ผู้เขียน หัวข้อ: การศึกษาทางพิษวิทยาของหมามุ่ย  (อ่าน 547 ครั้ง)

ออฟไลน์ Boyzite1011

  • Full LED TV member
  • ****
  • กระทู้: 2,923
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
การศึกษาทางพิษวิทยาของหมามุ่ย
« เมื่อ: สิงหาคม 26, 2017, 11:34:33 pm »

หมามุ่ย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย
ชื่อ หมามุ่ย
 ชื่ออื่นๆ บะเหยือง หม่าเหยือง (ภาคเหนือ) ตำแย (ภาคกลาง) โพล่ยู (กะเหรี่ยงกาญจนบุรี) กลออือแซ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน)
 ชื่อวิทยาศาสตร์ Mucuna pruriens (Linn.) DC.
 ชื่อสามัญ/ชื่ออังกฤษ Cowitch
 วงศ์ LEGUMINOIDEAE
ถิ่นกำเนิดหมามุ่ย
หมามุ่ยเป็นพืชที่มีบ้านเกิดในเขตโซนร้อน (tropical) ต่างๆของโลกในทวีปแอฟริการวมทั้งเอเชีย โดยในเอเชียสามารถพบหมามุ่ยได้ในประเทศ ไทย ประเทศอินเดีย จีน เมียนมาร์ ลาว เขมร อื่นๆอีกมากมาย และชอบมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งหมามุ่ยในโลกนี้ มีเยอะแยะนับร้อยสายพันธุ์ แม้กระนั้นก็ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน
ลักษณะทั่วไปของหมามุ่ย
หมามุ่ยจัดเป็น ไม้ล้มลุกฤดูเดียว มีเถาเลื้อย ยาว 2-10 เมตร มีขนหนาแน่น ใบ เป็นใบประกอบแบบขน ออกเรียงสลับ ใบย่อยมี 3 ใบ ที่ปลาย รูปไข่หรือสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบกึ่งกลางมักมีขนาดใหญ่ที่สุด กว้าง 3-10 เซนติเมตร ยาว 5-15 ซม. แผ่นใบทั้งสองด้านมีขนสีเทาปกคลุม ฐานใบเบี้ยว ปลายใบมนหรือมีติ่งแหลม ขอบของใบเรียบ เส้นกลางใบมี 3 เส้น ดอกออกเป็นช่อกระจะที่ซอกใบ แขวนลงมา ยาว 15-30 เซนติเมตร ดอกสีม่วงคล้ำ มีกลิ่นเหม็นเบื่อ รูปดอกถั่ว ดอกย่อยมีมากไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดกว้าง 1-2 ซม. ยาว 2-4 ซม. กลีบกลางรูปไข่ ปลายกลีบเว้า กลีบคู่ข้างรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กลีบเลี้ยง โคนเชื่อมชิดกันเป็นรูป ปลายแยกเป็น 5 กลีบ สีน้ำตาลอ่อน มีขนคล้ายเส้นไหมปกคลุม เกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านเกสรเชื่อมกันเป็น 2 กรุ๊ป อับเรณูมีสองแบบ เกสรเพศเมียมีรังไข่รูปแถบ มีขนยาวสีเทา รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ผล เป็นฝักโค้งรูปขอบขนาน กว้าง 0.8-1 ซม. ยาว 5-9 เซนติเมตร ครึ้มประมาณ 5 มิลลิเมตร  มีลักษณะม้วนงอที่ปลายฝัก ตามผิวมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองหนาแน่น เป็นขนแข็งและก็สั้น พอฝักแห้งขนจะหลุดหล่นลอยละล่องตามลมได้ง่าย เมื่อโดนผิวหนัง จะมีผลให้คัน ปวดแสบปวดร้อน เมล็ดมี 4-7 เม็ด สีดำเป็นเงา พบตามชายป่า ป่าไผ่ แล้วก็ที่แจ้งในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ มีดอกรวมทั้งติดผลราวพ.ย.ถึงมกราคม
ความแตกต่างของหมามุ่ยไทย และหมามุ่ยอินเดีย หมามุ่ยไทยรวมทั้งหมามุ่ยอินเดียนั้นดูผิวเผินแล้วอาจจะคล้ายคลึงกัน แม้กระนั้นก็มีความไม่เหมือนกันที่ฝักและก็เมล็ด โดยสามารถพินิจได้ว่าหมามุ่ยอินเดียจะมีขนฝักสั้น เมื่อสัมผัสแล้วจะไม่มีอาการคัน แล้วก็เมื่อแกะฝักออกมาแล้วเมล็ดที่อยู่ภายในจะมีสองสีสลับกัน ดำบ้างขาวบ้าง ในเวลาที่หมามุ่ยไทยนั้นจะมีขนฝักยาวและถ้าสัมผัสก็จะทำให้กำเนิดอาการคันแล้วก็ บางทีอาจกำเนิดอาการแพ้ได้ ทั้งนี้ขนาดฝักก็ยังเล็กมากยิ่งกว่าหมามุ่ยอินเดีย ส่วนสีของเมล็ดจะเป็นสีดำสนิทขนาดคละกันไป

