอันดับเร็วๆ โดยไม่ชอบว่าหากระบบอัลกอริทึมมีการอัพเดทจะมีผลอย่างไร และผู้ที่ให้บริการเอสอีโอควรเข้าใจว่ายุคนี้การดันอันดับ Google จะอาศัยแค่การสร้าง Content และสร้าง Link ไม่ได้แล้ว จะต้องหาทราฟฟิคเข้าเว็บด้วย พากเพียรโปรโมทให้คนเข้าสู่เว็บไซต์ปริมาณมากๆ จึงจะทำให้เว็บติดอันดับได้เร็วและยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโปรโมทเว็บไซต์ให้คนเข้าผ่านทาง Google Search มีความสำคัญอย่างมากต่อการดันอันดับ สรุป การทำเอสอีโอยุคนี้ไม่ได้จะติดอันดับได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ เว็บใครก็ตามที่มีบทความไม่มากและด้อยคุณภาพ ทำแบบไม่ใส่ใจด้านคุณภาพ หวังแต่จะให้นักทำเอสอีโอทำอันดับให้อย่างเดียว แบบนี้ติดอันดับยากครับ เพราะยุคนี้ถ้าเนื้อหาไม่พอใจกูเกิลหรือยูสเซอร์ จำไปจ้างนักทำเอสอีโอคนไหนก็ทำขึ้นยากมากๆ ครับ สำคัญคือ เว็บต้องมีเนื้อหาดีไว้ก่อนจึงจะทำเอสอีโอได้ง่าย

