ผู้เขียน หัวข้อ: ขายดีเลิศเป็นกระแสในการเกื้อกูลผิวของคุณให้มีผิวขาวสวยปรับสภาพผิวของคุณแบบมืออาชืพง่า  (อ่าน 206 ครั้ง)

ออฟไลน์ iAmtoto007

  • Full LED TV member
  • ****
  • กระทู้: 2,885
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ครีม v2 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีความจำเป็นในการดูแลรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว ถึงแม้ผิวมนุษย์เราจะผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เองแต่ว่าในขณะนี้มีสินค้าเพื่อการดูแลรักษาผิวพรรณเยอะมากกมายที่มีส่วนประกอบไม่เป็นมิตรกับผิว มีฤทธิ์ระคายทำให้ผิวอ่อนแอและผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้น้อยลง การบำรุงผิวโดยพิจารณาถึงส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ก็เลยมีความจำเป็นเช่นกัน บางบุคคลหน้ามันแล้วกลัวว่าหากว่าใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะทำให้ผิวยิ่งมันครีม v2เป็นความรู้ความเข้าใจที่ผิดนัก เนื่องจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์มีหลากหลายชนิดสามารถเลือกใช้ให้ตรงกับภาวการณ์ผิวได้

อยากได้มีผิวสวย โปรดอ่านนี้ก่อน

หนังกำพร้าสุด (stratum corneum หรือชั้นคราบไคล) เป็นชั้นที่เรามองดูเห็นด้วยสายตา ในสายตาคนที่อยู่รอบข้างหรือตอนเราส่งกระจก ผิวพวกเราจะมองดูแห้ง ขาดเลือดฝาด ไม่สดชื่นหรือสวย สังกัดความสมบูรณ์ของชั้นนี้เป็นหลัก อยากให้ผิวดูงามในสายตาคนดู ก็ต้องมารีบทำให้ผิวชั้นไคลบริบูรณ์กันจ้ะ

คำศัพท์ที่จะพบในเนื้อหานี้

Epidermis : หนังกำพร้าสุด ภาษาไทยเรียกว่าชั้นผิวหนังชั้นนอกมี 5 ชั้นย่อย
stratum corneum : ชั้นไคล เป็นชั้นย่อยชั้นนอกสุดชองชั้นหนังกำพร้า
Corneocyte : เซลล์ในชั้นไคล มีการเรียงตัวเป็นชั้นๆคร่าวๆ 25-30 ชั้น บางตำราเรียนเรียก Corneocyte ว่าhorny cell
Brick and Motar Model : แบบจำลองการเรียงหน้าเป็นชั้นๆของเซลล์ Corneocyte
Keratinocyte : เป็นคำรวมๆที่ใช้เรียกเซลล์ผิวทั้งหมดของชั้นepidermis เพราะเซลล์ผิวในชั้นผิวหนังชั้นนอกจะมี keratinเป็นส่วนประกอบด้านใน ทำให้ทุกเซลล์ในชั้น Epidermis ขึ้นชื่อว่าเป็น keratinocyte ทั้งหมดทั้งปวง
NMFs : ย่อมาจาก Natural moisturizing factors เป็นสารประกอบหนึ่งที่อยู่ด้านในเซลล์ Corneocyteทำหน้าที่เก็บน้ำและจากนั้นก็รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ภาษาไทยเรียก NMFsว่า "น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ"
Intercellular lipids : ชั้นไขมันกันระหว่างเซลล์Corneocyteปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองปกป้องไม่ให้ NMFs ข้างในเซลล์ Corneocyte รั่วออกมาภายนอก บางหนังสือเรียนเรียกIntercellularlipids ว่า intercellular matrix หรือ Lipidbarrier
Sebaceous gland : ต่อมไขมันที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำมัน(sebum) มาฉาบผิว
TEWL : ย่อมาจาก Transepidermal Water Loss เป็นการสูญเสียน้ำผิวผ่านชั้น Epidermis ยิ่ง TEWL มีค่าสูงแปลว่ายิ่งมีการสูญเสียน้ำมากมาย

องค์ประกอบผิวหนังชั้นคราบไคล (stratumcorneum)
ชั้น stratum corneum มีการเรียงหน้าของเซลล์corneocyte อย่างเป็นระเบียบเป็นชั้นๆประมาณ25-30 ชั้น โดยมีintercellular lipidsเป็นตัวประสานล้อม แบบเรียนฝรั่งได้เรียกการเรียงหน้าแบบงี้ว่าBrick and Motar Model ภาพการเรียงหน้าของอิฐที่ก่อด้วยปูน Brick and Motar Model
Brickมีความหมายว่าอิฐ Motarแปลว่าปูนภาพจำลองการจัดเรียงตัวของเซลล์ corneocyte เป็นชั้นๆโดยมีintercellularlipids เป็นตัวประสานซึ่งมีลักษณะเสมือนการเรียงตัวของอิฐที่ก่อด้วยปูนก็เลยถูกเรียกว่า Brick and Motar Model ก้อนอิฐแต่ละก้อน เทียบได้กับเซลล์ corneocyte