การขยายพันธุ์ของหมาหมุ่
หมามุ่ยสามารถปลูก รวมทั้งแพร่พันธุ์ด้วยการเพาะเม็ด แต่โดยทั่วไปแล้วหมามุ่ยสามารถพบได้ในป่าตามธรรมชาติ ป่ารกร้างแถบชานเมืองหรือป่าเบญจพรรณ และก็มักแพร่เป็นหย่อมทั่วบริเวณที่พบ หมามุ่ยเป็นพืชเถาที่เติบโตก้าวหน้าในทุกดิน มีความทนทานต่อสภาพแห้ง แต่ว่าเกลียดพื้นที่ดินเปียก และมีน้ำขัง  การปลูกจะใช้กรรมวิธีการเพาะเม็ดในถุงเพาะชำก่อน 1-2 เดือน แล้วนำลงแปลงปลูกเอาไว้ภายในระยะระหว่างต้น 2 x 2 เมตร หลังปลูกเสร็จจะต้องทำค้างด้วยไม้ไผ่รอบหลุมปลูก เส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 1-1.5 เมตร สูงราว 1.5 เมตร ส่วนของหมามุ่ยที่นำมาใช้ผลดีเป็นเม็ดแก่ ซึ่งจำเป็นต้องเก็บเมล็ดในระยะฝักแก่ ซึ่งระยะนี้เถาจะมีใบเหลือง ฝักมีสีน้ำตาลอมแดง ซึ่งสามารถเก็บได้ทั้งฝักดิบแก่แล้วก็ฝักแก่แห้ง  สำหรับในประเทศไทยสายพันธุ์ที่พบจะเป็นกรุ๊ปไม้ป่า Mucuna pruriens (L.) DC.  (Cultivar group Pruriens)ซึ่งจะมีขนพิษปกคลุมที่ฝัก ก่อให้เกิดอาการคันเมื่อสัมผัส ส่วนกรุ๊ปที่เป็นไม้ปลูก Mucuna pruriens (L.) DC.  (Cultivar group Utillis) จะไม่มีขนพิษที่ฝักและไม่มีการปลูกภายในเมืองไทย
องค์ประกอบทางเคมีเมล็ด
พบสาร L-dopa หรือ L-3,4- dihydroxyphenylalanine สารกลุ่มอัลคาลอยด์ เช่น prurienine, prurienidine, nicotine,  leeihun, gallic acid, tryptamineขน พบสาร serotonin และเอนไซม์ที่ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง เช่น proteinase, mucanain
สรรพคุณ/การใช้ประโยชน์ของหมามุ่
หนังสือเรียนยาไทย เม็ด ปรุงเป็นยาแก้ไข้ ขับปัสสาวะ บำรุงประสาท ฝาดสมาน รักษาโรคผู้ชาย กระตุ้นกำหนัด กระตุ้นแล้วก็เพิ่มสมรรถนะทางเพศชาย ราก ขับฉี่อย่างแรง ใบ เป็นยาพอกแผล  ขน จากฝักนำมาซึ่งการระคายเคืองอย่างแรง ทำให้คันรวมทั้งเป็นผื่นแดง ปวดและก็บวม   
ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ไม่อ่อนเพลียง่าย ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขมีขมัน เพิ่มความกระฉับกระเฉงช่วยทำให้นอนสบาย จิตใจเบิกบานแจ่มใสช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้ดีเลิศเพิ่มขึ้นช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำกาม แล้วก็ช่วยทำให้ปรับประสิทธิภาพของน้ำกามให้ดีเลิศยิ่งขึ้นช่วยความเครียดลดลงช่วยเพิ่มการเผาและมวลของกล้าม   คนภูเขาเผ่าอีก้อ ใช้ ใบ  ตำคั้นน้ำ ทา หรือพอก รักษาอาการไฟลุกน้ำร้อนลวก
หมามุ่ยมีปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนเภสัชตำรับอายุรเวทของประเทศอินเดียว่ามีมีการนำเม็ดรวมทั้งรากมาใช้ทำยาโดยระบุว่าเม็ดมีคุณประโยชน์สำหรับในการรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในขนาดรับประทาน 3-6 กรัม รวมทั้งยังมีการนำมาใช้กับโรคพาร์กินสันอีกด้วย