การเลือกใช้บริการ SEO กับบริษัทรับทำเอสอีโอ

  ลูกค้าที่ใช้บริการ SEO กับบริษัทรับทำเอสอีโอไหนก็ตาม จะต้องวิจัยหาความรู้เกี่ยวกับเอสอีโอพื้นฐานก่อนที่จะไปจ้างใครทำ SEO ให้ครับ เพราะว่าอะไร? ก็เพราะหากท่านไม่มีความรู้เบื้องต้นของเอสอีโอ ตลอดจนไม่รู้วิธีการตรวจเช็คคุณภาพของการทำเอสอีโอแล้วละก็ การันตีได้เลยว่าท่านจะต้องเสียใจภายหลัง แม้ว่าบริษัท SEO ที่เราไปจ้างนั้น จะติดหน้าแรกคีย์ที่เกี่ยวกับการรับงานเอสอีโอก็ตาม แม้กระทั่งเว็บที่ติดหน้าแรกคีย์ รับทำ seo ก็ไม่ได้การรัณตีว่าเว็บนั้นจะส่งเสริมให้เว็บของเราติดหน้าแรก Google ได้นะครับ เพราะกว่าที่เขาจะโปรโมทเว็บไซต์ให้ดันเว็บตัวเองให้ติดหน้าแรกคีย์เหล่านี้ เขาใช้เวลาอย่างต่ำๆ 8 - 12 เดือนก็ว่าได้ แล้วถ้าท่านไปจ้างทำ seo และมีข้อความชักชวนให้ใช้บริการเยอะแยะ ทั้งโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งบรรยายศัพท์เกี่ยวกับ SEO ที่ท่านไม่เข้าใจเลย อาจจะต้องเปลืองเวลา และเสียเงินไปเปล่าประโยชน์ จงจำไว้ว่าการทำเอสอีโอยุคนี้ การที่นักทำเอสอีโอคนหนึ่งสามารถทำอันดับเว็บให้ติด Keyword ใดคีย์หนึ่ง ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจะสามารถทำคีย์อื่นๆ ติดอันดับด้วย และนี่คือความแตกต่างของการทำเอสอีโอสมัยนี้ครับ Google อยากให้เจ้าของเว็บที่มีความเชี่ยวชาญในการเขียนบทความ
เกี่ยวกับเรื่อง นั้นๆ สามารถดันอันดับได้ กล่าวคือ หากเราวิจัยหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรอย่างลึกซึ้ง แล้วนำมาสร้างเนื้อหา สืบทอด เล่าประสบการณ์ผ่านทางการสร้างเว็บ ก็จะมีความเป็นไปได้ติดอันดับสูงกว่าคนที่ไม่ได้เป็น Guru ได้นั้นๆ ครับ ด้วยเหตุนี้ อยากสร้างให้เว็บติดอันดับได้เร็ว ต้องเป็น Guru ด้านนั้นๆ แล้วจะรุ่งครับ สิ่งที่อยากจะแนะแนวอีกประการหนึ่ง คือ อยากให้เข้าใจว่าเทคนิคของบริษัทรับทำ SEO ที่ใช้โปรโมทเว็บไซต์ตัวเอง กับเว็บที่ทำอันดับให้ลูกค้า มักจะใช้คนละเทคนิคกัน หรือแม้แต่ถ้าใช้เทคนิคเดียวกันก็จะทำของลูกค้าน้อยกว่าเว็บของตัวเอง เหตุผลหลักคือ บริษัทเอสอีโอทั้งหลาย จะต้องแข่งกันดันอันดับเพื่อรับงานลูกค้าในแต่ละเดือน หรือแต่ละสัปดาห์ รวมทั้งแต่ละวันด้วย เขาจึงงัดเอาทุกกลยุทธ์ที่จะทำให้เว็บรับงานตัวเองอันดับดีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Links คุณภาพมากกว่าเว็บลูกค้า เว็บตัวเองอาจใช้แนวทางการเขียนมือสำหรับสร้างบทความจากเว็บไซต์อื่น เพื่อสร้างแบ็คลิงค์กลับไปหาเว็บหลักของตัวเอง แต่อาจใช้แนวทางการ Spin เนื้อหาที่อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่ทราบบ้าง หรือใช้สปินแบบศัพท์แปลกๆ อ่านแล้วไม่สัมพันธ์กันเพื่อสร้าง Backlinks สิ่งเหล่านี้ผู้ใช้บริการ SEO ควรรับทราบ และมุ่งมั่นเรียนรู้หาความรู้เพื่อตรวจสอบคุณภาพ แม้ว่าจะสามารถทำอันดับได้ แต่ก็เสี่ยงที่จะโดน Google Penalty ได้ครับ อีกทั้งการสร้างบทความ
ไม่คุณภาพอาจทำให้อันดับเอสอีโอมีความผันผวนสูงครับ หรือบางครั้งที่ใช้วิธีการเดียวกันทั้งหมด แต่ปริมาณการสร้างแบ็คลิงค์ให้เว็บตัวเองมากกว่าสร้างให้ผู้ซื้อสินค้า แม้คีย์เวิร์ดจะมีความยุ่งยากในระดับเดียวกัน แม้จวบจนการสร้าง Social Links หรือ Youtube Links ก็อาจทำให้เว็บตัวเองเป็นหลัก และทำปริมาณมากด้วยเพื่อหวังผลให้การรับงานให้มากๆ แต่ลูกค้าอาจใช้แนวทางการที่เน้นความเร็วของการสร้างแบ็คลิงค์เป็นหลัก โดยอาจไม่คำนึงถึงคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ท่านสามารถตรวจสอบได้ถ้ามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำ SEO ระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนใช้เวลาไม่นานครับ ขอให้แค่มีความพยายาม อะไรก็ไม่ยาก ลำดับต่อมาคือเรื่องของระยะเวลาการทำอันดับเอสอีโอ อยากให้เข้าใจว่า Keywords แต่ละคีย์มีความยาก ง่าย ไม่เท่ากัน แน่นอนว่าย่อมใช้ระยะเวลาการทำอันดับได้ยาวนานไม่เท่ากันแน่ๆ แต่ยังไงก็ตามการทำเอสอีโอในยุคนี้ ต้องใช้เวลานานอยู่แล้วครับ ด้วยเหตุนี้อย่างได้เอาอันดับเอสอีโอ ของผู้ให้บริการเอสอีโอมาเป็นดัชนีชี้วัดว่าควรใช้บริการที่ไหนดี เพราะอาจเป็นการตั้งใจที่ผิดพลาด เพราะบางทีเขาใช้เวลาทำกันเป็นปีๆ กว่าจะติด แถมใช้คนทำเป็นทีมเวิร์คช่วยกันปั่นอันดับเพื่อรับงาน อยากดูว่าใครเก่งจริง ให้ไปไล่ดู Content + Link ที่บริษัทรับทำ SEO แต่ละรายเขาใช้กัน ว่าเขาใช้เทคนิคและขั้นตอนการยังไง และให้ไปตรวจเช็ค ชื่อเว็บ ของผู้ให้บริการว่าจดมากี่ปีแล้ว รวมทั้งไปไล่ดูว่าปริมาณลิงค์ที่ทำให้ติดอันดับเริ่มสร้างมากๆ ตั้งแต่ช่วงวันเวลาไหน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวคัดกรองคุณภาพของผู้ให้บริการได้ครับ