ด้านในเซลล์ corneocyte มี NMFs ครีม v2ปฏิบัติหน้าที่รักษาระดับน้ำด้านในเซลล์
NMFs ที่สำคัญๆเป็นAmino acids, PCA รวมถึงน้ำตาลGlucose
NMFs เป็นสารที่เซลล์ชั้นหนังกำพร้าสามารถสร้างขึ้นได้เองในตอนที่มีการเติบโตเป็นเซลล์เต็มวัย (keratinocytedifferentiation)
แม้มีต้นเหตุใดไปก่อกวนการเติบโตของเซลล์keratinocyteก็จะมีผลให้ NMFs ถูกทำลดลง รวมทั้งส่งผลถึงความชื้นของชั้น stratumcorneum

ปูนผสาน เปรียบเทียบได้กับIntercellular lipids
เป็นตัวยึดเหนี่ยวเซลล์ ให้เรียงกันอย่างแน่นหนาแล้วก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
Intercellular lipids ประกอบไปด้วยสารจำพวกไขมันเป็นต้นว่า ceramides 47 %, cholesterol 24%, freefatty acids 11 % รวมทั้ง cholesterol esters 18 %

ผิวสวยเริ่มความสมบูรณ์ของชั้น stratum corneum
อยากได้ให้ผิวมองงาม น่าจะหันมาดูแลผิวชั้น stratumcorneum ให้บริบูรณ์โดยการรักษาระดับ NMFs รวมถึงintercellular lipids ให้บริบูรณ์เยอะที่สุด
การที่ระดับความชุ่มชื้นในผิวพอเพียงจะช่วยปรับ

เซลล์ผิวมีความยืดหยุ่นดี ถูกรังแกได้ยาก
เสริมลักษณะการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ช่วยในวิธีการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากผิวขาดความชุ่มชื้นที่เหมาะเหม็งเอนไซม์กลุ่มนี้จะปฏิบัติงานไม่ดีการผลัดเซลล์ผิวก็เลยรวน ผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้ากระ สะสม รูขุมขนตัน เป็นสิว
อุดหนุนให้องค์ประกอบมีความแข็งแรงแล้วก็ปฏิบัติภารกิจกรองสารที่จะผ่านเข้าออกผิวเจริญก้าวหน้ารวมถึงบริบูรณ์ หากผิวขาดความชื้นที่สมควรเซลล์ corneocyte จะลีบแบน การเรียงหน้าไม่เรียบร้อยกำเนิดช่องโหว่ น้ำใต้ผิวระเหยออกง่าย สิ่งเจือปนจากข้างนอกผ่านเข้าไปได้ง่าย ทำให้ผิวหนังอักเสบ มีการติดโรค ฯลฯ
รักษาระดับ pH ของผิว : ผิวที่มี pH ผิวสมควร จะช่วยปรับNMFs ถูกสร้างเจริญก้าวหน้า
สิวขึ้นต่ำลง : ผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์ผิวเรียงตัวไร้ระเบียบครีม v2 มีการหลุดลอกไม่ปกติแล้วก็ไปตันตามรูขุมขนเมื่อรวมกับน้ำมันที่ระบายออกไม่ได้ ก็เลยมีการตันเป็นสิวตันสิวอักเสบ เมือผิวชื้นแฉะ การผลัดเซลล์กลับมาธรรมดา การอุดตันเกิดต่ำลง สิวต่ำลง
รูขุมขนกระชับ : ผิวที่เฉอะแฉะสมควร เซลล์ corneocyteจะมีความอ้วนอิ่มรวมถึงขยายตัวแทรกกัน ทำให้รูขุมขนซึ่งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมของเซลล์ corneocyte ถูกบีบอัดให้แคบลงผิวก็เลยมองละเอียดขึ้น ดังนั้นในคนที่ผิวแห้งมากๆเว้นเสียแต่ผิวจะดูไม่สุภาพแล้ว รูขุมขนก็จะกว้างขึ้นด้วย อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่บทความเรื่อง ตาข่ายผิวภาพเทียบเคียงผิวหนังธรรมดาและผิวหนังที่แห้งผิวปกติ :เซลล์เรียงตัวชิดกัน เรียบร้อย
inter cellular matrix บริบูรณ์
เหนือผิวข้างบนมีน้ำมัน (hydro lipid film) ฉาบอยู่เพียงพอ
น้ำใต้ผิวระเหยออกได้น้อยผิวแห้ง การเรียงตัวของเซลล์ผิวสะเพร่า ไม่มีระเบียบ
intercllular matrix มีน้อย/ไม่มีคุณภาพ
น้ำมันฉาบผิว (hydro lipid film) น้อย
น้ำใต้ผิวระเหยออกได้มาก (TEWL สูง)บักเตรี สิ่งปลอมปนไปสู่ผิวได้ง่าย ผิวก็เลยเคืองและก็อักเสบง่ายผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้นเสมอเหมือนหรือไม่เหมือนกันยังไง?
ผิวแห้งรวมทั้งผิวขาดความชุ่มชื้นคล้ายคลึงกันแต่แตกต่างกันคำว่าผิวแห้งเป็นคำใช้แบ่งแยกสภาวะผิวที่ประจำตัวมา ตัวอย่างเช่น คนนี้ผิวมัน คนนี้ผิวผสม คนนี้ผิวแห้ง ซึ่งใช้จำนวนน้ำมันที่สร้างจากต่อมไขมันเป็นตัวแยกเป็นชนิดและประเภท