นอกนั้นในเม็ดของหมามุ่ยจะมีสาร L-dopaหรือ L-3,4- dihydroxyphenylalanine อยู่ปริมาณสูง ซึ่งถูกนำมาสร้างเพื่อการค้าสำหรับในการรักษาโรคพาร์กินสัน ซึ่งสาร L-dopa นี้เป็นสารเริ่มของสารสื่อประสาท dopamine ซึ่งมีผลต่อสมองส่วนต่างๆในหลายเส้นทาง โดยยิ่งไปกว่านั้นการควบคุมการเคลื่อนไหว และยังมีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำลงอีกด้วย
หมามุ่ยมีประวัติการนำมาใช้เป็นอาหารในบางประเทศ เป็นต้นว่า อินเดีย มีการนำเม็ดมาต้มน้ำหลายๆคราวก่อนเอามารับประทานเพื่อกำจัดสารต่อต้านโภชนาการ(anti-nutritional factors) ประเทศกัวเตมาลารวมทั้งเม็กซิโก มีประวัติการนำมาอบและก็บดใช้กินแทนกาแฟ ใบใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ เป็นต้นแต่ มีหลายประเทศที่จัดหมามุ่ยเป็นพืชที่ต้องระวังสำหรับการใช้ ดังจะเห็นได้จากการที่หมามุ่ยมีปรากฏอยู่ในรายชื่อพืชที่มีรายงานว่ามีสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งบางทีอาจไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้คนเมื่อใช้ในอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมของกิน (Compendium of botanicals reported to contain naturally occurring substances of possible concern for human health when used in food and food supplements) ที่คณะทำงานร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์ของ EFSA (European Food Safety Authority Scientific Cooperation Working Group) ได้จัดรวบรวมขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกิจการประเมินความปลอดภัยของอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมของกินที่มีพืชกลุ่มนี้เป็นองค์ประกอบ
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้หมามุ่ย
แก้พิษแมงป่องกัดโดยตำเม็ดหมามุ่ยให้เป็นผุยผงแล้วผสมน้ำนิดหน่อยใช้พอกบริเวณที่ถูกกัด แก้ไอโดยใช้รากหมามุ่ยผสมกับรากมะเขือขมแช่น้ำรับประทาน หรือนำรากหมามุ่ยมาต้มกับน้ำแล้วดื่มน้ำก็จะแก้อาการไอได้ ช่วยแก้อาการปวดปวดเมื่อยตามร่างกาย ช้ำใน ด้วยการใช้รากหมามุ่ย 1 กิโลกรัม เมล็ดผักกาด 5 ขีด และเม็ดผักชี 3 ขีด นำมาตำรวมกันจนเป็นผุยผงแล้วผสมน้ำผึ้งป่าหมักทิ้งเอาไว้ 3 เดือน แล้วประยุกต์ใช้รับประทานก่อนนอน (ขนาดเท่าผลมะพวง) โดยที่กล่าวมานี้เป็นต้นแบบแล้วก็วิธีการใช้ในแบบเรียนโบราณแค่นั้น สำหรับเพื่อการควบคุมสินค้าจากเมล็ดหมามุ่ยตามกฎหมายในประเทศไทยในตอนนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่มีการอนุญาตเมล็ดหมามุ่ยเป็นเสริมอาหารแต่มีการอนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณในสูตรผสมประกอบด้วยเม็ดหมามุ่ยแล้วก็สมุนไพรอื่นๆสำหรับคุณประโยชน์บำรุงร่างกายเท่านั้น
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