ก่อนจ้างทำ SEO สอบถามก่อนว่าสร้าง Traffic เข้าเว็บหรือไม่

  ก่อนการจ้างทำ SEO ควรทำการสอบถามไปยังผู้ให้บริการเอสอีโอก่อนว่า มีบริการเพิ่ม Traffic หรือ โปรโมทให้คนเข้าเว็บด้วยหรือไม่ และถ้ามีจะมีคนเข้าเว็บเฉลี่ยวันละ 1,000 คนขึ้นไป ถึงจะเห็นผลเร็ว โดยปริมาณค่าเฉลี่ยของทราฟฟิคที่ส่งผลดีต่อการทำอันดับ SEO อย่างยิ่ง ทำให้ติดอันดับเร็วอีกด้วย หรือ ถ้าหากไม่มี ก็สามารถยืนยันได้ว่าเว็บจะติดอันดับช้า เพราะการทำเอสอีโอสมัยนี้แตกต่างสมัยก่อนที่อาศัยแค่การสร้าง Content ปรับแต่ On Page แล้วปรับ Off Page สร้างลิงค์ปริมาณมากๆ ก็ทำให้ติดอันดับได้ ยุคนี้ไม่ง่ายแบบนั้น ตัวที่สร้างเว็บของเราเป็น Trust Site หรือทำให้เว็บของเราน่าเชื่อถือในมุมมองของกูเกิล จะต้องมี Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ครับ

  ทราฟฟิค ที่เข้าสู่เว็บไซต์ของเรานั้นมีหลาก หลายรูปแบบ และทราฟฟิคแต่ละแบบก็ให้คำตอบทางด้าน SEO แตกต่างกัน ที่สำคัญหากเราเป็นนักทำ SEO ที่หาทราฟฟิคเก่งๆ ไม่จำเป็นต้องง้อ Backlink ให้เปลืองเวลาก็สามารถขับเคลื่อนอันดับ Google ติดอันดับกูเกิล ได้อย่างไม่ยากเย็น และการทำ SEO ที่เน้นการสร้างทราฟฟิคมีความยั่งยืนมากกว่าการทำ SEO ด้วยแบ็คลิงค์ เพราะทุกครั้งที่กูเกิล Update Algorithm ใหม่ แบ็คลิงค์ของเราจะถูกนำไปตรวจสอบใหม่ ลิงค์เดิมที่กูเกิลมองว่ามีคุณภาพใน Algorithm ชุดเก่า พอมีการอัพเดทอัลกอริทึมใหม่ ลิงค์เดิมที่มีคุณภาพ อาจไม่ถูกต้องตามกฎใหม่ หรือระบบอัลกอริทึมใหม่ของกูเกิล อันนี้คือความยุ่งยากของการสร้างแบ็คลิงค์ แต่สำหรับทราฟฟิคและตัวเลขของเว็บไซต์ ไม่ว่าระบบบอัลกอริทึมจะอัพเดทใหม่ยังไง สถิติเว็บที่ดีจะส่งผลดีตลอด เพราะสถิติมาจากผู้ใช้งานจริงๆ แต่ต้องเป็น Web Statistics ที่ดีด้วย เพราะถ้าเว็บมีตัวเลขที่ไม่สนับสนุนยูสเซอร์ก็อาจส่งผลเสียต่ออันดับของเว็บ ได้เช่นกัน สรุปง่ายๆ ก็คือ เว็บไหนทำให้คนเข้าเว็บมากๆ และมาจากทราฟฟิคหลายประเภท และอ่านเนื้อหาภายในเว็บนานๆ อันดับเอสอีโอ ขึ้นกับขึ้น เลิกสนใจแบ็คลิงค์ไปได้เลย Google เข้าใจดีว่า Website ที่ดีต้องเป็นเว็บที่มีคนเข้าอ่านบทความปริมาณมากๆ และต้องมีสถิติของเว็บที่ดีอีกด้วย

