ผู้เขียน หัวข้อ: ธุรกิจเครื่องคำนวณพื้นที่แผ่ขยายกำลังผลิตตั้งเป้าปีนี้เติบโต15%  (อ่าน 260 ครั้ง)

ออฟไลน์ tobe4421

  • Flat TV member
  • *
  • กระทู้: 33
    • ดูรายละเอียด
    • à¤Ã×èͧ¤Ó¹Ç³¾×é¹·Õè
    • อีเมล์

นายบุญชัย พุทธาโกฐิรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายขายและการตลาด ธุรกิจเครื่องคำนวณพื้นที่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ธุรกิจเครื่องคำนวณพื้นที่ จะเติมต่อกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอชเอ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากทั้ง 2 โรงงานที่กบินทร์บุรี ปราจีนบุรี ซึ่งผลิตสินค้าเพื่อรองรับกับความประสงค์ของตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้ได้เตรียมงบการตลาดทั้งปี 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้ไป 800 ล้านบาท จะเน้นสื่อการโฆษณาต่างๆ รวมถึงจัดกิจกรรมร่วมกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงเคาน์เตอร์เจแปน โปรดักท์ หรือสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่มีอยู่ 60-80 เอาท์เลต และล่าสุดได้ใช้งบ 200 ล้านบาท เปิดตัวและทำตลาดเครื่องคำนวณพื้นที่รุ่นใหม่ ขณะที่ทั้งมวลตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท มีการเจริญงอกงามต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดกลุ่มสินค้าชนิดอื่น มีการเติบโตเพียง 10-15% โดยช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโต 30-40% มาจากยอดขายเครื่องคำนวณพื้นที่รุ่นก่อนๆ ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 45 ปีที่ทำตลาดในไทย และตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้จะเติบโต 15% ขอบข่ายปีนี้ จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นมากขึ้น ควบคู่กับทำตลาดสินค้าที่ผลิตในไทย โดยเริ่มทำตลาดมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2555 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ราคา 1.3 แสนบาท ที่ได้การตอบรับจากกลุ่มโภคินระดับกลางถึงบนเป็นอย่างดีและกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับกลุ่มลูกค้าคนไทยให้ได้ใช้สินค้าที่มีเทคโนโลยีและคุณภาพ โดยปีนี้จะนำเข้าสินค้าเพิ่มอีก 10 โมเดล จากสินค้าที่จะเปิดตัวในปีนี้ทั้งนำเข้าและผลิตในประเทศ 50-60 โมเดล อีกทั้งภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนสินค้านำเข้าเป็น 15-20 โมเดล เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน ที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน และต้องการสินค้าที่มีความแปลกใหม่ แม้ว่าราคาสินค้านำเข้าจะสูงกว่าสินค้าปกติที่ผลิตในประเทศถึง 40% ก็ตาม นายบุญชัย กล่าวด้วยว่าจะไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แต่จะเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาได้นำเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ มาปรับใช้ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้สินค้าประหยัดกำลังแรงงานได้ถึง 30% และมีคุณภาพกว่ารุ่นปกติ แต่ยังมีราคาแพงกว่าปฎิปักษ์ในท้องตลาดประมาณ 10-15%