เลือกซื้ออะโวคาโดยังไงให้อร่อยน่ากิน
1.สีเปลือกยังมีสีเขียวสดทั้งลูก หรือสีเขียวเข้ม ขั้วเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเขียวเข้มน้อยแน่นอนว่ายังดิบอยู่และก็ยังทานไม่ได้ เพราะเหตุว่าในเนื้ออะโวคาโดจะมีสารที่เรียกว่า แทนนิน และก็มีรสขม ถ้าเกิดทานเข้าไปอาจก่อให้ปวดหัว เจ็บท้องและก็อาเจียนได้ ถ้าเกิดได้รับปริมาณมากบางทีก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
2.สีเปลือกแล้วก็ขั้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หมายความว่าผลอะโวคาโดสุกพร้อมทานแล้ว แต่ว่ายังมีเนื้อแน่นไม่นิ่มหรือเละจนเกินไป เหมาะกับการรับประทานที่สามารถหั่นเป็นชิ้นๆได้ การซื้ออะโวคาโดตอนที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วจึง เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการรอคอยรวมทั้งพร้อมกินได้โดยทันที
3.สีเปลือกเข้มจนเป็นสีน้ำตาลอมม่วง แล้วก็ขั้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม เมื่อพบรูปแบบนี้หมายความว่าเนื้อสุก นิ่ม เหมาะสมกับของกินที่อยาก}นำอะโวคาโดไปบดรับประทาน
ข้อพึงระวัง คือไม่สมควรเก็บผลอะโวคาโดที่ดิบอยู่เข้าตู้เย็น เพราะเหตุว่าจะก่อให้เนื้ออะโวคาโดไม่สุกแล้วก็ยังเน่าเหม็นไปอีกด้วย ควรที่จะนำไปเก็บเอาไว้ด้านในถุงกระดาษหรือลังและก็เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องราว 3 วัน อะโวคาโดก็จะสุกพร้อมประทานพอดี
กรรมวิธีเลือกซื้ออะโวคาโดข้างต้นเป็นวิธีที่เราสามารถพินิจได้ด้วยตาเปล่า ไม่ว่าพวกเราจะไปเลือกซื้อผลไม้เองหรือว่าสั่งอะโวคาโดออนไลน์ ก็สามารถนำวิธีแบบนี้ไปใช้ได้ด้วยสิ่งเดียวกัน
สิ่งที่ต้องคิดถึงสำหรับในการเลือกซื้ออะโวคาโด
อะโวคาโดในบ้านพวกเราสามารถหาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัด หรือเดี๋ยวนี้เราสามารถสั่งซื้ออะโวคาโดออนไลน์ได้ด้วยเหมือนกัน มีทั้งสายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างถิ่น รวมทั้งสายพันธุ์ที่ปลูกได้เองในไทย ซึ่ง
อะโวคาโดราคาของแต่ละสายพันธุ์ก็เลยแตกต่างกัน
อะโวคาโดสายพันธุ์ที่มาจากต่างประเทศมีตั้งแต่ราคากิโลละ 200-300 บาทขึ้นไปส่วนใหญ่จะขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ส่วนสายพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกไว้ในบ้านพวกเราราคาบางทีอาจจะอยู่ที่ 60-80 บาทต่อโล หาซื้อได้ในตลาดทั่วไป
อย่างไรก็ดีการซื้ออะโวคาโดมารับประทานควรจะเลือกซื้อตามฤดูกาล ก็จะมีผลให้ได้ราคาที่สมควรและได้ผลไม้ที่มีคุณภาพ เนื่องด้วยอะโวคาโดมีราคาค่อนข้างสูงขึ้นมากยิ่งกว่าผลไม้ทั่วไป ส่วนสายพันธุ์รวมทั้งราคาก็ขึ้นกับความพึงพอใจของแต่ละคน หวังว่ากลเม็ดดีๆที่นำมาฝากจะมีผลให้กำเนิดประโยชน์ต่อแฟนคลับสุขภาพไม่มากก็น้อย