ประเภทของ Traffic ที่ส่งผลดีต่ออันดับ SEO

1. ทราฟฟิคแบบที่หนึ่ง Ads Traffic ทราฟฟิคลักษณะนี้ได้แก่ ทราฟฟิคที่มีการเข้าสู่เว็บไซต์จากการลงโฆาณาแบบ PPC หรือที่เรียกว่า Pay Per Click เช่น โฆษณา Google Adwords ซึ่งพอใจมากที่สุด และมีผลต่ออันดับมากกว่าการลงโฆษณากับเจ้าอื่นๆ เหตุผลหลักๆ เลย เพราะว่าคนที่เข้าไปอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ มาจากคนที่ต้องกางอ่านบทความที่สอดคล้องกับเว็บของผู้ลงโฆษณาจริงๆ สิ่งที่อยากให้เข้าใจกันสักนิดหนึ่งก็คือ การที่คลิกป้ายโฆษณาของ Adwords แล้วเข้าสู่เว็บไซต์ เราจะไม่ได้สถิติของ Analytics for Search ใน Search Engine Console นะครับ เพราะว่าไม่ได้คลิกที่สถานะของ SEO หรือ Search Result แต่เป็นที่ตั้งของป้ายโฆษณา สิ่งที่เราจะได้คำจำนวนทราฟฟิคที่เข้าสู่เว็บ และปริมาณคนออนไลน์ แน่นอนว่าลงโฆษณา Adwords ย่อมต้องมีคนหยุดอ่านเนื้อหาภายในเว็บนานกว่าการลงโฆษณากับเจ้าอื่นๆ ในกลุ่ม PPC ด้วยกันอยู่แล้ว เพราะว่าคนมาจากการค้นหาผ่านการ Search Query ข้อมูลที่มีความสอดคล้องกัน ยิ่งคนอ่านบทความมากๆ และอยู่ในหน้าเว็บนานๆ ยิ่งส่งผลดีต่ออันดับครับ และถ้ามีคนออนไลน์มากๆ ยิ่งส่งผลดีอย่างเห็นได้ชัดครับ ยังไงก็ตาม Traffic ที่มาจากโฆษณาแบบ PPC มีความแรงน้อยกว่าทราฟฟิคประเภทอื่นๆ ทั้งหมดครับ

2. ทราฟฟิคแบบที่สอง Direct Traffic ทราฟฟิคคนเข้าสู่เว็บตรงๆ เรียกได้ว่าเป็นทราฟฟิคมาตรฐานก็ว่าได้ ถ้าเราทำเว็บที่มีคุณภาพจริงๆ ผู้อ่านจะติดตามและเข้ามาอ่านเนื้อหาภายในเว็บของเราอย่างต่อเนื่อง และหากเว็บเราดีในวิสัยทัศน์ผู้เยี่ยมชมจริงๆ ยูสเซอร์จะ Bookmark เว็บของเราเก็บไว้ เพื่อเข้าสู่เว็บอีกใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าข้อมูลของ Return Visitor ใน Google Webmaster Tool ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หรือถ้าหากเราทำเว็บน่าสนใจจริงๆ ยูสเซอร์ก็จะจดจำชื่อเว็บของเรา ชื่อเว็บ และมีการเข้าสู่เว็บของเราโดยการป้อน URL ระบุชื่อเว็บของเราโดยตรง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นทราฟฟิคแบบ Direct Traffic ถ้าเปรียบเทียบกับทราฟฟิครูปแบบต่างๆ แล้ว ไดเรคทราฟฟิคส่งผลต่ออันดับ SEO น้อยกว่าทราฟฟิคแบบอื่นๆ แต่ยังไงก็แรงกว่า Backlink อยู่แล้วละ ยังไงก็ตามถ้าเราทำให้ Direct Traffic อาศัยอยู่ในหน้าเว็บขอเรานานๆ อ่านเนื้อหาภายในเว็บของเราหลายๆ หน้า การันตีว่าจะยิ่งเพิ่มความแรงในการทำ SEO มากกว่าเดิม

3. ทราฟฟิคแบบที่สาม Referral Traffic ทราฟฟิคจากการอ้างอิง ทราฟฟิคที่มาจากการคลิกลิงค์บนหน้าเว็บอื่นเพื่อเชื่อมโยงมายังหน้าเว็บของ เรา ล้วนเรียกว่า Referral Traffic และทราฟฟิคแบบนี้จะยิ่งส่งผลดี ถ้าหากว่าเว็บต้นทางมี Keyword หลักของเว็บ รวมทั้งเนื้อหาโดยรวมของเว็บสัมพันธ์กับคีย์เวิร์ดหลักของเว็บเรา รวมทั้งมีบทความที่สอดคล้องกัน ยิ่งมีจำนวนทราฟฟิคแบบนี้เข้ามาปริมาณมากๆ ยิ่งจะส่งเสริมให้อันดับ SEO ของเว็บเราขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือบางทีไม่มีความจำเป็นต้องมีการคลิก Link เข้าสู่เว็บของเราก็ได้ ถ้าผู้ติดตามป้อน URL ของเราในขณะที่ยังอยู่ในหน้าเว็บนั้นๆ Google ก็เข้าใจว่ามีการอ้างอิงมาจากเว็บไหน จากการตรวจสอบ Session และ Cookie ของ Webbrowser นั่นเอง ซึ่งระบบ Google Search สามารถตรวจเช็คพฤิตกรรมของยูสเซอร์ได้อย่างแม่นยำอยู่แล้ว