หมามุ่ยที่มีการเอามาศึกษาวิจัยในขณะนี้รวมทั้งมีผลการศึกษาที่ออกมานั้น เป็นหมามุ่ยสารพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์จีน ส่วนสายพันธุ์ของไทยนั้น ยังไม่มีการนำมาศึกษาวิจัยแต่อย่างใด โดยการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของหมามุ่ยต่อสมรรถนะทางเพศในสัตว์ทดลองพบว่า การป้อนหนูแรทเพศผู้ด้วยสารสกัดเอทานอลเมล็ดหมามุ่ยที่ความเข้มข้น 200 มก./กิโลกรัมของน้ำหนักตัว วันละครั้ง ตรงเวลา 21 - 45 วัน สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของหนูได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งมีผลทำให้พฤติกรรมทางเพศของหนูเปลี่ยนไป โดยมีพฤติกรรมการจับคู่แล้วก็การขึ้นคร่อมตัวเมียถี่ขึ้น และก็มีระยะเวลาในการเริ่มสอดใส่อวัยวะสืบพันธุ์ทีแรกจนถึงหลั่งน้ำอสุจิ (ejaculation latency, EL) นานขึ้น นอกเหนือจากนี้การศึกษาเล่าเรียนทางสถานพยาบาลในประเทศอินเดียกับอาสาสมัครเพศชายที่มีสภาวะจำนวนสเปิร์มน้อย แล้วก็สเปิร์มมีการเคลื่อนไหวไม่ดีเหมือนปกติ โดยให้อาสาสมัครดื่มนมที่ผสมกับผงบดเม็ดหมามุ่ยขนาด 5 กรัม วันละครั้ง เป็นเวลา 3 เดือนพบว่า ค่าความเข้มข้นของสเปิร์ม และก็การเคลื่อนไหวของสเปิร์มเยอะขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แล้วก็มีค่าเกือบเท่ากันกับอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมล็ดหมามุ่ยมีประสิทธิภาพสำหรับในการช่วยทำให้ปรุงคุณภาพน้ำเชื้อให้ได้  แม้กระนั้นก็เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อนำผงบดของเม็ดหมามุ่ยมาทดสอบในหนูแรทเพศเมีย กลับมีผลทำให้ความประพฤติทางเพศมีทิศทางลดลง พูดอีกนัยหนึ่ง มีความประพฤติการจับคู่กับหนูตัวผู้น้อยลง และก็ปฏิเสธการรับการผสมพันธุ์จากหนูเพศผู้ (5) ชี้ให้เห็นว่าการรับประทานเมล็ดหมามุ่ยบางทีอาจให้ผลต่างกันในระหว่างเพศชายและหญิง ยิ่งไปกว่านี้สารสกัดที่ได้จากราก ลำต้น และเม็ด มีฤทธิ์ลดความดันเลือดให้ลดลง มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และช่วยรักษาโรคเบาหวานรวมถึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบของต่อมลูกหมากได้
การศึกษาทางพิษวิทยาของหมามุ่ย
การศึกษาเล่าเรียนความเป็นพิษกระทันหันรวมทั้งครึ่งหนึ่งทันควันของของเมล็ดหมามุ่ย พบว่า เมื่อให้ผงเม็ดหมามุ่ยทางปากแก่หนูถีบจักรเพศผู้ พบว่าขนาดของผงเม็ดหมามุ่ยทางปากสัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากกว่า 1600 มก./กก.(น้ำหนักตัว) รวมทั้งเมื่อให้ผงเมล็ดหมามุ่ยทางปากกับกระต่ายจำนวน 10 ตัว ในขนาด 70 มก./กก.(น้ำหนักตัว)/วัน ติดต่อกันตรงเวลา 90 วัน ไม่เจอความแปลกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ารวมทั้งค่าทางโลหิตวิทยาอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกระต่ายกรุ๊ปควบคุม แม้ว่าการเรียนความเป็นพิษฉับพลันและกึ่งกระทันหันของเมล็ดหมามุ่ยจะไม่เจอความผิดแปลกในสัตว์ทดลอง แต่ว่ามีการเรียนความเป็นพิษต่อไตของเม็ดหมามุ่ยสายพันธุ์ M. pruriens var. utilis 2 