ผิวแห้ง(dry skin)หมายถึงผิวที่ขาดน้ำมัน (sebum)ฉาบผิวด้านบนเพราะว่ามีต่อมน้ำมัน ( sebaceous gland) ใต้ผิวน้อย ก็เลยผลิตน้ำมันได้น้อย เมื่อจำนวนน้ำมันฉาบผิวน้อยก็เลยสูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย ด้วยเหตุนั้นคนที่ผิวแห้งยังคงมีความสมบูรณ์ของ intercllular matrix และก็มีน้ำใต้ผิวที่เพียงพอ ก็แค่ขาดน้ำมันที่ผิว
ผิวมัน (oily skin)หมายถึงผิวที่มีต่อมไขมันมากทั่วทั้งหน้ารวมถึงผลิตน้ำมันมาฉาบผิวได้มาก ผิวด้านนอกก็เลยดูมัน การสูญเสียน้ำใต้ผิวก็เลยเกิดขึ้นน้อย
ผิวผสม (mix skin)เป็นผิวที่มีต่อมไขมันรอบๆt-zoneมากไม่น้อยเลยทีเดียว, u-zone น้อยทำให้หน้ามันเฉพาะบริเวณt-zoneส่วน u-zone ปกติหรือแห้ง

ส่วน ผิวขาดความชื้น (dehydrated skin) เป็นผิวที่มีน้ำใต้ผิวต่ำ วัดน้ำใต้ผิวได้ < 10% ปัจจัยอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน

1.ปัจจัยภายนอก

การใช้สินค้าผลัดเซลล์มากเกินความจำเป็น : ทำให้ผิวหนังชั้นนอกมีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ผิวหนังที่มีการหมุนเวียนเร็วจะไม่อาจจะสร้าง NMFsและ intercellular lipids ได้ทัน ก็เลยเสียความรู้ความเข้าใจในการรักษาน้ำให้ดำรงอยู่ในผิวหนัง
การใช้สินค้าชำระล้างที่มีคุณสมบัติกำจัดน้ำมันฉาบผิวมากเกินไปครีม v2 : น้ำมันฉาบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย
รังสี UV : ได้รับรังสี UV เยอะๆต่อเนื่องกัน ไม่ทาครีมสำหรับกันแดด รังสี UV จะก่อกวนการสร้าง NMFs
ความชุ่มชื้นกลางอากาศ : ความชื้นกลางอากาศต่ำยิ่งกว่า10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ด้านนอก เพราะฉะนั้นในห้องปรับอากาศในฤดูหนาว ซึ่งมีความชื้นต่ำ สามารถพรากน้ำใต้ผิวได้ตลอดระยะเวลา

2. ปัจจัยภายใน

อายุ : อายุหนมากขึ้น การสร้าง NMFs และก็ sebum น้อยลง
เชื้อชาติ : ชาวเอเชีย มีจำนวน NMFs ต่ำกว่าเชื้อชาติอื่น
โรคผิวหนัง: โรคผื่นแพ้พันธุกรรม (atopicdermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) โรคเด็กดักแด้(Ichthyosis) โรคเหล่านี้จะมีการแบ่งตัวของkeratinocyte (keratinization) เร็วกว่าปกติหลายเท่า และก็ขับเคลื่อนมาที่เปลือกอย่างรวดเร็วตัวอย่างเช่น 4 วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังดกเป็นปื้นในขณะขั้นตอนสร้าง NMFs , intercellular lipids ยังเกิดขึ้นไม่สมบูรณ์ เซลล์ผิวหนังก็เลยขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ เซลล์ผิวก็เลยหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย เสมือนเป็นสะเก็ดหรือเกล็ดขึ้นกับความรุนแรง