4. ทราฟฟิคแบบที่สี่ Social Network Traffic ทราฟฟิคจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค การสร้างทราฟฟิคจาก Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุด Google Plus โซเชียลเน็ตเวิร์คจากกูเกิล แม้ว่ายูสเซอร์ในประเทศไทยจะไม่มาก แต่เราสามารถหาทราฟฟิคคุณภาพได้ Twitter ระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คอีกเว็บที่มียูสเซอร์จำนวนมาก โดยการทวิตข้อความหากัน และ Youtube ระบบสังคมออนไลน์โดยเชื่อมต่อกับ Social Network ตัวอื่นๆ และมีคนเข้าใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยการสื่อสารผ่าน Video Youtube ที่สามารถแชร์ให้สหายๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งหากเราสร้างวีดีโอที่น่าสนใจแล้ว Upload ไว้บนยูทูป เราจะได้รับทราฟฟิคอีกทางจากการแนะแนวเว็บผ่านวิถีทางนี้ จุดเด่นของ Social Network Traffic คือ หากเรานำเสนอ Content ที่น่าสนใจ จะมีคนเข้าสู่เว็บของเราปริมาณมาก แต่ข้อเสีย คือ ทราฟฟิคจาก Social Network มากมาไวไปไว เราต้องแชร์เนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้จำนวนทราฟฟิคไม่ลดลงอย่างกระทันหัน ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่ออันดับ Google ยังไงก็ตามทราฟฟิคที่เข้ามาจำนวนมากๆ พร้อมๆ กัน สามารถทำให้เว็บติดอันดับกูเกิล รวดเร็วยิ่งขึ้น

5. ทราฟฟิคแบบที่ห้า ซึ่งสำคัญที่สุด Google Search Traffic ทราฟฟิคที่มาจากกูเกิล หากเราสามารถสร้างทราฟฟิคที่มาจากกูเกิลเสิร์ทจำนวนมากๆ และมีสถิติการเข้าสู่เว็บที่ดี จะส่งผลต่ออันดับ Google ค่อนข้างมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นทราฟฟิคที่มีผลต่อการทำ SEO สูงสุด หากเทียบกับทราฟฟิคแบบอื่นๆ ถ้าหากเราสามารถเพิ่มทราฟฟิคที่มาจาก Google Search อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อเว็บหลายเรื่อง อีกทั้งกูเกิลจะเข้าใจว่าเว็บของเรามีคุณภาพ ถ้าหากเราสามารถสร้างทราฟฟิคจาก Google จำนวนมากๆ อย่างสม่ำเสมอ จะส่งเสริมให้เว็บของเราติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา Search Result Pages ในเวลาอันรวดเร็ว และติดอันดับอย่างยั่งยืน ซึ่งทราฟฟิคจากกูเกิล มาจากการที่ผู้ค้นหาข้อมูล ค้นหาชื่อเว็บ หรือ แบรนด์ ของเรา แล้วคลิกเข้าสู่เว็บของเราจากผลการค้นหาของกูเกิล หากเว็บของเรามีคนเข้าสู่เว็บผ่านทาง Organic Search ปริมาณมากๆ จะทำให้เว็บของเราเป็น Trust Site ในสายตากูเกิล จะทำให้เราทำอันดับได้ง่าย เพราะเว็บคุณภาพไต่อันดับได้ไม่ยาก Google ชอบเว็บที่มีคนเข้ามากๆ หรือเว็บที่พูดถึงมากๆ นักทำ SEO เมืองนอกได้แยก Traffic จาก Google Search ออกเป็น 2 แบบ เช่น Paid Search Traffic กับ Unpaid Search Traffic ทราฟฟิคที่เสียตังค์ เช่น การลงโฆษณากับ Google Adwords ส่วนทราฟฟิคที่ไม่เสียเงิน คือ ทราฟฟิคที่มาจากการค้นหาผ่านทาง Search Box แต่ในทางทฤษฎีของผู้เขียนแล้ว หมวดของ Traffic ที่มาจาก Search Engine มีเพียงวิถีทางเดียวเท่านั้น คือ การค้นหาผ่านทาง Google Search นั่นเอง ส่วนทราฟฟิคที่มาจากโฆษณา Google Adwords นั้น จะมีลักษณะเหมือนกับ Direct Traffic มากกว่า เนื่องจากการที่มีการคลิกโฆษณา Adwords เพื่อเข้าสู่เว็บของเรา สถิติในส่วนของ Google Referral หรือ Organic Search จะไม่เพิ่มขึ้นเลย จะเพิ่มขึ้นเฉพาะตัวเลขคนเข้าสู่เว็บ และปริมาณคนออนไลน์ในเวลานั้นๆ แน่นอนว่าทราฟฟิคจากการลงโฆษณา Adwords มันช่วยเรื่องอันดับ SEO แต่เราไม่สามารถนำมาเทียบกับข้อมูลผ่านทาง Organic Search ได้เลย เพราะความแรงต่ออันดับของ SEO ห่างกันอย่างมาก