ประเภทหมายถึงจำพวกที่ยังไม่ได้ปรุงสุกเปรียบเทียบกับประเภทที่ทำให้สุกโดยการต้มนาน 30 นาที ในหนูแรท โดยผสมในของกินร้อยละ 10, 20 แล้วก็ 50 ตรงเวลา 4 อาทิตย์ เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับของกินธรรมดาพบว่าค่ายูเรีย (urea) แล้วก็ครีแอทินิน (creatinine) ในเลือดสูงมากขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุมรวมทั้งเพิ่มขึ้นตามปริมาณของเม็ดหมามุ่ย นอกจากนี้ยังพบว่ากรุ๊ปที่ได้รับผงหมามุ่ยปรุงสุกมีค่ายูเรีย (urea) รวมทั้งครีแอทินิน (creatinine) ในเลือดต่ำยิ่งกว่ากลุ่มที่ได้รับผงดิบ ก็เลยบางทีอาจสรุปได้ว่าการบริโภคเม็ดหมามุ่ยอาจจะทำให้กำเนิดความเป็นพิษต่อไตโดยสังกัดขนาดที่นาดรับประทาน แล้วก็ความเป็นพิษอาจน้อยลงเมื่อทำให้เม็ดหมามุ่ยสุก     
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวังหมามุ่ย
ขนจากฝัก นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนังอย่างแรง ทำให้คันเป็นผื่นแดง ปวดและบวม  คำตักเตือน เด็ก สตรีมีท้อง ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งคนไข้ทางจิตเวชไม่ควรรับประทาน คนแพ้พืชตระกูลถั่วไม่ควรกิน เนื่องจากว่าหมามุ่ยเป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งคนไข้โรคหัวใจรวมทั้งระบบหลอดเลือดหัวใจไม่สมควรทาน เนื่องจากว่าหมามุ่ยมีสารแอลโดขว้าง ซึ่งเป็นสารที่คนไข้โรคหัวใจและเส้นเลือดควรจะหลบหลีกเนื่องจากจะทำให้ความดันเลือดลดน้อยลง ทำให้มีการเกิดอาการหน้ามืดศีรษะและก็เป็นลมเป็นแล้ง นอกเหนือจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอีกด้วย สารแอลโดขว้างจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเมลานินเยอะขึ้น และทำให้อาการโรคโรคมะเร็งผิวหนังห่วยลงดังนั้นคนป่วยโรคมะเร็งผิวหนังจึงไม่ควรใช้เด็ดขาด แม้กระนั้นหากคุณเคยเป็นโรคโรคมะเร็งหรือมีความผิดธรรมดาเกี่ยวกับผิวหนังก่อนใช้หมามุ่ยควรหารือหมอหรือผู้เชี่ยวชาญก่อน
ด้วยเหตุว่าหมามุ่ยมีหลายสายพันธุ์ รวมถึงกรรมวิธีปรุงก็เป็นไปตามองค์วิชาความรู้ของชนพื้นเมืองนั้นๆด้วยเหตุนั้นจึงไม่ควรเก็บหมามุ่ยมาบริโภคเองจนกระทั่งจะมีการยืนยันความปลอดภัยของสายพันธ์ที่บริโภครวมทั้งมีผลการเรียนความเป็นพิษของหมามุ่ยที่แจ้งชัดแล้วก็น่าไว้วางใจ

Tags : หมามุ่ย,สรรพคุณหมามุ่ย,ประโยชน์หมามุ่ย

ออฟไลน์ kdidd

  • LCD TV member
  • **
  • กระทู้: 147
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: การศึกษาทางพิษวิทยาของหมามุ่ย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2017, 04:33:36 pm »

หมามุ่ย คันมากๆครับ

ออฟไลน์ surachai3377

  • Flat TV member
  • *
  • กระทู้: 21
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: การศึกษาทางพิษวิทยาของหมามุ่ย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2017, 04:33:53 pm »

หมามุ่ย คันมากๆครับ