รูปแบบของผิวหนังที่ขาดความชุ่มชื้น(dehydrated skin)
- ผิวไม่เรียบ มีขุยไหมมีขุยก็ได้ แต่หากมีขุยเป็นอาการหนักทาแป้งไม่ติด (หน้ามันเยอะมาก ทาแป้งไม่ติด หน้าแห้งไปก็ทาแป้งไม่ติดเช่นกัน)ครีม v2
- แลเห็น fine line ชัด (ริ้วเล็ก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้ตา มุมปาก
- ผิวแดงง่าย สีผิวไม่บ่อยนัก
- คันแล้วหลังจากนั้นก็กำเนิดผิวหนังอักสบ
- ระคายง่าย แพ้ง่ายครีม v2
การดูแลและรักษาความชื้นให้ผิวหนัง ก็เลยจึงควรทำทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นเข้าไปก่อน ด้วยการกินน้ำให้เพียงพอ และเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด humectant
ขัดขวางความชุ่มชื้นไม่ให้ระเหยออก ด้วยการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทocclusive
เพิ่มความรู้ความเข้าใจในการเก็บกักน้ำใต้ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบใกล้เคียงกับ NMFs และก็ Intercellular lipids
เลือกมอยพบร์ไรเซอร์เป็น ช่วยอะไรบ้าง?Repairingtheskin barrier : สร้างเสริมเกราะคุ้มครองผิว ผิวแข็งแรงขึ้นเคืองลดลง ไม่แพ้ง่าย
Increasing water content : เพิมปริมาณน้ำใต้ผิว
Reducing TEWL : ลดการสูญเสียน้ำผ่านออกทางผิวหนังชั้นอีพิเดอร์มิส
Restoring the lipid barriers' ability to attract, holdandredistribute water : ซ่อมแซม intercellular lipidsให้สามารถเก็บกักน้ำและรักษาสมดุลน้ำใต้ผิว
สารช่วยเพิ่มความชื้น (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) แบ่งออกได้เป็น 2พวกเป็น

1. สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง (Humectant) สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการจับกับน้ำ (water binding)ดังเช่น colloidaloatmeal, Amino acid,Hyaluronic Acid, Sodium PCA, glycerin, น้ำผึ้ง, กรดแลคติค (lactic acid), soduimlactate, propylene glycol,sorbitol, pyrolidonecarboxylic acid (PCA) , gelatin,collagen , lastin,urea

ทั้ง Sodium-PCA แล้วก็hyaluronic acid (HA) จัดเป็นสารจำพวกglycosaminoglycans ในธรรมชาติสารนี้พบแทรกสอดในชั้นหนังแท้ ขึ้นรถ HA จะซับน้ำได้ 1000 เท่า ก็เลยทำให้ผิวหนังเด็กเต่งตึง แม้กระนั้นเมื่อวัยสูงขึ้นสาร HA ในชั้นหนังแท้จะลดน้อยลงทั้งสมรรถนะรวมทั้งจำนวน ผิวหนังก็เลยเหี่ยวย่น ในครีมหรือโลชันผิวแห้งก็เลยนิยมผสมสาร HA ครีมv2เพื่อช่วยซับน้ำในผิวหนังชั้นไคลเพราะสารในกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มน้ำให้กับผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวเรียบนุ่มเปียกแฉะโดยไม่เพิ่มความมันมอยส์เจอร์ไรเซอร์กรุ๊ป Humectant ก็เลยเหมาะสมกับผิวมัน ผิวแห้ง และจากนั้นก็ผิวแพ้ง่าย

2. สารเพื่อคุ้มครองปกป้องการระเหยของน้ำจากผิว (occlusivemoisturizers)ผลิตภัณฑ์ผิวแห้งจะผสมน้ำมันหลายแบบ เมื่อทาน้ำมันฉาบผิวการระเหยของน้ำจากชั้นผิวหนังจะลดน้อยลงน้ำมันที่ใช้มีหลายกลุ่ม เป็น





เครดิต : https://sites.google.com/site/v2centerthailand/

Tags : ครีม v2,ครีม V2 ดีไหม