ปัจจัยชี้วัดคุณภาพของทราฟฟิคคืออะไร

1. ปัจจัยแรก Click Through Rate (CTR) อัตราส่วนการแสดงรายการเว็บของเราผ่านทาง Search Result ที่นำมาหารกับจำนวนคลิกที่เข้าสู่เว็บของเราผ่านทาง Search Engine เช่น ถ้าหากมีคนคลิกเข้าสู่เว็บของเรา 5 คน ในการแสดงผล 1,000 ครั้ง จะทำให้เราได้ค่า CTR เท่ากับ 0.5% ยิ่งค่า CTR ของเราสูงเท่าไหร่ จะส่งผลดีต่ออันดับเว็บมากเท่านั้น ค่านี้พูดได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของการดันอันดับบนกูเกิลยุคนี้ก็ว่าได้ ยิ่งปรับค่า CTR สูงๆ ด้วยคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับเว็บของเรา ยิ่งจะทำให้ติดอันดับรวดเร็วครับ ทั้งนี้ ก็ต้องโปรโมทให้คนเข้าเว็บปริมาณเยอะๆ ด้วยครับ จะทำให้เห็นผลการไต่ของอันดับอย่างชัดเจน รวดเร็ว และถ้าติดอันดับแล้วจะติดเนิ่นนานครับ

2. ปัจจัยที่สอง Time on Site (Session duration) ระยะเวลาที่ยูสเซอร์อาศัยอยู่บนเว็บไซต์มีความสำคัญต่อคะแนนในการจัดอันดับ ของ Search Engine ยิ่งคนใช้เวลาอ่านบทความภายในเว็บของเรามากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO ของเว็บ ไม่เพียงแค่ช่วงเวลาเท่านั้น User Behavior ก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน ถ้าหากยูสเซอร์คลิกอ่านเนื้อหาภายในเว็บหลายๆ หน้า และมีการโต้ตอบ หรือแสดงความคิดความอ่านห็น ในแต่ละหน้า จะยิ่งส่งผลดีต่ออันดับของเว็บ ในเรื่องของช่วงเวลาการอ่านเนื้อหาของเว็บ ถ้าค่าเฉลี่ยเกิน 5 นาทีขึ้นไป ถึงว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากๆ แล้วครับ และช่วยสนับสนุนการทำเอสอีโอได้เป็นอย่างดีครับ

3. ปัจจัยที่สาม Bounce Rate อัตราตีกลับ ค
ภาพที่เกี่ยวข้อง
รูปภาพที่เกี่ยวข้องเทคนิคการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้มีคุณภาพ
เทคนิคการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้มีคุณภาพ
อ้างอิงจาก: รับทำ SEO
แท็ก: SEO
อ้างจาก: รับทำ SEO
เทคนิคการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้มีคุณภาพ
หมวดหมู่: Search Engine Optimization
หน้าหลัก: http://www.cmseogroup.com
รายละเอียดสินค้า: http://www.cmseogroup.com/tag/บริการ-SEO/
ติดต่อเรา: http://www.cmseogroup.com/tag/รับทำ-SEO/
ชื่อ: CM SEO Group (ซีเอ็ม เอสอีโอ กรุ๊ป)
ที่อยู่: เชียงใหม่
เบอร์โทรติดต่อ: 062-363-9429
อีเมล์: [email protected]
อ้างอิงจาก: http://forum.downloadfc.com/index.php?action=post;board=187.0